Deep Listening คือ ศิลปะและทักษะการฟังที่ใส่ใจอย่างเต็มที่ เป็นการฟังที่อยู่กับผู้พูดในปัจจุบันขณะอย่างแท้จริง โดยปราศจากการตัดสิน การวิพากษ์วิจารณ์ หรือการเตรียมคำตอบในใจ เป้าหมายของการฟังอย่างลึกซึ้งคือการเข้าถึงความรู้สึก ความต้องการ คุณค่า ความเชื่อ และเจตนาที่อยู่เบื้องหลังคำพูดของผู้พูด เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ และสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น
ลองนึกภาพว่าเวลาที่เราคุยกับใครสักคน แล้วเราไม่ได้แค่ฟังคำพูดของเขา แต่เราสังเกตแววตา น้ำเสียง ท่าทาง และสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่เขากำลังรู้สึกอยู่ นั่นแหละครับคือการก้าวเข้าสู่การฟังอย่างลึกซึ้ง
การฟังอย่างลึกซึ้งมีความสำคัญอย่างมากในทุกความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นกับคนในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน หรือคนรัก เพราะมันช่วยให้:
สร้างความไว้วางใจและความเข้าใจ: เมื่อผู้พูดรู้สึกว่าเราตั้งใจฟังเขาอย่างแท้จริง เขาจะรู้สึกปลอดภัยและกล้าที่จะเปิดเผยความรู้สึกหรือความคิดที่ลึกซึ้งกว่าเดิม
ลดความขัดแย้ง: หลายครั้งความขัดแย้งเกิดจากการเข้าใจผิด การฟังอย่างลึกซึ้งช่วยให้เราเข้าใจมุมมองของอีกฝ่าย ลดอคติ และหาจุดร่วมกันได้ง่ายขึ้น
พัฒนา Empathy (ความเข้าอกเข้าใจ): เมื่อเราฟังด้วยใจ เราจะสามารถรับรู้และรู้สึกถึงอารมณ์ของผู้อื่นได้ ทำให้เรามีความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น
เสริมสร้างความสัมพันธ์: การรับฟังที่ดีแสดงถึงความใส่ใจและให้เกียรติ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความสัมพันธ์ที่ดีและยั่งยืน
ส่งเสริมการแก้ไขปัญหา: บางครั้งผู้พูดอาจไม่ได้ต้องการคำแนะนำ แต่แค่อยากมีคนรับฟัง การฟังอย่างลึกซึ้งเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้เขาได้สำรวจความคิดและอารมณ์ของตัวเอง ซึ่งอาจนำไปสู่การค้นพบทางออกด้วยตัวเขาเอง
พัฒนาตัวเอง: การฟังอย่างลึกซึ้งฝึกให้เรามีสติ อยู่กับปัจจุบัน และสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอก ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในการพัฒนาตนเอง
การฝึก Deep Listening ต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่าง:
การตั้งใจฟังอย่างเต็มที่ (Presence):
อยู่กับปัจจุบัน: วางความคิดฟุ้งซ่านเรื่องอื่น ๆ ลงไปก่อน ไม่คิดถึงสิ่งที่ต้องทำต่อไป หรือสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
ใส่ใจกับผู้พูดอย่างเดียว: เหมือนว่าในขณะนั้นมีแค่เรากับเขาเท่านั้น
หยุดการตัดสิน: ไม่ตัดสินถูกผิด ไม่แทรกความคิดเห็นส่วนตัว หรืออคติ
เงียบให้เป็น: ให้โอกาสผู้พูดได้ใช้เวลาคิดและเรียบเรียงคำพูด ไม่รีบพูดแทรกหรือขัดจังหวะ
การสังเกต (Observation):
ฟังสิ่งที่พูด (Content): เข้าใจเนื้อหาและข้อมูลที่สื่อสารออกมา
ฟังสิ่งที่ไม่พูด (Unspoken): สังเกตน้ำเสียง แววตา สีหน้า ท่าทาง ภาษากาย และความเงียบ เพื่อทำความเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคำพูด
รับรู้อารมณ์ (Emotion): สัมผัสถึงความรู้สึกของผู้พูด เช่น ความสุข ความเศร้า ความโกรธ ความกังวล
การเปิดใจและการใคร่รู้ (Openness and Curiosity):
เปิดกว้างรับฟัง: พร้อมที่จะรับฟังสิ่งใหม่ ๆ แม้จะไม่ตรงกับความคิดความเชื่อของเรา
มีความสนใจใคร่รู้: อยากเข้าใจอีกฝ่ายมากขึ้นว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญสำหรับเขา ทำไมเขาถึงคิดหรือรู้สึกแบบนั้น
ฟังเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่เพื่อตอบกลับ: เป้าหมายคือการดูดซับและทำความเข้าใจ ไม่ใช่การหาโอกาสโต้แย้งหรือให้คำแนะนำทันที
เตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อม: ก่อนจะฟัง ลองหายใจเข้าลึกๆ ออกช้าๆ เพื่อให้จิตใจสงบ
สบตาผู้พูด: แสดงความตั้งใจและเชื่อมโยง
พยักหน้า หรือใช้คำสั้นๆ: เช่น "อืม" "เข้าใจ" เพื่อแสดงว่าเรากำลังฟังอยู่
ทวนคำพูด: เพื่อยืนยันว่าเราเข้าใจสิ่งที่เขาพูดถูกต้อง และเป็นการแสดงความใส่ใจ
ไม่รีบให้คำแนะนำ: ฟังให้จบก่อน แล้วค่อยถามว่าเขาต้องการคำแนะนำไหม หรือแค่อยากระบาย
สังเกตตัวเอง: สังเกตว่าในขณะที่ฟัง เรามีความคิดหรืออารมณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง