รายได้ (Income) คือเงินที่เราได้รับจากการทำงานหรือธุรกิจ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการวางแผนการเงินทั้งหมด
เงินเดือนขั้นต่ำ: แต่ละอาชีพจะมีช่วงเงินเดือนที่แตกต่างกันไปตามวุฒิการศึกษา ทักษะ และประสบการณ์ ตัวเลขขั้นต่ำอาจเริ่มต้นที่ประมาณ 15,000 บาทสำหรับวุฒิปริญญาตรี แต่ตัวเลขนี้ไม่ใช่ตัวตัดสินทุกอย่าง สิ่งที่สำคัญกว่าคือการเลือกอาชีพที่เราชอบและพัฒนาทักษะอยู่เสมอเพื่อเพิ่มมูลค่าของตัวเอง
รายได้เสริม: นอกจากงานประจำแล้ว ยังสามารถหารายได้เพิ่มได้หลายทาง เช่น การทำฟรีแลนซ์, ขายของออนไลน์ หรือการลงทุน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีหากเราอยากมีอิสระทางการเงินมากขึ้น
รายจ่าย (Expenses): เงินที่เราใช้ไปในชีวิตประจำวัน แบ่งเป็น รายจ่ายคงที่ (Fixed Cost) เช่น ค่าหอพัก, ค่าอินเทอร์เน็ต และ รายจ่ายผันแปร (Variable Cost) เช่น ค่าอาหาร, ค่าเดินทาง
เงินออม (Savings): ส่วนหนึ่งของรายได้ที่เก็บไว้เพื่อเป้าหมายในอนาคต เช่น การซื้อของชิ้นใหญ่ หรือเก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉิน
หนี้สิน (Debt): เงินที่เรายืมมาและต้องจ่ายคืนพร้อมดอกเบี้ย การเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป หากเราใช้ไปในสิ่งที่สร้างประโยชน์ เช่น กู้เรียน แต่ต้องระวังไม่ให้เป็นหนี้ที่ไม่จำเป็น
การลงทุน (Investment): การนำเงินไปสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากธนาคาร เช่น การซื้อหุ้นหรือกองทุนรวม
ดอกเบี้ย (Interest): ผลตอบแทนที่เราได้รับจากการฝากเงิน หรือค่าใช้จ่ายที่เราต้องจ่ายเมื่อกู้ยืมเงิน
การจัดการเงินให้เป็นระบบจะช่วยให้เรามีเงินใช้ได้อย่างไม่ติดขัด
การทำงบประมาณ (Budgeting): เป็นการวางแผนว่าเราจะใช้เงินกับอะไรบ้างในแต่ละเดือน เพื่อควบคุมรายจ่ายไม่ให้เกินรายได้
กฎ 50/30/20: เป็นแนวทางที่นิยมใช้
50% สำหรับรายจ่ายที่จำเป็น (ค่าอาหาร, ค่าเดินทาง, ค่าใช้จ่ายประจำ)
30% สำหรับความต้องการส่วนตัว (ดูหนัง, ช้อปปิ้ง, ท่องเที่ยว)
20% สำหรับเงินออมและการลงทุน
ภาษี คือเงินที่รัฐบาลเก็บจากประชาชนและภาคธุรกิจ เพื่อนำไปใช้พัฒนาประเทศ เช่น สร้างถนน, โรงเรียน หรือโรงพยาบาล
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา: เป็นภาษีที่เราทุกคนต้องจ่ายเมื่อมีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนด โดยคำนวณจากรายได้ทั้งหมดที่ได้รับในแต่ละปี ยิ่งมีรายได้สูงขึ้น อัตราภาษีที่ต้องจ่ายก็จะสูงขึ้นตาม
ประกัน (Insurance) คือเครื่องมือที่ช่วยบริหารความเสี่ยง เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน บริษัทประกันจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้
ประกันชีวิต: คุ้มครองชีวิตและรายได้ของผู้เอาประกัน ทำให้คนข้างหลังมีเงินใช้จ่ายเมื่อผู้เอาประกันจากไป
ประกันสุขภาพ: คุ้มครองค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ทำให้เราไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายเมื่อเจ็บป่วย
ประกันอุบัติเหตุ: คุ้มครองค่าใช้จ่ายจากการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
การลงทุนทำให้เงินของเราเติบโตได้มากกว่าการฝากธนาคาร
กองทุนรวม (Mutual Funds): เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น เพราะมีผู้จัดการกองทุนคอยดูแลให้ เราแค่เลือกว่าจะลงทุนในกองทุนประเภทไหน
หุ้น (Stocks): เป็นการร่วมเป็นเจ้าของบริษัท ยิ่งบริษัทเติบโตมาก มูลค่าหุ้นของเราก็จะยิ่งสูงขึ้น
การลงทุนในตัวเอง: เป็นการลงทุนที่ดีที่สุด เช่น การเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เพื่อเพิ่มรายได้ในอนาคต
หุ้น คือการเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของบริษัท เมื่อเราซื้อหุ้น เท่ากับเราเป็น "ผู้ถือหุ้น" และมีสิทธิ์ในสินทรัพย์และรายได้ของบริษัทนั้น
ความเสี่ยง: สูง 📈
ทำไมถึงเสี่ยง: มูลค่าหุ้นขึ้นอยู่กับผลประกอบการและปัจจัยทางเศรษฐกิจต่างๆ ซึ่งอาจผันผวนสูง ทำให้มีโอกาสทั้งได้กำไรสูง (Capital Gain) หรือขาดทุน (Capital Loss)
ผลตอบแทน:
ส่วนต่างราคา (Capital Gain): กำไรจากการขายหุ้นในราคาที่สูงกว่าราคาที่ซื้อมา
เงินปันผล (Dividend): ส่วนแบ่งกำไรที่บริษัทจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้น
กองทุนรวม คือการรวบรวมเงินของนักลงทุนหลายๆ คน แล้วนำไปให้ผู้จัดการกองทุนมืออาชีพนำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เช่น หุ้น, พันธบัตร, หรืออสังหาริมทรัพย์ ตามนโยบายที่กำหนดไว้
ความเสี่ยง: ปานกลางถึงต่ำ ⚖️
ทำไมถึงเสี่ยงน้อยกว่าหุ้น: เพราะเป็นการกระจายความเสี่ยงไปในหลายสินทรัพย์ (Diversification) และมีผู้เชี่ยวชาญดูแลให้
ผลตอบแทน:
ส่วนต่างราคากองทุน: กำไรจากการขายหน่วยลงทุนในราคาที่สูงขึ้น
เงินปันผล: ถ้ากองทุนมีนโยบายจ่ายเงินปันผล
พันธบัตร คือตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลหรือบริษัท เปรียบเหมือนการที่เราให้รัฐบาลหรือบริษัทนั้นๆ กู้ยืมเงินเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ โดยจะได้รับดอกเบี้ยเป็นงวดๆ ตามที่ตกลงกันไว้
ความเสี่ยง: ต่ำ 📉
ทำไมถึงเสี่ยงต่ำ: เพราะเป็นการลงทุนที่มีความมั่นคงสูง เนื่องจากได้รับเงินคืนและดอกเบี้ยตามกำหนด
ผลตอบแทน:
ดอกเบี้ย (Interest): ผลตอบแทนที่แน่นอนตามที่ระบุไว้
ส่วนต่างราคา (Capital Gain): ถ้าขายพันธบัตรก่อนครบกำหนดและได้ราคาดีกว่าที่ซื้อมา
อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate): เช่น ที่ดิน, บ้าน, คอนโด
ข้อดี: มูลค่าเพิ่มขึ้นในระยะยาว, มีรายได้จากค่าเช่า
ข้อเสีย: ใช้เงินลงทุนสูง, สภาพคล่องต่ำ
กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs):
ข้อดี: ลงทุนในอสังหาฯ ได้ง่ายขึ้น ใช้เงินน้อยกว่า
ข้อเสีย: มูลค่าขึ้นอยู่กับตลาดอสังหาฯ
ทองคำ (Gold):
ข้อดี: เป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยในยามเศรษฐกิจไม่ดี ใช้ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ
ข้อเสีย: ไม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยหรือเงินปันผล
คริปโตเคอเรนซี่ (Cryptocurrency): เช่น Bitcoin, Ethereum
ข้อดี: มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงมาก
ข้อเสีย: มีความเสี่ยงและความผันผวนสูงมาก, ไม่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น