เรื่องที่ 3 สถานการณ์แผ่นดินไหวในประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ ในโลก
3.1 สถานการณ์การเกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทย ประเทศไทย มีรอยเลื่อนที่มีพลังอยู่ทางภาคตะวันตก ภาคเหนือ และภาคใต้ของ ประเทศ จำนวน 14 รอยเลื่อน การเกิดแผ่นดินไหวในแต่ละครั้งมีระดับความรุนแรงต่างกันออกไป หากมีระดับความรุนแรงน้อยก็จะไม่ทำให้เรารับรู้แรงสั่นสะเทือน การเกิดแผ่นดินไหวจะทำให้แผ่น เปลือกโลกบริเวณจุดเหนือศูนย์เกิดแผ่นดินไหวและบริเวณที่เกี่ยวข้องมีการเปลี่ยนแปลง เช่น แผ่นดินแตกแยก แผ่นดินยุบ แผ่นดินหรือภูเขาถล่ม ไฟไหม้ เป็นต้น สถิติการเกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทยในช่วงระยะเวลา 15 ปีที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ ในประเทศไทย และเป็นแผ่นดินไหวที่ระดับความรุนแรง 5.0 ริกเตอร์ขึ้นไป ซึ่งเป็นระดับที่รับรู้ แรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเป็นบริเวณกว้าง และทำให้วัตถุสิ่งของเคลื่อนที่
3.2 สถานการณ์การเกิดแผ่นดินไหวในทวีปเอเซีย ทวีปเอเชีย เป็นบริเวณที่มีเปลือกโลกใกล้เคียง จำนวน 4 แผ่น ได้แก่ แผ่นยูเรเชีย แผ่นแปซิฟิก แผ่นอินเดีย-ออสเตรเลีย และแผ่นฟิลิปปินส์ อีกทั้งเป็นบริเวณที่บรรจบกันของ แนวแผ่นดินไหว 2 แนวคือ แนวล้อมมหาสมุทรแปซิฟิกและแนวเทือกเขาแอลป์-หิมาลัย จึงทำให้ เกิดแผ่นดินไหวอยู่เสมอ ส าหรับประเทศญี่ปุ่นนับเป็นประเทศหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจาก ภัยธรรมชาติ ทั้งแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด และคลื่นสึนามิอยู่เสมอ เนื่องจากทำเลที่ตั้งของ ประเทศญี่ปุ่น นอกจากจะเป็นเกาะแล้วยังตั้งอยู่บนพื้นผิวโลกในบริเวณ “วงแหวงแห่งไฟ” ซึ่ง เป็นบริเวณในมหาสมุทรแปซิฟิกที่เกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดบ่อยครั้ง กรณีการเกิดสถานการณ์แผ่นดินไหวในทวีปเอเชียที่ก่อให้เกิดความเสียหาย
3.2.1 แผ่นดินไหวที่เกาะคิวชูประเทศญี่ปุ่น พ.ศ. 2559
ประเทศญี่ปุ่นมีลักษณะเป็นหมู่เกาะ ประกอบไปด้วยเกาะส าคัญ จ านวน 5 เกาะ ได้แก่ เกาะฮอกไกโด เกาะฮอนชู เกาะชิโกกุ เกาะคิวชู เกาะโอกินาว่า และมีเกาะขนาดเล็ก อีกประมาณ 4,000 เกาะ เมืองหลวงคือ กรุงโตเกียว ในประเทศญี่ปุ่นมีภูเขาไฟทั้งหมด 186 ลูก ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ยังไม่สงบประมาณ 60 ลูก ประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่ในแนวของวงแหวนไฟ (Ring of Fire) ซึ่งมีลักษณะเป็นเส้นเกือกม้า ความยาวประมาณ 40,000 กิโลเมตร ทอดตัวตามแนว ร่องสมุทร แนวภูเขาไฟ และขอบของแผ่นเปลือกโลกเป็นบริเวณในมหาสมุทรแปซิฟิกที่เกิด แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 และจัดว่าเป็นบริเวณที่มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นมากถึง ร้อยละ 80-90 ของแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นทั่วโลก ส านักเฝ้าระวังแผ่นดินไหวได้รายงานการเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.0 ตาม มาตราริกเตอร์ในเมืองคุมาโมโตะ บนเกาะคิวชู ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2559 เวลาประมาณ 01.25 น. ตามเวลาท้องถิ่นของญี่ปุ่น ที่ระดับความลึก 10 กิโลเมตร เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดแผ่นดินไหวก่อนหน้า (foreshock) ขนาด 6.2 ตาม มาตราริกเตอร์ เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2559 และเกิดแผ่นดินไหวตาม (aftershock) ประมาณ 800 ครั้ง เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ส่งผลให้บ้านเรือนพังทลาย 5,200 หลังคาเรือน สถานที่ส าคัญ เช่น ปราสาทคุมาโมโตะ ซึ่งหลังคา ตัวปราสาท และก าแพงได้รับความเสียหาย หลายส่วน และศาลเจ้าอะโสะ จังหวัดคุมาโมโตะ พังทลายหลายส่วน รวมทั้งประตูทางเข้าซึ่งเป็น สมบัติแห่งชาติญี่ปุ่นมีรายงานภูเขาไฟอะโสะ จังหวัดคุมาโมโตะเกิดปะทุมีควันพุ่งออกมาประมาณ 100 เมตร เกิดดินสไลด์หลายจุด สามารถสรุปถึงสาเหตุของการเกิดความเสียหายทั้งชีวิตและ ทรัพย์สินจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวดังกล่าว รายละเอียด ดังนี้
1) ช่วงเวลาของการเกิดแผ่นดินไหวเป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่นอนหลับพักผ่อน อยู่ในอาคารทำให้มีผู้เสียชีวิตจากการโดนตึกถล่มทับและติดอยู่ในซากตึก ส าหรับอาคารที่สร้าง ตามมาตรฐานต้านแผ่นดินไหวไม่ได้รับความเสียหาย
2) จุดศูนย์กลางการเกิดแผ่นดินไหวเกิดขึ้นในเมืองคุมาโมโตะซึ่งทำให้เกิด ความเสียหายรุนแรงมาก เนื่องจากใกล้บริเวณจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว พื้นดินจะสั่นสะเทือนมาก เนื่องจากมีพลังงานจากแผ่นดินไหวมาก และในบริเวณใกล้จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวคลื่นจะ ปลดปล่อยคลื่นออกมาทุกความถี่ ไม่ว่าอาคารสูงหรือต่ำก็จะรับรู้ถึงความสั่นสะเทือนได้ทั้งหมด แต่เมื่อคลื่นแผ่นดินไหวเดินทางไปในระยะทางไกล ๆ ความถี่สูงจะถูกกรองออกจนเหลือแต่ความถี่ ต่ำ ๆเท่านั้นทำให้สามารถรับรู้ถึงแรงสะเทือนได้ เฉพาะอาคารที่มีความสูงตั้งแต่ 7 ชั้นขึ้นไป
3) ความลึกของจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวครั้งนี้จัดว่าเป็นแผ่นดินไหวระดับตื้น ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนมากขึ้น กรณีที่เกิดแผ่นดินไหวขนาดเท่ากันแต่ความลึกแตกต่างกัน แผ่นดินไหวตื้นย่อมเสียหายรุนแรงมากกว่าแผ่นดินไหวที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ระดับลึก แผ่นดินไหว ที่เกิดในระดับลึกพื้นดินจะสั่นสะเทือนน้อยลงเนื่องจากพลังงานจากแผ่นดินไหวมีการสูญเสีย ระหว่างการเดินทาง ประเทศญี่ปุ่นจัดว่าเป็นประเทศที่มีมาตรการเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับ ภัยแผ่นดินไหวได้เป็นอย่างดี จะเห็นได้ว่าประชาชนส่วนใหญ่มีระเบียบวินัย ทราบถึงวิธีการปฏิบัติ ตัวเมื่อเกิดแผ่นดินไหว มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภัยแผ่นดินไหวและทราบว่าหากเกิด แผ่นดินไหวขนาดใหญ่แล้วจะเกิดแผ่นดินไหวตามอีกเป็นจำนวนมาก ในเหตุการณ์ครั้งนี้เกิด แผ่นดินไหวตามประมาณ 800 ครั้ง เฉลี่ยการเกิดแผ่นดินไหวตามวันละ 100 ครั้ง ทำให้บ้านเรือน ที่ยังไม่พังทลายทั้งหลัง ไม่มีความปลอดภัยสำหรับการอยู่อาศัย อาจพังทลายจากเหตุการณ์ แผ่นดินไหวตามได้ตลอดเวลา ดังนั้นประชาชนส่วนใหญ่จึงอพยพออกจากบ้านหลังจากเกิด แผ่นดินไหวไปพักยังศูนย์อพยพที่ถูกสร้างอย่างแข็งแรง ปลอดภัย มีของใช้จำเป็นเตรียมไว้ในแต่ละ พื้นที่ และในศูนย์อพยพก็จะมีการเตรียมอาหารสำเร็จรูป น้ำดื่ม และสิ่งของจำเป็นพื้นฐานสำหรับ ผู้อพยพ พร้อมกันนั้นหลังจากเกิดแผ่นดินไหวก็จะมีหน่วยกู้ภัยที่ได้รับการฝึกฝนเข้าไปค้นหา ผู้รอดชีวิตที่ติดอยู่ในซากอาคารที่พังทลาย
3.2.2 กรุงกาฐมาณฑุและโปขรา ประเทศเนปาล พ.ศ. 2558
วันที่ 25 เมษายน 2558 เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ถึง 7.8 ตามมาตรา ริกเตอร์โดยมีจุดศูนย์กลางห่างออกไป 34 กิโลเมตรทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองลัมจุง ซึ่งตั้งอยู่ ระหว่างกรุงกาฐมาณฑุและโปขรา ในประเทศเนปาล สร้างความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงทั้งต่อชีวิต และทรัพย์สิน โดยมีโบราณสถานต่าง ๆ พังเสียหายมากมาย สาเหตุของแผ่นดินไหวครั้งนี้ มาจากการสะสมพลังของจุดแนวหิน (Locking line) ราว 80 ปี นับจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขนาด 8.0 ตามมาตราริกเตอร์ในเนปาล เมื่อปี พ.ศ. 2477 ทั้งนี้แผ่นเปลือกโลกอินเดียนั้นปกติจะเคลื่อนตัวขึ้นไปทางทิศเหนือตลอดเวลาอยู่แล้ว มี อัตราความเร็วในการเคลื่อนตัวประมาณ 2.0 เซนติเมตรต่อปี ขอบบนของแผ่นเปลือกโลกอินเดีย จะเบียดเข้ากับแผ่นเปลือกโลกยูเรเซียซึ่งเป็นที่ตั้งของทวีปเอเชียและยุโรป การเบียดกันได้ดัน แผ่นดินให้สูงขึ้นเป็นเทือกเขาหิมาลัยตั้งแต่หลายล้านปีที่แล้ว (ปัจจุบันเทือกเขาหิมาลัยก็จะมีความ สูงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ) โดยในการเบียดตัวขึ้นทางเหนือนี้แผ่นปลือกโลกอินเดียซึ่งมีความหนาแน่นสูง กว่าเปลือกโลกยูเรเซียจะมุดตัวลงด้านล่าง ทำให้เกิดจุดล็อกเนื่องจากความไม่เรียบของเปลือกโลก ทำให้แผ่นเปลือกโลกอินเดียเคลื่อนตัวต่อไปทางเหนือไม่สะดวกเกิดการสะสมแรงกดดัน จนเกิด แผ่นดินไหวขึ้นเพื่อปลดปล่อยพลังงานที่สะสมไว้ออกมา ในลักษณะแบบ Reverse thrust ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมาก เนื่องจากประเทศเนปาลตั้งอยู่บริเวณขอบรอยเลื่อนพอดี
3.3 สถานการณ์การเกิดแผ่นดินไหวของประเทศต่าง ๆ ในโลก แผ่นดินไหวสาม ารถเกิดขึ้นได้ทุกพื้นที่ทั่วโลกหากวิเคราะห์ถึงลักษณะ การเปลี่ยนแปลงของพื้นผิวโลก นับแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันจะพบว่า มีหลายประเทศแทบทุกทวีป ในโลกต้องประสบกับมหันตภัยร้ายแรงจากการเกิดแผ่นดินไหว แหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวหรือบริเวณต าแหน่งศูนย์กลางการเกิดแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น ร้อยละ 80 จะอยู่บริเวณขอบของแผ่นเปลือกโลกรอบ ๆ มหาสมุทรแปซิฟิกหรือพื้นที่ที่เรียกกัน ในชื่อ “วงแหวนแห่งไฟ” (Ring of Fire) วงแหวนแห่งไฟมีลักษณะเป็นเส้นเกือกม้าวางตัวตาม แนวร่องมหาสมุทร แนวภูเขาไฟ และบริเวณขอบแผ่นเปลือกโลก โดยมีภูเขาไฟที่ตั้งอยู่ภายใน วงแหวนไฟทั้งหมด 452 ลูก และเป็นพื้นที่ที่มีภูเขาไฟคุกรุ่นอยู่กว่าร้อยละ 75 ของภูเขาไฟคุกรุ่น ทั้งโลก นอกจากพื้นที่หรือเขตเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวอื่น ๆ นอกเหนือจากวงแหวนแห่งไฟ แล้ว เหตุการณแผ่นดินไหว มักจะเกิดในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ผ่านพื้นที่ประเทศในแถบยุโรปตอน ใต้ เช่น ประเทศอิตาลี กรีซ จนถึงแถบอนาโตเลีย ได้แก่ประเทศตุรกีผ่านไปทางตะวันออกกลาง จนถึงเทือกเขาหิมาลัย บริเวณประเทศอัฟกานิสถาน ปากีสถาน จีน และเมียนมา นอกจากนี้ก็เคย เกิดเหตุการณ์ในประเทศอังกฤษ แม้ไม่ได้ตั้งอยู่ในแนวรอยเลื่อนขนาดใหญ่แต่เป็นเพียงเหตุการณ์ แผ่นดินไหวเล็ก ๆ ที่ไม่ได้สร้างความเสียหายมากนัก ชุดวิชา การเรียนรู้สู้ภัยธรรมชาติ 3 - 139 อันดับเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงสูงสุด 5 อันดับในประวัติศาสตร์โลก จากเหตุการณ์การเกิดแผ่นดินไหวที่เคยเกิดขึ้นตามทวีปต่าง ๆ บนโลก ทั้งที่ไม่ส่งผล ให้เกิดความเสียหาย จนถึงเหตุการณ์ที่สร้างความเสียหายและส่งผลกระทบต่อโลกนับครั้งไม่ถ้วน แล้วการพยากรณ์หรือคาดคะเนการเกิดแผ่นดินไหวก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเหตุแผ่นดินไหวจะ เกิดขึ้นเมื่อใด และแม้จะมีการศึกษาทั้งเหตุการณ์ที่เกิดในอดีตจะท าให้ทราบว่าพื้นที่ใดที่มีความ เสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหว แต่ก็ไม่สามารถระบุวันเวลาในการเกิดแผ่นดินไหวที่แน่นอนได้ นักวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาได้จัดแผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุด 5 อันดับ ที่มนุษยชาติเคยพบเจอ ดังนี้
อันดับที่ 1 แผ่นดินไหวที่บัลดิเบีย ประเทศชิลี (พ.ศ. 2503)
เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โลกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2503 มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่เมืองลูมาโค ของจังหวัดมอลเลโค ประเทศชิลี พื้นที่ที่ได้รับ ความเสียหายจากแผ่นดินไหวครั้งนี้ราว 4 แสนตารางกิโลเมตร โดยเฉพาะที่เมืองบัลดิเบีย (เมือง หลวงของชิลีในขณะนั้น) ได้รับความเสียหายมากที่สุด อาคารบ้านเรือนพังทลายมากกว่า ร้อยละ 40 ทำให้ประชาชนไร้ที่อยู่อาศัยประมาณ 2 หมื่นคน และสิ่งก่อสร้างที่ทำจากคอนกรีต เกือบทั้งหมดได้รับความเสียหาย แผ่นดินไหวเกิดที่ความลึกจากผิวดิน 33 กิโลเมตร สามารถวัด ขนาดของแผ่นดินไหวได้ที่ระดับ 9.5 ตามมาตราริกเตอร์ แผ่นดินไหวครั้งนี้ทำให้เกิดคลื่นสึนามิความสูงถึง 25 เมตร เคลื่อนตัวข้ามมหาสมุทร แปซิฟิก ไปจนถึงมลรัฐฮาวายของสหรัฐอเมริกา ซึ่งห่างจากจุดเกิดเเผ่นดินไหว ถึง 1 หมื่นกิโลเมตร โดยคลื่นมีขนาดสูงสุดประมาณ 10.7 เมตรจนเกิดน้ าท่วมหนักวัดระดับน้ าได้สูงถึง 4 เมตร กระทบ ผู้คนกว่าหนึ่งแสนคน และยังกระตุ้นให้ภูเขาไฟคอร์ดัน เคาเล ระเบิดในวันที่ 24 พฤษภาคม 2503 โดยพ่นเถ้าภูเขาไฟขึ้นสู่ท้องฟ้าสูงกว่า 5.5 กิโลเมตร และปะทุต่อเนื่องยาวนานเกือบ 2 เดือนจนถึง วันที่ 22 กรกฎาคม 2503 มีรายงานจากส านักส ารวจธรณีวิทยาสหรัฐอเมริกา (USJS) ระบุว่ามี ผู้เสียชีวิตราว 2,230-6,000 คน ประมาณมูลค่าความเสียหายที่ 400 -800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
อันดับที่ 2 แผ่นดินไหวที่รัฐอลาสกา สหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2507)
แผ่นดินไหว เกิดขึ้นที่รัฐอลาสกา สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2507 บริเวณ ตอนใต้ของรัฐอลาสกา มีความลึกจากผิวดินเพียง 14 กิโลเมตร วัดขนาดการสั่นสะเทือนได้ที่ระดับ 9.2 ตามมาตราริกเตอร์ และสั่นสะเทือนอยู่นานเกือบ 4 นาที นับเป็นการเกิดแผ่นดินไหวที่รุนแรง ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯและทวีปอเมริกาเหนือ ส าหรับภัยพิบัติครั้งนี้ ทำให้อาคารส่วนใหญ่ในพื้นที่ตอนล่างของรัฐอลาสกาพังทลาย นอกจากนี้ยังเกิดแผ่นดินแยกและดินถล่มในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตปกครองตนเอง แองเคอเรจ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ทั้งอาคาร สิ่งก่อสร้าง ถนน ท่อประปา ท่อระบายน้ำ และระบบไฟฟ้าได้รับความเสียหายทั้งหมด และจากการประเมินของสหรัฐอเมริกาถึงความ เสียหายดังกล่าวคิดเป็นมูลค่ากว่า 310 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯมีรายงานผู้เสียชีวิตจ านวน 143 คน
อันดับที่ 3 แผ่นดินไหวที่มหาสมุทรอินเดีย (พ.ศ. 2547)
แผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดขึ้นในทะเลอันดามันที่เกาะสุมาตรา เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 จุดศูนย์กลางของการเกิดแผ่นดินไหวอยู่บริเวณชายฝั่งทางตะวันตกของเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย วัดขนาดความรุนแรงของแผ่นดินไหวได้ที่ระดับ 9.1-9.3 ตามมาตราริกเตอร์ที่ ความลึกจากผิวดินประมาณ 30 กิโลเมตร และสั่นไหวต่อเนื่องนานประมาณ 8-10 นาที ทำให้แผ่นดินเคลื่อนตัวไปจากจุดเดิมประมาณ 1 เซนติเมตร และยังก่อให้เกิดแผ่นดินไหวตามในอีก หลาย ๆ แห่งทั่วโลก เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบถึงชายฝั่งในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย โดยเกิด สึนามิซัดเข้าชายฝั่งและสร้างความเสียหายอย่างมาก นับเป็นเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งรุนแรง ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตถึง 8,212 คน
อันดับที่ 4 แผ่นดินไหวที่คาบสมุทรคัมซัตกา ประเทศรัสเซีย (พ.ศ. 2495)
สำหรับในทวีปเอเชีย ประเทศญี่ปุ่น เป็นประเทศที่ประสบกับภัยแผ่นดินไหวมาก ที่สุดประเทศหนึ่ง การเกิดแผ่นดินไหว ที่ถือว่าสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศญี่ปุ่นมากที่สุด ในประวัติศาสตร์ นอกจากจะต้องเผชิญกับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขนาด 9.0 ตามมาตราริกเตอร์ และ คลื่นยักษ์สึนามิ ที่มีความสูงกว่า 40.5 เมตร เข้าถล่มในพื้นที่ชายฝั่งทางตะวันออกอีกด้วย โดยคลื่นยักษ์ได้ซัดขึ้นมาบนชายฝั่งเป็นระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร เป็นเหตุให้เตาปฏิกรณ์ของ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมา ไดอิจิ ได้รับความเสียหายอย่างมาก จนไม่สามารถแก้ไขให้เป็นปกติได้ มาถึงปัจจุบัน ความเสียหายจากทั้งแผ่นดินไหว คลื่นยักษ์สึนามิ และวิกฤตการณ์กัมมันตภาพรังสี รั่วไหลออกมาจากเตาปฏิกรณ์ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมา ไดอิจิ ที่เข้ามาพร้อมกัน ทำให้มี ผู้เสียชีวิตที่ได้รับการยืนยันจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติญี่ปุ่น จ านวน 15,842 คน บาดเจ็บ 5,890 คน และสูญหายกว่า 3,485 คน บ้านเรือนพังเสียหาย หรือพังทลายกว่า 125,000 หลัง
อันดับที่ 5 แผ่นดินไหวที่คาบสมุทรโตโฮะคุ ประเทศญี่ปุ่น (พ.ศ. 2554)
เหตุการณ์สึนามิหลังการเกิดแผ่นดินไหวบนคาบสมุทรโตโฮคุ ประเทศญี่ปุ่น ปี พ.ศ. 2554สาหรับในทวีปเอเชีย ประเทศญี่ปุ่น เป็นประเทศที่ประสบกับภัยแผ่นดินไหวมากที่สุดประเทศหนึ่ง การเกิดแผ่นดินไหว ที่ถือว่าสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศญี่ปุ่นมากที่สุดในประวัติศาสตร์ นอกจากจะต้องเผชิญกับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขนาด 9.0 ตามมาตราริกเตอร์ และคลื่นยักษ์สึนามิ ที่มีความสูงกว่า 40.5 เมตร เข้าถล่มในพื้นที่ชายฝั่งทางตะวันออกอีกด้วยโดยคลื่นยักษ์ได้ซัดขึ้นมาบนชายฝั่งเป็นระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร เป็นเหตุให้เตาปฏิกรณ์ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมา ไดอิจิ ได้รับความเสียหายอย่างมาก จนไม่สามารถแก้ไขให้เป็นปกติได้มาถึงปัจจุบัน