FINNOMENA Admin 20/09/11
วิกฤติหนี้ยุโรป อดีต ปัจจุบัน และอนาคต (1)
ชาตรี โรจนอาภา, CFA, FRM
นักลงทุนบางท่านอาจยังไม่ทราบว่าปัญหาหนี้สินในยุโรปที่นักวิเคราะห์เศรษฐกิจและการเงินมักจะยกขึ้นมาอธิบายความผันผวนของตลาดหุ้นทั้งในและต่างประเทศว่ามันคืออะไร มีที่มาที่ไปอย่างไร ดำเนินไปในทิศทางใด และควรมีแนวทางแก้ไขอย่างไร ผู้เขียนจะลองนำเสนอเรื่องราวปัญหาหนี้สินในยุโรปผ่านทรรศนะส่วนตัวของผู้เขียนแต่พอสังเขป
ปัญหาหนี้สินในยุโรปในครั้งนี้มีรากฐานมายาวนานเริ่มตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศมหาอำนาจเดิมในยุโรปได้รับความสูญเสียมหาศาลจากสงครามไม่ว่าจะเป็นผู้ชนะอย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส และสัมพันธมิตร หรือฝ่ายพ่ายสงครามอย่างเยอรมัน อิตาลี และพลพรรคอักษะ เปิดโอกาสให้สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้ชนะที่สูญเสียน้อยที่สุดก้าวเข้ามาเป็นมหาอำนาจทางการทหารและเศรษฐกิจแทน ค่าเงินสกุลหลักที่ใช้ซื้อขายสินค้ากันก็เปลี่ยนจากปอนด์สเตอริงมาเป็นดอลลาร์สหรัฐและก็เป็นเช่นนั้นมาตลอดเกือบ 70 ปีที่ผ่านมา เวลาผ่านไปความสำคัญของเศรษฐกิจยุโรปก็เริ่มลดลงโดยเฉพาะหลังจากที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มฟื้นตัวหลังจากสงคราม ในที่สุดกลุ่มประเทศในยุโรปเริ่มรู้สึกว่าตนเองเริ่มจะด้อยกว่าประเทศเกิดใหม่อย่างสหรัฐและต้องการกลับมาเป็นมหาอำนาจอีกครั้ง จนกระทั่งปี ค.ศ. 1992 ก็เริ่มมีแนวคิดจะรวมเศรษฐกิจยุโรปให้เป็นปึกแผ่น โดยการก่อตั้งสหภาพยุโรปซึ่งมุ่งเน้นการเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันภายในประเทศกลุ่มยุโรป เช่น การจ้างงานเสรี การเดินทางข้ามประเทศ อัตราภาษีพิเศษในภูมิภาค และที่สำคัญที่สุดกำหนดสกุลเงินหลักที่ใช้ร่วมกันในสหภาพยุโรปเพื่อคานอำนาจกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ในที่สุดค่าเงินยูโรก็ได้ถือกำเนิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 ธันวาคม 1998
การปรากฏขึ้นของค่าเงินยูโรส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปโดยเฉพาะประเทศขนาดเล็ก เนื่องจากการเข้าร่วมสหภาพยุโรปทำให้สถานะภาพทางเศรษฐกิจของประเทศขนาดเล็กเหล่านั้นได้รับการยอมรับมากขึ้น การเปลี่ยนไปใช้ค่าเงินยูโรซึ่งมีความแข็งแกร่งทำให้ประเทศขนาดเล็กเหล่านั้นมีอำนาจในการซื้อสินค้ามากขึ้น (เมื่อค่าเงินแข็งขึ้นก็ทำให้สินค้าที่นำเข้ามีราคาถูกลง) ประกอบกับการก่อหนี้ก็จะสามารถทำได้ง่ายขึ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำลง เนื่องจากค่าเงินสกุลยูโรได้รับการค้ำประกันโดยความน่าเชื่อถือของสหภาพยุโรป ส่งผลให้ประเทศขนาดเล็กเหล่านั้นบริโภคและลงทุนเกินตัว ผ่านรัฐสวัสดิการที่เกินความจำเป็น การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ที่สร้างผลตอบแทนไม่คุ้มค่า หรือการใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายด้วยสินเชื่อหรือบัตรเครดิต (สำหรับนักลงทุนที่เป็นแฟนฟุตบอลสโมสรในยุโรปที่ทราบค่าจ้าง และค่าตัวซื้อขายนักฟุตบอลในยุโรปก็คงจะทราบถึงความฟุ้งเฟ้อที่ว่าได้ดี) ส่งผลให้ประเทศต่างๆในยุโรปเริ่มมีการขาดดุลการคลังมากขึ้น ในระยะแรกปัญหาขาดดุลการคลังยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่เนื่องจากการระดมเงินกู้สามารถทำได้โดยง่าย เนื่องจากทั้งภาครัฐและเอกชนของประเทศคู่ค้าของสหภาพยุโรปเช่น เอเชีย และอเมริกาใต้ ยินดีที่จะซื้อพันธบัตรของประเทศในสหภาพยุโรปไม่ว่าจะเพื่อการลงทุนหาผลตอบแทนหรือการเก็บเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ แต่นานวันเข้าภาระหนี้สินของประเทศเหล่านั้นก็เริ่มพอกพูนโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐในปี ค.ศ. 2008 ส่งผลให้ประเทศในยุโรปยิ่งต้องพยายามดำเนินนโยบายขาดดุลทางการคลังเพื่อค้ำจุนเศรษฐกิจของประเทศตัวเองให้พ้นจากภาวะถดถอยเร็วที่สุด จนในที่สุดกรอบข้อตกลงเรื่องการขาดดุลการคลังและเพดานหนี้สินของประเทศในสหภาพยุโรปก็ไม่ได้รับความสนใจจากประเทศสมาชิกอีกต่อไป (ภาระขาดดุลต่อ GDP ไม่เกินร้อยละ 3 ต่อปี และหนี้สินต่อ GDP ไม่เกินร้อยละ 60) ปัจจุบันเกือบทุกประเทศในยุโรปมีภาระหนี้สินต่อ GDP เกิน 100% บางประเทศมีการขาดดุลต่อ GDP มากกว่าร้อยละ 10 ประกอบกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วของกลุ่มประเทศเกิดใหม่ เช่น บราซิล อินเดีย รัสเซีย และจีน (BRIC) ส่งผลให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง และทำให้เกิดคำถามขึ้นในใจของนักลงทุนว่าพันธบัตร ตราสารหนี้และค่าเงินในสกุลยูโรจะยังเป็นสินทรัพย์ที่มีความน่าเชื่อถืออยู่ต่อไปอีกหรือไม่
ความกังวลเรื่องดังกล่าวเริ่มเลวร้ายมากขึ้นเมื่อประเทศขนาดเล็กอย่างกรีซ ซึ่งเคยลงทุนเกินตัวสมัยเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิคปี 2004 เริ่มส่ออาการขาดสภาพคล่องเมื่อนักลงทุนทยอยไม่ซื้อพันธบัตรรัฐบาลของประเทศกรีซ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลกรีซซึ่งเป็นต้นทุนกู้ยืมเงินผ่านการออกพันธบัตรของรัฐบาลกรีซเริ่มถีบตัวสูงขึ้น และทำให้นักลงทุนรายอื่นๆ ยิ่งลังเลที่จะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลกรีซมากขึ้นไปอีก (ปัจจุบันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลกรีซอายุ 10 ปีอยู่ 21.34% เปรียบเทียบกับรัฐบาลสหรัฐ10 ปี อยู่ที่ 1.94% และพันธบัตรรัฐบาลไทย 10 ปี อยู่ที่ 3.84%) นานวันเข้าความกังวลเรื่องหนี้สินต่างๆเหล่านี้ก็เริ่มแพร่กระจายไปสู่ประเทศต่างๆในสหภาพยุโรปที่มีสภาพใกล้เคียงกับกรีซ เช่น ไอร์แลนด์ ไอซ์แลนด์ ฮังการี หรือกระทั่งประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างอิตาลี และสเปน ทำให้ปัญหาในยุโรปดูจะทวีความรุนแรงมากขึ้น ในขณะเดียวกันบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับการยอมรับ เช่น S&P Moody และ Fitch ก็เริ่มปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศในสหภาพยุโรป (บางประเทศปรับลดลงไปต่ำกว่าระดับที่สามารถลงทุนได้) ซ้ำเติมให้ประเทศเหล่านั้นระดมเงินกู้ได้ยากขึ้นไปอีก จนในที่สุดธนาคารกลางของสหภาพยุโรป และกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF (เจ้าเก่าสมัยวิกฤตต้มยำกุ้ง) ต้องเข้ามาให้ความช่วยเหลือประเทศมีประสบปัญหาในยุโรปด้วยการให้สภาพคล่อง และระดมเงินมาซื้อพันธบัตรของประเทศต่างๆในสหภาพยุโรป เพื่อสกัดปัญหาตั้งแต่ต้นลมก่อนที่จะลุกลามบานปลายเกินแก้ไข
ปัญหาหนี้สินในยุโรปไม่ได้หยุดอยู่แค่ระดับของรัฐบาลเท่านั้น สถาบันการเงินในยุโรปต่างก็มีการปล่อยสินเชื่อให้กับภาคเอกชนของประเทศในสหภาพยุโรป เมื่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ลดลงก็จำเป็นต้องตั้งสำรองหนี้สูญมากขึ้น นอกจากนี้สถาบันการเงินในยุโรปยังปล่อยสินเชื่อให้รัฐบาลในสภาพยุโรปผ่านการซื้อพันธบัตรซึ่งแต่เดิมเคยเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูงสามารถใช้เป็นเงินทุนสำรองของธนาคารได้ แต่เมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในยุโรปปรับตัวสูงขึ้น โดยเปรียบเทียบแล้วมูลค่าพันธบัตรที่สถาบันการเงินเหล่านั้นถือครองก็ลดลง (ตามหลัก Mark to market) ยิ่งพันธบัตรรัฐบาลเหล่านั้นถูกลดอันดับความน่าเชื่อ คุณภาพของสินทรัพย์และเงินกองทุนของสถาบันการเงินยุโรปยิ่งถูกตั้งของสงสัยมากขึ้นไปอีก ในที่สุดสถาบันการเงินในยุโรปก็เริ่มประสบปัญหาในการรักษาสภาพคล่องด้วยเช่นกัน
ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นที่มาของวิกฤติหนี้สินของยุโรป สำหรับรายะละเอียดของปัญหาในปัจจุบัน แนวทางแก้ไขปัญหาและอนาคตของวิกฤติหนี้สินในยุโรปยังมีอยู่อีกมาก โปรดติดตามตอนต่อไป ^_^
งานเขียนฉบับนี้เป็นการแสดงความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนซึ่งอาศัยข้อสังเกตและประสบการณ์ส่วนตัวในตลาดทุนเท่านั้น ไม่มีงานวิจัยใดๆสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวของผู้เขียน ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อนึ่ง ผู้เขียนแสดงทัศนะในบทความนี้ในเชิงส่วนตัวไม่ได้แสดงความเห็นแทนบริษัท คณะบุคคล มูลนิธิหรือองค์กรใดๆ ทั้งสิ้น
FINNOMENA Admin 25/09/11
วิกฤติหนี้ยุโรป อดีต ปัจจุบัน และอนาคต (2)
ชาตรี โรจนอาภา, CFA, FRM
บทความตอนที่แล้วได้เล่าถึงที่มาของปัญหาหนี้สินในยุโรปไปแล้ว ในตอนนี้จะกล่าวสถานการณ์ปัจจุบันของปัญหาในรายละเอียดตามมุมมองของผู้เขียน
ปัจจุบันปัญหาหนี้สินของกรีซอาจถือได้ว่าอยู่ระดับที่น่าวิตกมาก แม้ว่ากลุ่มสภาพยุโรป (EU) และกองทุนการเงินระหว่าประเทศ (IMF) จะเข้าให้ความช่วยเหลือไปแล้วกว่า 110,000 ล้านยูโรก็ตาม เนื่องจากการให้เงินสนับสนุนของ EU ที่ให้กับกรีซเป็นในรูปเงินกู้เพื่อนำไปชำระหนี้พันธบัตรที่ครบกำหนด โดยมีเงื่อนไขว่ากรีซจะต้องดำเนินนโยบายรัดเข็มขัดเพื่อลดภาระขาดทุนทางการคลังจากร้อยละ 10.5 ในปี 2010 และขายสินทรัพย์ภาครัฐ เพื่อนำมาชำระหนี้สินจำนวนมหาศาลที่เคยก่อไว้ อย่างไรก็ดีหลังจากได้เงินกู้ก้อนแรกไปปีกว่าๆแล้วกรีซยังไม่แนวโน้มว่าจะทำได้ใกล้เคียงกับคำมั่นที่เคยให้ไว้กับ EU และ IMF การดำเนินนโยบายรัดเข็มขัดเป็นไปอย่างล่าช้าเนื่องจากการต่อต้านจนถึงขั้นจลาจลจากประชาชนที่เคยสุขสบายจากรัฐสวัสดิการที่ให้เปล่า กระบวนการขายสินทรัพย์ที่ล่าช้าและดูเหมือนจะไม่เพียงพอในการชำระหนี้ทั้งหมด เมื่อรวมกับเศรษฐกิจของประเทศที่ทรุดหนักในระยะหลัง ทำให้ในที่สุดนายกรัฐมนตรีของกรีซได้ออกแถลงการณ์ขอร้อง EU ให้ผ่อนปรนเงื่อนไขการรัดเข็มขัดและขอเงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องก้อนใหม่ พร้อมยกคำขู่ว่ากรีซจะมีเงินพอใช้ไปได้จนถึงเดือนตุลาคม 2011 เท่านั้น ถ้าไม่ให้รีบความช่วยเหลือกรีซแบบมีเงื่อนไขน้อยที่สุด สหภาพยุโรปก็อาจเกิดอาการ “ตายหมู่” ได้
เมื่อปัญหาหนึ่งเกิดขึ้นในประเทศหนึ่งย่อมส่งผลกระทบกับประเทศอื่นๆที่ใช้สกุลเงินเดียวกัน ประเทศอื่นๆใน EU ก็มีสภาพย่ำแย่ไปตามๆกัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของประเทศขนาดใหญ่ใน EU ปรับตัวสูงขึ้นมาก โดยพันธบัตรรัฐบาลสเปน (Rating AA) และอิตาลี (Rating A) รุ่นอายุ 10 ปี ปัจจุบันอยู่ที่ 5.60% และ 5.17% ตามลำดับ เปรียบเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลไทย (Rating BBB+) อายุ 10 ปี ปัจจุบันอยู่ที่ 3.84% เมื่อพิจารณาควบคู่กับเลขดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านการจ้างงานจะพบว่าประเทศเหล่านี้เองก็น่าเป็นห่วงมาก ยกตัวอย่างเช่น สเปนมีอัตราการว่างงานสูงถึง 20% แปลว่าถ้าเดินตามถนนเจอคน 5 คนจะมีคนหนึ่งที่ว่างงานโดนเฉลี่ย ส่วนประเทศอื่นๆ เช่น อิตาลี โปรตุเกส ไอร์แลนด์ ก็ล้วนแล้วแต่มีอัตราการว่างงานที่เกิน 10% ทั้งหมด (ถ้าแฟนฟุตบอลสโมสรยุโรปท่านใดสังเกตตลาดซื้อขายนักฟุตบอลในช่วงปีที่ผ่านมาจะพบว่าซบเซาลงไปมาก การยืมตัวนักฟุตบอลจะเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น บางประเทศเช่น อิตาลี ถึงกับมีนโยบายเป็นเจ้าของร่วมในตัวนักฟุตบอลเลยก็มี เพราะไม่มีเงินซื้อทั้งตัวได้มาครึ่งตัวก็ยังดี ^_^)
ในด้านผู้ให้ความช่วยเหลือซึ่งได้แก่ EU เองก็ประสบปัญหาเช่นกัน ปัจจุบันสหภาพยุโรปให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศสมาชิกผ่านกองทุนที่ชื่อ European Financial Stability Facility หรือ EFSF ซึ่งสามารถให้ความช่วยเหลือผ่านการซื้อพันธบัตรรัฐบาลประเทศสมาชิก ล่าสุดได้ปรับแก้ข้อบังคับของกองทุนให้สามารถเพิ่มทุนให้กับสถาบันการเงินของประเทศสมาชิกโดยตรงผ่านการเข้าถือหุ้นของสถาบันการเงินต่างๆเหล่านั้นได้ด้วย ปัญหาก็คือกองทุน EFSF มีเงินกองทุนไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนภาระหนี้ทั้งหมดของประเทศที่มีปัญหา โดยปัจจุบัน EFSF มีศักยภาพที่จะให้การสนับสนุนทางการเงินได้ถึง 255,000 ล้านยูโร และอาจขยายได้ถึง 440,000 ล้านยูโรในกรณีที่ใช้การค้ำประกันหนี้ ซึ่งเพียงพอกับการให้ความช่วยเหลือกรีซ โปรตุเกส และไอร์แลนด์ แต่เมื่อพิจารณารวม อิตาลี และสเปนเข้าไปด้วย จำนวนเงินที่ ESFS ต้องการเพื่อจะให้ความช่วยเหลือประเทศเหล่านี้ ในเบื้องต้นอาจสูงถึง 520,000 ล้านยูโร ซึ่งแผนการเพิ่มทุนให้กับกองทุน ESFS เพื่อให้สามารถสนับสนุนเงินกู้ยืมได้ถึง 450,000 ล้านยูโร และขยายเป็นค้ำประกันได้ถึง 780,000 ล้านยูโร ก็ยังมีอุปสรรคอยู่เนื่องจากการเพิ่มทุนของ EFSF จำเป็นต้องได้ฉันทามติ จากรัฐสาของประเทศสมาชิก แต่รัฐบาลของประเทศพี่ใหญ่ในยุโรปอย่าง ฝรั่งเศส และเยอรมันได้รับแรงกดดันจากประชาชนที่ไม่อยากเอาเงินสำรองของประเทศตัวเองที่ได้มาอย่างยากลำบากไปอุ้มภาระหนี้ของประเทศที่สุรุ่ยสุร่าย ถ้าไปช่วยมากๆเข้าตัวเองก็อาจมีความเสี่ยงจะโดนปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือไปด้วย แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากก็คือตัวเลขทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นตัวที่เลขที่นับรวมเฉพาะหนี้สิ้นภาครัฐเท่านั้น นี่ยังไม่ได้พูดถึงตัวเลขของภาคเอกชนเลยแม้แต่น้อย
ในด้านสถานะทางการเงินของสถาบันการเงินของยุโรปในปัจจุบันอาจเรียกได้ว่าเข้าขั้นวิกฤติก็คงจะได้ ล่าสุด Credit default swap หรือ CDS ซึ่งเป็นค่าประกันความเสี่ยงที่ผู้ซื้อประกันจะต้องจ่ายให้กับผู้ค้ำประกันของธนาคารในยุโรปปรับตัวสูงขึ้นเทียบเคียง หรือบางสถาบันการเงินก็สูงกว่าครั้งวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008-2009 สะท้อนให้เห็นว่าแม้ว่าเศรษฐกิจโลกยังไม่ได้กลับเข้าสู่ภาวะวิกฤติเหมือนปี 2008 แต่สถานะของสถาบันการเงินยุโรปเข้าขั้นวิกฤติเท่ากันหรือมากกว่าครั้งนั้นแล้ว โดยเฉพาะสถาบันการเงินสัญชาติฝรั่งเศส ซึ่งให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ประเทศกรีซเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งตามข้อมูล ณ ไตรมาส 3 ปี 2010 ของ Bank for international settlement (BID) ภาคธนาคารและเอกชนฝรั่งเศสเป็นเจ้าหนี้กรีซเป็นจำนวนเงินรวม 41,700 ล้านยูโร อันดับสองเป็นของธนาคารเยอรมัน 11,300 ล้านยูโร และอันดับสามธนาคารอังกฤษ 10,600 ล้านยูโรตามลำดับ ในที่สุดสถาบันการเงินในยุโรปก็ประสบปัญหาสภาพคล่องในระยะสั้นอย่างหนัก เนื่องจากนักลงทุนและกองทุนตลาดเงินต่างๆซึ่งเคยซื้อตั๋วเงินระยะสั้นของสถาบันการเงินต่างๆเหล่านี้ก็งดซื้อตั๋วเงินต่อ ในขณะที่สถาบันการเงินด้วยกันก็ลังเลที่จะปล่อยกู้ระยะสั้นให้แก่กัน ดังที่ธนาคารกลางสหรัฐได้แสดงความกังวลผ่านสื่อเมื่อไม่นานมานี้ และมีข้อตกลงระหว่างธนาคารกลางสหรัฐ สภาพยุโรป ญี่ปุ่น จีน และสวิสเซอร์แลนด์ ที่จะเพิ่มวงเงินเสริมสภาพคล่องให้กับสถาบันการเงินในยุโรป เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการแห่ถอนเงินฝากของผู้ฝากเงินจนทำให้เกิดภาวะขาดสภาพคล่องเฉียบพลัน (Bank run) เช่นเดียวกับสถาบันการเงินของไทยที่ต้องปิดตัวไปสมัยวิกฤตต้มยำกุ้ง
แม้ว่าสถาบันการเงินในยุโรปจะได้รับความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องจากธนาคารกลางประเทศต่างๆ แต่ปัญหาสำคัญที่ยังคงมีอยู่คือ เงินกองทุนที่สถาบันการเงินจะต้องดำรงไว้เพื่อดำเนินกิจการ เมื่อสินทรัพย์ของธนาคาร เช่น สินเชื่อ พันธบัตร หุ้นกู้ หรือกระทั่งหุ้นที่ถือครองอยู่มีมูลค่าตลาดลดลง ในทางบัญชีแล้วเงินกองทุนฯก็จะต้องลดลงไปด้วย ถ้าราคาตลาดของสินทรัพย์ยังคงปรับตัวลดลงต่อไปเงินกองทุนฯก็จะยิ่งลดต่ำลงไปอีก ปัจจุบันการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ของสถาบันการเงินในยุโรปยังถูกต้องข้อสงสัยว่าประเมินมูลค่าสูงกว่าความเป็นจริงหรือไม่ เช่น พันธบัตรรัฐบาลของประเทศที่มีปัญหาบางรุ่นยังไม่ได้ถูกตีราคาตลาด (Market to market) ตามนโยบายบัญชีที่จะถือครองไปจนครบกำหนดอายุ หรือความสงสัยว่าแบบจำลองที่ใช้ในการประเมินมูลค่าตราสารอนุพันธ์ที่มีความซับซ้อนนั้นสามารถประเมินมูลค่าที่แท้จริงของตราสารเหล่านั้นได้อย่างถูกต้องหรือไม่ แม้จะมีความพยายามจะทำ Stress test ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาเพื่อดูความพอเพียงของเงินกองทุนฯ การทดสอบ Stress test นั้นก็ยังได้รับความสงสัยถึงวิธีการและความเข็มงวดของการทดสอบอยู่ดี ซึ่งหากแท้จริงแล้วสถาบันการเงินในยุโรปมีเงินกองทุนฯที่ไม่เพียงพอในการดำเนินกิจการ สถาบันการเงินเหล่านั้นก็มักจะเลือกขายสินทรัพย์ เช่น พันธบัตร หุ้นกู้ หุ้น หรือ สินค้าโภคภัณฑ์ มากกว่าที่จะเพิ่มทุนในสภาวะที่ตลาดหุ้นไม่เอื้ออำนวย ถ้าลองย้อนกลับไปดูสมัยวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008 ก็จะเห็นผลกระทบจากการเทขายสินทรัพย์เพื่อรักษาสภาพคล่องและฐานเงินทุนสถาบันการเงินได้อย่างชัดเจน อาจจะกล่าวได้ว่าปัญหาสภาพคล่องและเงินทุนของสถาบันการเงินในยุโรปในปัจจุบันถือว่าจุดที่วิกฤติที่สุดของปัญหาหนี้สินยุโรปในครั้งนี้ ดังที่ จอร์จ โซลอส ได้ออกมาเตือนว่าวิกฤติสถาบันการเงินในยุโรปครั้งนี้รุนแรงกว่าสมัย Lehmann brother หากสถาบันการเงินขนาดใหญ่ในยุโรปต้องปิดกิจการเช่นเดียวกับ Lehmann brother ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกก็อาจรุนแรงเช่นเดียวกับหรือาจมากกว่าวิกฤติเศรษฐกิจโลกปี 2008
ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นสถานการณ์ปัจจุบันของของวิกฤติหนี้สินของยุโรป สำหรับอนาคตและแนวทางแก้ไขปัญหา ตลอดจนผลกระทบด้านอื่นๆในมุมมองของผู้เขียนยังมีอยู่อีก โปรดติดตามตอนต่อไป ^_^
งานเขียนฉบับนี้เป็นการแสดงความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนซึ่งอาศัยข้อสังเกตและประสบการณ์ส่วนตัวในตลาดทุนเท่านั้น ไม่มีงานวิจัยใดๆสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวของผู้เขียน ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อนึ่ง ผู้เขียนแสดงทัศนะในบทความนี้ในเชิงส่วนตัวไม่ได้แสดงความเห็นแทนบริษัท คณะบุคคล มูลนิธิหรือองค์กรใดๆ ทั้งสิ้น
FINNOMENA Admin 12/11/11
วิกฤติหนี้ยุโรป อดีต ปัจจุบัน และอนาคต (3)
ชาตรี โรจนอาภา, CFA, FRM
บทความสองตอนก่อนได้เล่าถึงความเป็นมาและสถานการณ์ปัจจุบันของปัญหาหนี้สินในยุโรปไปแล้ว ในตอนสุดท้ายนี้จะกล่าวถึงแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สินในยุโรป และอนาคตของเศรษฐกิจโลกในทัศนะของผู้เขียน
ปัจจุบันความสนใจปัญหาหนี้สินของประเทศในกลุ่มยุโรปอยู่ที่กรีซ อิตาลี และสเปน ซึ่งประเทศทั้งสามมีสถานะที่ใกล้เคียงกัน คือ หนี้สินต่อ GDP สูง มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำ ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง และมีอัตราการว่างงานที่สูงมากจนไม่น่าเชื่อ ที่สำคัญประเทศอย่างอิตาลีและสเปนคือเป็นประเทศทีมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ติดอันดับโลก (GDP อิตาลี และสเปนจัดอยู่ในอันดับ 8 และ 12 ของโลกตามลำดับ) หากประเทศทั้งสองไม่สามารถระดมเงินกู้เพื่อมาต่ออายุลมหายใจได้ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกจะรุนแรงมากกว่าวิกฤติทุกครั้งที่โลกเคยผ่านมา ชนิดที่ว่าวิกฤติต้มยำกุ้งของเอเชียเมื่อปี 1997 ถือว่าจิ๊บจ้อยมาก หรือแม้แต่ Hamburger crisis ปี 2008 ก็ไม่อาจเทียบเคียงได้ (ตามความเห็นของนักลงทุนระดับตำนานอย่าง จอร์จ โซรอส และ จิม โรเจอร์)
องค์กรทางเศรษฐกิจต่างๆไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสหภาพยุโรป(EU) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) หรือกลุ่มประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว (G-20) จึงต้องหาแนวทางให้ความช่วยเหลือประเทศดังกล่าว โดยเริ่มต้นจากกรีซ ด้วยความหวังที่ว่าหากสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนยอมต่ออายุหนี้ของกรีซได้ ประเทศทีดูแล้วมีความน่าจะเป็นที่จะชำระหนี้ไม่ได้น้อยกว่าอย่างอิตาลี และสเปนก็น่าจะรอดไปด้วย
วิธีการแก้ปัญหากรีซที่ EU และ IMF ใช้ในเบื้องต้นคล้ายกับที่เคยใช้กับประเทศไทยสมัยวิกฤตต้มยำกุ้ง กล่าวคือ ให้วงเงินกู้ในระยะสั้นแก่ บังคับให้กรีซจัดทำงบประมาณเกินดุลด้วยการรัดเข็มขัด และขายสินทรัพย์เพื่อชดใช้หนี้เมื่อตลาดการเงินเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ปัญหาคือ กรีซ ไม่ใช่เด็กดีที่ยอมทำตามผู้ใหญ่อย่างประเทศไทย กรีซไม่สามารถปฏิบัติตามแผนลดการขาดดุลได้เลย เนื่องจากรัฐบาลห่วงคะแนนเสียงไม่ยอมลดภาระการขาดดุลการคลังตามที่ EU และ IMF เสนอ ในขณะเดียวกันด้านผู้ให้ความช่วยเหลือเอง ซึ่งได้แก่กองทุน European Financial Stability Facility (EFSF) ก็ประสบกับปัญหาเงินไม่พอ เนื่องจากต้องให้ความช่วยหลายประเทศ และการจะเพิ่มขนาดเงินกองทุนก็จำเป็นต้องอาศัยฉันทามติของทุกประเทศสมาชิก ปัญหาทั้งหมดจึงนำมาสู่การประชุม EU summit เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน
ผลการประชุม EU Summit เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาได้มีข้อสรุปที่มีสาระสำคัญ 2 ประการดังนี้
ผลการประชุมดังกล่าวเมื่อรวมกับท่าทีของกรีซที่ยินยอมตามเงื่อนไขการรับเงินช่วยเหลือของ EU และ IMF สามารถสร้างความมั่นใจในเบื้องต้นให้กับนักลงทุนได้ว่าผลกระทบของปัญหาหนี้สินในยุโรปจะไม่เกิดขึ้นรวดเร็วและทำให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงินเช่นเดียวกับวิกฤติ Hamburger ปี 2008 อย่างไรก็ดีปัญหาต่างๆยังไม่ได้รับการแก้ไข โดยข้อสรุปที่ได้จาก EU summit เป็นเพียงการให้ความช่วยเหลือระยะสั้นแก่กรีซที่มีหนี้ครบกำหนดก้อนใหญ่ในเดือนธันวาคมเท่านั้น ต้นเหตุของปัญหาที่แท้จริงของปัญหาซึ่งก็คือการใช้จ่ายเกินตัว และการขาดดุลการคลังต่อเนื่องยังคงไม่มีทีท่าว่าจะแก้ไขได้ เมื่อกรีซรอดจากหนี้ระยะสั้นไปได้ความสนใจของตลาดจึงไปตกอยู่กับอิตาลีแทน ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนผลตอบแทนพันธบัตรอิตาลีรุ่นอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นรวดเดียวจาก 6.00% สู่ระดับ 7.5% ในเวลา 4 วันทำการ แสดงให้เห็นถึงความกังวลของนักลงทุนที่มีต่ออิตาลีจนนายกรัฐมนตรีอิตาลีถูกกดดันให้ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อปูทางให้รัฐสภาอิตาลีสามารถผ่านแผนรัดเข็มขัดเพื่อลดภาระหนี้ได้สำเร็จ โดยอิตาลีมีหนี้สินก้อนใหญ่ครบกำหนดในเดือนกุมภาพันธ์ 2012 ถึงกว่า 50,000 ล้านยูโร ซึ่งยังคงเป็นปัญหาอยู่ว่าอิตาลีจะสามารถระดมเงินกู้เพื่อ Refinance หนี้จำนวนดังกล่าวได้ด้วยตัวเองหรือไม่ ที่ต้นทุนทางการเงินเท่าใด
ในด้านสถาบันการเงินของยุโรปก็ย่ำแย่ไม่แพ้กัน ธนาคารที่มีชื่อเสียงในยุโรปโดยเฉพาะที่มีสัญชาติฝรั่งเศสและเยอรมันถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือกันโดยถ้วนหน้าส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนยิ่งลดต่ำลง สถาบันการเงินนอกยุโรป และกองทุนตลาดเงินต่างๆ เริ่มลดธุรกรรมที่ทำต่อธนาคารของยุโรปลงส่งผลให้ธนาคารขนาดเล็กในยุโรปเริ่มประสบปัญหาสภาพคล่อง จนกระทั่งธนาคารกลางของยุโรป สหรัฐ อังกฤษ ญี่ปุ่น และจีนต้องร่วมมือกันเพิ่มวงเงินช่วยเหลือฉุกเฉินให้กับธนาคารในยุโรปเพื่อป้องกันการแห่ถอนเงินจนทำให้ธนาคารเหล่านั้นต้องปิดกิจการไป (Bank run)
ในอีกด้านหนึ่งเมื่อสินทรัพย์ของสถาบันการเงิน เช่น สินเชื่อ พันธบัตร หุ้นกู้ ฯลฯ เริ่มมีมูลค่าลดลง เงินกองทุนของสถาบันการเงินต่างๆก็เริ่มมีความเสี่ยงมากขึ้น นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าการ Haircut หนี้สินของประเทศกรีซ อิตาลี และสเปน จะส่งผลให้ธนาคารในยุโรปขาดทุนรวมกันประมาณ 400,000 – 800,000 ล้านเหรียญยูโร และต้องระดมเงินเพิ่มทุนประมาณ 100,000 – 180,000 ล้านยูโร เพื่อรักษาเงินกองทุนขั้นที่ 1 (Tier 1) ให้ได้อย่างน้อย 9% ภายในเดือนมิถุนายนปี 2012 ตามเกณฑ์ BASELIII อย่างไรก็ดีการประมาณการดังกล่าวไม่ได้รวมตัวเลข Haircut ของหนี้สินภาคเอกชน ตัวเลขขาดทุนและเงินเพิ่มทุนจริงจึงอาจมากกว่าตัวเลขประมาณการข้างต้น นี่จึงเป็นที่มาของแผนการขายทรัพย์สินจำนวนมหาศาลที่สถาบันการเงินในยุโรปประกาศในช่วงที่ผ่านมาเพื่อลดขนาดของสินทรัพย์และลดภาระการเพิ่มทุนของสถาบันการเงิน
สถานการณ์หนี้สินในยุโรปที่กล่าวมาทั้งหมดยังคงเป็นปัญหาเรื้อรังที่รอวันแก้ไขทั้งหนี้สินภาครัฐและเอกชน โดยทุกภาคส่วนทั้งประเทศลูกหนี้ องค์การให้ความช่วยเหลือ และเจ้าหนี้ต่างๆจำเป็นต้องให้ความร่วมมือกันในการแก้ปัญหา โดยแนวทางการแก้ปัญหาของหนี้สินในยุโรปตามมุมมองของผู้เขียนมีดังนี้
ไม่มีมาตรการหรือองค์กรใดๆ จะแก้ไขปัญหาหนี้สินในยุโรปให้หมดไปได้ในระยะเวลาอันสั้น เนื่องจากเป็นปัญหาที่เรื้อรังมายาวนานและไม่เคยมีรัฐบาลใดที่คิดจะแก้ปัญหาจริงจังเพราะหวังผลทางการเมือง พยายามต่างๆทำได้เพียงประคับประคองสถานการณ์เพื่อรอเวลาให้ประเทศในยุโรปสามารถฟื้นตัวได้ด้วยตัวเอง เพราะเวลาจะรักษาทุกสิ่งได้เสมอ
ในอีกมุมหนึ่ง ปัญหาในปัจจุบันถือเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศต่างๆในยุโรปจะได้เปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจใหม่ ลดความฟุ้งเฟ้อและอัตตาลง หันมาให้ความสำคัญกับการสร้างรายได้ และลดการก่อหนี้มาเพื่อการบริโภค เพราะไม่มีประเทศใดๆที่จะก่อหนี้เพิ่มขึ้นได้ตลอดไป สักวันหนึ่งหนี้สินที่ก่อไว้ก็จะต้องใช้คืน ถ้าประเทศในสหภาพยุโรป (หรือแม้กระทั่งสหรัฐฯ) ยังคงละเลยการแก้ไขปัญหาโครงสร้างดังกล่าวโดยถือตัวว่าค่าเงินสกุลของตนยังเป็นค่าเงินสกุลหลักและประเทศอื่นๆในโลกจะต้องซื้อพันธบัตรของประเทศตนเพื่อเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ในระยะเวลาไม่นานประเทศต่างๆในโลกก็จะเริ่มเกิดแนวคิดที่จะแสวงหาสินทรัพย์อื่น หรือค่าเงินสกุลอื่นของประเทศที่มีความเข็มแข้งทางเศรษฐกิจสูงกว่ามาใช้แลกเปลี่ยนและใช้เป็นเงินทุนสำรองแทนสกุลเงินดอลลาร์และยูโร และเมื่อนั้นทั้งยุโรป และสหรัฐจะสูญเสียความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจไปตลอดกาล
สุดท้ายผู้เขียนจะขอทิ้งท้ายบทความทั้งสามตอนด้วยการพยากรณ์อนาคตของเศรษฐกิจโลกจากนี้ไป (แบบไม่กลัวธงหัก) ผู้เขียนเชื่อว่าปัญหาหนี้สินของยุโรปจะผ่านพ้นไปอย่างช้าๆ กว่าที่ประเทศยุโรปจะสามารถลดภาระหนี้เข้าสู่ระดับปกติและสถาบันการเงินของยุโรปกลับมาขยายสินเชื่อได้ก็กินเวลาอีกหลายปี (สถาบันการเงินของไทยใช้เวลาทำใจ 10 ปี เพิ่งจะมาขยายสินเชื่อแบบเป็นเรื่องเป็นราวก็เมื่อสองสามปีที่ผ่านมานี้เอง แม้กระทั่งปัจจุบันก็ยังมีธนาคารบางแห่งที่ยังคงกอดสภาพคล่องและตั้งสำรองเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐานมาก เพราะกลัวอดีตสมัยต้มยำกุ้งจะกลับมาหลอกหลอน) ในด้านสหรัฐอเมริกาจะยังเดินหน้าก่อหนี้และขาดดุลต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสูญเสียความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจโลกไปในที่สุด และค่าเงินสกุลดอลลาร์และยูโรจะเริ่มด้อยความสำคัญลงไป โดยจะมีสกุลเงินอื่นประเทศเกิดใหม่ เช่น หยวน รูปีย์ รวมถึงสกุลเงินใหม่ที่เกิดจากการรวบรวมกลุ่มประเทศในภูมิภาคต่างๆ (เหมือนอย่างที่สหภาพยุโรปเคยทำ) เข้ามามีบทบาทแทนที่ ผู้นำเศรษฐกิจโลกจะกลายเป็นประเทศที่ปัจจุบันจัดว่าเป็นประเทศเกิดใหม่ และโมเดลธุรกิจที่ประเทศเกิดใหม่ใช้ก็จะเปลี่ยนไป (กดค่าแรงและต้นทุนการผลิตให้ต่ำ เพื่อส่งออกสินค้าไปยังกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว เมื่อได้ดุลการค้ามาก็เอาเงินไปปล่อยกู้ประเทศพัฒนาแล้วผ่านการซื้อพันธบัตรของประเทศพัฒนาแล้วเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ) การค้าขายกันในกลุ่มประเทศเกิดใหม่จะมีมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ความเป็นอยู่ของประชาชนของประเทศเกิดใหม่ก็จะดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากด้วยรัฐสวัสดิการที่เริ่มฟุ้งเฟ้อ เมื่อพวกเขาเริ่มรู้สึกตัวว่าพวกเขามีอำนาจในการ”กู้” อยู่ในมือ ส่งผลให้ประเทศเกิดใหม่เริ่มมีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น จนกระทั่งวันหนึ่งพวกเขาก็จะกลับมายืนอยู่ในจุดที่ยุโรปเป็นในปัจจุบัน
อันที่จริงแล้ววัฎจักรเศรษฐกิจเช่นนี้เคยเกิดมาแล้วหลายครั้ง ตั้งแต่ โรมันเรืองอำนาจ (ถนนทุกสายมุ่งเข้าสู่กรุงโรม) ก่อนเปลี่ยนมาเป็นยุคทองของยุโรปสมัยล่าอานิคม จนกระทั่งล่าสุดเป็นสหรัฐอเมริกา (ผู้ชนะที่แท้จริงในสงครามโลกครั้งที่ 2) และทุกครั้งประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเหล่านี้ก็ทำผิดซ้ำรอยเดิม ถ้าครั้งต่อไปจะเป็นคราวของประเทศเกิดใหม่บ้างก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ที่สำคัญผู้เขียนเชื่อว่าคำพยากรณ์ที่กล่าวมาทั้งหมดจะเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของผู้เขียนอย่างแน่นอน ถ้าโลกไม่แตกสลายไปเสียก่อน
สุดท้ายนี้ผู้เขียนขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามบทความเรื่อง วิกฤติหนี้ยุโรป อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทั้งสามตอนมาโดยตลอด หวังว่าเป็นอย่างยิ่งว่างานเขียนของข้าพเจ้าทั้งสามตอนจะเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้ความบันเทิง และเกิดประโยชน์แก่ผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อย หากมีความผิดพลาดประการใดในบทความดังกล่าวผู้เขียนขอน้อมรับข้อผิดพลาดทั้งหมดไว้แต่เพียงผู้เดียว พบกันในโอกาสต่อไปครับ ^_^
งานเขียนฉบับนี้เป็นการแสดงความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนซึ่งอาศัยข้อสังเกตและประสบการณ์ส่วนตัวในตลาดทุนเท่านั้น ไม่มีงานวิจัยใดๆสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวของผู้เขียน ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อนึ่ง ผู้เขียนแสดงทัศนะในบทความนี้ในเชิงส่วนตัวไม่ได้แสดงความเห็นแทนบริษัท คณะบุคคล มูลนิธิหรือองค์กรใดๆ ทั้งสิ้น