2.1 สาเหตุและปัจจัยการเกิดวาตภัย
สภาพพื้นผิวโลกแต่ละแห่งที่แตกต่างกันทำให้การดูดซับรังสีจากดวงอาทิตย์ของแต่ละพื้นที่ไม่เท่ากันบริเวณป่าหนาทึบจะดูดรังสีได้ดีที่สุดรองลงมา คือ พื้นดินและพื้นน้าตามลำดับเป็นผลให้อากาศที่อยู่เหนือพื้นที่ดังกล่าวมีอุณหภูมิและความกดอากาศต่างกันส่งผลทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของอากาศที่เรียกโดยทั่วไปว่า ลม (wind) ซึ่งแบ่งตามลักษณะของแหล่งกำเนิดได้ 2 สาเหตุ คือ ความแตกต่างของอุณหภูมิสองแห่งและความแตกต่างของความกดอากาศ
2.1.1 ความแตกต่างของอุณหภูมิสองแห่งเนื่องจากอากาศเมื่อได้ความร้อนจะ ขยายตัวอากาศร้อนจะลอยตัวสูงขึ้นทำให้อากาศในบริเวณข้างเคียงซึ่งมีอุณหภูมิต่ำกว่าเคลื่อนเข้าแทนที่การเคลื่อนที่ของอากาศเนื่องจากความแตกต่างของอุณหภูมิในสองบริเวณ ก่อให้เกิดลม
2.1.2 ความแตกต่างของความกดอากาศอากาศเมื่อได้รับความร้อนจะขยายตัวทำให้มีความหนาแน่นลดลงและเป็นผลให้ความกดอากาศน้อยลงอากาศเย็นในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งมีความหนาแน่นมากกว่าจะเคลื่อนที่เข้ามาบริเวณที่มีความกดอากาศต่ำการเคลื่อนที่ของอากาศเนื่องจากบริเวณที่มีความกดอากาศต่างกันก่อทำให้เกิดลม
2.2 ลักษณะการเกิดวาตภัยประเภทต่าง ๆ
2.2.1 ก่อนเกิดพายุฟ้าคะนองหรือพายุฤดูร้อนมักจะมีสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า ได้แก่ อากาศร้อนอบอ้าวติดต่อกันหลายวันลมสงบนิ่ง ความชื้นในอากาศสูงและอาจรู้สึกเหนียวตัวการเกิดพายุฝนฟ้าคะนองในแต่ละครั้งจะกินเวลานานประมาณ 2 -4 ชั่วโมง ซึ่งมีลำดับ เหตุการณ์เริ่มตั้งแต่อากาศร้อนอบอ้าวท้องฟ้ามืดมัวอากาศเย็นลมกระโชกแรงและมีกลิ่นดิน ฟ้าแลบ ฟ้าผ่า ฟ้าร้อง ฝนตกหนักบางครั้งอาจมีลูกเห็บตกเกิดรุ้งกินน้ำพายุนี้ทำความเสียหายในบริเวณที่ไม่กว้างนักประมาณ 20-30 ตารางกิโลเมตร หลังจากพายุสลายไปแล้ว อากาศจะเย็นลงรู้สึกสดชื่นขึ้นและท้องฟ้าแจ่มใส พายุหมุนเขตร้อนหรือพายุไซโคลนที่มีถิ่นกำเนิดเหนือมหาสมุทรในเขตร้อนนอกเขตบริเวณเส้นศูนย์สูตรพายุหมุนเขตร้อนเกิดขึ้นได้หลายแห่งในโลก และมีชื่อเรียกต่างกันไปตามแหล่งกำเนิดบริเวณที่มีพายุหมุนเขตร้อนเกิดขึ้นเป็นประจำ ได้แก่
- เกิดในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ทะเลแคริบเบียนและอ่าวเม็กซิโก และ มหาสมุทรแปซิฟิกเหนือเรียกว่า “เฮอร์ริเคน”
- เกิดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตก และทะเลจีนใต้เรียกว่า “ไต้ฝุ่น”
- เกิดขึ้นในมหาสมุทรอินเดียเรียกว่า “ไซโคลน”
- เกิดขึ้นในทวีปออสเตรเลีย เรียกว่า “วิลลี่-วิลลี่”
- เกิดในบริเวณ หมู่เกาะฟิลิปปินส์ เรียกว่า “บาเกียว”
- เกิดในทวีปอเมริกา เรียกว่า “ทอร์นาโด”
2.3 ผลกระทบจากวาตภัย
พายุเป็นสิ่งแวดล้อมทางภูมิอากาศที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของมนุษย์มากแม้ว่าพายุจะเกิดขึ้นไม่บ่อยนักก็ตามแต่เมื่อมีพายุเกิดขึ้นและเคลื่อนที่ผ่านบริเวณใดอาจจะเกิดความเสียหายมากมาย ดังนี้
2.3.1 เกิดฝนตกหนักและเกิดน้ำท่วมอย่างรุนแรงบ้านเรือนหลายหลังพังทลายประชากรเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
2.3.2 พืชผลที่ปลูกไว้และที่นาหลายหมื่นไร่ได้รับความเสียหาย
2.3.3 ความเสียหายต่อกิจการขนส่งทั้งทางบกทางอากาศและทางเรือ ดังนี้
1) ทางบก การเกิดน้ำท่วมอย่างรุนแรงทำให้ถนนและสะพานขาดหรือชำรุดกิจการขนส่งต้องหยุดชะงักรัฐต้องเสียงบประมาณในการก่อสร้างและซ่อมแซมจำนวนมาก
2) ทางอากาศ พายุที่พัดอย่างรุนแรงจะทำให้เครื่องบินได้รับอันตรายจากฝนที่ตกหนักลูกเห็บและฟ้าผ่าที่เกิดขึ้นอาจทำให้เครื่องบินตกได้
3) ทางเรือ การเกิดพายุขึ้นในทะเลทำให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่และความแรงของพายุทำให้เรืออับปางได้ ดังนั้น เมื่อเกิดพายุรุนแรงขึ้นในท้องทะเลจะต้องหยุดการเดินเรือและหาทางนำเรือเข้าที่กำบังหรือจอดพักตามท่าเรือที่อยู่ใกล้เคียงพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดวาตภัยในประเทศไทย
2.4 พื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดวาตภัยในประเทศไทย
2.4.1 การกำหนดขอบเขตพื้นที่วิกฤตจากวาตภัย ในประเทศไทย พื้นที่แต่ละภูมิภาคมีโอกาสเกิดวาตภัยแตกต่างกันไป ดังนั้น การกำหนดขอบเขตพื้นที่วิกฤตจากวาตภัยจึงต้องศึกษาข้อมูลประกอบหลายประการ ดังนี้
1) ศึกษาข้อมูลสถิติการเกิดวาตภัยและความรุนแรงของการเกิดวาตภัยในอดีตตลอดจนระดับความเร็วลมใกล้ศูนย์กลางเส้นทางพายุหมุนเขตร้อนเป็นสาเหตุการเกิดวาตภัย
2) ศึกษาข้อมูลความเร็วลมสูงสุดรายวันอย่างน้อยในรอบ 30 ปี แบ่งระดับความเร็วลมเพื่อแสดงระดับความรุนแรงของวาตภัย
3) แบ่งลักษณะภูมิประเทศเป็นพื้นที่ภูเขาพื้นที่ลอนลาด พื้นที่ราบ และพื้นที่น้ำท่วมถึง
4) กำหนดน้ำหนักในแต่ละปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดวาตภัยโดยมีค่าถ่วงน้ำหนักของปัจจัยต่างๆ คือ ความเร็วลม ความถี่ที่พายุเข้า ความถี่ที่พายุเคลื่อนที่ผ่านสภาพภูมิประเทศรัศมีความรุนแรงของพายุหมุนเขตร้อนในระดับต่างๆเพื่อนำมากำหนดขอบเขตระดับเสี่ยงวาตภัย
5) จัดทำแผนที่แสดงระดับความเสี่ยงวาตภัยโดยการใช้ระบบ GIS
6) คำนวณหาบริเวณพื้นที่ที่ได้รับอิทธิพลจากพายุหมุนเขตร้อนที่ระดับต่างๆโดยพิจารณาจากพื้นที่ที่อยู่ในรัศมีที่ศูนย์กลางพายุเคลื่อนที่ผ่านในเขต 50 และ 100 กิโลเมตร
2.4.2 ระดับพื้นที่เสี่ยงวาตภัย พื้นที่เสี่ยงวาตภัยแบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ พื้นที่เสี่ยงวาตภัยระดับสูง พื้นที่เสี่ยงวาตภัยระดับปานกลาง พื้นที่เสี่ยงวาตภัยระดับต่ำ ดังนี้
1) พื้นที่เสี่ยงวาตภัยระดับสูง เป็นพื้นที่ที่อยู่ในรัศมี 50 กิโลเมตร จากแนวศูนย์กลางการเคลื่อนที่ของพายุสภาพพื้นที่เป็นที่ราบต่ำอยู่ใกล้แถบชายฝั่งทะเลหรือพื้นที่เกาะ
2) พื้นที่เสี่ยงวาตภัยระดับปานกลาง เป็นพื้นที่อยู่ในแนวรัศมี 50-100 กิโลเมตรจากแนวศูนย์กลางพายุสภาพพื้นที่เป็นที่ลอนลาดและที่ราบเชิงเขาสภาพการใช้ ประโยชน์มักจะเป็นพื้นที่เกษตรเป็นส่วนใหญ่
3) พื้นที่เสี่ยงวาตภัยระดับต่ำ เป็นพื้นที่อยู่นอกแนวรัศมี 100 กิโลเมตร จากศูนย์กลางการเคลื่อนที่ของพายุสภาพพื้นที่เป็นภูเขาสูงเป็นส่วนใหญ่ความเสียหายจึงเกิดขึ้นไม่มากนัก