หน้าที่ของเครดิตบูโร
1. จัดเก็บ รักษา รวบรวม ข้อมูลของลูกค้าสินเชื่อทุกบัญชีที่มีกับสถาบันการเงิน และบริษัทที่เป็นสมาชิกของเครดิตบูโรซึ่งจะเก็บข้อมูลตามข้อเท็จจริง ไม่ว่าข้อมูลนั้นจะมี การชำระหนี้ตามปกติหรือการผิดนัดชำระหนี้ โดยเครดิตบูโรจะเก็บข้อมูลไว้ไม่เกิน 3 ปี นับแต่วันที่เครดิตบูโรได้รับข้อมูลจากสมาชิก
2. แสดงข้อเท็จจริงการชำระเงินของลูกหนี้ เพื่อที่สถาบันการเงินจะนำข้อมูล มาวิเคราะห์ในการตัดสินใจในการให้สินเชื่อ
ประโยชน์ของเครดิตบูโร
1. ผู้ขอสินเชื่อรู้จักข้อมูลประวัติสินเชื่อของตนเอง ในฐานะเป็นเจ้าของข้อมูล ควรรู้ว่าตนเองมีสินเชื่ออะไรบ้าง และมีภาระหนี้คงค้างกับสถาบันการเงินหรือบริษัทไหนบ้าง ถ้าพบว่ามีบัญชีสินเชื่อที่ไม่ได้ขอ ซึ่งอาจเกิดจากการถูกปลอมเอกสารไปสมัคร ต้องรีบแจ้งแก้ไข ทันที ไม่เช่นนั้นอาจต้องมารับภาระหนี้ที่ไม่ได้ก่อ
2. สถาบันการเงินและบริษัทที่เป็นสมาชิกสามารถใช้ข้อมูลนี้ประกอบการ พิจารณาอนุมัติสินเชื่อ เพื่อดูว่าผู้ขอสินเชื่อมีประวัติค้างช าระหรือไม่ หรือมีภาระหนี้สินมากน้อย เพียงใด เพื่อพิจารณาความเสี่ยงว่าหากให้กู้ไปแล้วผู้ขอสินเชื่อจะสามารถชำระหนี้ได้หรือไม่ ถ้า ไม่เคยผิดนัด ก็จะเป็นตัวช่วยให้ขอสินเชื่อได้ง่ายยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี สถาบันการเงินและบริษัทที่ เป็นสมาชิกจะต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลก่อน จึงจะเข้าไปดูข้อมูลได้ โดยมักให้ ลูกค้าลงนามยินยอมตอนขอสินเชื่อ อย่างไรก็ดี ประวัติข้อมูลเครดิตเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งในการ พิจารณาอนุมัติสินเชื่อ ซึ่งจริง ๆ แล้วยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกด้วย เช่น รายได้ อาชีพ หลักประกัน (ถ้ามี)
สิ่งที่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิด
เครดิตบูโรขึ้นบัญชีดำ (Blacklist) รายชื่อผู้ที่ค้างชำระหนี้ ความจริงคือ เครดิตบูโรจะเก็บข้อมูลทั้งหมดของผู้ขอสินเชื่อไม่ว่าจะเป็นหนี้ปกติหรือหนี้ค้างชำระ ไม่ได้จัดทำ บัญชีดำเพื่อขึ้นรายชื่อผู้ที่ค้างชำระแต่อย่างใด
หากชำระหนี้ที่ค้างชำระหมดแล้ว เครดิตบูโรจะลบข้อมูลให้ ต้องทำความ เข้าใจเบื้องต้นก่อนว่า สถาบันการเงินหรือบริษัทที่เป็นสมาชิกจะส่งข้อมูลแสดงยอดคงค้าง ณ วันสิ้นเดือนไปยังเครดิตบูโร เช่น เดือน มิ.ย. 58 ไม่ได้ชำระ ก็จะขึ้นว่า “ไม่ค้างชำระหรือค้าง ชำระไม่เกิน 30 วัน” ต่อมาเดือน ก.ค. 58 ไม่ได้ชำระอีก ก็จะขึ้นว่า “ค้างชำระ 31 - 60 วัน” ต่อมาเดือน ส.ค. 58 ได้ชำระหนี้ที่ค้างชำระของเดือน มิ.ย. 58 ถึงเดือน ส.ค. 58 เสร็จสิ้น ในสิ้นเดือนนั้นก็จะรายงานว่า “ไม่ค้างชำระหรือค้างชำระไม่เกิน 30 วัน” ซึ่งข้อมูลที่ส่งเดือน ใหม่จะไม่ไปลบหรือทับข้อมูลเดือนก่อนหน้า และประวัติของแต่ละเดือนจะถูกเก็บไว้ไม่เกิน 3 ปี นับแต่วันที่เครดิตบูโรได้รับข้อมูล ดังนั้น การลบประวัติเครดิตที่ค้างชำระออกจาก เครดิตบูโรทันทีจึงไม่สามารถทำได้ แต่สามารถสร้างประวัติเครดิตให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ได้ โดยกรณี มีหนี้ค้างชำระก็ควรติดต่อเจ้าหนี้เพื่อช าระหนี้ที่ค้างให้เสร็จสิ้น หลังจากช าระแล้ว ประวัติใน เดือนล่าสุดจะขึ้นสถานะว่าปกติ หลังจากนั้น ควรพยายามสร้างประวัติการช าระเงินที่ดีอย่าให้มี ประวัติค้างชำระอีก