2.1 ประเภทของดินโคลนถล่ม ดินโคลนถล่มมีองค์ประกอบหลายอย่างทั้งจากส่วนประกอบของดินความเร็วกลไกใลการเคลื่อนที่ชนิดของตะกอนรูปร่างของรอยดินถล่มปริมาณของน้ำที่เข้ามาเกี่ยวข้องในกระบวนการดินโคลนถล่มและสาเหตุต่างๆที่ทำให้เกิดดินโคลนถล่ม ดินโคลนถล่มมี 5 ประเภท ใหญ่ ๆ ดังนี้
2.1.1 การถล่มแบบร่วงหล่น มักจะเป็นก้อนหินทั้งก้อนใหญ่และก้อนเล็กลักษณะอาจตกลงมาตรงๆหรือตกแล้วกระดอนลงมาหรืออาจกลิ้งลงมาตามลาดเขาก็ได้
2.1.2 การถล่มแบบล้มคว่ำ มักจะเกิดกับหินที่เป็นแผ่นหรือเป็นแท่งหินที่แตกและล้มลงมา
2.1.3 การถล่มแบบการเลื่อนไถล เป็นการเคลื่อนตัวของดินหรือหินจากที่สูงไปสู่ที่ลาดต่ำอย่างช้าๆแต่หากถึงที่ที่มีน้ำชุ่มหรือพื้นที่ที่มีความลาดชันสูงการเคลื่อนที่อาจเร็วขึ้น
2.1.4 การไหลของดิน (Flows) เกิดจากดินชุ่มน้ำมากเกินไปทำให้เกิดดินโคลนไหลลงมาตามที่ลาดชันโดยการไหลของดินแบบนี้ ดินไหลอาจพัดพาเศษทรายต้นไม้ โคลนหรือแม้นกระทั่งก้อนหินเล็กๆลงมาด้วยและหากการไหลของดินพัดผ่านเข้ามามากก็อาจทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงได
2.1.5 การถล่มแบบแผ่ออกไปด้านข้าง (Lataral Spreading) มักเกิดในพื้นที่ที่ลาดชันน้อยหรือพื้นที่ค่อนข้างราบโดยเกิดจากดินที่ชุ่มน้ำมากเกินไปทำให้เนื้อดินเหลวและไม่เกาะตัวกันจนแผ่ตัวออกไปด้านข้างๆโดยเฉพาะด้ายที่มีความลาดเอียงหรือต่ำกว่า
2.2 สาเหตุและปัจจัยการเกิดดินโคลนถล่ม การเกิดดินโคลนถล่ม เกิดจากการที่พื้นดินหรือส่วนของพื้นดินเคลื่อนเลื่อนตกหล่น หรือ ไหลลงมาจากที่ลาดชันหรือลาดเอียงต่างระดับตามแรงดึงดูดของโลกตามแนวบริเวณฝั่งแม่น้ำและชายฝั่งทะเลหรือมหาสมุทร รวมถึงบริเวณใต้มหาสมุทร
2.2.1 สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดดินโคลนถล่ม มี 2 สาเหตุ คือ
1) สาเหตุที่เกิดตามธรรมชาติ เช่น
- โครงสร้างของดินที่ไม่แข็งแรง
- พื้นที่มีความลาดเอียงและไม่มีต้นไม้ยึดหน้าดิน
- การเกิดเหตุการณ์ฝนตกหนักและตกนาน ๆ
- ฤดูกาลโดยเฉพาะฤดูฝนส่วนสำคัญทำให้เกิดการอ่อนตัวและดินถล่ม
- ความแห้งแล้งและไฟป่าทำลายต้นไม้ยึดหน้าดิน
- การเกิดแผ่นดินไหว
- การเกิดคลื่นสึนามิ
- การเปลี่ยนแปลงของน้ำใต้ดิน
- การกัดเซาะของฝั่งแม่น้ำหรือฝั่งทะเล
- ภูเขาไฟระเบิดในบริเวณที่ภูเขาไฟยังไม่สงบ
2) สาเหตุที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์
- การขุดไหล่เขาทำให้ไหล่เขาชันมากขึ้น
- การดูดทรายจากก้นแม่น้ำลำคลองทำให้แม่น้ำลำคลองลึกลง ตลิ่งชันมากขึ้นทำให้ดินถล่มได้
- การขุดดินลึกๆในการก่อสร้างอาจทำให้เกิดดินด้านบนโดยรอบเคลื่อนตัวลงมายังหลุมที่ขุดได้
- การบดอัดดินเพื่อการก่อสร้างก็อาจทำให้ดินข้างเคียงเคลื่อนตัว
- การสูบน้ำใต้ดิน น้ำบาดาลที่มากเกินไปทำให้เกิดโพรงใต้ดินหรือการอัดน้ำลงในดินมากเกินไปก็ทำให้โครงสร้างดินไม่แข็งแรงได้
- การถมดินบนสันเขาก็เป็นการเพิ่มน้ำหนักให้ดินเมื่อมีฝนตกหนักอาจทำให้ดินถล่มได้
- การตัดไม้ทำลายป่าทำให้ไม่มีต้นไม้ยึดเกาะหน้าดิน
- การสร้างอ่างเก็บน้ำบนภูเขาก็เป็นการเพิ่มน้ำหนักบนภูเขาและยังทำให้น้ำซึมลงใต้ดินจนเสียสมดุล
- การเปลี่ยนทางน้ำตามธรรมชาติทำให้ระบบน้ำใต้ดินเสียสมดุล
- น้ำทิ้งจากอาคารบ้านเรือนสวนสาธารณะถนนหนทางบนภูเขา
- การกระเทือนอย่างรุนแรง เช่น การระเบิดหิน การระเบิดดิน การขุด เจาะน้ำบาดาล การขุดดินเพื่อสร้างอ่างเก็บน้ำ เขื่อน ฝายกั้นน้ำ เป็นต้น
2.2.2 ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดดินโคลนถล่ม ดินโคลนถล่มที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเกิดจากปัจจัยหลัก 4 ประการ ดังนี้ (คณะสำรวจพื้นที่เกิดเหตุดินถล่มภาคเหนือตอนล่าง, 2550)
1) สภาพธรณีวิทยาโดยปกติชั้นดินที่เกิดการถล่มลงมาจากภูเขาเป็นชั้นดินที่เกิดจากการผุกร่อนของหินให้เกิดเป็นดินซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของหินและโครงสร้างทางธรณีวิทยา
2) สภาพภูมิประเทศสภาพภูมิประเทศที่ทำให้เกิดดินถล่มได้ง่าย ได้แก่ ภูเขา และพื้นที่ที่มีความลาดชันสูง หรือมีทางน้ำคดเคี้ยวจำนวนมากนอกจากนั้นยังพบว่า ลักษณะ ภูมิประเทศที่เป็นร่องเขาด้านหน้ารับน้ำฝนและบริเวณที่เป็นหุบเขากว้างใหญ่สลับซับซ้อนแต่มีลำน้ำหลักเพียงสายเดียวจะมีโอกาสเกิดดินโคลนถล่มได้ง่ายกว่าบริเวณอื่น ๆ
3) ปริมาณน้ำฝนดินโคลนถล่มจะเกิดขึ้นเมื่อฝนตกหนักหรือตกต่อเนื่องเป็น เวลานานน้ำฝนจะไหลซึมลงไปในชั้นดินจนกระทั่งชั้นดินอิ่มตัวด้วยน้ำทำให้ความดันของน้ำในดินเพิ่มขึ้นเป็นการเพิ่มความดันในช่องว่างของเม็ดดินดันให้ดินมีการเคลื่อนที่ลงมาตามลาดเขาได้ ง่ายขึ้นและนอกจากนี้แล้วน้ำที่เข้าไปแทนที่ช่องว่างระหว่างเม็ดดินทำให้แรงยึดเกาะระหว่างเม็ดดินลดน้อยลงส่งผลให้ดินมีกำลังรับแรงต้านทานการไหลของดินลดลง
4) สภาพสิ่งแวดล้อมสภาพสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอาจทำให้เกิดดินโคลนถล่มได้โดยพบว่าพื้นที่ที่เกิดดินโคลนถล่มมักเป็นพื้นที่ภูเขาสูงชันที่มีการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินในรูปแบบต่างๆ เช่น
- พื้นที่ต้นน้ำ ลำธาร ป่าไม้ ถูกทำลายในหลายๆจุด
- การบุกรุกทำลายป่าไม้เพื่อทำไร่และทำการเกษตรบนที่สูง
- รูปแบบการทำเกษตร เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพป่าเป็นสวนยางพาราโดยเฉพาะพวกต้นยางที่ยังมีขนาดเล็กอยู่และการปลูกยางถุง ซึ่งรากแก้วไม่แข็งแรง
- การใช้ประโยชน์ที่ดินการตัดถนนผ่านไหล่เขาสูงชัน หรือการตัดไหล่ เขาสร้างบ้านเรือน
- การปลูกสร้างสิ่งก่อสร้างกีดขวางทางน้ำ เช่น สะพานที่มีเสาสะพานอยู่ในทางน้ำ
2.3 ผลกระทบที่เกิดจากดินโคลนถล่ม การเกิดเหตุการณ์ดินโคลนถล่มสามารถสร้างความเสียหายได้อย่างมากโดยเฉพาะถ้าเกิดขึ้นบริเวณใกล้กับชุมชนที่มีผู้คนอาศัยอยู่จำนวนมากซึ่งผลกระทบตามมาจากการเกิดดินโคลนถล่มทำให้เกิดความเสียหายในด้านหลักๆ 3 ด้าน ได้แก่ ผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม ด้านเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนด้านสุขภาพอนามัย และจิตใจของผู้ประสบภัย สรุปได้ดังนี้
2.3.1 ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
- เป็นการเร่งให้หน้าดินถูกชะล้างพังทลายเพิ่มขึ้นเมื่อมากๆเข้าป่าจะขาดความอุดมสมบูรณ์ต้นน้ำจะถูกทำลายตามมาเกิดภาวะแห้งแล้งเพิ่มขึ้น
- ป่าลดลงสัตว์ป่าก็ลดลง ระบบนิเวศน์ก็จะเสียสมดุล
- เกิดการเปลี่ยนแปลงของภูมิประเทศจากการพังทลายการถูกทับถมด้วยก้อนหิน กรวด ทราย
- สายน้ำเปลี่ยนทิศทาง เนื่องจากถูกกีดขวางจากตะกอนมหึมาที่ทับถมปิด เส้นทางการไหลของน้ำเป็นต้น
2.3.2 ผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคม
- ประชาชนผู้ประสบเหตุแผ่นดินโคลนถล่มได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต
- ที่อยู่อาศัยสิ่งปลูกสร้างเสียหายทำให้เป็นผู้ไร้ที่อยู่อาศัย
- สัตว์เลี้ยงล้มตายและสูญหาย
- พื้นที่ทำกินและพืชผลทางการเกษตรเสียหาย
- เส้นทางคมนาคมถูกตัดขาดสาธารณูปโภคต่างๆใช้การไม่ได้
- เสียงบประมาณในการรักษาการเจ็บป่วย
- เสียงบประมาณในการฟื้นฟูความเป็นอยู่หรืออพยพโยกย้ายที่อยู่อาศัยเพื่อให้กลับมาดำเนินชีวิตต่อไปได้
2.3.3 ผลกระทบด้านสุขภาพอนามัย
- ระบบสาธารณูปโภคเสียหายอาจเกิดการระบาดของโรคต่าง ๆ
- เกิดการบาดเจ็บ ป่วยไข้ ทุพพลภาพ
- ผู้ประสบภัยมีปัญหาสุขภาพจิตหวาดวิตก เครียด ซึมเศร้า ส่งผลต่อสุขภาพกายตามมา
2.4 สัญญาณบอกเหตุก่อนเกิดดินโคลนถล่ม
2.4.1 มีฝนตกหนักถึงหนักมากตลอดทั้งวัน
2.4.2 ระดับน้ำในแม่น้ำลำห้วยเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วผิดปกติ
2.4.3 สีของน้ำมีสีขุ่นมากกว่าปกติ เปลี่ยนเป็นเหมือนสีดินภูเขา
2.4.4 มีกิ่งไม้หรือท่อนไม้ไหลมากับกระแสน้ำ
2.4.5 เกิดช่องทางเดินน้ำแยกขึ้นใหม่หรือหายไปจากเดิมอย่างรวดเร็ว
2.4.6 เกิดรอยแตกบนถนนหรือพื้นดินอย่างรวดเร็ว
2.4.7 ดินบริเวณฐานรากของตึกหรือสิ่งก่อสร้างเกิดการเคลื่อนตัวอย่างกะทันหัน
2.4.8 โครงสร้างต่างๆเกิดการเคลื่อนหรือดันตัวขึ้น เช่น ถนน กำแพงเป็นต้น
2.4.9 ต้นไม้ เสาไฟ รั้ว หรือก าแพง เอียงหรือล้มลง
2.4.10 ท่อน้ำใต้ดินแตกหรือหักอย่างฉับพลัน
2.4.11 ถนนยุบตัวลงอย่างรวดเร็ว
2.4.12 เกิดรอยแตกร้าวขึ้นที่โครงสร้างต่างๆ เช่น รอยแตกที่กำแพง
2.4.13 เห็นรอยแยกระหว่างวงกบกับประตูหรือระหว่างวงกบกับหน้าต่างที่ขยายใหญ่ขึ้น
2.5 พื้นที่เสี่ยงภัยต่อการเกิดดินโคลนถล่ม
2.5.1 พื้นที่ที่มีโอกาสเกิดภัยดินโคลนถล่ม หมายถึง พื้นที่และบริเวณที่อาจจะเริ่มเกิดการเลื่อนไหลของตะกอนมวลดินและหินที่อยู่บนภูเขาสู่ที่ต่ำในลำห้วยและทางน้ำขณะเมื่อมีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องลักษณะของพื้นที่เสี่ยงภัยดินโคลนถล่มมีข้อสังเกตดังนี้
- พื้นที่ลาดเชิงเขาหรือบริเวณที่ลุ่มใกล้เชิงเขาที่มีการพังทลายของดินสูง
- พื้นที่เป็นภูเขาสูงชันหรือหน้าผาที่เป็นหินผุพังง่ายและมีชั้นดินหนาจากการผุกร่อนของหิน
- พื้นที่ที่เป็นทางลาดชัน เช่น บริเวณถนนที่ตัดผ่านหุบเขา บริเวณลำห้วย บริเวณเหมืองใต้ดินและเหมืองบนดิน
- บริเวณที่ดินลาดชันมากและมีหินก้อนใหญ่ฝังอยู่ในดินโดยเฉพาะบริเวณที่ใกล้ทางน้ำ เช่น ห้วย คลอง แม่น้ำ
- ที่ลาดเชิงเขาที่มีการขุดหรือถม
- พื้นที่ต้นน้ำลำธารที่มีการทำลายป่าไม้สูงชั้นดินขาดรากไม้ยึดเหนี่ยว
- เป็นพื้นที่ที่เคยเกิดดินถล่มมาก่อน
- พื้นที่สูงชันไม่มีพืชปกคลุม
- บริเวณที่มีการเปลี่ยนแปลงความลาดชันของชั้นดินอย่างรวดเร็วซึ่งมีสาเหตุมาจากการก่อสร้าง
- บริเวณพื้นที่ลาดต่ำแต่ชั้นดินหนาและชั้นดินอิ่มตัวด้วยน้ำมาก
2.5.2 หมู่บ้านเสี่ยงภัยดินโคลนถล่ม หมายถึง หมู่บ้านหรือชุมชนที่ตั้งอยู่ใกล้เคียง ลำห้วยตามลาดเชิงเขาและที่ลุ่มที่อยู่ติดหรือใกล้เขาสูงอาจจะได้ผลกระทบจากการเลื่อนไหลของตะกอนมวลดินและหินปริมาณมากที่มาพร้อมกับน้ำตามลำห้วยจากที่สูงชันลงมาสู่หมู่บ้านหรือชุมชนที่ตั้งอยู่โดยลักษณะที่ตั้งของหมู่บ้านเสี่ยงภัยดินโคลนถล่ม มีข้อสังเกตได้ดังนี้
- อยู่ติดภูเขาและใกล้ลำห้วย
- มีร่องรอยดินไหลหรือเลื่อนบนภูเขามีรอยแยกของพื้นดินบนภูเขา
- อยู่บนเนินหน้าหุบเขาและเคยมีดินโคลนถล่มมาก่อน
- มีน้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมบ่อย
- มีกองหินเนินทรายปนโคลนและต้นไม้ในห้วยหรือใกล้หมู่บ้าน
- พื้นห้วยจะมีก้อนหินขนาดเล็กและใหญ่ปนกันตลอดท้องน้ำ
จากการส ารวจเก็บข้อมูลทางธรณีวิทยาโดยกรมทรัพยากรทางธรณีพบว่า พื้นที่เสี่ยงภัย ดินโคลนถล่มใน 51 จังหวัด 323 อำเภอ 1,056 ต าบล 6,450 หมู่บ้านทั่วประเทศและพื้นที่เสี่ยง ภัยในระดับสูงสุด 17 จังหวัดเป็นจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่ภาคใต้7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดระนอง ชุมพร กระบี่ สุราษฎร์ธานีนครศรีธรรมราช พัทลุง ตรัง และภาคเหนือ 10 จังหวัด ได้แก่ จังหวัด แม่ฮ่องสอน เชียงราย เชียงใหม่ น่าน ลำพูน ลำปาง พะเยา แพร่อุตรดิตถ์และตา