เรื่องที่ 2 ลักษณะการเกิดไฟป่า
2.1 สาเหตุและปัจจัยการเกิดไฟป่า การเกิดไฟป่ามาจากสาเหตุและปัจจัย 2 อย่าง คือเกิดจากธรรมชาติ และเกิดจากการกระทำของมนุษย์อย่างไรก็ตามสำหรับในประเทศไทยยังไม่พบไฟป่าที่เกิดโดยความร้อนตามธรรมชาติส่วนใหญ่เกิดจากฝีมือมนุษย์ทั้งสิ้น ดังนั้นมนุษย์จึงเป็นต้นเหตุของการเกิดไฟป่าที่สำคัญ
2.1.1 ไฟป่าที่เกิดจากธรรมชาติ ไฟป่าที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น จากฟ้าผ่ากิ่งไม้เกิดการเสียดสีกันปฏิกิริยาเคมีในดินป่าพรุ ซึ่งสาเหตุที่สำคัญ ได้แก่
1) ฟ้าผ่า เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดไฟป่าในเขตอบอุ่นของต่างประเทศซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ฟ้าผ่าแห้ง และฟ้าผ่าเปียก
- ฟ้าผ่าแห้ง คือ ฟ้าผ่าที่เกิดขึ้นในขณะที่ไม่มีฝนตกมักจะเกิดขึ้นในฤดูแล้งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดไฟป่าในเขตอบอุ่น
- ฟ้าผ่าเปียก คือ ฟ้าผ่าที่เกิดขึ้นควบคู่กับการเกิดพายุฝนฟ้าคะนองฟ้าผ่าในเขตร้อนรวมถึงประเทศไทยมักจะเป็นฟ้าผ่าเปียกจึงแทบจะไม่เป็นสาเหตุของไฟป่าในเขตร้อนนี้เลย
2) กิ่งไม้เสียดสีกัน ไฟป่าที่เกิดจากกิ่งไม้เสียดสีกันอาจเกิดขึ้นได้ในพื้นที่ป่าที่มีไม้ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นและมีสภาพอากาศแห้งจัด เช่น ในป่าไผ่ หรือ ป่าสน
2.1.2 ไฟป่าที่มีสาเหตุจากมนุษย์ ไฟป่าที่เกิดในประเทศกำลังพัฒนาในเขตร้อนส่วนใหญ่จะมีสาเหตุมาจากกิจกรรมของมนุษย์ สำหรับประเทศไทยจากการเก็บสถิติไฟป่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528-2542 ซึ่งมีสถิติไฟป่าทั้งสิ้น 73,630 ครั้ง พบว่าเกิดจากสาเหตุตามธรรมชาติ คือ ฟ้าผ่า เพียง 4 ครั้งเท่านั้น คือ เกิดที่ภูกระดึง จังหวัดเลย ที่ห้วยน้ำดัง จังหวัดเชียงใหม่ ที่ท่าแซะ จังหวัด ชุมพร และที่เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา แห่งละหนึ่งครั้ง ดังนั้นจึงถือได้ว่าไฟป่าในประเทศไทยทั้งหมดเกิดจากการกระทำของมนุษย์โดยมีสาเหตุต่างๆ กันไป ได้แก่
1) ไฟป่าที่เกิดจากการเผาหญ้าเศษวัสดุเศษพืชผลทางการเกษตรนับเป็น สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ลุกลามเป็นไฟป่าได้
2) การเผาขยะมูลฝอยและวัสดุเหลือใช้ในชุมชน คนในชุมชนบางคนอาศัยความสะดวกมักนำขยะหรือเศษวัสดุที่เหลือใช้มาเผาในหมู่บ้านหรือในชุมชน อาจเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เกิดไฟไหม้ลุกลามได้
3) เก็บหาของป่า เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดไฟป่ามากที่สุด การเก็บหาของป่า ส่วนใหญ่ ได้แก่ ไข่มดแดง เห็ด ใบตองตึง ไม้ไผ่ น้ำผึ้ง ผักหวาน และไม้ฟืนการจุดไฟส่วนใหญ่เพื่อให้พื้นป่าโล่งเดินสะดวกหรือให้แสงสว่างในระหว่างการเดินทางผ่านป่าในเวลากลางคืนหรือจุดไฟเพื่อกระตุ้นการงอกของเห็ดกระตุ้นการแตกใบใหม่ของผักหวานและใบตองตึงหรือการจุดเพื่อไล่ตัวมดแดงออกจากรังรมควันไล่ผึ้งหรือไล่แมลงต่างๆในขณะที่อยู่ในป่า
4) เผาไร่ เป็นสาเหตุที่สำคัญรองลงมาการเผาไร่ก็เพื่อก าจัดวัชพืชหรือเศษซากพืชที่เหลืออยู่ภายหลังการเก็บเกี่ยวทั้งนี้เพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูกในรอบต่อไปโดยปราศจากการทำแนวกันไฟและปราศจากการควบคุมไฟจึงลุกลามเข้าป่าที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง
5) แกล้งจุดในกรณีที่ประชาชนในพื้นที่มีปัญหาความขัดแย้งกับหน่วยงานของรัฐในพื้นที่โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเกิดจากเรื่องที่ทำกินหรือถูกจับกุมจากการกระทำผิดในเรื่องป่าไม้ก็มักจะหาทางแก้แค้นเจ้าหน้าที่ด้วยการเผาป่าซึ่งอาจจะเป็นการกระทำทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
6) ความประมาทเกิดจากการเข้าไปพักแรมในป่าก่อกองไฟเพื่อให้เกิดความอบอุ่นหรือป้องกันสัตว์ร้ายแล้วลืมดับหรือทิ้งก้นบุหรี่ ลงบนพื้นป่า เป็นต้น
7) ล่าสัตว์โดยใช้วิธีไล่เหล่า คือ จุดไฟไล่ให้สัตว์หนีออกจากที่ซ่อน หรือจุดไฟเพื่อให้แมลงบินหนีไฟนกชนิดต่างๆจะบินมากินแมลงแล้วดักยิงนกอีกทอดหนึ่งหรือจุดไฟเผา ทุ่งหญ้า เพื่อให้หญ้าแตกใบใหม่เป็นการล่อให้สัตว์ชนิดต่างๆ เช่น กระทิง กวาง กระต่าย หมูป่า มากินอาหารแล้วดักรอยิงสัตว์เหล่านั้น
8) เลี้ยงปศุสัตว์ประชาชนที่เลี้ยงสัตว์แบบปล่อยให้หากินเองตามธรรมชาติมีจำนวนไม่น้อยที่ทำการลักลอบจุดไฟเผาป่าให้โล่งมีสภาพเป็นทุ่งหญ้าเพื่อเป็นแหล่งอาหารของสัตว์ที่ตนเองเลี้ยงไว้
9) ความคึกคะนองบางครั้งการจุดไฟเผาป่าเกิดจากความคึกคะนองของผู้จุดโดยไม่มีจุดประสงค์ใดๆแต่เป็นการจุดเล่นเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น
10) การเผาวัชพืชริมถนนหนทางอาจลุกลามเป็นบริเวณกว้างจนกลายเป็นไฟป่าที่เผาผลาญทำลายบ้านเรือนและชุมชนได้
2.2 ชนิดของไฟป่า ไฟป่าแบ่งออกเป็น 3 ชนิดตามลักษณะของเชื้อเพลิงที่ถูกเผาไหม้ ได้แก่
2.2.1 ไฟใต้ดิน เป็นไฟที่ไหม้อินทรียวัตถุที่สะสมอยู่ในดินลุกลามไปช้าๆใต้ผิวดินไม่มีเปลวไฟปรากฏให้เห็นชัดเจนและมีควันให้เห็นน้อยมาก ฉะนั้นไฟใต้ดินจึงเป็นไฟที่ตรวจพบหรือสังเกตพบได้ยากที่สุดและเป็นไฟที่มีอัตราการลุกลามช้าที่สุดแต่สร้างความเสียหายให้แก่พื้นที่ป่าไม้มากที่สุดเพราะไฟจะไหม้ทำลายรากไม้ทำให้ต้นไม้ใหญ่น้อยทั้งป่าตายในเวลาต่อมายิ่งไปกว่านั้นยังเป็นไฟที่ควบคุมได้ยากที่สุดอีกด้วยชุดวิชาการเรียนรู้สู้ภัยธรรมชาติ 3 - 84 ไฟใต้ดินยังสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
1) ไฟใต้ดินสมบูรณ์แบบ คือไฟที่ไหม้อินทรียวัตถุอยู่ใต้ผิวพื้นป่าจริงๆ ดังนั้น เมื่อยืนอยู่บนพื้นป่าจึงไม่สามารถตรวจพบไฟชนิดนี้ได้หากจะตรวจให้ได้ผลต้องใช้เครื่องมือพิเศษ เช่น เครื่องตรวจจับความร้อนเพื่อตรวจหาไฟชนิดนี้ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนของไฟใต้ดินสมบูรณ์แบบ คือ ไฟที่ไหม้ชั้นถ่านหินใต้ดิน
2) ไฟกึ่งผิวดินกึ่งใต้ดิน ได้แก่ ไฟที่ไหม้ในแนวระนาบไปตามผิวพื้นป่าเช่นเดียวกับไฟผิวดินในขณะที่อีกส่วนหนึ่งจะไหม้ในแนวดิ่งลึกลงไปในชั้นอินทรียวัตถุใต้ผิวพื้นป่าซึ่งอาจไหม้ ลึกลงไปได้หลายฟุตไฟชนิดนี้สามารถตรวจพบได้โดยง่ายเช่นเดียวกับไฟผิวดินทั่วๆไปแต่การดับไฟจะต้องใช้เทคนิคการดับไฟผิวดินผสมผสานกับเทคนิคการดับไฟใต้ดินจึงจะสามารถควบคุมไฟได้ ตัวอย่างของไฟชนิดนี้ ได้แก่ ไฟที่ไหม้ป่าพรุโต๊ะแดงและป่าพรุบาเจาะในจังหวัดนราธิวาสของประเทศไทย
2.2.2 ไฟผิวดิน เป็นไฟที่ไหม้เชื้อเพลิงบนพื้นดิน ได้แก่ ใบไม้ กิ่งไม้แห้งที่ตก สะสมอยู่บนพื้นป่า หญ้า ลูกไม้เล็ก ๆ ไม้พื้นล่าง กอไผ่ ไม้พุ่มต่างๆไฟชนิดนี้ลุกลามอย่างรวดเร็ว ความรุนแรงของไฟผิวดินจะขึ้นอยู่กับชนิดและประเภทของเชื้อเพลิงไฟป่าที่เกิดขึ้นในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นไฟผิวดิน
2.2.3 ไฟเรือนยอด คือไฟที่ไหม้ลุกลามจากยอดของต้นไม้หรือไม้พุ่มต้นหนึ่งไปยังยอดของต้นไม้หรือไม้พุ่มอีกต้นหนึ่งไฟชนิดนี้มีอัตราการลุกลามที่รวดเร็วมากทั้งนี้เนื่องจากไฟมีความรุนแรงมากและมีความสูงเปลวไฟประมาณ 10 - 30 เมตร ในบางกรณีไฟอาจมีความสูงถึง 40-50 เมตร ไฟเรือนยอดโดยทั่วไปอาจต้องอาศัยไฟผิวดินเป็นสื่อในการลุกไหม้ไฟเรือนยอด แบ่งออกเป็น 2 ชนิดย่อย ได้แก่
1) ไฟเรือนยอดที่ต้องอาศัยไฟผิวดินเป็นสื่อ คือ ไฟเรือนยอดที่ต้องอาศัยไฟที่ลุกลามไปตามผิวดินเป็นตัวน าเปลวไฟขึ้นไปสู่เรือนยอดของต้นไม้อื่นที่อยู่ใกล้เคียงลักษณะของไฟชนิดนี้จะเห็นไฟผิวดินลุกลามไปก่อนแล้วตามด้วยไฟเรือนยอด
2) ไฟเรือนยอดที่ไม่ต้องอาศัยไฟผิวดินมักเกิดในป่าที่มีต้นไม้ที่ติดไฟได้ง่าย และมีเรือนยอดแน่นทึบติดต่อกัน การลุกลามจะเป็นไปอย่างรวดเร็วและรุนแรงจากเรือนยอดหนึ่ง ไปสู่อีกเรือนยอดหนึ่งที่อยู่ข้างเคียงได้โดยตรง จึงท าให้เกิดการลุกลามไปตามเรือนยอดอย่าง อเนื่อง ในขณะเดียวกันลูกไฟจากเรือนยอดจะตกลงบนพื้นป่าก่อให้เกิดไฟผิวดินไปพร้อม ๆ กันด้วย
2.3 ผลกระทบที่เกิดจากไฟป่า ไฟป่าที่เกิดขึ้นในพื้นที่หนึ่งๆไม่เพียงแต่จะก่อความเสียหายแก่พื้นที่เท่านั้นแต่จะส่งผล กระทบต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศโดยรวมของโลกหลายด้าน เช่นเป็นผลเสียต่อสังคมพืชผลเสีย ต่อดิน ผลเสียต่อทรัพยากรน้ำ ผลเสียต่อสัตว์ป่าและสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ในป่า ผลเสียต่อชีวิตและ ทรัพย์สินของมนุษย์ และผลเสียต่อสภาวะอากาศของโลก ซึ่งผลเสียหายดังกล่าว มีดังนี้
2.3.1 ผลเสียของไฟป่าต่อสังคมพืช เมื่อมีไฟป่าเกิดขึ้นพื้นที่ใด จะทำให้เกิด การเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างของป่า โดยเฉพาะพื้นที่ป่าที่ถูกไฟไหม้ซ้ำซากเป็นประจำทุกปี จะมีผลท าให้โครงสร้างของป่าเปลี่ยนแปลงไป ต้นไม้จะถูกไฟไหม้ตายหมด พื้นที่ป่าจะคงเหลือแต่ พืชที่ปรับตัวได้ดี เช่น หญ้าคา จนสภาพป่ากลายเป็นทุ่งหญ้า
2.3.2 ผลเสียของไฟป่าต่อดิน ความร้อนจากการเผาผลาญของไฟป่า ทำให้พื้นดิน เสื่อมความอุดมสมบูรณ์ หน้าดินที่เปิดโล่ง ทำให้ดินสูญเสียความชื้น นอกจากนี้ จุลินทรีย์ที่อาศัย อยู่ในดินถูกทำลาย ดินปราศจากแร่ธาตุอาหาร ไม่สามารถที่จะเอื้ออำนวยประโยชน์ต่อ การดำรงชีพของพืชอีกต่อไป
2.3.3 ผลเสียของไฟป่าต่อทรัพยากรน้ า ไฟป่าทำให้เกิดความร้อน
น้ำที่มีอยู่จะ ละเหยออกไป เมื่อผืนป่าถูกไฟไหม้ ความสามารถในการดูดซับน้ำลดลง เมื่อถึงฤดูแล้งในชั้นดินไม่มี น้ำเก็บสะสมอยู่ตามช่องรูพรุนของดิน จึงไม่มีน้ำไหลออกมาหล่อเลี้ยงลำน้ำ ทำให้เกิดภาวะ แห้งแล้ง ขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค และเพื่อการเกษตร ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต ความเป็นอยู่ของมนุษย์
2.3.4 ผลเสียของไฟป่าต่อสัตว์ป่าและสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ
เมื่อเกิดไฟไหม้ป่า สัตว์เล็ก ที่หากินอยู่บนพื้นป่าจะถูกควันไฟรม และถูกไฟคลอกตาย นอกจากนี้ ไฟป่ายังทำลายและ เปลี่ยนแปลงสภาพแหล่งที่อยู่อาศัย และแหล่งอาหาร ทำให้ไม่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของสัตว์ ป่าอีกต่อไป
2.3.5 ผลเสียของไฟป่าต่อชีวิตและทรัพย์สินของมนุษย์
ไฟป่าเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ลุกลามเข้าไหม้บ้านเรือน เรือกสวน ไร่นา และทรัพย์สินของประชาชน ที่อาศัยอยู่ใกล้ป่า ประชาชนไร้ที่อยู่อาศัย ล้มตายหรือได้รับบาดเจ็บจากไฟป่า ควันไฟยังก่อให้เกิดโรคระบบทางเดิน หายใจ ทำให้ผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ป่าที่เคยเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามก็หมดสภาพลง ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง ทำให้ขาดรายได้จากการท่องเที่ยว เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยรวมของประเทศ
2.3.6 ผลเสียของไฟป่าต่อสภาวะอากาศของโลก
ไฟป่าก่อให้เกิดสภาวะเรือน กระจก ซึ่งมีผลทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น และอุณหภูมิที่สูงขึ้น ยังทำให้ระบบนิเวศของโลกเสีย สมดุลตามธรรมชาติ ทำให้เกิดการก่อตัวของพายุที่มีความรุนแรง ฝนตกไม่สม่ำเสมอ ไม่ตกต้องตาม ฤดูกาล สร้างความเสียหายต่อการประกอบอาชีพและส่งผลถึงระบบเศรษฐกิจของประเทศตามมาอีกด้วย
2.4 ฤดูกาลเกิดไฟป่าในประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ ในโลก
2.4.1 ฤดูกาลเกิดไฟป่าในประเทศไทย การเกิดไฟป่ามักจะเกิดช่วงฤดูร้อน เพราะ ในช่วงฤดูร้อนอากาศแห้ง ต้นไม้ขาดน้ำ หญ้าหรือต้นไม้เล็ก ๆ อาจจะแห้งตายกลายเป็นเชื้อเพลิง ได้เป็นอย่างดีการเกิดไฟป่าในแต่ละภูมิภาคของประเทศไทย จะมีดังนี้
1) ภาคเหนือ มักเกิดในช่วงระหว่างเดือนเมษายน ถึงเดือนพฤษภาคมของทุกปี
2) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มักจะเกิดในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน ถึง เดือนพฤษภาคมของทุกปี
3) ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ มักจะเกิดในช่วงระหว่างเดือน มีนาคม ถึงเดือนพฤษภาคมของทุกปี
2.4.2 ฤดูกาลเกิดไฟป่าประเทศต่าง ๆ ในในโลก ในภูมิภาคเอเชีย ต้นเดือนตุลาคมเป็นหน้าแล้งของประเทศอินโดนีเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกาะกาลิมันตัน หรือเกาะบอร์เนียวเหนือและที่เกาะสุมาตราจะมีไฟป่าเกิดขึ้น ทำให้เกิดหมอกควันอย่างรุนแรงพัดมาปกคลุมเกาะสิงคโปร์และแหลมมลายู เลยมาถึง 4 จังหวัด ภาคใต้และจังหวัดสงขลา บางทีก็เลยไปถึงเมืองไซ่ง่อนของประเทศเวียดนาม การเกิดไฟป่าในภูมิภาคอื่นๆของโลก จะเกิดในช่วงเวลาไม่เท่ากัน เช่น ประเทศ แคนาดา สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ช่วงเวลาเกิดไฟป่า มักเกิดในช่วงเวลา ดังนี้
1) ประเทศแคนาดา มักเกิดในช่วงระหว่างเดือน พฤษภาคม ของทุกปี
2) ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะที่รัฐแคลิฟอร์เนีย มักเกิดในช่วงเดือน มิถุนายน-สิงหาคม ของทุกปี
3)ประเทศออสเตรเลีย มักเกิดในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนของทุกปี