จุดเริ่มต้นของการเป็นหนี้ของแต่ละคนอาจแตกต่างกัน บางคนอาจเป็นหนี้ เพราะความจำเป็นในชีวิต หรือบางคนอาจเป็นหนี้เพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ตกงาน ล้มป่วยกะทันหัน หรือบางคนเป็นหนี้เพราะต้องการความสะดวกสบายในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นหนี้ จากสาเหตุใด หากก้าวเข้าสู่บ่วงหนี้จนถึงขั้นที่เป็นปัญหากับชีวิตแล้ว ก็ควรยอมรับความจริง และพยายามที่จะไม่สร้างภาระหนี้ให้กับตนเองเพิ่มขึ้นอีก ที่สำคัญคือต้องหาทางปลดหนี้ให้แก่ ตนเองโดยเร็ว เพราะการเป็นหนี้มีภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายนอกเหนือไปจากเงินต้น และอาจมี ค่าปรับหรือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามมาถ้าผู้เป็นหนี้ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขท่กำหนด
แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้
ปรับปรุง โครงสร้างหนี้ควรทำเป็นลายลักษณ์อักษรถึงสถาบันการเงินเพื่อขอความอนุเคราะห์ โดยสิ่งที่ ควรระบุในหนังสือ ได้แก่
1) ข้อมูลของลูกหนี้ เช่น เลขที่สัญญา ประเภทสินเชื่อที่มี หนี้คงค้าง ชำระ ประวัติการชำระที่ผ่านมา
2) ปัญหาที่ทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ เช่น รายได้ลดลงเนื่องจาก ภาวะเศรษฐกิจ ตกงาน หรือต้องใช้จ่ายเงินเพื่อรักษาพยาบาลคนในครอบครัว โดยควรแจ้ง รายได้ที่ได้รับในปัจจุบัน ค่าใช้จ่ายจ าเป็นที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือน และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับ เหตุฉุกเฉิน (ถ้ามี) ซึ่งส่งผลท าให้ไม่สามารถช าระหนี้ได้ตามจ านวนที่เคยทำข้อตกลงไว้ และควร มีเอกสารที่เกี่ยวข้องมาแสดงให้เจ้าหนี้ดูด้วย เช่น สลิปเงินเดือน ใบเสร็จค่ารักษาพยาบาล บันทึกรายรับ-รายจ่ายที่จดเป็นประจำ
3) แนวทางที่ต้องการให้สถาบันการเงินช่วยเหลือปรับปรุงโครงสร้างหนี้
3. จัดลำดับความสำคัญของหนี้ที่ต้องชำระ เมื่อทราบจำนวนหนี้ทั้งหมด ที่ตนเองมีแล้ว การจัดลำดับการปลดหนี้จะทำให้จัดการหนี้ให้หมดไปได้ง่ายขึ้น โดยอาจใช้วิธี จัดลำดับหนี้ที่ต้องชำระ ด- กำจัดหนี้แพงก่อน ในกรณีที่อัตราดอกเบี้ยของหนี้แต่ละก้อนต่างกัน มาก ให้เลือกจ่ายหนี้ที่อัตราดอกเบี้ยสูงก่อน เช่น หนี้นอกระบบ เพื่อป้องกันดอกเบี้ยที่อาจ พอกพูนอย่างรวดเร็ว
- จ่ายหนี้ก้อนเล็กก่อน ในกรณีที่หนี้มีอัตราดอกเบี้ยเท่ากันหรือไม่แตกต่าง กันมาก ให้เลือกจ่ายหนี้ที่มีมูลค่าน้อยก่อน เพื่อลดจ านวนรายการหนี้ให้น้อยลงเมื่อเห็นจำนวน บัญชีหรือเจ้าหนี้ลดลงเรื่อย ๆ ก็จะมีก าลังใจเพิ่มขึ้นในการปลดหนี้ก้อนที่เหลือต่อไป
4. มองหาวิธีการแก้ไขปัญหาหนี้ ซึ่งหากเป็นปัญหาหนี้ที่ไม่ถึงขั้นล้นพ้นตัว ก็สามารถปลดหนี้ด้วยตนเองได้ แต่หากปัญหาหนี้นั้นมากเกินจะจัดการด้วยตนเองไหวก็ควร เจรจากับเจ้าหนี้
4.1 การแก้ไขปัญหาหนี้ด้วยตนเอง ส าหรับผู้ที่รู้ว่าตนเองมีปัญหาหนี้ แต่ยังไม่ถึงขั้นล้นพ้นตัว การปลดหนี้ ด้วยตนเองจึงเป็นเรื่องที่ไม่ยากเกินไป ซึ่งเริ่มต้นง่าย ๆ ดังนี้
(1) ลดรายจ่าย บางคนอาจไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นอย่างไร อาจใช้วิธี “บันทึกรายรับ-รายจ่าย” ซึ่งจะช่วยหาพฤติกรรมในการใช้จ่ายของตนเอง ว่าจ่ายไปกับอะไรบ้างรวมทั้งช่วยในการทบทวนตนเองเพื่อหาข้อบกพร่องหรือ “รูรั่ว” เช่น ค่าใช้จ่ายที่จ่าย ไปนั้นเป็นสิ่งจำเป็นหรือไม่ อะไรเป็นรายจ่ายเพราะความอยากได้หรือไม่จำเป็น แล้วพยายาม หาทางงดหรือลดค่าใช้จ่ายนั้น เมื่อลดค่าใช้จ่ายได้ ก็จะนำเงินไปจ่ายหนี้ได้มากขึ้น
(2) เพิ่มรายได้ อาจหารายได้เสริม หรือเปลี่ยนงานอดิเรกให้กลายเป็น รายได้เมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้นก็จะช่วยให้สามารถชำระหนี้ได้เพิ่มขึ้น
(3) สำรวจสินทรัพย์ที่มีและขายสินทรัพย์ที่ไม่จำเป็น เพื่อนำเงินไป ชำระหนี้
(4) ตั้งเป้าหมายปลดหนี้ ปลดหนี้ในที่นี้หมายถึง มุ่งมั่นตั้งใจและเพิ่ม ความพยายามในการใช้หนี้ให้หมดโดยเร็ว แต่ยังคงชำระหนี้อื่น ๆ ตามกำหนดเพื่อรักษาประวัติ เครดิตที่ดีเอาไว้ อย่างไรก็ดี อย่าน าเงินไปใช้หนี้หมดจนไม่มีเงินเก็บออม เพราะหากมีเหตุฉุกเฉิน ต้องใช้เงิน อาจต้องหันกลับไปเป็นหนี้อีก จึงควรใช้หนี้และออมไปพร้อม ๆ กัน
(5) ติดตามอย่างใกล้ชิด ว่าสามารถทำได้ตามเป้าหมายหรือไม่ หาก ไม่เป็นไปตามแผน อาจหาทางปรับแผนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อปลดหนี้ได้แล้ว ก็ไม่ควรกลับไปก่อหนี้อีก แต่ควรหาทางปลดภาระหนี้ก้อนอื่น ๆ ต่อไป (ถ้ามี) และสะสม เงินออมให้มีมากขึ้นเพื่อไว้ใช้ในยามจำเป็น
4.2 การเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้ สำหรับผู้ที่มีปัญหาหนี้ที่ไม่สามารถจัดการด้วยตนเองได้ ก็จำเป็นต้อง เจรจากับเจ้าหนี้เพื่อขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ซึ่งทำได้หลายรูปแบบ เช่น
(1) การขอเปลี่ยนเงื่อนไขการผ่อนชำระ เช่น การขอลดจำนวนเงินที่ ต้องผ่อนชำระต่องวดลง ขอขยายระยะเวลาการผ่อนชำระหนี้ ขอปรับลดอัตราดอกเบี้ยจาก อัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติ ข้อดีของวิธีนี้ คือ เป็นการปรับเงื่อนไขการผ่อนชำระให้ไม่เกิน ความสามารถในการชำระหนี้ต่องวดของตนเอง
(2) การชำระหนี้ปิดบัญชี คือ การชำระหนี้เป็นเงินก้อนตามที่เจ้าหนี้ ยอมลดให้และต้องชำระภายในเวลาที่เจ้าหนี้กำหนด ซึ่งกรณีของการชำระหนี้ปิดบัญชี ฝั่งเจ้าหนี้จะเป็นผู้เสนอเงื่อนไขให้แก่ลูกหนี้ ข้อดีของวิธีนี้ คือ มีโอกาสที่ลูกหนี้จะได้รับการลดหนี้บางส่วน เนื่องจากเป็นการชำระหนี้คืนทั้งหมดในคราวเดียว ซึ่งลูกหนี้ควรมองหาแนวทางที่จะนำเงินมา ชำระหนี้ปิดบัญชีให้ครบจำนวนและภายในระยะเวลาที่เจ้าหนี้กำหนด เช่น อาจกู้ยืมเงินญาติหรือกู้ยืมจากสถาบันการเงินอื่น แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องไม่กู้เงินที่ดอกเบี้ยแพงมาช าระหนี้ที่ ดอกเบี้ยถูก หรือไปกู้เงินนอกระบบ ซึ่งจะทำให้ลูกหนี้ต้องรับภาระดอกเบี้ยที่สูงมาก และ สร้างภาระหนี้เพิ่มขึ้นไปอีก