แก๊งคอลเซนเตอร์มักใช้วิธีสุ่มเบอร์โทรศัพท์เพื่อโทรไปหาเหยื่อแล้วใช้ข้อความ อัตโนมัติสร้างความตื่นเต้นหรือตกใจให้แก่เหยื่อ บางครั้งก็แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ หลอกให้เหยื่อทำรายการที่เครื่องเอทีเอ็มเป็นเมนูภาษาอังกฤษ โดยแจ้งว่าเป็นการทำรายการเพื่อล้างหนี้ หรืออาจหลอกให้เหยื่อไปโอนเงินให้หน่วยงานภาครัฐเพื่อตรวจสอบ
ลักษณะกลโกงแก๊งคอลเซนเตอร์
1.บัญชีเงินฝากถูกอายัดหรือเป็นหนี้บัตรเครดิต
มิจฉาชีพจะหลอกเหยื่อว่า บัญชีเงินฝากถูกอายัด หรือเป็นหนี้บัตรเครดิตจำนวนหนึ่ง โดยเริ่มจากการใช้ระบบตอบรับอัตโนมัติแจ้งเหยื่อว่าจะอายัดบัญชีเงินฝาก เนื่องจากเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น เป็นหนี้บัตรเครดิตหรือกระทำการผิดกฎหมาย โดยอาจมีเสียงอัตโนมัติ เช่น “ คุณเป็นหนี้บัตรเครดิตกับทางธนาคาร กด 0 เพื่อติดต่อพนักงาน ” ซึ่งเหยื่อส่วนมากมักจะตกใจและรีบกด 0 เพื่อติดต่อพนักงานทันทีหลังจากนั้นมิจฉาชีพจะหลอกถามฐานะทางการเงินของเหยื่อ หากเหยื่อมีเงินฝากจำนวนไม่มากนัก มิจฉาชีพอาจหลอกให้เหยื่อโอนเงินผ่านเครื่องเอทีเอ็มโดยหลอกว่า เป็นการทำรายการเพื่อล้างบัญชีหนี้
2.มิจฉาชีพจะหลอกเหยื่อว่า บัญชีเงินฝากถูกอายัด หรือเป็นหนี้บัตรเครดิตจำนวนหนึ่ แต่หากมิจฉาชีพพบว่า เหยื่อมีเงินฝากค่อนข้างมาก ก็จะหลอกเหยื่อให้ตกใจว่า บัญชีเงินฝากนั้นพัวพันกับการค้ายาเสพติดหรือการฟอกเงิน และจะให้เหยื่อโอนเงินทั้งหมดผ่านเครื่องเอทีเอ็ม / เครื่องฝากเงินอัตโนมัติ ( CDM หรือ ADM ) เพื่อทำการตรวจสอบกับ หน่วยงานราชการ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เหยื่อได้มีโอกาสสอบถามความจริงจากพนักงาน ธนาคาร
• 3.เงินคืนภาษี
นอกจากจะหลอกให้เหยื่อตกใจแล้ว มิจฉาชีพบางรายก็อ้างว่าตนเป็น เจ้าหน้าที่สรรพากร หลอกให้เหยื่อตื่นเต้นดีใจว่า เหยื่อได้รับเงินคืนค่าภาษี แต่ต้องทำรายการยืนยันการรับเงินที่เครื่องเอทีเอ็ม และวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะยืนยันรับเงินคืน หากเลยกำหนดเวลาแล้ว เหยื่อจะไม่ได้รับเงินคืนค่าภาษี ด้วยความรีบเร่งและกลัวว่าจะไม่ได้เงินคืน เหยื่อก็จะรีบทำตามที่มิจฉาชีพบอก โดยไม่ได้สังเกตว่ารายการที่มิจฉาชีพให้ทำทีเครื่องเอทีเอ็ม นั้น เป็นการโอนเงินให้แก่มิจฉาชีพ
• 4.โชคดีได้รับรางวัลใหญ่
มิจฉาชีพบางรายก็หลอกให้เหยื่อดีใจว่า เหยื่อได้รับรางวัลใหญ่ที่มีมูลค่าสูง จากการจับสลากรางวัล หรือเปิดบริษัทใหม่จึงจับสลากมอบรางวัลแก่ลูกค้า แต่ก่อนที่ลูกค้าจะรับรางวัล ลูกค้าจะต้องจ่ายค่าภาษีให้กับทางผู้แจกรางวัลก่อน จึงจะสามารถส่งของรางวัลไปให้
• 5.ข้อมูลส่วนตัวหาย
มิจฉาชีพประเภทนี้จะโทรศัพท์แอบหลอกถามข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อเพื่อใช้ ประกอบการปลอมแปลงเอกสาร หรือใช้บริการทางการเงินในนามของเหยื่อ โดยมิจฉาชีพจะ อ้างว่าตนเป็นเจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงินที่เหยื่อใช้บริการอยู่ แต่เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ข้อมูล ส่วนตัวของลูกค้าสูญหาย เช่น น้ำท่วม จึงขอให้เหยื่อแจ้งข้อมูลส่วนตัวเพื่อยืนยันความถูกต้อง เช่น วัน/เดือน/ปีเกิด เลขที่บัตรประชาชน เลขที่บัญชีเงินฝากเมื่อได้ข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อแล้ว มิจฉาชีพจะนำข้อมูลเหล่านี้ไปแอบอ้างใช้บริการทางการเงินในนามของเหยื่อ เช่น ขอสินเชื่อ
• 6.โอนเงินผิด
หากมิจฉาชีพมีข้อมูลหรือเอกสารส่วนตัวของเหยื่อ มิจฉาชีพอาจใช้วิธีหลอกเหยื่อว่าโอนเงินผิดแล้วขอให้เหยื่อโอนเงินคืน โดยเริ่มจาใช้เอกสารและข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อติดต่อขอสินเชื่อ เมื่อได้รับอนุมัติสินเชื่อ สถาบันการเงินจะโอนเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติเข้าบัญชี เงินฝากของเหยื่อ หลังจากนั้นมิจฉาชีพจะโทรศัพท์ไปแจ้งเหยื่อว่า โอนเงินผิดเข้าบัญชีของเหยื่อ และขอให้เหยื่อโอนเงินคืนให้เมื่อเหยื่อตรวจสอบบัญชีเงินฝากของตนเองและพบว่ามีเงินโอนเงินเข้ามาในบัญชีจริง เหยื่อก็รีบโอนนั้นให้แก่มิจฉาชีพทันที โดยไม่รู้ว่าเงินนั้นเป็นเงินสินเชื่อที่มิจฉาชีพขอในนามของเหยื่อ
วิธีป้องกันภัยแก๊งคอลเซนเตอร์
1.คิดทบทวน ว่าเรื่องราวที่ได้ยินมามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน เคยทำธุรกรรมกับหน่วยงานที่ถูกอ้างถึงหรือไม่ หรือเคยเข้าร่วมชิงรางวัลกับองค์กรไหนจริงหรือเปล่า
2.ไม่รู้จัก ไม่คุ้นเคย ไม่ให้ข้อมูล ทั้งข้อมูลส่วนตัว เช่น เลขที่บัตรประชาชน วัน/เดือน/ปีเกิด และข้อมูลทางการเงิน เช่น เลขที่บัญชี รหัสกดเงิน
3.ไม่ทำรายการที่เครื่องเอทีเอ็มตามคำบอก แม้คนที่โทรมาจะบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือสถาบันการเงิน เพราะหน่วยงานของรัฐและสถาบันการเงินไม่มีนโยบาย สอบถามข้อมูลส่วนตัวของประชาชนหรือลูกค้าผ่านทางโทรศัพท์
4.ไม่โอนเงินคืนเอง หากมีคนโอนเงินผิดเข้าบัญชี ควรสอบถามโดยตรงกับ สถาบันการเงินถึงที่มาของเงินดังกล่าว หากเป็นเงินที่โอนผิดจริง จะต้องให้สถาบันการเงินเป็นผู้ดำเนินการโอนเงินคืนเท่านั้น
5.ตรวจสอบข้อมูลก่อนโอนเงิน สอบถามสถาบันการเงินหรือหน่วยงานที่ถูก อ้างถึงโดยตรง โดยติดต่อฝ่ายบริการลูกค้า ( call center ) หรือสาขาของสถาบันการเงินนั้น ๆ
• ทำอย่างไรเมื่อตกเป็นเหยื่อภัยแก๊งคอลเซนเตอร์
1.ติดต่อฝ่ายบริการลูกค้า ( call center ) ของสถาบันการเงินนั้น ๆ เพื่อระงับ การโอนและถอนเงิน โดยรวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการขอระงับการโอนและถอนเงิน ทั้งนี้ แต่ละสถาบันการเงินมีวิธีปฏิบัติที่แตกต่างกัน ควรติดต่อสอบถามขั้นตอนจากสถาบันการเงินโดยตรง
2.แจ้งเบาะแสไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ ( DSI ) เลขที่ 128 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 โทร. 1202