Kris Chantanotoke 05/03/18
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหลังการใช้คอมพิวเตอร์โดยเฉพาะอินเตอร์เน็ตอย่างแพร่หลาย เป็นตัวเร่งการเกิดนวัตกรรมและแนวคิดการดำเนินชีวิตรูปแบบใหม่ๆในปัจจุบัน “เกี่ยวอะไรกับเรา” ฉบับนี้ ขอแบ่งปันมุมมอง นวัตกรรมที่อาจมีบทบาทการพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของสังคมอนาคตผ่านการต่อยอดทางธุรกิจในวงกว้าง ซึ่งจะเป็นบทความ 2 ตอนโดยฉบับนี้เป็นตอนที่ 1
รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ปี 2553 เป็นของ2 นักฟิสิกส์รัสเซียซึ่งเป็นผู้คิดค้น วัสดุ 2มิติ แรกของโลกที่มีชื่อว่า กราฟีน (Graphene) ซึ่งทำมาจากแร่ กราไฟท์ พบในดินสอ เป็นธาตุพิเศษแสดงคุณสมบัติได้หลากหลายตามการเรียงตัวของอะตอมเป็นชั้นๆโดยแต่ละชั้นเกิดเป็นรูป6เหลี่ยมคล้ายรังผึ้ง กราฟีนมีคุณสมบัติพิเศษหลายประการ เป็นวัสดุที่บางที่สุดเท่าที่มีการค้นพบแต่มีความแข็งแกร่ง สูงกว่าเหล็กหลายเท่า และแม้จะแข็ง กลับสามารถบิดงอม้วนหรือพับได้โดยไม่ทำให้โมเลกุลเสียหาย กราฟีน มีความต้านทานไฟฟ้าต่ำสามารถเป็นตัวนำที่นำไฟฟ้า ได้ดีเทียบเท่า ตัวนำยิ่งยวด (Superconductor) แต่นำไฟฟ้าได้ที่อุณหภูมิห้อง ซึ่งต่างจาก ตัวนำยิ่งยวด ที่ต้องลดอุณหภูมิจนติดลบกว่าร้อยองศาเซียลเซียส ถึงจะแสดงคุณสมบัตินั้นได้ กราฟีนมี ความสามารถในการนำความร้อนจำเพาะ ได้สูงกว่าวัสดุประเภทอื่น ซึ่งช่วยในระบบระบายความร้อน นอกจากนี้ กราฟีน มีค่าความสามารถในการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนสูงจึงเป็นประโยชน์ในการสร้างทรานซิสเตอร์ที่ทำงานได้รวดเร็ว
คุณสมบัติข้างต้นทำให้กราฟีนถูกนำมาใช้ในหลายอุตสาหกรรมที่มีประโยชน์ต่อมนุษยชาติ เช่น เทคโนโลยีการผลิตน้ำจืดจากความชื้นในอากาศสำหรับประเทศที่ขาดน้ำ สามารถลดต้นทุนระบบขนส่งที่ใช้เทคโนโลยีการลอยตัวด้วยแรงแม่เหล็ก เช่น Hyperloop โดยไม่ต้องลงทุนมหาศาลในระบบการลดอุณหภูมิ เหมือน ตัวนำยิ่งยวดทั่วไป และ ยังเป็นวัสดุใหม่ที่น่าจะมาแทนซิลิคอนในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความทนทานที่ทั้งSamsung และIBMได้ทุ่มทุนพัฒนาอยู่
การเก็บข้อมูลใน DNA เป็นเรี่องที่ได้รับความสนใจผ่านการศึกษามาหลายปีเพราะมีคุณสมบัติสำคัญในการเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีความเสถียรเป็นหลักพันหรืออาจหมื่นปี ซึ่งพันธุศาสตร์ระดับโมเลกุล นั้น มีขนาดที่เล็กมากจนมีการประมาณการว่าข้อมูลทั้งโลก ณ ปัจจุบันจะสามารถบรรจุใน DNA เพียง 10 ตันซึ่งมีขนาดเท่ากับรถบรรทุกคันเดียวเท่านั้น การเก็บข้อมูลในDNAถึงแม้ว่าฟังดูอาจเป็นเรื่องซับซ้อนแต่การแทนค่า 0 และ1 สามารถแปลงค่าเป็น คู่ผ่านสมการDNA ได้ดังนี้ A (00) G (01) C (10) T (11) ซึ่งเมื่อแทนค่าแล้วก็สามารถสร้างเก็บและถอดรหัส DNA เพื่อการใช้งานในลำดับต่อไป อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติ การสังเคราะห์DNAยังมีความซับซ้อนและต้นทุนที่สูง ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการใช้งานเชิงพาณิชย์เพราะปัจจุบันการเก็บข้อมูลเพียง 12 MB มีต้นทุนถึง 100,000 เหรียญสหรัฐ
คอมพิวเตอร์ควอนตัม มีระบบฮาร์ดแวร์ที่ใช้หลักการของฟิสิกส์ควอนตัม ซึ่งแตกต่างจากคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง โดยสามารถประมวลผลข้อมูล “บางอย่าง” ได้เร็วกว่าเป็นทวีคูณ คอมพิวเตอร์ทั่วไปจะมีหน่วยแทนข้อมูลที่เล็กที่สุดคือ บิตโดยในข้อมูลหนึ่งบิตจะมีอยู่สองสถานะได้แก่0และ1แต่ในกรณีของคอมพิวเตอร์ควอนตัมข้อมูลบิตจะมีสถานะพิเศษที่เรียกว่า Superposition เป็นสถานะที่บิตเป็นทั้ง0และ1ในเวลาเดียวกัน เรียกว่าคิวบิต (Qubit) โดยมาจาก ควอนตัมบิต (Quantum Bit) สถานะ Superposition บนคิวบิตทำให้ อัลกอริทึม ควอนตัม เร็วกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไปมาก ซึ่งในอนาคตการค้นหาข้อมูลอย่างรวดรวดเร็วก็จะสามารถทำได้ง่ายขึ้นแต่อาจมีความเสี่ยงของการเข้ารหัสหากถูกนำมาใช้ในทางที่ผิดแต่อย่างไรก็ตามคอมพิวเตอร์ควอนตัมไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ง่ายเพราะสถานะทางควอนตัมเปราะบางต่อสภาพแวดล้อมและไม่สามารถคงสถานะ Superposition ได้ระยะยาว จึงเป็นงานวิจัยที่ต้องค้นคว้ากันต่อไป ปัจจุบันทั้งIBM และ Google เร่งพัฒนาคอมพิวเตอร์ควอนตัมสำหรับงานพัฒนาระบบการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) คำนวนโครงสร้างเคมี (Quantum Chemistry) และ คำนวนโครงสร้างของวัสดุ (Quantum Simulation)
แนวคิดการขนส่งทางบกนี้เริ่มได้รับความสนใจในปี 2555 เมื่อ Elon Musk นำเสนอยานแคปซูลที่สามารถเดินผ่านท่อสูญญากาศด้วยความเร็วกว่า 1,200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งยานแคปซูลจะลอยตัวโดยใช้เทคโนโลยีการลอยตัวด้วยแรงแม่เหล็ก (Magnetic Levitation) เนื่องจากตัวท่อมีแรงดันต่ำบนการเสียดทานน้อยมากทำให้แคปซูลสามารถเดินทางได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งแคปซูลในช่วงแรกจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าก่อนใช้เทคโนโลยีการลอยตัว แต่ปัจจุบัน เทคโนโลยีรางแบบ Maglev มีต้นทุนสูงบนความท้าทายของการสร้างสถานะท่อให้มีแรงดันต่ำในระยะการเดินทางระหว่างเมืองที่ไกลจึงเป็นโจทย์ที่ต้องตีให้แตกหากนวัตกรรมนี้จะส่งผลต่อการคมนาคมในเชิงพาณิชย์
ฉบับหน้าเราจะมาพิจารณาแนวคิดการดำเนินชีวิตรูปแบบใหม่ๆที่อาจส่งผลต่อค่านิยมสังคมในอนาคตครับ
ที่มาบทความ : http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/644051
Kris Chantanotoke 05/04/18
“เกี่ยวอะไรกับเรา?” ฉบับนี้เป็นตอนสุดท้ายในการแบ่งปันมุมมอง แนวคิดการดำเนินชีวิตรูปแบบใหม่ๆ ที่อาจส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของสังคมอนาคตผ่านการต่อยอดทางธุรกิจในวงกว้าง
ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงนวัตกรรม อิเล็กทรอนิกส์ ที่รบกวนการนอนเช่นโทรศัพท์มือถือ ได้ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพแรงงาน และสร้างความเสียหายต่อสุขภาพ อายุคาดเฉลี่ย (Life Expectancy) รวมถึงการเรียนรู้ของเยาวชนยุคปัจจุบัน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของบริษัท Rand Corporation ที่พบว่า แรงงานสหรัฐที่นอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมง ทำให้ต้นทุนเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นปีละ 400,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 2% ของ GDP โดยเป็นผลมาจากประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลงเมื่อเทียบกับคนนอนเฉลี่ยวันละ 8 ชั่วโมง งานวิจัยนี้ยังพบว่าโรงเรียนที่เริ่มการสอนก่อน 8 โมงเช้าสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจในระยะยาว เพราะทำให้ นาฬิกาชีวภาพ (Circadian Rhythm) ของเด็กช่วงเข้าสู่วัยรุ่นเพี้ยนไป
ข้อมูลข้างต้นทำให้หลายองค์กรในสหรัฐเริ่มเห็นความสำคัญของการนอนที่เพียงพอโดยโรงเรียนในหลายเขตของสหรัฐ ขยับเวลาเรียนไปเริ่มหลัง 08:30 เช่นเดียวกับบริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐไม่ว่าจะเป็น Procter&Gamble Nike และ Google ที่เริ่มให้ความรู้กับพนักงานเรื่องการนอนให้เพียงพอโดยมีการทดสอบและอนุญาตให้พนักงานทำงานตามเวลานาฬิกาชีวภาพของตนและมี Nap Podหรือ แคปซูลเพื่อการนอนพักในสำนักงาน
UBI คือสิทธิที่ประชาชนทุกคนจะได้รับรายได้ก้อนหนึ่งต่อเดือนในการดำเนินชีวิตขั้นพื้นฐาน เช่น ค่าที่อยู่อาศัย อาหาร ค่ารักษาพยาบาล และการศึกษา โดยไม่มีเงื่อนไขใดและทุกคนจะได้รับเงินในจำนวนเท่ากันไม่ว่าจะรวยหรือจน ข้อกังวลของ UBI คืองบประมาณ ความสิ้นเปลือง และการทำให้ประสิทธิภาพของแรงงานลดลง แต่สำหรับผู้สนับสนุนมองว่าจะสามารถแก้ปัญหาความยากจนเพราะทำให้ประชาชนที่ด้อยโอกาสหลุดจาก วงจรยากจนซ้ำซาก และพอที่จะยืนบนลำแข้งของตนได้
ประมาณการขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) พบว่าหากประเทศอังกฤษยกเลิกสวัสดิการประกันสังคมขั้นพื้นฐานและดำเนินมาตรการ UBI ประชาชนทุกคนจะได้รับเงินสวัสดิการเดือนละ 317 ปอนด์ แต่ค่าใช้จ่ายรัฐบาลจะเพิ่มปีละ 40,000 ล้านปอนด์ ปัจจุบันแนวคิดนี้ได้รับศึกษาอย่างจริงจังจาก OECD IMF รวมถึงรัฐบาลฟินแลนด์ แคนาดา เนเธอร์แลนด์ และ รัฐแคลิฟอร์เนีย
แนวคิดนี้เชื่อว่าระบบการศึกษาในห้องเรียนแบบเดิมที่นักเรียนถูกแบ่งระดับจากอายุ ถูกสอนในเวลาและวิธีที่เหมือนกัน บนความเร็วในการเรียนรู้เดียวกัน ขาดประสิทธิภาพและไม่ตอบโจทย์อนาคต ซึ่งปัจจุบันหลายโรงเรียนในประเทศพัฒนาแล้วได้ทดลองรูปแบบการเรียนใหม่ ที่ปรับหลักสูตรตาม ความสามารถและเป้าหมายของนักเรียนรายคน โดยเริ่มจากการแจกหลักสูตร On-line ล่วงหน้า และเมื่อถึงชั้นเรียน นักเรียนแต่ละคนจะได้รับโจทย์การเรียนที่ไม่เหมือนกัน โดยอาจใช้คอมพิวเตอร์ พร้อมการจับคู่เรียนกับเพื่อน หรือกับเอกสารที่มีการจัดเตรียมล่วงหน้า หรือกับครูประจำชั้นตามความเหมาะสมของงานที่มอบหมาย ซึ่งจะมีการทดสอบวัดผลหลังจบการเรียนในแต่ละวันเพื่อประเมินเนื้อหาที่ต้องเรียนครั้งต่อไป
การเรียนรู้แบบส่วนบุคคล ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่ในอดีตไม่สามารถทำให้ เกิดขึ้นได้เพราะเทคโนโลยียังก้าวตามไม่ทันแต่ปัจจุบันแนวคิดนี้กลับมาสู่กระแสหลัก ซึ่งพิจารณาได้จากเงินลงทุนและบริจาคจำนวนมหาศาลที่ บริษัทยักษ์ใหญ่ทางเทคโนโลยี ไม่ว่าจะ เป็น Google Microsoft มุ่งพัฒนา ระบบพื้นฐานการเรียนรู้ลักษณะนี้ แต่อย่างไรก็ตามความกังวลเรื่องการเก็บและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของนักเรียนที่บริษัทเหล่านี้อาจนำไปใช้อย่างไม่เหมาะสมในอนาคต เป็นสิ่งที่นักวิชาการยังมีความเป็นห่วงหากแนวคิดนี้ถูกนำมาใช้เต็มรูปแบบ
ได้รับการกล่าวถึงตั้งแต่ปี 2520 จากนักสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัย อิลลินอยส์ ซึ่งปัจจุบันแนวคิดนี้ สะท้อนถึงความสามารถในการสร้างรายได้ที่มาจากการแลกเปลี่ยนการบริโภคสินค้าหรือบริการ ที่มีมูลค่าเชิงเศรษฐกิจจากทรัพยากรที่ไม่ได้ใช้อยู่ ณ ช่วงเวลานั้นระหว่างบุคคลและกลุ่มคนผ่านดิจิทัล โดยตัวอย่างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ คือ Airbnb และ Uber
แนวคิดนี้มีข้อดีในการลดค่าใช้จ่ายแทนการซื้อสินทรัพย์ และผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคในการคำนึงถึงความคุ้มค่าบนการจัดสรรทรัพยากรที่ดีขึ้น แต่อาจก่อให้เกิดวัฒนธรรมการบริโภคแบบชั่วคราว และส่งผลกระทบต่อมาตรฐานตลาดแรงงาน โดยเฉพาะงานที่ผู้ให้บริการไม่มีประสบการณ์ เข้ามาดำเนินการเพื่อเป็นอาชีพเสริม ซึ่งอาจลดแรงจูงใจในการพัฒนาทักษะเฉพาะและเกิดปัญหาความไม่สอดคล้องของตลาดแรงงาน (Labor Market Mismatch)
จะเห็นได้ว่าทั้ง 4 แนวคิดนี้หากมองย้อนอดีต อาจสวนทางทฤษฎีหรือกระแสนิยม ณ เวลานั้น แต่เมื่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสังคมขาดความพอดี การคืนสมดุลอาจเป็นทางออกที่เหมาะสมครับ
ความเดิมตอนที่แล้ว : https://www.finnomena.com/kris-chantanotoke/innovations-and-ideas-to-change-the-world/
ที่มาบทความ : http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/644267