เงินตราไทย
ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่บริหารจัดการธนบัตร ภายในประเทศทุกขั้นตอน เริ่มตั้งแต่การผลิต นำธนบัตรใหม่ออกใช้หมุนเวียนและทำลาย ธนบัตรเก่า รวมทั้งประเมินความต้องการใช้ธนบัตรใหม่ในแต่ละปีว่าควรจะผลิตธนบัตรชนิด ราคาใดออกมาจำนวนมากน้อยเพียงใด เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการใช้จ่ายของประชาชน ในประเทศ ซึ่งในแต่ละปีปริมาณการผลิตธนบัตรจะผันแปรไปตามความต้องการใช้ธนบัตร ที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศ
ขนาดมาตรฐานของธนบัตรแบบปัจจุบัน (แบบสิบหก)
การกำหนดขนาดธนบัตรมุ่งเน้นถึงความสะดวกในการพกพาเป็นหลักและเพื่อ ประโยชน์ต่อการสังเกตของประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีควบกพร่องทางสายตาซึ่ง สามารถแยกแยะชนิดราคาธนบัตรด้วยการสัมผัสเท่านั้น จึงกำหนดให้ธนบัตรทุกชนิดราคา มีความกว้างเท่ากันคือ72 มิลลิเมตร แต่มีความยาวที่ลดหลั่นกันชนิดราคาละ6มิลลิเมตร
วิธีการตรวจสอบธนบัตรแบบสิบหก
1. สัมผัส
1.1 กระดาษธนบัตร ธนบัตรทำจากกระดาษชนิดพิเศษที่มีใยฝ้ายเป็ส่วนประกอบหลักจึง มีความแกร่ง ทนทาไม่ยุ่ยง่ายเมื่อจับสัมผัสจะให้ความรู้สึกแตกต่างจากกระดาษทั่วไป
1.2 ลายพิมพ์เส้นนูน สามารถสัมผัสความนูนตามจุดต่าง ๆ ตัวเลขอารบิกแจ้งชนิดได้แก่ ราคาที่มุมขวาบนของธนบัตรอักษรคตัว ว่า“รัฐบาลไทย” และตัวเลขไทยแจ้งชนิดราคา ด้านหน้าธนบัตร
นอกจากนี้ที่บริเวณมุมล่างด้านขวาของธนบัตรทุกชนิดราคาจะมี ลายพิมพ์ เส้นนูนรูปดอกไม้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แจ้งชนิดราคาธนบัตรที่ประยุกต์มาจากอักษรเบรลล์เพื่อ อำนวยความสะดวกแก่ผู้มีความบกพร่องทางสายตา
2.1 ลายน้ำ ลายน้ำเกิดขึ้นในขั้นตอนการผลิตกระดาษที่ท าให้เนื้อกระดาษมีความหนา ไม่เท่ากันเมื่อยกธนบัตรส่องกับแสงสว่างจึงมองเห็นภาพที่มีการไล่ระดับของแสงเงาและ ตัวเลขไทยตามชนิดราคาธนบัตรที่มีความโปร่งแสงเป็นพิเศษประดับควบคู่ลายน้ าพระบรม ฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
2.2 แถบสีและแถบสี่เหลี่ยมเคลื่อนไหวสลับสี ธนบัตรทุกชนิดราคามีแถบสีต่างๆตามชนิดราคาธนบัตรที่ฝังไว้ใน เนื้อกระดาษตามแนวตั้งมีบางส่วนของแถบปรากฏให้เห็นเป็นระยะๆที่ด้านหลังของธนบัตร เมื่อยกส่องดูกับแสงสว่างจะเห็นเป็นเส้นตรงยาวต่อเนื่องบนแถบมีตัวเลขและตัวอักษร โปร่งแสงแจ้งชนิดราคาธนบัตรที่มองเห็นได้ทั้งสองด้านและสามารถมองเห็นการเปลี่ยนสี ของแถบนี้เมื่อพลิกเอียงธนบัตรไปมา
2.3 ภาพซ้อนทับ บริเวณมุมบนด้านซ้ายของธนบัตรมีตัวเลขอารบิกแจ้งชนิดราคาธนบัตร ที่พิมพ์แยกไว้ในตำแหน่งตรงกันของด้านหน้าและด้านหลังธนบัตรจะมองเห็นเป็นตัวเลข ที่สมบูรณ์เมื่อยกธนบัตรส่องกับแสงสว่าง
3.1 หมึกพิมพ์พิเศษสลับสี
เป็นจุดสังเกตสำหรับธนบัตรชนิดราคา 500 บาท และ 1000 บาท เท่านั้น โดยให้สังเกตที่มุมล่างด้านซ้ายของธนบัตรเมื่อพลิกขอบล่างธนบัตรขึ้น ลายประดิษฐ์ สีทองจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว
3.2 แถบฟอยล์ 3 มิติ
แถบฟอยล์ 3 มิติที่ผนึกอยู่บนด้านหน้าธนบัตรชนิดราคา 100 บาท
500 บาท และ 1000 บาท จะมองเห็นเป็นหลายมิติแตกต่างกันตามชนิดราคาและจะเปลี่ยน สีสะท้อนแสงวาววับเมื่อพลิกเอียงธนบัตรไปมา
3.3 ตัวเลขแฝง
ในลายประดิษฐ์มุมล่างซ้ายของธนบัตรทุกชนิดราคาเมื่อยกธนบัตรเอียงเข้าหาแสงสว่างและมองผ่านจากมุมล่างซ้ายเข้าหากึ่งกลางธนบัตรในมุมที่เหมาะสมจะเห็นตัวเลขอารบิกแจ้งชนิดราคาธนบัตรฉบับนั้น
เหรียญกษาปณ์
กรมธนารักษ์ได้ผลิตเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนออกใช้ในระบบเศรษฐกิจตั้งแ พ.ศ. 2493 เป็นต้นมา ซึ่งมีหลากรุ่นหลายแบบ โดยได้ปรับเปลี่ยนรูปลักษณลวดลาและ กรรมวิธีการผลิตเรื่อยมเพื่อให้สะดวกต่อการพกพา การใช้สอยและยากต่อการปลอมแปลง เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนเป็นเหรียญกษาปณ์ที่ใช้หมุนเวียนกันอยู่ทั่ว ในชีวิตประจำวัน9 ชนิดราคาคือมี10 บาท 5 บาท 2 บาท 1 บาท 50 สตางค์25 สตางค์ 10 สตางค์5 สตางค์ และ1 สตางค์แต่ใช้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมี6 ชนิดราคาคือ 10 บาท 5 บาท 2 บาท 1 บาท 50 สตางค์25 สตางค์ ส่วนเหรียญชนิดราคา10สตางค์ 5 สตางค์ และ1 สตางค์ มีใช้ในทางบัญชีเท่านั้น ในปี พ.ศ.2551 กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้กรมธนารักษ์ จัดท าเหรียญ กษาปณ์ออกใช้หมุนเวียนชุดใหม่ในระบบเศรษฐกิจโดยมีลักษณะและชนิดราคาดังนี้
1. เหรียญกษาปณ์โลหะสองสี (สีขาวและสีทอง)ชนิดราคา10 บาท
2. เหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล เคลือบไส้ทองแดง)
ชนิดราคา5 บาท
3. เหรียญกษาปณ์โลหะสีทอง (ทองแดงผสมนิกเกิลและอลูมิเนียม) ชนิดราคา2 บาท
4. เหรียญกษาปณ์โลหะสีขาวเหล็กชุบนิกเกิล)(ไส้ ชนิดราคา1บาท
5. เหรียญกษาปณ์โลหะสีแดง (ไส้เหล็กชุบทองแดง) ชนิดราคา50สตางค์
6. เหรียญกษาปณ์โลหะสีแดง (ไส้เหล็กชุบทองแดง) ชนิดราคา25สตางค์
7. เหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (อลูมิเนียม) ชนิดราคา10สตางค์5 สตางค์ 1 สตางค์กำหนดจำนวนเงินในการชำระหนี้ของเหรียญกษาปณ์ เพื่อป้งกันการกลั่นแกล้งระหว่างลูกหนี้กับเจ้าหนี้ในการชำระหนี้
เหรียญกษาปณ์กับการใช้ชนี้ตามกฎหมาย
ตามพระราชบัญญัติเงินตรา 2501พ.ศ. มาตรา 11 ระบุว่า เหรียญกษาปณ์เป็นเงิน ที่ช าระหนี้ได้ตามกฎหมายไม่เกินจำนวนที่กำหนดโดยกฎกระทรวง ดังนี้
เหรียญชนิดราคา 1 สตางค์ ชำระหนี้ได้ครั้งละไม่เกิน 5 บาท
เหรียญชนิดราคา, 10,5 25 และ 50 สตางค์ ชำระหนี้ได้ครั้งละไม่เกิน 10 บาท
เหรียญชนิดราคา 1, 2 และ 5 บาท ชำระหนี้ได้ครั้งละไม่เกิน 500 บ
เหรียญชนิดราคา 10 บาท ชำระหนี้ได้ครั้งละไม่เกิน 1,000
เงินตราต่างประเทศ
ในการดำเนินชีวิตประจำวันทั่ว ๆ ไป เราจะใช้เงินสกุลของประเทศไทยคือ เงินบาทในการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ แต่หากต้องเดินทางหรือมีการท าธุรกิจระหว่างประเ เราก็จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเงินตราของประเทศอื่น ๆ
ซึ่งค่าของเงินในแต่ละสกุลจะไม่เท่ากัน จึงต้องมีการก าหนดอัตราแลกเปลี อัตราแลกเปลี่ยนหมายถึงราคาของเงินตราสกุลหนึ่งเมื่อเทียบกับเงินตราอีกสกุลหนึ่ง เช่น 1 USD เท่ากับ31 บาท หมายถึงเงินบาทจ านวน 31 บาทแลกเป็นเงิน ดอลลาร์สหรัฐได้ 1 ดอลลาร์สหรัฐ 1 EUR เท่ากับ 42 บาทหมายถึง เงินบาทจ านวน42 บาท แลกเป็นเงินยูโรได้ อัตราแลกเปลี่ยนไม่ได้คงทแต่มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงอยู่เสมอในแต่ละช่วงเวลา ตามปัจจัยที่มีผลกระทบนภาวะเศรษฐกิจของประเทศเช่ เศรษฐกิจโลกภาวะตลาดการเงิน
การดูอัตรแลกเปลี่ยนอย่างง่าย
ตัวอย่างตารางแสดงอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินต่างประเทศและเงินบาทที่ผู้ให้บริการ ซึ่งประกอบธุรกิจปัจจัยชำระเงินตราต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศไว้
อัตรารับซื้อคือ อัตราที่ผู้ให้บริการเสนอซื้อเงินตราต่างประเทศ อัตราขาย คือ อัตราที่ผู้ให้บริการเสนอขายเงินตราต่างประเทศ หากต้องการน เงินบาทไทยไปแลกเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ กล่าวคือต้องการ ซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐเราต้องดูราคาที่อัตราขายจากตัวอย่างข้างต้น1USD = 35.22 บาทหากต้องการน าเงินดอลลาร์สหรัฐไปแลกเป็นเงินบาท ต้องการขายกล่าวคือ เงินดอลลาร์สหรัฐต้องดูราคาที่อัตรารับซื้อเราจากตัวอย่างข้างต้น1USD = 34.89 บาท วิธีการค านวณอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ในกรณีที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ เราอาจต้องแลกเปลี่ยนสกุลเงินเป็นของ ประเทศนั้น ซึ่งสามารถคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนได้ ดังนี้
ตัวอย่างที่1
หากต้องการเดินทางไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) สมมุติว่า อัตราแลกเปลี่ยนขณะนั้นอยู่ที่1USD=30บาท หากต้องการแลก100 USD ต้องใช้เงินบาทไทยแลกเป็นจ านวนเท่าไร
วิธีคำนวณ
1 USD = 30 บาท
100 USD = [30 x 100] ÷ 1= 3,000 บาท
ดังนั้น ต้องใช้เงินบาทไทยจ านวนเงิน3,000 บาท จึงจะแลกได้100 USD
ตัวอย่างที่2
หากต้องการไปประเทศญี่ปุซึ่งใช้สกุลเงินเยนสมมุติว่าอัตราแลกเปลี่ยน ขณะนั้นอยู่ที่100เยน = 30 บาท หากต้องการแลก1,000 เยน ต้องใช้เงินไทยแลกเป็น จ านวนเท่าไร
วิธีค านวณ
100 เยน
30 บาท
1,000 เยน=[30 x 1,000] ÷ 100=300 บาm
ดังนั้น ต้องใช้เงินบาทไทยจ านวนเงิน300 บาท จึงจะแลกได้1,000 เยน ตัวอย่างที่3
หากต้องการนำเงินดอลลาร์สหรัฐมาแลกเป็นเงินบาทสมมุติว่า อัตรา แลกเปลี่ยนขณะนั้นอยู่ที่1USD= 30 บาท หากต้องการแลก1,500 บาท จะต้องใช้เงิน ดอลลาร์สหรัฐจ านวนเงินเท่าไร
วิธีคำนวณ
30 บาท1 USD
1,500 บาท=[1 x1,500] ÷ 30=50 USD
ดังนั้น ต้องใช้เงินดอลลาร์สหรัฐจำนวนเงินUSDจึงจะแลกได้501,500 บาท ช่องทางการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศการติดต่อขอแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศสามารถติดต่อกับผู้ให้บริกาซึ่ง ประกอบธุรกิจปัจจัยช าระเงินตราต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เช่น นิติบุคคลรับอนุญาต(authorized financial institution) หมายถึง ธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจซื้อ ขาย แลก เปลี่ยน ให้กู้ยืม หรือ ต่างประเทศ บุคคลรับอนุญาต(authorized money changer) หมายถึง นิติบุคคล ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจซื้อและขายธนบัตรต่างประเทศ และรับซื้อเช็คเ เช่น ผู้ประกอบธุรกิจโรงแหรือบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจแลกเปลี่ยนเงิม ต่างประเทศ
เงินเสมือน
เงินเสมือนvirtual( currency)
ถูกสร้างขึ้นโดยบุคคลกลุ่มหนึ่ง และยอมรับให้ ใช้งานกันภายในกลุ่มสังคมนั้นโดยมีการก าหนดมูลค่าของเงินเสมือนเป็นหน่วยข้อมูลทาง อิเล็กทรอนิกส์coin,เช่น point เพื่อน ามาใช้ซื้อสินค้าและบริการในกลุ่มที่ยอมรับเงินเ ดังกล่าว เงินเสมือน3อาจแบ่งตามคุณสมบัติการใช้งานได้ดังนี
เงินเสมือนที่ไม่สามารถใช้ซื้อสินค้าจริงได้และแลกเป็นเงินจริงไม่ รับมาจากโลกออนไลน์ด้วยกิจกรรมต่างๆ เช่นการเล่นเกมออนไลน์แล้วได้รับแต้มหรือเงิน เสมือน แต่จะสามารถใช้ได้แค่ในโลกออนไลน์เท่านั้น ใช้เงินจริงแลกเปลี่ยนเป็นเงินเสมือน แต่ไม่สามารถแลกเปลี่ยนกลับมาเ เงินจริงได้ สามารถใช้ซื้อสินค้าและบริการออนไลน์หรือแอพพลิเคชั่นต่างๆได้ สามารถใช้เงินจริงแลกเปลี่ยนกับเงินเสมือนได้ทั้งสองทโดยสามารถใช้ซื้อง ของได้ทั้งในโลกออนไลน์และโลกจริงBitcoinเช่น
ข้อควรระวังเกี่ยวกับเงินเสมือน หน่วยข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์นี้ไม่ถือเป็นเงินที่ใช้ช าระหนี้ได้ตรากฎหมายไทย การใช้หน่วยข้อมูลดังกล่าวในการชำระค่าสบรินค้าหรือการจึงอาจถูกปฏิเสธจาก ร้านค้าได้ มีความเสี่ยงจากการที่มูลค่าหน่วยข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ผันแป รวดเร็ว เนื่องจากมูลค่าของหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เกิดจากความต้องการแลกเปลี่ยนในกลุ่ม ของผู้ใช้ด้วยกัน มูลมีความผันผวนสูงและไม่สัมพันธ์กับสภาพเศรษฐกิจจริง่จึงผู้ถือครอง หน่วยข้อมูลจึงมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินจากการที่มูลค่าของหน่วยข้อมูลลดต่ำ และหากร้านค้าใดรับหน่วยข้อมูลดังกล่าว เพื่อแลกเปลี่ยนกับสินค้าและบริการของตน
ความเสี่ยงที่หน่วยข้อมูลที่ได้รับมาและถือไว้นั้นอาจมีมูลค่าหรือราคาลดต่ำลงได้ตลอดเวลา อย่างรวดเร็วจากมูลค่าหรือราคาเดิม ณ ขณะที่ร้านค้าได้รับหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิก มีความเสี่ยงจากการถูกขโมยข้อมูล เนื่องจากหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอน ดังกล่าวจะต้องจัดเก็บไว้ในอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เท่านั้นมีความเสี่ยงที่ผู้ถือครองอาจสูญเสียจึงหน่วยข้อมูลดังกล่าวได้จากการถูกลักลอบโจรกรรมข้อมูล มีความเสี่ยงที่ผู้ใช้ไม่ได้รับการคุ้มครอง เนื่องจากหน่วยข้อมูลอิเ ดังกล่าวไม่ได้เป็นสื่อการช าระเงินตามกฎหมายหากมีการใช้เป็นช่องทางในการดังนั้น หลอกลวงหรือฉ้อโกง หรือกรณีที่เกิดปัญหาในการใช้งาน เช่น การโอนไปยังผู้รับผิดคนหรือ ผิดจำนวน หรือโอนไปยังร้านค้าแล้วแต่ไม่ได้รับสินคการติดตามข้อมูลการโอนเพื่อใช้เป็น พยานหลักฐานอาจทำได้ยหากต้องฟ้องร้องด าเนินคดีซึ่งต่างจากการโอนเงินผ่านธนาคาร พาณิชย์หรือผู้ให้บริการชำระเงินภายใต้การกกับดูแลของทางการที่มีระบบติดตาม