แนวคิดเรื่องรูปแบบการเรียนรู้มีรากฐานมาจากทฤษฎีทางจิตวิทยาหลายแขนง ซึ่งพยายามทำความเข้าใจว่ามนุษย์แต่ละคนประมวลผลข้อมูลและเรียนรู้ได้อย่างไร การที่คนเรามีวิธีเรียนรู้ที่แตกต่างกันนั้น ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของความชอบส่วนตัว แต่สะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างในกระบวนการทางปัญญา (cognitive processes) ของแต่ละบุคคลครับ
แนวคิดสำคัญที่สนับสนุนเรื่องนี้คือ:
ทฤษฎีความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Differences Theory): แนวคิดนี้ระบุว่ามนุษย์แต่ละคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งในด้านบุคลิกภาพ, ความสามารถ, ประสบการณ์ และแน่นอนว่ารวมถึงวิธีการเรียนรู้ด้วย ทฤษฎีนี้ชี้ให้เห็นว่าไม่มี "วิธีที่ดีที่สุด" เพียงวิธีเดียวที่เหมาะกับทุกคน การทำความเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้จะช่วยให้เราปรับวิธีการเรียนรู้หรือการสอนให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้
ทฤษฎีการประมวลผลข้อมูล (Information Processing Theory): ทฤษฎีนี้มองว่าการเรียนรู้คล้ายกับการทำงานของคอมพิวเตอร์ที่รับข้อมูลเข้า (input), ประมวลผล (process), จัดเก็บ (store) และเรียกใช้ (retrieve) ข้อมูล การที่คนแต่ละคนมีรูปแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน อาจเป็นเพราะพวกเขามีวิธีการประมวลผลข้อมูลที่แตกต่างกัน เช่น บางคนประมวลผลได้ดีเมื่อข้อมูลเป็นภาพ (visual input), บางคนเป็นเสียง (auditory input) หรือบางคนต้องลงมือทำ (kinesthetic input)
ทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligences Theory) โดย Howard Gardner: แม้จะไม่ใช่ทฤษฎีที่อธิบาย Learning Style โดยตรง แต่ก็มีความเกี่ยวพันกันอย่างมาก Gardner เสนอว่ามนุษย์มีปัญญาหลายด้าน (เช่น ปัญญาด้านภาษา, ตรรกะ-คณิตศาสตร์, มิติสัมพันธ์, ดนตรี, ร่างกาย-การเคลื่อนไหว, มนุษยสัมพันธ์, การเข้าใจตนเอง, ธรรมชาติวิทยา และอาจรวมถึงปัญญาการดำรงอยู่) ซึ่งแต่ละคนจะมีความโดดเด่นในปัญญาด้านที่ต่างกัน ความโดดเด่นในปัญญาแต่ละด้านนี้มักจะส่งผลต่อรูปแบบการเรียนรู้ที่ถนัดด้วย เช่น คนที่มีปัญญาด้านมิติสัมพันธ์โดดเด่น อาจจะถนัดการเรียนรู้แบบ Visual มากกว่า
ทฤษฎีการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ (Experiential Learning Theory) โดย David A. Kolb: ทฤษฎีนี้ไม่ได้จำกัดแค่รูปแบบการเรียนรู้ แต่เน้นไปที่กระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์ โดย Kolb เสนอว่าการเรียนรู้เป็นวัฏจักร 4 ขั้นตอน:
Concrete Experience (ประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรม): การมีประสบการณ์ตรง
Reflective Observation (การสังเกตเชิงไตร่ตรอง): การสะท้อนคิดจากประสบการณ์นั้น
Abstract Conceptualization (การสร้างแนวคิดเชิงนามธรรม): การสร้างหลักการหรือทฤษฎีจากสิ่งที่สะท้อนคิด
Active Experimentation (การทดลองอย่างกระตือรือร้น): การนำแนวคิดไปทดลองปฏิบัติจริง
Kolb ระบุว่าคนเรามักจะมีความถนัดในการเริ่มต้นและทำได้ดีในขั้นใดขั้นหนึ่งของวัฏจักรนี้มากกว่าขั้นอื่น ๆ ซึ่งนำไปสู่รูปแบบการเรียนรู้ 4 แบบหลักๆ ได้แก่ Diverging, Assimilating, Converging และ Accommodating ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับ VARK Model ในแง่ที่ว่าบางคนชอบคิดเชิงนามธรรม บางคนชอบลงมือทำ เป็นต้น
แม้จะมีทฤษฎีมากมาย แต่ VARK Model ที่ผมได้กล่าวไปในครั้งก่อน ยังคงเป็นโมเดลที่ได้รับความนิยมและง่ายต่อการทำความเข้าใจมากที่สุดในการจำแนกรูปแบบการเรียนรู้ เพราะอ้างอิงจากการรับรู้ข้อมูลผ่านประสาทสัมผัสหลัก:
V - Visual (การมองเห็น):
หลักจิตวิทยา: เน้นการประมวลผลข้อมูลผ่านสมองส่วนที่รับผิดชอบการมองเห็น (visual cortex) และการจดจำภาพ (visual memory) ผู้เรียนกลุ่มนี้มักจะสร้างภาพในใจเพื่อช่วยในการทำความเข้าใจและจดจำ
พฤติกรรมการเรียนรู้: ชอบดูวิดีโอ, แผนผัง, กราฟ, สีสัน, รูปภาพ, การจัดวางที่เป็นระเบียบเรียบร้อย มักจำหน้าคนได้ดีกว่าชื่อ
A - Auditory (การได้ยิน):
หลักจิตวิทยา: เกี่ยวข้องกับการประมวลผลข้อมูลผ่านสมองส่วนที่รับผิดชอบการได้ยินและการตีความเสียง (auditory cortex) การเรียนรู้ผ่านการฟังช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการได้ยิน
พฤติกรรมการเรียนรู้: ชอบฟังบรรยาย, อภิปราย, อธิบาย, ฟังเพลง, การบันทึกเสียงบทเรียน หรือการอ่านออกเสียงดังๆ เพื่อช่วยให้จำได้
R - Reading/Writing (การอ่านและการเขียน):
หลักจิตวิทยา: เน้นการประมวลผลข้อมูลที่เป็นตัวอักษรและภาษา การอ่านและการเขียนกระตุ้นการทำงานของสมองที่เกี่ยวข้องกับภาษา (language processing) และการจัดระเบียบความคิด
พฤติกรรมการเรียนรู้: ชอบอ่านหนังสือ, เอกสาร, บทความ, จดบันทึกอย่างละเอียด, สรุปเนื้อหา, ทำรายการ (lists) หรือเขียนเรียงความเพื่อทบทวนความเข้าใจ
K - Kinesthetic (การเคลื่อนไหว/การปฏิบัติ):
หลักจิตวิทยา: เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ผ่านการเคลื่อนไหวของร่างกาย (motor skills), การสัมผัส (tactile sensations) และประสบการณ์ตรง (experiential learning) สมองเรียนรู้จากการลงมือทำและการเชื่อมโยงข้อมูลเข้ากับการกระทำ
พฤติกรรมการเรียนรู้: ชอบลงมือปฏิบัติจริง, การทดลอง, การจำลองสถานการณ์, การเดินไปมาขณะอ่าน, การใช้สื่อการสอนที่จับต้องได้, หรือการมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหว
การทำความเข้าใจ Learning Style ไม่ได้มีไว้เพื่อตีตราว่าใครเรียนรู้ได้แบบเดียวเท่านั้น แต่เป็นการช่วยให้เราตระหนักถึง แนวโน้ม หรือ ความถนัด ในการรับรู้และประมวลผลข้อมูลของแต่ละบุคคล ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากในเชิงจิตวิทยาการเรียนรู้และการพัฒนาตนเอง:
เพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้: เมื่อนักเรียนรู้ว่าตัวเองถนัดแบบไหน ก็สามารถปรับวิธีการอ่านหนังสือ, การเตรียมตัวสอบ, หรือการเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับสไตล์ของตัวเอง ทำให้เข้าใจเนื้อหาได้เร็วขึ้นและจดจำได้นานขึ้น
ลดความท้อแท้: บางครั้งที่เราเรียนไม่เข้าใจ อาจไม่ใช่เพราะเราไม่เก่ง แต่เพราะวิธีการเรียนรู้ที่เราใช้ไม่เหมาะกับสไตล์ของเรา การรู้สไตล์ของตัวเองช่วยให้เราไม่ท้อถอยและหาวิธีที่เหมาะสมได้
การปรับการสอน (สำหรับผู้สอน): ครูอาจารย์ที่เข้าใจ Learning Style ของนักเรียน จะสามารถออกแบบกิจกรรมการสอนที่หลากหลาย ใช้สื่อการสอนที่แตกต่างกัน เพื่อเข้าถึงนักเรียนได้ครบทุกกลุ่ม เพิ่มโอกาสให้นักเรียนทุกคนประสบความสำเร็จ
การพัฒนาตนเอง: การเข้าใจสไตล์การเรียนรู้ของตัวเองยังช่วยให้พิเชษฐ์สามารถพัฒนา "จุดแข็ง" ของการเรียนรู้ และยังสามารถลองฝึกฝน "จุดอ่อน" หรือสไตล์ที่ไม่ถนัด เพื่อให้เป็นผู้เรียนรู้ที่ยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์การเรียนรู้ที่หลากหลายได้
แม้จะมีข้อถกเถียงว่า Learning Style อาจไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่กำหนดความสำเร็จในการเรียนรู้ และบางครั้งคนเราก็สามารถปรับเปลี่ยนสไตล์ได้ตามบริบท แต่การมีแนวคิดนี้ก็ช่วยให้เรามีกรอบคิดในการทำความเข้าใจความแตกต่างของแต่ละบุคคล และนำไปสู่การออกแบบวิธีการเรียนรู้และการสอนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ
ถ้ามีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับทฤษฎีอื่น ๆ หรืออยากให้เจาะลึกเรื่องไหนอีก ถามได้เลยนะครับพิเชษฐ์!