ต้นอ่อนทานตะวัน คือ ต้นอ่อนที่เพิ่งงอกออกจากเมล็ด ซึ่งเป็นระยะก่อนที่จะเจริญเติบโตไปเป็นต้นกล้า ซึ่งในช่วงเวลาของการเป็นต้นอ่อนนั้นเป็นช่วงเวลาสำคัญของการสะสมแร่ธาตุอาหารที่สำคัญ การรับประทานต้นอ่อนจากเมล็ดงอกจะทำให้ร่างกายแข็งแรง อีกทั้งสามารถนำไปรับประทานได้ทั้งแบบสดและปรุงสุก ต้นอ่อนทานตะวันจึงเป็นเมล็ดงอกที่ได้รับความนิยมสำหรับผู้ที่รักสุขภาพ การเพาะต้นอ่อนทานตะวัน จำเป็นจะต้องใช้การสังเคราะห์แสง และต้องคำนึงถึงปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของ ต้นอ่อน จึงได้นำหลักการบรูณาการสะเต็มศึกษาสู่อาชีพเข้ามาใช้การเรียนรู้การเพาะ
เมล็ดงอก คือ ต้นอ่อนที่เพิ่งงอกออกจากเมล็ด ซึ่งเป็นระยะก่อนที่จะเจริญเติบโตไปเป็นต้นกล้า นักวิทยาศาสตร์ได้วิจัยมาแล้วว่า ในช่วงเวลาของการเป็นต้นอ่อนนั้น จัดเป็นช่วงเวลาสำคัญของการสะสมแร่ธาตุอาหารที่สำคัญและจำเป็นต่อการบำรุงต้น เมื่อต้นโตขึ้น ดังนั้น การรับประทานต้นอ่อนจากเมล็ดงอกชนิดต่างๆ จึงทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์มาก นอกจากนี้กระบวนการผลิตยังใช้เวลาเพียง 5-10 วัน ใช้วิธีการเพียงรดน้ำเท่านั้น จึงปลอดภัยจากสารพิษและสารเคมี 100 %
เมล็ดทานตะวันมีแบบสีดำ และแบบลาย แต่เมล็ดทานตะวันถูกแบ่งเป็น 4 แบบ
(1) เมล็ดทานตะวันแบบดำใหญ่ มีลายอ่อนๆ นิยมนำมาทำเมล็ดทานตะวันคั่วหรืออบแห้งขาย เมล็ดแบบนี้เหมาะสำหรับแทะเมล็ดรับประทาน ในไทยไม่นิยมปลูก พบมากในประเทศจีน
(2)เมล็ดทานตะวันแบบดำจัมโบ้ เมล็ดกลม นำมาปลูกต้นอ่อนจะให้ต้นอ่อนที่อวบใหญ่ ได้น้ำหนักมาก แต่รสชาติดีด้อยกว่าเมล็ดลายและค่อนข้างเหนียว
(3) เมล็ดทานตะวันแบบดำขนาดกลาง ให้ต้นอ่อนที่อวบ
(4)เมล็ดทานตะวันแบบลาย ได้ต้นอ่อนที่ผอมเรียวยาว รสชาติดี และไม่เหนียวที่สำคัญเมล็ดลายจะมีน้ำมันทานตะวันมากกว่าแบบอื่น ซึ่งน่าจะให้ประโยชน์ มากกว่าด้วย
วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการเพาะต้นอ่อนทานตะวัน
1.กะละมัง
2. ผ้าขนหนูหรือกระสอบป่าน
3.ถาดเพาะ
4.ชั้นวาง
5.ตาข่ายกรองแสง
6.ตาชั่ง
7.หัวฉีดน้ำ
8.กระชอนตักเมล็ด
9.ดินปลูก
10.เมล็ดทานตะวันแบบดำและแบบลาย
11.มีดหรือกรรไกร
12.ถุงบรรจุ
13.ไม้บรรทัด
14.ตลับเมตร
15.สายวัด
ขั้นตอนที่ 1 นำเมล็ดแช่น้ำ 4-6 ชม. ระหว่างแช่จะมีฟองอากาศซึ่งเกิดจากน้ำเข้าไปในเมล็ดครับ หลังจากนั้นเทน้ำออก
ขั้นตอนที่ 2 นำเมล็ดบ่มในผ้าขนหนู ประมาณ 18-20 ชม. ทุก ๆ 5 ชม. ให้คนกลับไปกลับมา เมล็ดจะเริ่มงอกเป็นตุ่ม ๆ ดังภาพ แสดงว่าเริ่มเพาะได้แล้ว ให้เรานำดินใส่ถาดที่เตรียมไว้
ขั้นตอนที่ 3 โรยเมล็ดลงดิน โดยไม่ให้หนา หรือบางจนเกินไป
ขั้นตอนที่ 4 โรยดินกลบบาง ๆ และรดน้ำพอชุ่ม
ขั้นตอนที่ 5 นำถาดมาซ้อนกันประมาณ 1 คืน หลังจากนั้นให้นำถาดออกมารดน้ำตามปกติ
ขั้นตอนที่ 6 แยกถาดออกไว้ในร่ม รดน้ำวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
ขั้นตอนที่ 7 เข้าสู่วันที่ 3 รดน้ำต่อวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น พอประมาณ
ขั้นตอนที่ 8 เข้าสู่วันที่ 4 รดน้ำบาง ๆ เพื่อให้ดินหลุดจากใบ สามารถเริ่มเก็บเมล็ดที่ติดใบออกได้ รดน้ำเช้า-เย็นต่อ
ขั้นตอนที่ 9 เข้าสู่วันที่ 5 รดน้ำต่อเช้า-เย็น พอประมาณ
ขั้นตอนที่ 10 เข้าสู่วันที่ 6-7 รดน้ำเช้า-เย็นปกติ และนำออกมารับแสงในวันที่จะตัด ต้นจะเริ่มเขียว สามารถตัดได้ในวันที่ 6-7 หรือมากกว่าก็ได้ครับ แล้วแต่ความยาวของต้น
1. แสง
ช่วง 3 วันแรกไม่ควรให้เมล็ดโดนแสง เพราะในกระบวนการงอกของพืชนั้น ต้นจะพยายามยืดตัวให้สูงพ้นดินให้ได้โดนแดด เพื่อสังเคราะห์แสง แต่ถ้า 3 - 4 วันแรก เรากันไม่ให้ต้นโดนแดด ต้นอ่อนก็จะยืดตัวสูงขึ้นเรื่อยๆเพื่อหาแสงแดด ทำให้ต้นสูง อวบ และได้น้ำหนัก (ถ้าโดนแดดโดยตรงจะทำให้เมล็ดแห้ง งอกช้ากว่าปกติ)
2.น้ำ
น้ำเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์เนื่องจากในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีน้ำเป็นส่วนประกอบมากกว่าครึ่งหนึ่งของน้ำหนักตัวน้ำเป็นส่วนประกอบส่วนใหญ่ภายในเซลล์ช่วยละลายสารอาหารต่างๆช่วยลำเลียงสารอาหารสารเคมีรวมทั้งแร่ธาตุต่างๆระหว่างเซลล์และน้ำยังช่วยลดอุณหภูมิภายในต้นพืชอีกด้วย
3.อากาศ
หากอากาศชื้นเกินไปจะมีโอกาสที่เกิดโรคต่างๆ หรือความชื้นร่วมกับอากาศที่ร้อนอบอ้าวเกินไปโอกาสที่จะเกิดเชื้อราก็มีสูง แต่หากอากาศร้อนจัด มีไอร้อนระเหยขึ้นมาจากพื้นดินให้หมั่นราดน้ำที่พื้นดินเพื่อดับความร้อนป้องกันไม่ให้ต้นเหี่ยวตาย
4.ระยะเวลา (ที่เก็บเมล็ดไว้)
คือ ระยะเวลาที่เก็บเมล็ดไว้ก่อนนำมาปลูก เมล็ดที่เก็บมาใหม่ๆจะมีเปอร์เซ็นต์ในการงอก 100 % ยิ่งหากเก็บเมล็ดไว้นานหรือได้เมล็ดเก่ามาปลูกก็ยิ่งมีอัตราการงอกลดลง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับชนิดของเมล็ดพืชนั้นๆด้วย
5.แร่ธาตุ
ในการเจริญเติบโตของพืชแร่ธาตุช่วยในการทำงานของระบบต่างๆให้ดำเนินไปได้ด้วยดีเมื่อพืชขาดแร่ธาตุบางชนิดจะมีผลทำให้การเจริญเติบโตของพืชผิดปกติซึ่งสังเกตได้จากลักษณะของลำต้นใบดอกและผลจะมีลักษณะผิดปกติแร่ธาตุหลักที่พืชต้องการได้แก่ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) โพแทสเซียม (K) แคลเซียม (Ca) แมกนีเซียม (Mg) กำมะถัน (S) แร่ธาตุที่พืชต้องการในปริมาณรองลงมาเช่นเหล็ก (Fe) สังกะสี (Zn) ทองแดง (Cu)
เชื้อราที่เกิดกับต้นอ่อนนั้น จะมีลักษณะเป็นฝ้าสีขาวๆเกาะอยู่ตามหน้าดิน และจะแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ความชื้นรวมกับอากาศที่อบอ้าวยิ่งทำให้เชื้อราเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
เนื่องจากเป็นช่วงที่มีความชื้นสูง ทำให้ดินมีความชื้นสูงตามไปด้วย ซึ่งเป็นสาเหตุของจุลินทรีย์ร้ายต่างๆมากมาย จุลินทรีย์จะแพร่ขยายอย่างรวดเร็ว
สาเหตุหลักในการเกิดมาจากดินที่ใช้ เป็นดินไม่ดี มีสารอาหารไม่เพียงพอนั้นเอง ส่งผลให้พืชที่ปลูกไม่ได้รับสารอาหารที่ต้องการเพียงพอ หรืออาจเกิดได้จากการที่เมล็ดปลูกเบียดกันจนเกินไป ส่งผลให้พืชบางต้นดูดซึมอาหารไม่ทันต้นอื่นก็เป็นได้
1. ต้นอ่อนทานตะวันช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ป้องกันโรคไขมันในเส้นเลือด
2. ประโยชน์ของต้นอ่อนทานตะวันป้องกันโรคหลายชนิด เช่น มะเร็ง เบาหวาน อัลไซเมอร์ เนื่องจากในต้นอ่อนทานตะวันมีสาร GABA (gamma aminobotyric acid)
3. ต้นอ่อนทานตะวันช่วยควบคุมน้ำหนัก และดูแลผิวพรรณ วิตามินB1 วิตามินB6 โอเมก้า 3, 6, 9
4. ต้นอ่อนทานตะวันช่วยบำรุงเซลล์สมอง ป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ด้วยธาตุเหล็ก
5. ต้นอ่อนทานตะวันมีสรรพคุณบำรุงสายตา รวมถึงชะลอความแก่
6. ต้นอ่อนทานตะวันช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
7. ต้นอ่อนทานตะวัน ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ให้แข็งแรง เนื่องจากต้นอ่อนทานตะวันมีแคลเซียมสูง
8. ประโยชน์ของต้นอ่อนทานตะวันต่อสตรีมีครรภ์ ต้นอ่อนทานตะวันมีสารอาหารโฟเลทสูง หากสตรีมีครรภ์ได้รับประทานจะมีผลดีต่อสุขภาพทั้งของตนเองและทารกในครรภ์
ระยะการปลูกโดยรวมใช้เวลางอก 1 - 2 วัน
ระยะการปลูกโดยรวมใช้เวลาประมาณ 4-5 วัน ก่อนนำไปรับประทาน
เวลาในการเพาะจนทำอาหารได้ก็ประมาณ 4 – 7 วัน
ระยะการปลูกโดยรวมใช้เวลาประมาณ 7-10 วัน ก่อนนำไปรับประทาน
ระยะการปลูกโดยรวมใช้เวลาประมาณ 7-10 วัน ก่อนนำไปรับประทาน
ระยะการปลูกโดยรวมใช้เวลาประมาณ 5-7 วัน ก่อนนำไปรับประทาน
ระยะการปลูกโดยรวมใช้เวลาประมาณ 7 วัน ก่อนนำไปรับประทาน
ระยะเวลาในการปลูก 2-3 วัน ก็จะได้ถั่วงอกนำไปรับประทานหรือจำหน่าย
ระยะการปลูกโดยรวมใช้เวลาประมาณ 4 วัน ก่อนนำไปรับประทาน
ระยะการปลูกโดยรวมใช้เวลาประมาณ 3- 4 วัน ก่อนนำไปรับประทาน
ระยะการปลูกโดยรวมใช้เวลาประมาณ 5-7 วัน ก่อนนำไปรับประทาน
ระยะการปลูกโดยรวมใช้เวลาประมาณ 1 คืน 1 วัน ก่อนนำไปรับประทาน
การจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มมีลักษณะ 5 ประการได้แก่ (1) เป็นการสอนที่เน้นการบูรณาการ (2) ช่วยนักเรียนสร้างความเชื่อมโยงระหว่างเนื้อหาวิชาทั้ง 4 กับชีวิตประจำวันและการทำอาชีพ (3) เน้นการพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 (4) ท้าทายความคิดของนักเรียน และ (5) เปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็น และความเข้าใจที่สอดคล้องกับเนื้อหาทั้ง 4 วิชาจุดประสงค์ของการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา คือ ส่งเสริมให้ผู้เรียนรักและเห็นคุณค่าของการเรียนวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ และเห็นว่าวิชาเหล่านั้นเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สามารถนำมาใช้ได้ทุกวัน