ชื่อสามัญ : Sambar deer
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Rusa unicolor
วงศ์ : Cervidae
ประเภท : สัตว์ป่าคุ้มครอง
ลักษณะ : เป็นกวางที่มีขนาดใหญ่ มีความยาวลำตัวถึงหัว 180 – 200 เซนติเมตร หางยาว 25 28 เซนติเมตร ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย ขนสั้นหยาบสีน้ำตาลแกมเหลือง บางตัวน้ำตาลแกมแดง สีจะเข้มขึ้นเมื่อมีอายุมากขึ้น ในช่วงฤดูหนาวสีขนอาจซีดจางลงกว่าปกติ ลูกกวางที่เกิดใหม่จะมีขนสีน้ำตาลปนแดงและมีจุดสีขาวจาง ๆ เมื่อโตขึ้นจุดนี้จะหาย ในตัวที่มีอายุมากอาจมีขนแผงคอคล้ายขนแผงคอม้า ตัวผู้มีกิ่งเขาข้างละ 3 ก้าน ลูกกวางตัวผู้มีเขาเมื่ออายุ 2 ปี แต่เขาไม่แตกกิ่งก้านเหมือนตัวโตเต็มวัย โดยกิ่งเขาจะแผ่กว้างออกไปเมื่ออายุมากขึ้น ปกติกวางป่ามีขนลำตัวเป็นมันเงา ดวงตาแจ่มใส จมูกชื้น มูลเป็นเม็ดไม่มีกลิ่น ปัสสาวะใส ไม่แยกตัวออกจากฝูง ร่างกายไม่ผอมผิดปกติ กวางป่ามักมีโรคประจำตัวเป็นเรื้อน ซึ่งเป็นแผลถลอกเป็นวงกลมขนาดไม่ใหญ่ใต้คอ เรียกว่า “เรื้อนกวาง”
พฤติกรรม : ชอบหากินตามทุ่งโล่งชายป่าในตอนเช้าตรู่และพลบค่ำ กลางวันจะหลับนอนตามพุ่มไม้ใกล้ชายป่า กินพืชทั้งใบ ยอด และดินโป่ง ในธรรมชาติชอบอยู่ตัวเดียวหรืออยู่เป็นกลุ่มเล็ก ๆ พร้อมลูก ๆ เป็นสัตว์ที่มีการระวังภัยสูงมาก มีอาการตื่นกลัวและระมัดระวังอันตรายจนเป็นนิสัยตลอดเวลา สามารถได้ยินเสียงต่าง ๆ และดมกลิ่นได้ดี มีประสาทสัมผัสว่างไวทำให้หลบลีกจากการถูกล่าได้ดี เมื่อได้ยินหรือเห็นสิ่งผิดปกติจะชูคอและใบหูทั้งสองข้างหันไปยังทิศทางที่ได้ยินหรือเห็น ห่างชี้ขึ้น ยืนนิ่งเงียบ จากนั้นจะส่งเสียงร้องแหลมดัง ถ้าอยู่กันหลายตัวจะไปยืนรวมกันเมื่อมีตัวใดตัวหนึ่งตื่นและวิ่งจะทำให้ตัวอื่นทั้งหมดวิ่งตามได้ เมื่อโกรธและต้องการทำการต่อสู้จะกัดฟันเสียงดังกรอด ๆ ร่องใต้ตาทั้งสองข้างเบิกลึกกว้างพร้อมกับเดินส่ายหัวเข้าหาศัตรูอย่างช้าๆ แล้วก้มหัวลงเพื่อให้ปลายเขาชี้เข้าหาศัตรู ว่ายน้ำเก่งสามารถว่ายน้ำได้เป็นระยะทางไกลๆ เมื่อพบกับศัตรู จะวิ่งหนีลงไปแช่น้ำในน้ำลึก กวางตัวผู้จะผลัดเขาปีละ 1 ครั้ง ในช่วงเดือนมีนาคมและเมษายน หลังจากนั้นเขาอ่อนจะค่อย ๆ งอกมาแทนที่
การสืบพันธ์ : ในฤดูผสมพันธุ์ช่วงเดือนพฤศจิกายน-มกราคม ตัวผู้จะมีกลิ่นฉุนจากสารที่ขับออกมาจากต่อมกลิ่น นิสัยดุร้าย หงุดหงิด คึกคะนอง ชอบเอาเขาควิดต้นไม้เป็นการแสดงความแข็งแกร่งและเป็นกลับเขา ตัวเมียตั้งท้องประมาณ 8 เดือน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ลูกกวางคลอดใหม่เมื่อดูดนมแม่แล้วใน 1 - 2 ชั่วโมงแรกจะแยกตัวออกไปนอนนิ่งอยู่ในพงหญ้าหรือบริเวณที่มีกิ่งไม้ใบไม้รกทึบ แม่กวางจะมาให้ลูกกินนมเป็นครั้งคราวตลอดช่วงเวลา 1 – 2 สัปดาห์เพื่อเป็นการพรางตัวจากสัตว์อื่น ๆ เมื่ออายุได้ 2 – 3 สัปดาห์ลูกกวางจะเดินตามแม่ไปเข้าฝูงได้ เมื่ออายุ 1 ปีจึงแยกตัวออกไปและพร้อมผสมพันธุ์เมื่ออายุ 18 เดือน มีอายุยืน 15 - 20 ปี
ถิ่นอาศัย : มีถิ่นกำเนิดในศรีลังกา อินเดีย พม่า ไทย จีน ไต้หวัน สุมาตรา ชวา บอร์เนียว และซีลิเบส ชนิดที่มีในไทยเป็นชนิดย่อย Cervus unicolor eguinus ซึ่งพบอยู่ตามป่าดงดิบทุกภาคทั้งป่าในระดับต่ำและป่าสูง
ชื่อสามัญ : Siamese fireback , Diard's fireback
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Lophura diardi
วงศ์ : Phasianidae
ประเภท : สัตว์ป่าคุ้มครอง
ลักษณะ : เป็นไก่ขนาดกลางในวงศ์ไก่ฟ้า และนกกระทาที่มีความสวยงามที่สุดชนิดหนึ่งของประเทศไทย ตัวยาวประมาณ 60 เซนติเมตร ตัวผู้มีหน้ากากสีแดงสด บนหัวมีเส้นขนแตกพุ่มตรงปลายสีดำเหลือบน้ำเงินยาวโค้งไปด้านหลัง ปากสีเหลืองขุ่น รอบคางใต้หน้ากากลงมามีขนสีดำ ลำตัวด้านบน อก คอ และปีกมีสีเทา ขนตอนท้ายของลำตัวใกล้โคนหางสีเหลืองแกมสีทองเห็นได้ชัดเจนขณะกระพือปีก ขนคลุมโคนหางมีสีดำเหลือบน้ำเงิน ขอบสีแดงอิฐซ้อนกันหลายชั้น หางมีสีดำเหลือบเขียวยาวและโค้งลง ขนคลุมปีกมีลายสีดำขอบขาว ท้องสีดำ แข้งสีแดงมีเดือย ตัวเมียหน้าสีแดง บริเวณหน้าอก คอ หลังมีสีน้ำตาลแกมแดง ท้องมีลายเกล็ดน้ำตาลแดงขอบสีขาว ปีกมีสีดำสลับด้วยลายสีขาวตามแนวขวาง หางคู่บนสีดำสลับขาวส่วนคู่ล่างถัดลงมาสีน้ำตาลแกมแดง แข้งสีแดงไม่มีเดือย หากินตามพื้นดิน ใช้นิ้วช่วยเขี่ยใบไม้ตามพื้นดิน ใช้ปากจิกหาอาหาร ได้แก่ เมล็ดหญ้า เมล็ดพืช ผลไม้ร่วง ขุยไผ่ แมลง ตัวหนอน ไส้เดือน ชอบกินพวกสัตว์มากกว่าพืช
พฤติกรรม : ในธรรมชาติไก่ฟ้าพญาลอมีนิสัยป้องกันอาณาเขต ตัวผู้ชอบอาศัยอยู่โดดเดี่ยว จับคู่หากินกับตัวเมียในฤดูผสมพันธุ์ ส่วนตัวเมียพบอยู่เป็นฝูงเล็ก ๆ ออกหากินตอนกลางวันและขึ้นคอนนอนตามต้นไม้สูงในเวลากลางคืน ไก่ฟ้าพญาลอบินได้ดีพอสมควร แต่บินได้ไม่ไกลและไม่สูงนัก
การสืบพันธ์ : เป็นสัตว์จับคู่ประเภทผัวเดียวเมียเดียว ตัวผู้จะเกี้ยวตัวเมียโดยการโก่งคอส่งเสียงดังพร้อมกระพือปีก เมื่อผสมพันธุ์แล้วตัวเมียจะเริ่มสร้างรังโดยการขุดดินเป็นแอ่ง นำใบหญ้าใบพืชมารองพื้นรัง ปกติมีไข่ 4 – 6 ฟองต่อรัง ไข่แต่ละฟองจะไม่คงที่ ขนาดและรูปร่างไข่จะอ้วนป้อมคล้ายลูกข่าง แม่นกจะทำหน้าที่ฟักไข่ใช้เวลา 23 - 25 วัน ส่วนพ่อนกทำหน้าที่เป็นผู้เฝ้าระวังภัยอยู่บริเวณรัง ลูกนกแรกเกิดสามารถเดินได้เลย พวกมันจะเดินตามแม่นกไปหาอาหาร โดยที่พ่อนกยังคงทำหน้าที่เฝ้าระวังภัยให้จนกว่าลูกนกจะโตพอจึงจะแยกออกไปหากินตามลำพัง เมื่ออายุเข้าปีที่สามจึงเริ่มผสมพันธุ์
ถิ่นอาศัย : พบในกัมพูชา ลาว เวียดนาม ในประเทศไทยพบทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงใต้ อาศัยตามป่าทึบ เช่น ป่าดงดิบแล้ง ป่าดงดิบชื้น และป่าดงดิบเขา แต่บางครั้งพบอยู่ตามป่าโปร่ง ป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณในระดับความสูงไม่เกิน 800 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีสถานภาพเป็นนกประจำถิ่นหายาก
ชื่อสามัญ : Tapir
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tapirus indicus
วงศ์ : Tapiridae
ประเภท : สัตว์ป่าสงวน
ลักษณะ : เป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ชนิดหนึ่ง มีสายเลือดใกล้เคียงม้าและแรด หนักประมาณ 250 – 300 กิโลกรัม เป็นสัตว์กีบเดี่ยว มีลักษณะของสัตว์หลายชนิดอยู่ร่วมกันในตัว ได้แก่ รูปร่างอ้วนตันคล้ายหมู กีบเท้าคล้ายแรด เท้าหลังมีกีบนิ้วข้างละ 3 กีบ ประสาทสัมผัสของจมูกและหูไวมาก ริมฝีปากมนยาวยื่นออกมาคล้ายงวงช้าง หางสั้นคล้ายหางหมี หูเล็กสั้นกลม ตาเล็ก ลูกสมเสร็จที่เกิดใหม่จะตัวลาย มีสีน้ำตาลสลับขาวคล้ายผลแตงไทย ลายนี้จะเลือนหายไปเมื่ออายุประมาณ 6 เดือน โดยจะเริ่มมีสีขาวเทาในช่วงกลางลำตัว ส่วนอื่นจะเป็นสีดำเช่นเดียวกับพ่อแม่ ดูเหมือนมันนุ่งกางเกงในรัดรูปสีขาว เมื่อมันยืนนิ่ง ๆ อาจดูเหมือนก้อนหินก้อนหนึ่งเท่านั้น
พฤติกรรม : ชอบใช้ชีวิตสันโดษ หากินเวลากลางคืนเป็นหลัก อาศัยอยู่ตามป่าดิบรกทึบและเย็นชื้น ไม่ชอบอากาศร้อนจึงมักอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำ ว่ายน้ำและดำน้ำเก่ง สามารถกบดานและเดินไปตามพื้นใต้น้ำได้คล้ายกับฮิปโปโปเตมัสของแอฟริกา แต่ไม่ชอบนอนแช่ปลักโคลนอย่างแรด มักถ่ายมูลรวมไว้เป็นที่เป็นทาง กินหญ้า พืชน้ำ ใบไม้ ยอดไม้ ผลไม้และไม้พุ่มเตี้ยเป็นอาหาร ใช้จมูกดมกลิ่นและใช้หูฟังเสียงมากกว่าจะใช้ตาดู เนื่องจากตามีขนาดเล็กและอยู่ด้านข้างของหัวสายตาจึงไม่ดีมองเห็นภาพได้ไม่ไกลนัก ปกติออกหากินตอนกลางคืน ชอบเลือกหาทางใหม่โดยการก้มหัวลมต่ำ ใช้จมูกที่เป็นงวงดมกลิ่นนำทางและใช้หนังคอที่ด้านแข็งดันมุดเปิดทาง เมื่อถูกรบกวนหรือตื่นตกใจจะร้องเสียงแหลมเบา ๆ คล้ายเสียงเด็กเล็กและวิ่งมุดหาทางหนีกลับแหล่งน้ำใกล้สุดอย่างรวดเร็ว แล้วกบดานอยู่ใต้น้ำได้เป็นเวลานาน ๆ จนพ้นภัยจึงจะโผล่ขึ้นมา
การสืบพันธ์ : จับคู่ผสมพันธุ์กันในช่วงเดือนเมษายน – พฤษภาคม ตั้งท้องนาน 390 – 395 วัน ออกลูกท้องละ 1 ตัว แม่จะเฝ้าเลี้ยงดูลูกจนอายุประมาณ 6 – 8 เดือน ลูกสมเสร็จจะย่างเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุประมาณ 2 – 3 ปีขึ้นไป ตัวเมียมักมีการผสมพันธ์และตั้งท้องได้ทุก 2 ปี มีอายุยืนประมาณ 30 ปี
ถิ่นอาศัย : ในทวีปอเมริกาพบตั้งแต่เม็กซิโกลงมาจนถึงอเมริกาใต้ ในเอเชียพบตั้งแต่แถบเทือกเขาตะนาวศรีของไทยลงไปจนถึงคาบสมุทรลายา สุมาตรา สถานภาพในปัจจุบันเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน 15 ชนิดของประเทศไทย และตามอนุสัญญา CITES จัดสมเสร็จไว้ใน Appendix I เป็นสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ตาม U.S. Endengered Species Act.
ชื่อสามัญ : Asian elephant
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Elephas maximus
วงศ์ : Elephantidae
ประเภท : สัตว์ป่าคุ้มครอง
ลักษณะ : ช้างตัวผู้มีงาเรียก " ช้างพลาย " ถ้าไม่มีงาเรียก " ช้างสีดอ " ตัวเมียปกติไม่มีงาเรียก " ช้างพัง " แต่บางตัวอาจมีงาสั้น ๆ เรียกว่า " ขนาย " หนังบริเวณลำตัวหนา 1.9 - 3.2 เซนติเมตร เป็นสัตว์กระเพาะเดียว มีฟัน 26 ซี่ งานคือฟันตัดที่เปลี่ยนแปลงไป จมูกเป็นงวงยาว ปายงวงมีติ่ง หลังโก่งโค้งเป็นรูปโดมตลอดแนวหลัง เท้าหน้ามีเล็บ 5 เล็บ เท้าหลังมี 4 เล็บ น้ำหนักประมาณ 3 - 4 ตัน ชามเด็กตัวผู้เมื่อโตจนมีอายุได้ 6 - 7 ปี ก็จะออกจากโครงไปหากินโดยลำพัง เมื่ออายุได้ 20 ปี ก็จะเริ่มผสมพันธุ์ได้ เมื่อช้างตัวผู้อยู่ในอาการพร้อมผสมพันธุ์ ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน ในเลือดจะสูงขึ้นกว่าปกติถึง 20 เท่า ช้างในช่วงนี้จะดุร้าย กลัดมัน เรียกว่าอาการ "ตกมัน" ช่วงตกมันอาจกินระยะเวลาประมาณ 3 สัปดาห์
พฤติกรรม : ชอบอยู่รวมกันเป็นโขลง แต่ละโขลงจะมีตัวเมียเป็นจ่าโขลง ส่วนใหญ่ออกหากินในเวลากลางวันคืน โดยจ่าโขลงจะเป็นผู้นำโครงในการออกหาอาหารหาแหล่งน้ำหรือนำโขลงหนีศัตรู กินพืชเป็นอาหาร เป็นสัตว์ที่กินจุมากและใช้เวลากินนานมาก คือในขณะที่ตื่นอยู่ช้างจะกินอาหารเกือบตลอดเวลา ช้างทั้งโขลงมีนิสัยชอบทำอะไรพร้อม ๆ กัน คือเมื่อถึงเวลาออกหาอาหารก็จะออกหาอาหารพร้อม ๆ กัน เมื่อจะหยุดก็จะหยุดพร้อม ๆ กัน ช้างจะยืนนอน แต่มีบ้างเหมือนกันที่นอนตะแคงหลับ
การสืบพันธ์ : ช้างเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ ช้างเอเชียผสมพันธุ์ได้เมื่อมีอายุได้ 8 - 12 ปี ตั้งท้องนาน 19 - 21 เดือน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว แม่ช้างเชือกหนึ่งอาจจะมีลูกได้ 3 - 4 ตัว ตลอดชีวิตของมัน มีลูกห่างกันประมาณ 3 ปี ลูกช้างในฝูงอาจดูดนมจากแม่ช้างตัวอื่นในโขลง ที่มีน้ำนมให้ดูดก็ได้ ช้างมีอายุยืน 70 ปี
ถิ่นอาศัย : ช้างเอเชียพัธุ์อินเดีย (Elephas maximus indicus Cuvier) ที่อาศัยอยู่ในป่าตามธรรมชาติ พบได้ในประเทศในปาล ภูฏาน อินเดีย พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา แคว้นยูนนาน และมาเลเซีย สำหรับประเทศไทยพบกระจายอยู่ทั่วทุกภาค ปัจจุบันบัญชีแดงของ IUCN จับช้างเอเชียไว้ไหนประเภท มีความเสี่ยงสูงที่จะสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติและ CITES จัดไว้ในบัญชีหมายเลข 1
ชื่อสามัญ : White – winged duck, White– winged
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Asarcornis scutulata
วงศ์ : Anatidae
ประเภท : สัตว์ป่าคุ้มครอง
ลักษณะ : เป็นสัตว์ปีกชนิดหนึ่ง จำนวนนกเป็ดน้ำเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในตระกูล Asarcornis มีขนดลำตัวยาวถึง 81 เซนติเมตร ลักษณะเด่น คือมีแผ่นขาวบริเวณหัวปีกเห็นได้ชัดทั้งในระหว่างเกาะพักและขณะบิน ตัวผู้มีลำตัวเป็นมันขนออกดำและน้ำตาลแดงเหลือบเขียว ตัดกับส่วนหัวและลำตัวที่มีสีขาว ตาสีเหลืองส้มและจะงอยปากสีส้ม มีลายกระสีดำ รูปร่างเทอะทะ ในฤดูผสมพันธุ์โคนปากของตัวผู้จะพองออก แถบสีฟ้าบนปีกมีขลิบสีดำหนาทางด้านหน้าแข้งและเท้าสีเหลืองส้ม ส่วนเป็ดตัวเมียมีขนาดลำตัวย่อมกว่า มีม่านตาสีน้ำตาเข้ม จะงอยปากสีเหลืองเข้มหรือสีส้ม มีประดำเป็นหย่อมๆ ลูกเป็ดอายุน้อยสีไม่เด่นชัด โดยสีลำตัวออกสีน้ำตาลเป็นส่วนใหญ่
พฤติกรรม : เป็ดก่ามีอุปนิสัยแปลกไปจากนกชนิดอื่นในวงศ์เดียวกัน มักอาศัยอยู่ในป่าดิบทึบใกล้แหล่งน้ำเริ่มออกบินในตอนพลบค่ำมุ่งไปสู่แหล่งหากินในบริเวณที่โล่งของลำน้ำและบึงหนอง หากินอยู่ตลอดทั้งคืนแล้วบินกลับแหล่งอาศัยก่อนเช้ามืด โดยจับกิ่งไม้สูงๆ ใช้เป็นที่หลับนอน มักจับคู่เป็นกลุ่มเล็กๆ 5 – 6 ตัวในแหล่งน้ำที่สงบปราศจากการรบกวน เป็ดก่าแม้จะมีรูปร่างเทอะทะแต่ฏ็สามารถบินได้ดีและบินหลบหลีกต้นไม้ต่างๆในป่าดิบได้เป็นอย่างดี
การสืบพันธุ์ : ในฤดูผสมพันธุ์ เป็ดก่าจะส่งเสียงร้องขณะบิน การจับคู่ผสมพันธุ์อาจเป็นรูปแบบผัวเดียวเมียเดียว แต่ยังไม่เป็นที่ยืนยัน วางไข่ครั้งละ 6 – 13 ฟอง สีของไข่เป็นสีเหลืองอมเขียว มักทำรังตามโพรง ตัวเมียเท่านั้นที่กกฟักไข่ ระยะเวลาฟักประมาณ 33 – 35 วัน ขณะฟักไข่หรือเลี้ยงลูกอ่อน ตัวผู้จะอยู่พัวพันเพียงห่าง ๆ เท่านั้น
ถิ่นอาศัย : พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ประเทศอินเดีย บังกลาเทศ เนปาล พม่า ไทย จนถึงหลาย ๆ ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับในประเทศไทยถือเป็นนกในวงศ์ Anatidae ชนิดที่มีขนาด
ใหญ่ที่สุด สถานภาพถือเป็นเป็ดป่าที่หายากและเพาะขยายพันธุ์ได้ยากชนิดหนึ่ง ในธรรมชาติพบจำนวนไม่มากนักในบริเวณป่าที่ห่างไกล ตามชายแดนด้านทิศตะวันตกและทิศตะวันออก ปัจจุบันสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าช่องกล่ำบน อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว สามารถเพาะเลี้ยงได้สำเร็จเป็นจำนวนมาก
ชื่อสามัญ : Malayan sun bear, Honey bear
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ursus malayanus
วงศ์ : Ursidae
ประเภท : สัตว์ป่าคุ้มครอง
ลักษณะ : หมีหมาเป็นหมีที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก ลำตัวยาวประมาณ 1 เมตร ขนตามตัวสั้นสีดำปนสีน้ำตาล ขนบริเวณอกโค้งเป็นรูปตัว Uสีขาวนวล บริเวณหน้าตั้งแต่ตาไปถึงปลายจมูกสีค่อนข้างขาว หรือน้ำตาลอ่อน ปกติหมีหมาหากินกลางคืน บางครั้งก็ออกหากินกลางวัน มักหากินเป็นคู่ อยู่ในป่าทึบ ไม่ชอบอยู่ตามเขา ดุร้ายและขึ้นต้นไม้เก่งกว่าหมีควาย (U. thibetanus) มีอุปนิสัยโมโหง่าย ชอบนอนบนต้นไม้หรือตามโพรงไม้สูงๆ ไม่ชอบนอนพื้นดิน บางครั้งร้องคล้ายเสียงสุนัขเห่ากระโชก จึงเรียกว่า หมีหมา เมื่อยืน 2 ขา จะยืนตัวตรง จึงเรียกอีกชื่อว่า หมีคน
อาหาร : หมีหมา ชอบกินลูกไม้ ใบไม้อ่อน สัตว์เล็กๆ แมลงรวมทั้งไส้เดือน ที่ชอบมาก คือน้ำผึ้ง นอกจากนี้ยังชอบกินเนื้ออ่อนของมะพร้าว
การสืบพันธุ์ : หมีหมา มีการผสมพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี ตั้งท้องประมาณ 95 - 96 วัน ปกติออกลูก ครั้งละ 1 - 2 ตัว อายุยืนถึง 20 ปี
ถิ่นอาศัย : หมีหมาพบใน พม่า อินโดจีน ไทย มาเลเซีย สุมาตรา บอร์เนียว ภาคใต้ของจีน ในประเทศไทยพบมากทางภาคใต้
ชื่อสามัญ : Freshwater หรือ Siamese Crocodile
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Crocodylus siamensis
วงศ์ : Crocodylidae
ประเภท : สัตว์ป่าคุ้มครอง
ลักษณะ : ลักษณะของจระเข้น้ำจืด มีรูปร่างคล้ายคลึงกับจระเข้น้ำเค็ม ผิดกันตรงที่ลำตัวของจระเข้น้ำจืดมีลำตัวป้อมสั้นกว่าปากค่อนข้างทู่ ลักษณะสำคัญของจระเข้ชนิดนี้มีเกล็ดตรงบริเวณท้ายทอย 4 เกล็ด มีช่วงวัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุ 10 - 12 ปี จระเข้ชนิดนี้วางไข่ครั้งละ 20 - 48 ฟอง โดยมีระยะเวลาฟักไข่นาน 68 - 85 วัน เริ่มวางไข่ในช่วงต้นฤดูฝนประมาณเดือนพฤษภาคม โดยขุดหลุมในหาดทรายริมแม่น้ำ ใช้เวลาเฉลี่ยราว 80 วัน ชอบอยู่และหากินเดี่ยว
พฤติกรรมของจระเข้น้ำจืด : จระเข้น้ำจืดในสภาพธรรมชาติมักอยู่เดี่ยวๆ อาศัยตามแหล่งน้ำนิ่ง บึง หรือวังน้ำที่สงบ มีความลึกไม่เกิน 5 ฟุต มีร่มเงาพอสมควร เพราะจระเข้เป็นสัตว์เลือดเย็น ถ้าอากาศร้อนมันจะแช่อยู่ในน้ำมากกว่าอยู่บนบก แต่ถ้าอากาศหนาวจะขึ้นมานอนผึ่งแดดบนบกในตอนกลางวัน โดยจะนอนนิ่งอ้าปากกว้าง เพื่อปรับอุณหภูมิในร่างกาย โดยเฉลี่ยแล้วจระเข้น้ำจืดมีความยาวตลอดลำตัวประมาณ 3 - 4 เมตร แต่ถึงแม้จะมีขนาดใหญ่กลับเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว ว่องไว สามารถวิ่งในระยะทางสั้นๆได้เร็วพอๆกับคนเลยทีเดียว จระเข้มีสายตาที่รวดเร็วมาก สามารถงับนกที่บินผ่าน หรืออาหารที่คนโยนให้ไว้ได้ก่อนตกถึงพื้น ตาของมันมองเห็นได้รอบทิศเป็นมุม 180 องศา มันจึงมองเห็นวัตถุเหนือหัวได้ด้วย หรือแม้แต่เมื่ออยู่ในน้ำก็สามารถมองเห็นได้โดยมีม่านตาใสอีกชั้นหนึ่งปิดทับลูกตา
อาหาร : จระเข้น้ำจืดกินเนื้อสัตว์น้ำและสัตว์บกที่ลงไปหากินบริเวณชายน้ำ
ถิ่นกำเนิด : มีถิ่นกำเนิดในบริเวณ เวียดนาม, กัมพูชา, ลาว, ไทย, กาลิมันตัน ชวา และสุมาตรา
ชื่อสามัญ : Wild boar, Wild pig
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Sus scrofa
ไฟลัม : สัตว์มีแกนสันหลัง
ชั้น : สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
อันดับ : สัตว์กีบคู่
ประเภท : สัตว์ป่านอกคุ้มครอง
ลักษณะ : มีรูปร่างหน้าตาคล้ายหมูบ้าน แต่มีขนตามลำตัวยาวกว่า ลำตัวมีสีเทาดำ บางตัวอาจมีสีน้ำตาลเข้ม ขนบริเวณหัวชี้ยาวออกไปทางด้านหลัง ตัวเมียมีเต้านม 5 คู่ ลูกที่เกิดใหม่มีสีน้ำตาลเข้มค่อนไปทางดำและมีแถบสีดำพาดผ่านตามยาวลำตัว ดูคล้ายลายของแตงไทย มีขนาดความยาวลำตัวและหัว 135 – 150 เซนติเมตร ความยาวหาง 20 – 30 เซนติเมตร มีน้ำหนักประมาณ 75 – 200 กิโลกรัม โดยตัวผู้จะมีน้ำหนักหนักกว่าตัวเมีย สามารถวิ่งได้เร็ว 30 ไมล์/ชั่วโมง ตัวเมียสามารถมีลูกได้ครอกละ 10 – 11 ตัว ปีละ 2 ครอก
กรามและเขี้ยวหมูป่า : มีฟันหน้างอกและยาวออกมาคล้ายพลั่ว คือ เขี้ยว ที่เอาไว้ใช้ป้องกันตัวและขุดหาอาหาร หมูป่าจะมีฟันทั้งหมด 44 ซี่ โดยเขี้ยวจะเป็นฟันหน้าด้านล่างที่ยาว แคบและยื่นออกไปทางข้างหน้า ทำหน้าที่คล้ายพลั่ว โดยเฉพาะในการขุดหาอาหาร โดยขุดขุ้ยตามพื้นดินหรือตามโป่ง เขี้ยวของหมูป่าจะไม่มีรากฟัน โดยเฉพาะในตัวผู้ เขี้ยวจะค่อยๆเพิ่มขนาดจากเล็กไปใหญ่ ส่วนฟันกรามซี่สุดท้ายจะมีขนาดเท่ากับฟันกรามซี่ที่ 1 และ 2 รวมกัน
การกระจายพันธุ์และนิเวศวิทยา : หมูป่าจัดเป็นสัตว์ที่กระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางมาก ทั้งในทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปยุโรป ทวีปเอเชียและแอฟริกา และในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็สามารถพบเห็นได้ทั่วไป จึงทำให้มีทั้งหมด 10 ชนิดย่อยด้วยกัน อาศัยอยู่ได้หลากหลายสภาพแวดล้อม แต่มักเลือกที่จะอยู่ใกล้แหล่งน้ำ เพราะชอบนอนแช่ปลักโคลนในวันที่มีอากาศร้อน สามารถกินอาหารได้หลากหลายทั้งพืชและสัตว์ ขนาดเล็ก เช่น สัตว์เลื้อยคลานหรือแม้แต่ซากสัตว์ด้วย
ชื่อสามัญ : Pileated gibbon
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Hylobates pileatus
วงศ์ : Hylobatidae
ประเภท : สัตว์ป่าคุ้มครอง
ลักษณะ : ตัวผู้สีดำ ตัวเมียสีขาวนวล เมื่อเกิดใหม่สีขาวนวลเหมือนกัน พออายุ 4 - 6 เดือน ขนที่หน้าอกจะเปลี่ยนสีเป็นสีดำเกิดเป็นรูปสามเหลี่ยมปลายแหลมลงที่ท้อง และบนหัวขนเปลี่ยนเป็นสีดำ เกิดขึ้นตรงกลางหัวเป็นรูปทรงกลม พออายุประมาณ 3 – 4 ปี ตัวผู้ขนจะเปลี่ยนเป็นสีดำทั่วตัว ยกเว้นคิ้ว ถุงอัณฑะ หลังมือหลังเท้าและวงรอบใบหน้า ซึ่งขนจะเป็นสีขาวดังเดิม รอบๆ จุดดำบนหัวจะมีขนสีขาวยาวเป็นลอนแซมขึ้นมาเห็นเด่นชัด ส่วนตัวเมียขนทั่วตัวไม่เปลี่ยนสีดำ สีขนจะคงเดิม ที่หน้าอกและบนหัวจะมีสีดำ มองดูที่หน้าอกคล้ายผูกเอี๊ยมดำและ บนหัวดูคล้ายเป็นมงกุฎ สีดำ ขนรอบจุดดำบนหัวเป็นลอนยาวสีขาวเช่นเดียวกับตัวผู้
พฤติกรรมและการสืบพันธุ์ : มีพฤติกรรมและการสืบพันธุ์เหมือนชะนีทั่วไป แต่มีนิสัยดุร้ายเมื่อโตเต็มที่แล้ว เมื่อมีอายุ 7 - 8 ปี จึงผสมพันธุ์ได้ ตั้งท้องนานประมาณ 240 วัน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว
อาหาร : ผลไม้ ใบไม้ แมลง และสัตว์เลื้อยคลาน ดื่มน้ำโดยใช้วิธีการเลียตามขนตัวเองและหาตามโพรงไม้
ถิ่นอาศัย : พบอาศัยอยู่ในแถบประเทศลาวและกัมพูชา ทางด้านทิศตะวันตกของ แม่น้ำโขง สำหรับในประเทศไทยพบทางภาคตะวันออก เช่น จังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี จันทบุรี ตราด และในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
ชื่อสามัญ : Long-tailed macaque , Crab-eating macaque
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Macaca fascicularis
วงศ์ : Cercopithecidae
ประเภท : สัตว์ป่าคุ้มครอง
ลักษณะ : จัดเป็นลิงขนาดกลาง มีขนตามลำตัวสีน้ำตาล หางยาวกว่าความยาวของลำตัว ขนตรงกลางหัวมีลักษณะตั้งแหลมชี้ขึ้น ขนใต้ท้องสีขาว โดยสีขนจะเปลี่ยนแปลงไปตามอายุ ฤดูกาล และถิ่นที่อยู่อาศัย ขนาดความยาวลำตัวและหัวประมาณ 48.5 – 55 เซนติเมตร ความยาวหาง 44 – 54 ซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 3.5 – 6.5 กิโลกรัม
การสืบพันธุ์ : โตเต็มที่เมื่อมีอายุได้ราว 3 – 4 ปี ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ลูกที่มีอายุน้อยจะเกาะติดแม่เสมอ และจัดเป็นลิงอีกชนิดหนึ่งที่หากเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็ก ก็สามารถนำมาฝึกหัดให้เชื่องได้เหมือนลิงกัง (M. nemestrina)
พฤติกรรม : ชอบอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง สามารถว่ายน้ำและดำน้ำเก่ง ขณะดำน้ำจะลืมตาจับเหยื่อ ออกหากินตอนกลางวัน
อาหาร : ปู ปลา หอย แมลง ไข่นกบางชนิด พืช ผัก และผลไม้ต่างๆ เวลากินอาหารมักชอบเก็บไว้ข้างแก้มแล้วค่อยๆ เอามือดันอาหารที่เก็บไว้ออกมากินทีละน้อย
การแพร่กระจายพันธุ์ : มีการแพร่กระจายพันธุ์ที่ค่อนข้างกว้าง โดยพบตั้งแต่ประเทศอินเดีย พม่า ไทย คาบสมุทรมลายู เกาะสุมาตรา เกาะบอร์เนียว เกาะลูซอน และเกาะมินดาเนา ของฟิลิปปินส์ ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ทำให้มีชนิดย่อยมากถึง 10 ชนิด
ชื่อสามัญ : Alexandrine parakeet , Alexandrine parrot
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Psittacula eupatria
วงศ์ : Psittacidae
ประเภท : สัตว์ป่าคุ้มครอง
ลักษณะ : นกแก้วโม่งมีความยาววัดจากหัวถึงปลายหางได้ราว 57 - 58 เซนติเมตร ลำตัวมีสีเขียว จงอยปากมีลักษณะงุ้มใหญ่สีแดงสด บริเวณหัวไหล่จะมีแถบสีแดงแต้มอยู่ทั้งสองข้าง นกเพศผู้และเมียสามารถแยกแยะได้เมื่อนกโตเต็มที่ กล่าวคือในเพศผู้จะปรากฏมีแถบขนสีดำและสีชมพูรอบคอที่เรียกกันว่า "Ring Neck" ซึ่งในนกเพศเมียไม่มีเส้นที่ปรากฏดังกล่าว
อุปนิสัย : นกแก้วโม่งจัดเป็นนกแก้วที่มีเสียงร้องค่อนข้างดัง และมักเลือกที่จะทำรังตามโพรงไม้ใหญ่ๆ โดยใช้วิธีแทะหรือขุดโพรงไม้จำพวกไม้เนื้ออ่อน หรืออาจเลือกใช้โพรงไม้ที่เก่าต่างๆ โดยในฤดูผสมพันธุ์ซึ่งจะแตกต่างกันตามลักษณะสายพันธุ์ย่อย อันเกี่ยวเนื่องกับอุณหภูมิและสภาพทางภูมิศาสตร์ แต่โดยเฉลี่ยจะเริ่มจากเดือนพฤศจิกายน ไปจนถึงราวปลายเมษายน โดยในระหว่างฤดูผสมนี้เพศเมียจะค่อนข้างแสดงอาการดุ และก้าวร้าวมากขึ้น
การผสมพันธุ์ : แก้วโม่งวางไข่ปีละครั้ง ครั้งละ 2 - 4 ฟอง
อาหาร : เมล็ดพืชต่างๆ ผลไม้หลากชนิด ใบไม้อ่อน น้ำหวานจากดอกไม้
ถิ่นกำเนิด : นกแก้วโม่งมีถิ่นกำเนิดแพร่กระจายทั่วไปในแถบทวีปเอเชีย ตั้งแต่ฝั่งตะวันตกและตะวันออกของอัฟกานิสถาน, ไล่ลงไปยังอินเดีย, อินโดจีน เช่น พม่า หรือ ประเทศไทยฝั่งตะวันตก รวมทั้งยังพบได้ตามหมู่เกาะในทะเลอันดามัน
สถานการณ์อนุรักษ์ : นกแก้วโม่งจัดเป็นนกแก้วที่นิยมนำมาเป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์ เพราะพบว่าเป็นนกแก้วที่มีความสามารถในการเลียนเสียงต่างๆ โดยเฉพาะเสียงมนุษย์ได้ดี ปัจจุบันนกแก้วโม่งจัดเป็นนกที่อยู่ในบัญชีคุ้มครอง 2 ของอนุสัญญาไซเตส รวมทั้งเป็นนกที่กฎหมายให้ความคุ้มครองในแต่ละประเทศด้วยเช่นกัน นกแก้วโม่งเป็นนกที่ได้รับการนำมาเพาะพันธุ์โดยมนุษย์ประสบผลสำเร็จ ทำให้แนวทางในลดปัญหาจากลักลอบจับหรือล่านกแก้วโม่งป่า เพื่อการค้า มีแนวโน้มที่ดีขึ้น
ชื่อสามัญ : Green Peafowl
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pavo muticus
วงศ์ : Phasianidae
ประเภท : สัตว์ป่าคุ้มครอง
ลักษณะ : นกยูงจัดว่าเป็นนกขนาดใหญ่ที่มีความสวยงามที่สุดชนิดหนึ่ง ขนาดโตเต็มที่สูงประมาณ 0.8 – 1 เมตร น้ำหนักเมื่อโตเต็มที่จะหนักประมาณ 4 – 6 กิโลกรัม มีอายุได้ถึง 40 – 50 ปี ตัวผู้มีขนาดโตกว่าตัวเมีย ตัวผู้เมื่อโตเต็มวัยขนคอจะมีสีน้ำเงิน หรือลักษณะคล้ายเกล็ดมีสีเขียว ขนตามลำตัวจะมีสีเขียวเข้มอมน้ำเงินหรือดำ ขนหลังเป็นเกล็ดคล้ายใบไม้ซ้อนทับกันตลอดแผ่นหลัง หัวจะมีหงอนลักษณะคล้ายพู่กันปลายแหลม ส่วนขนปีกจะมีสีเขียวเข้มอมน้ำเงินดำและขนหางจะมีสีเขียวเข้ม และมีดอกคล้ายรูปดวงตาตรงส่วนปลาย
การผสมพันธุ์ : นกยูงตัวเมียอายุ 2 ปี เจริญเต็มวัยพร้อมจะผสมพันธุ์ได้ ส่วนตัวผู้ต้องมีอายุอย่างน้อย 3 ปี ฤดูผสมพันธุ์ เริ่มประมาณเดือนธันวาคมถึงพฤษภาคม ตัวผู้จะผสมพันธุ์กับตัวเมียหลายตัว หากมีนกยูงตัวเมียผ่านเข้าไปในเขตแดนของตัวผู้ ตัวผู้จะเดินเข้าไปหาและรำแพนหางเพื่อ โอ้อวด บางครั้งก็สั่นหางให้เกิดเสียงดังเป็นช่วงๆเพื่อเรียกร้องความสนใจจากตัวเมีย ถ้าตัวเมียพอใจก็จะเดินเข้าไปหาและย่อตัวลงให้ตัวผู้ขึ้นผสมพันธุ์
การทำรังและวางไข่ : หลังผสมพันธุ์ นกยูงตัวเมียจะทำรังวางไข่บนพื้นดินตามที่โล่ง ซุ้มกอพืช หรือซุ้มไม้ โดยอาจมีหญ้าหรือใบไม้แห้งมารองรับ แม่นกยูงออกไข่แต่ละรุ่นประมาณ 4 – 8 ฟอง ออกทุก 2 – 3 วัน ไข่สีเนื้อถึงน้ำตาลอ่อน บางฟองมีลายแต้มสีน้ำตาลหรือน้ำตาลแกมแดง มีขนาดใหญ่กว่าไข่ไก่พอสมควร เฉลี่ย 54.2 × 72.6 มิลลิเมตร น้ำหนักเฉลี่ย 114.5 กรัม เริ่มฟักหลังจากวางไข่ฟองสุดท้าย แล้วใช้เวลาฟักประมาณ27 – 30 วัน
อุปนิสัย : ชอบอาศัยอยู่ในป่าดิบแล้งและป่าผลัดใบผสมตามริมลำธารในป่า มีพฤติกรรมมักร้องตอนเช้าหรือพลบค่ำ
อาหาร : อาหารจำพวกเมล็ดพืช แมลง และสัตว์เล็กๆ
การกระจายพันธุ์ : มีการกระจายพันธุ์อยู่ทางเหนือของประเทศอินเดียไปทางทิศตะวันออกผ่านพม่า, ตอนใต้ของประเทศจีน, ไทย, ลาว, เวียดนาม, กัมพูชา, มาเลเซียและชวา
ชื่อสามัญ : Silver pheasant
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Lophura nycthemera
วงศ์ : Phasianidae
ประเภท : สัตว์ป่าคุ้มครอง
ลักษณะ : ไก่ฟ้าหลังขาว เป็นนกขนาดกลาง - ใหญ่ ความยาวจากปลายปากถึงปลายหาง ประมาณ 50 - 125 เซนติเมตร ในประเทศไทยพบ 2 ชนิดย่อย คือ ไก่ฟ้าหลังขาว และไก่ฟ้าหลังขาวจันทบุรี ตัวผู้มีขนหงอนบนหัวสีน้ำเงินแก่ยาวคลุมท้ายทอย ใบหน้ามีแผ่นหนังสีแดง ขนตอนบนของลำตัวส่วนใหญ่และปีกสีขาววาวเหมือนเงิน มีลายเป็นเส้นบางๆ สีดำเป็นรูปตัววี (V) อยู่บนขน ตัวเมียมีขนหงอนบนหัวสีน้ำเงินแก่ แต่มีเพียงเล็กน้อยพอสังเกตเห็นเท่านั้น ขนตามตัวส่วนใหญ่สีน้ำตาลคล้ำ แข้งสีแดง ไม่มีเดือย
การสืบพันธุ์ : ไก่ฟ้าหลังขาวเป็นสัตว์ปีกชนิดที่ตัวผู้สามารถผสมพันธุ์กับตัวเมียหลายตัว (Polygamous) ในกรงเลี้ยงมีฤดูผสมพันธุ์และวางไข่อยู่ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ - มิถุนายน แต่ไข่ปลายฤดูมักมีอัตราการผสมติดต่ำ ในพื้นที่กรงขนาด 2.5 x 5 x 2 เมตร สามารถจับคู่ผสมพันธุ์ตัวผู้หนึ่งตัวต่อตัวเมียหนึ่งถึงห้าตัวได้ ในธรรมชาติตัวเมียจะทำรังตามพื้นดินหรือกอหญ้าเป็นแอ่งเล็กๆ มีใบพืชรองรัง วางไข่ 4 - 6 ฟอง ไข่มีสีขาวนวลไม่มีลาย แต่ในกรงเลี้ยงมักไข่ตามมุมกรงหรือที่เตรียมไว้ และหากเก็บไข่ไปฟักเองแม่ไก่จะวางไข่ทดแทนซึ่งไก่ฟ้าหลังขาวธรรมดาจะออกไข่ทดแทนได้มากกว่าไก่ฟ้าหลังขาวจันทบุรี
พฤติกรรม : หากินเป็นคู่ๆ ไม่ชอบอยู่เป็นฝูงเหมือนไก่ป่า หากินตอนเช้าและพลบค่ำ ในเวลากลางคืนจะจับคอนนอนตามกิ่งไม้ หรือกิ่งไผ่ เริ่มผสมพันธุ์ได้เมื่อมีอายุ 3 ปี วางไข่ครั้งละ 4 - 6 ฟอง ระยะฟักไข่นาน 23 - 24 วัน โดยตัวเมียฟักไข่เพียงตัวเดียว ลูกแรกเกิดมีขนอุยปกคลุมทั่วตัว เมื่อขนแห้งก็เดินตามแม่ไปหาอาหารกินได้เลย
อาหาร : ได้แก่ เมล็ดพืช ดอกหญ้า ใบไม้ ผลไม้ แมลง ตัวหนอน ไข่มด
การกระจายพันธุ์ : พบในประเทศจีน พม่า ไทย และ อินโดจีน ในประเทศไทยพบทาง ภาคตะวันตก ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก
ชื่อสามัญ : Great hornbill
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Buceros bicornis
วงศ์ : นกเงือก (Bucerotidae)
ประเภท : สัตว์ป่าคุ้มครอง
ลักษณะ : เป็นนกเงือกขนาดใหญ่มาก ใบหน้าดำ คอขาว ลำตัวด้านบนสีดำ อกดำ คอและท้องขาว ปากและโหนกแข็งสีเหลือง โหนกแข็งมีขนาดใหญ่ด้วนบนแบน หรือนูนเล็กน้อย ส่วนท้ายเว้า ส่วนหน้าแตกออกไปเป็น 2 กิ่ง ปลายกิ่งอาจแหลมหรือทู่ ปีกสีดำ ขณะบินจะเห็นแถบกว้างสีเหลืองกลางปีก ขอบปลายปีกสีขาว หางสีขาวคาดแถบดำ ตัวผู้ขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย ด้านหน้าของโหนกแข็งมีสีดำ ตาสีแดง ส่วนตัวเมียโหนกแข็งไม่มีสีดำ ตาสีขาว
พฤติกรรม : มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูงขนาดเล็ก จนกว่าจะโตเต็มที่และหาคู่ได้ มีฤดูผสมพันธุ์ระหว่างเดือนมกราคม - พฤษภาคม โดยตัวผู้จะเป็นฝ่ายเกี้ยวพาราสีตัวเมีย และเสาะหาโพรงไม้ตามต้นไม้ใหญ่ที่นกหรือสัตว์อื่นทิ้งไว้ ทั้งนี้เนื่องจากนกกกไม่สามารถที่จะเจาะโพรงเองได้ เนื่องจากจะงอยปากไม่แข็งแรงพอ ตัวเมียจะใช้เวลาตัดสินใจเข้าโพรงนานอาจนานเป็นสัปดาห์ ทั้งนี้เพราะระยะเวลาที่ตัวเมียจะเข้าไปอยู่ในโพรงเพื่อวางไข่และเลี้ยงดูลูกอ่อนกินเวลานานถึง 3 เดือน ในระยะนี้นกกกตัวผู้จะเอาใจตัวเมียเป็นพิเศษด้วยการบินออกอาหารมาป้อนตัวเมียอยู่สม่ำเสมอ ขณะที่ตัวเมียเมื่อเข้าไปในโพรงแล้วจะปิดปากโพรงเหลือเพียงช่องพอให้ปากของตัวผู้ส่งอาหารมาได้เท่านั้น ด้วยมูล เศษอาหาร และเศษไม้ในโพรง
อาหาร : ได้แก่ ผลไม้ป่าต่างๆ โดยเฉพาะ ลูกไทร และสัตว์ชนิดต่างๆ เช่น หนู งู นก แมลง
ถิ่นอาศัย : พบในอินเดียตะวันตกเฉียงใต้ ตลอดถึงพม่า ไทย และเกาะสุมาตรา สำหรับประเทศไทยมีทั่วไปเกือบทุกภาคยกเว้นภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ชื่อสามัญ : Wreathed Hornbill , Bar-pouched wreathed hornbill
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Aceros undulatus
วงศ์ : นกเงือก (Bucerotidae)
ประเภท : สัตว์ป่าคุ้มครอง
ลักษณะ : นกเงือกกรามช้างยาว 75 – 100 เซนติเมตร เพศผู้หนัก 1.8 - 3.65 กิโลกรัม เพศเมียหนัก 1.36 - 2.7 กิโลกรัม มีโหนกเป็นลอนหยักบริเวณด้านบนของปาก ปากด้านข้างเป็นรอยสัน ทั้งสองเพศมีลักษณะต่างกัน เพศผู้มีถุงใต้คอสีเหลืองขีดดำสองข้าง เพศเมียมีถุงสีฟ้า ลำตัวสีดำปลอด หางมีสีขาว
อาหาร : ชอบกินผลไม้เป็นอาหารหลัก เช่น ไทร ยางโอน หว้า ตาเสือเล็ก สุรามะริด ตาเสือใหญ่ มะอ้า พิพวน มะเกิ้ม ส้มโมง ฯลฯ กินอาหารจำพวกสัตว์บ้างไม่มากนัก ได้แก่ แมลงต่างๆ
ถิ่นอาศัย : ชอบอาศัยอยู่ตามป่าดงดิบ และป่าผสมผลัดใบ จากที่ราบจนถึงที่สูง 1,800 เมตรจากระดับน้ำทะเล แต่อาจพบได้ในป่าเบญจพรรณ และยังพบตามเกาะต่างๆด้วย
การผสมพันธุ์ : นกเงือกกรามช้างผสมพันธุ์ในช่วงปลายฤดูหนาวต่อฤดูร้อน ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม มันทำรังตามโพรงต้นไม้ที่เกิดตามธรรมชาติหรือที่สัตว์อื่นทำไว้ โพรงอยู่สูงจากพื้นดินประมาณ 25 - 30 เมตร ทั้งตัวผู้และตัวเมียช่วยกันเลือกโพรงไม้ มักใช้โพรงเดิมทำรังเป็นประจำทุกปี ยกเว้นโพรงเดิมถูกทำลาย หรือมีสัตว์อื่นแย่งเข้าไปทำรังก่อน ไข่ของนกเงือกกรามช้างมีรูปร่างรี สีขาว ผิวค่อนข้างหยาบ รังมีไข่ 2 ฟอง หายากที่มี 3 ฟอง ใช้เวลาฟักไข่ทั้งสิ้น 31 วัน ขณะที่ตัวเมียและลูกนกอยู่ในโพรง ตัวผู้จะหาอาหารมาป้อน หลังจากที่ไข่ฟักเป็นตัวแล้ว ลูกนกจะอยู่ในโพรงอีก 8 - 12 สัปดาห์ จากนั้นตัวผู้จะเจาะปากโพรงให้ตัวเมียและลูกนกออกมาจากโพรง ในช่วงนี้ตัวผู้จะยังคงหาอาหารมาป้อนตัวเมียและลูกนก จนกระทั้งลูกนกแข็งแรง บินได้ดี และหาอาหารเองได้ จากนั้นพวกมันจะทิ้งรังไปรวมฝูงกับนกครอบครัวอื่น
ชื่อสามัญ : Kalij pheasant
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Lophura leucomelanos
วงศ์ : Phasianidae
ประเภท : สัตว์ป่าคุ้มครอง
ลักษณะ : ไก่ฟ้าหลังเทา มีขนาดความยาวของลำตัวประมาณ 51 – 74 เซนติเมตร ตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะไม่เหมือนกัน ตัวผู้จะมีขนหลังสีเทา มีลายสีขาวปนอยู่ ตา อก และท้องเป็นสีน้ำเงิน หงอนเป็นสีน้ำเงิน ขนหางด้านบนสีขาวส่วนด้านล่างมีสีเทา ตัวเมียขนสีน้ำตาลและคอเป็นลายสีขาว หงอนเป็นสีน้ำตาลขาว แต่ทั้งสองเพศจะมีหน้าและเหนียงเป็นหนังสีแดงเข้ม ขาสีเทา
การสืบพันธุ์ : ฤดูผสมพันธุ์อยู่ในช่วงเดือนมีนาคม - พฤษภาคม ทำรังตามแอ่งบนพื้นดินใต้กอไม้รกๆรองรังด้วยใบหญ้าแห้ง วางไข่ครั้งละ 6 - 9 ฟอง ไข่มีตั้งแต่สีครีมจนถึงสีเนื้อแกมแดง ใช้เวลาฟักไข่ 24 - 25 วัน โดยตัวเมียฟักไข่เพียงตัวเดียว ลูกนกแรกเกิดมีขนอุยปกคลุมทั่วตัว หลังออกจากไข่ 3 - 4 ชั่วโมง หรือเมื่อขนแห้งก็จะเดินตามแม่ไปหาอาหารได้
พฤติกรรม : มักหลบซ่อนตัวอยู่ตามพุ่มไม้รกทึบโดยจะอยู่เป็นคู่หรือเป็นครอบครัว
อาหาร : ได้แก่ แมลง ตัวหนอน ไส้เดือน สัตว์ขนาดเล็ก และเมล็ดพืชบางชนิด เช่น ขุยไผ่ เมล็ดหญ้า ผลไม้สุก
ถิ่นอาศัย : พบในป่าทึบโดยเฉพาะในตีนเขาของเทือกเขาหิมาลัย จากแม่น้ำสินธุไปทางตะวันตกจนถึงไทย มันถูกนำเข้าสู่รัฐฮาวาย (แต่ค่อนข้างหายาก) ที่นั่นมันจัดเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่กินและแพร่กระจายพืชชนิดพันธุ์ต่างถิ่น
ชื่อสามัญ : Gaur, Indian Bison
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tapirus indicus
วงศ์ : Tapiridae
ประเภท : สัตว์ป่าคุ้มครอง
ลักษณะ : มีรูปร่างใหญ่โตล่ำสัน คุณยาวสีน้ำตาลเข้มจนถึงดำ เว้นตรงหน้าผากและครึ่งล่างของขาและทั้งสี่ขาเป็นสีขาวเทาหรือเหลืองทองเหมือนใส่ถุงเท้า สี่คนบริเวณหน้าผากและถุงเท้าเกิดจากคราบน้ำมันในเหงื่อ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของสัตว์ชนิดนี้ ขอสั้นและมีฟืม (เหนียงคอ) ห้อยยาวลงมาจากใต้คอ หลังคอเป็นโหนกสูงเกิดจากส่วนของกระดูกสันหลังที่ยืนยาวออกไป เขามีสีเขียวเข้ม ปลายเขามีสีสด บริเวณโคนเขามีรอยย่น ซึ่งรอยนี้จะมีมากขึ้นตามอายุของมัน มีความยาวหัวถึงลำตัว 2.5 - 3.3 เมตร หางยาว 0.7 - 1.05 เมตร ความสูงที่หัวไหล่ 1.65 - 2.2 เมตร น้ำหนัก 650 - 900 กิโลกรัม มีเขาทั้งตัวผู้และตัวเมีย ตัวผู้ใหญ่กว่าและหนักกว่าตัวเมีย ลูกที่เกิดใหม่จะมีสีน้ำตาลแก้มแดงเหมือนสีขนของเก้ง มีเส้นสีดำพาดกลางหลัง ลูกกระทิงขนาดเล็กจะยังไม่มีถุงเท้าเหมือนตัวโต
พฤติกรรม : ชอบอาศัยหากินอยู่ในทุ่งหญ้าพื้นที่สูง อยู่รวมกันเป็นฝูงโดยสูงหนึ่งมีสมาชิกตั้งแต่ 2 - 60 ตัว ประกอบด้วยตัวผู้เต็มวัยหนึ่งตัว ตัวเมียและลูก ตัวผู้มักอาศัยอยู่ตามลำพัง แต่จะเข้าไปอยู่รวมสูงเมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ เสียงร้องเตือนภัยของกระทิงเป็นเสียงพ่นฟืดฟัด และเสียงมอ คือเสียงเรียกให้หยุดหรือเรียกรวมฝูง เสียงกู่ร้องอาจยาว นานนับชั่วโมงในช่วงผสมพันธุ์ ฝูงกระทิงจะเดินหากินสลับไปกับการนอนหลับพักผ่อนตลอดทั้งวัน โดยบางตัวจะนอนหลับท่ายืนหรือนอนราบกับพื้น มัคหากินอยู่ไม่ไกลจากแหล่งน้ำมากนักเนื่องจากอดน้ำไม่เก่ง
การสืบพันธ์ : กระทิงผสมพันธุ์ได้ตลอดปี ออกลูกได้ทุก 12 - 15 เดือน คาดการเป็นสัตว์ประมาณ 3 สัปดาห์ ระยะเวลาเป็นสัดตั้งแต่ 1 - 4 วัน แม่กระทิงตั้งท้องนาน 9 เดือน เมื่อใกล้ออกลูกแม่กระทิงจะปลีกตัวออกจากฝูง ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ลูกแรกเกิดหนัก 23 กิโลกรัม แม่กระทิงจะเลี้ยงดูลูกเป็นเวลานานราว 9 เดือน รูปกระทิงสาวถึงวัยเจริญพันธุ์ได้เมื่ออายุ 2 - 3 ปี กระทิงมีอายุยืน 25 - 30 ปี
ถิ่นอาศัย : เคยพบตลอดทั้งแผ่นดินใหญ่ของเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ศรีลังกา ปัจจุบันยังพบอยู่ในภูฏาน กัมพูชา จีน อินเดีย ลาว มาเลยเซีย (เฉพาะคาบสมุมรมลายู) พม่า เนปาล ไทย และเวียดนาม สถานภาพในประเทศไทยปัจจุบันพบกระจายอยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ในธรรมชาติเป็นสัตว์ป่าที่อาจสูญพันธุ์
ชื่อสามัญ : Eld's deer , Thamin , Brow-antlered deer
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Panolia eldii
วงศ์ : Cervidae
ประเภท : สัตว์ป่าสงวน
ลักษณะ : เป็นกวางขนาดกลาง ขนตามลำตัวสีน้ำตาลแดง แต่สีขนจะอ่อนลงเมื่อเข้าสู่ ฤดูร้อน ขนหยาบและยาว ในฤดูหนาวขนจะยาวมาก แต่จะร่วงหล่นจนดูสั้นลงมากในช่วงฤดูร้อน ในตัวผู้จะเรียกว่า ละอง ตัวเมียซึ่งไม่มีเขาจะเรียกว่า ละมั่ง แต่จะนิยมเรียกคู่กัน ละองตัวที่ยังโตไม่เต็มวัยจะมีขนแผงคอที่ยาว ลูกแรกเกิดจะมีจุดสีขาวกระจายอยู่รอบตัว และจุดนี้จะจางหายเมื่ออายุมากขึ้น ขอบตาและริมฝีปากล่างมีสีขาว มีความยาวลำตัวและหัว 150 - 170 เซนติเมตร ความยาวหาง 220 - 250 เซนติเมตร น้ำหนัก 95 - 150 กิโลกรัม
อุปนิสัย : ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็ก ตัวผู้ที่โตเต็มวัยจะเข้าฝูงเมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ ออกหากินใบหญ้า ใบไม้ และผลไม้ทั้งเวลากลางวันและกลางคืน แต่เวลาแดดจัดจะเข้าหลบพักในที่ร่ม ละองละมั่งผสมพันธุ์ในเดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนเมษายน ตั้งท้องนาน 8 เดือน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว
อาหาร : ได้แก่ หญ้า ยอดไม้ และผลไม้ป่าต่างๆ
ที่อยู่อาศัย : อยู่ตามป่าโปร่ง และป่าทุ่ง โดยเฉพาะป่าที่มีแหล่งน้ำขัง
เขตแพร่กระจาย : แพร่กระจายในประเทศอินเดีย พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม และเกาะไหหลำ ในประเทศไทยอาศัยอยู่ในบริเวณเหนือจากคอคอดกระขึ้นมา
สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : ปัจจุบันละองละมั่งกำลังใกล้จะสูญพันธุ์หมดไปจากประเทศไทย เนื่องจากสภาพป่าโปร่ง ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยถูกบุกรุกทำลายเป็นไร่นา และที่อยู่อาศัยของมนุษย์ ทั้งยังถูกล่าอย่างหนักนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นต้นมา