ในการศึกษาระบบภาษีอากร จะต้องพิจารณาองค์ประกอบ 6 ประการด้วยกันคือ
1. ผู้เสียภาษีอากร
ผู้เสียภาษีอากรต้องเป็นบุคคลตามกฏหมายกำหนด วิธีการจำแนกผู้เสียภาษีอากรสามารถจำแนกได้ 3 สามลักษณะใหญ่ ดังนี้
1) การแยกตามฐานะบุคคลตามกฏหมาย
ตัวอย่างเช่น บุคคลธรรมดา นิติบุคคล (บริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน)
2) การแยกตามถิ่นที่อยู่หรือภูมิลำเนา
เป็นการกำหนดผู้อยู่ในท้องถิ่นหนึ่งเสียภาษีอากรอย่างหนึ่ง ส่วนอีกท้องถิ่นหนึ่งอาจไม่ต้องเสียหรือเสียในลักษณะที่แตกต่างกัน
3) การแยกตามวิธีอื่น
เป็นการแยกผู้ที่จะต้องเสียภาษีด้วยวิธีอื่นๆ เช่นการแยกตามสัญชาติ คนต่างด้าวจึงต้องเสียภาษีรายหัวในรูปค่าธรรมเนียมคนต่างด้าว
2. ฐานภาษี
ฐานภาษีหมายถึงสิ่งที่เป็นเงื่อนไขให้บุคคลต้องเสียภาษี หรือสิ่งที่รองรับอัตราภาษี เช่นกฏหมายกำหนดให้เสียผู้มีเงินได้ต้องเสียภาษีเงินได้ ฐานภาษีได้แก่เงินได้
1) เงินได้ (Income)
ภาษีที่เก็บจากฐานนี้อาจเรียกได้หลายอย่าง เช่น ภาษีเงินได้ ภาษีกำไร เป็นต้น
2) ทรัพย์สิน (Property)
ภาษีที่เก็บจากฐานนี้มักเรียกว่าภาษีทรัพย์สิน ซึ่งอาจเรียกเก็บจากราคาของทรัพย์สินหรือมูลค่าที่รับจากการให้เช่าทรัพย์สินนั้น เช่นภาษีบำรุงท้องที่ ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีรถยนต์
3) สินค้าและบริการ (Goods and services)
ภาษีที่เก็บจากฐานนี้ได้แก่ ภาษีสรรพสามิตต่างๆ อากรศุลกากร ภาษีมูลค่าเพิ่ม
4) สิทธิพิเศษในการประกอบ (Licences)
ได้แก่ ค่าธรรมเนียมในการอนุญาตให้ประกอบกิจการไม่ว่าจะมีลักษณะผูกขาดหรือไม่ เช่นการผูกขาดขายสุรา การผูกขาดทำรังนก
3. อัตราภาษี
การกำหนดอัตราภาษี สามารถแบ่งได้เป็นสองลักษณะใหญ่ๆคือ
1) การกำหนดเป็นอัตราจากฐานที่เป็นจำนวนเงิน
ลักษณะนี้เรียกว่า อัตราตามมูลค่า หรืออัตราตามราคา เช่นอากรขาเข้าสำหรับรถยนต์ หรือภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นอัตราร้อยละจากราคา
2) การกำหนดเป็นอัตราจากฐานที่คำนวณเป็นปริมาณ
ลักษณะนี้เรียกว่า อัตราตามปริมาณ เช่นภาษีสุราที่เก็บเป็นรายเท ภาษีเบียร์ที่เก็บเป็นรายขวดตามปริมาณเป็นจำนวนลิตร และอากรขาเข้าสำหรับสินค้าทั่วๆไปซึ่งเก็บตามปริมาตรหรือน้ำหนัก
ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราอัตราภาษีกับฐานภาษี จำแนกได้ดังนี้
1. อัตราร้อยละคงที่ ไม่ว่าฐานภาษีจะเป็นจำนวนเงินเท่าใด เรียกว่าอัตราตามส่วน (Proportional rate) เช่นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม เก็บในอัตราเดียวไม่ว่าราคาสินค้าเป็นเท่าใด
2. อัตราร้อยละเพิ่มขี้น เมื่อฐานภาษีเป็นจำนวนเพิ่มขึ้น เรียกว่าอัตราก้าวหน้า (Progressive rate) เช่นอัตราภาษีบุคคลธรรมดา
3. อัตราร้อยละลดลง เมื่อฐานภาษีเป็นจำนวนมากขึ้น เรียกว่าอัตราถอยหลัง (Regressive rate) เช่นภาษีบำรุงท้องที่ ซึ่งอัตราภาษีเมื่อคิดเป็นร้อยละแล้วจะลดลงเมื่อราคาปานกลางของที่ดินต่อไร่สูงขึ้น
4. วิธีการชำระภาษีอากร
วิธีที่กฏหมายกำหนดในการชำระภาษีอากรให้ผู้เสียภาษีอากรปฏิบัติเพื่อการชำระภาษีอากร มี 4 วิธีดังนี้
1) การประเมินโดยเจ้าพนักงาน (Authoritative assessment)
วิธีนี้ผู้เสียภาษีอากรมีหน้าที่ชำระภาษีอากร ต่อเมื่อได้รับการประเมินจากเจ้าพนักงานว่าต้องเสียภาษีเป็นจำนวนเงินเท่าใด ภาษีที่เก็บโดยวิธีนี้ได้แก่ ภาษีสรรพสามิต อากรศุลกากร ภาษีโรงเรือนและที่ดิน และภาษีเงินได้ในสมัยก่อน ตามวิธีนี้กฏหมายอาจกำหนดให้ผู้เสียภาษีอากรทำการยื่นแบบแสดงรายการก่อนหรือไม่ก็ได้ ในกรณีที่กำหนดให้ยื่นแบบแสดงรายการเป็นการกำหนดเพื่อความสะดวกในการประเมินของเจ้าพนักงาน
2) การประเมินตนเอง (Self-assessment)
วิธีนี้ผู้เสียภาษีอากรมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการ เพื่อให้ทราบว่าจำนวนภาษีที่ต้องชำระ และต้องชำระภาษีพร้อมกับแบบฯที่ยื่น อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้เสียภาษีอากรได้ชำระภาษีด้วยการประเมินตนเองแล้ว เจ้าพนักงานภาษีอากรอาจตรวจสอบและประเมินเพิ่มเติมได้เมื่อปรากฏว่าการประเมินตนเองนั้นไม่ถูกต้อง ในปัจจุบันนี้ภาษีส่วนใหญ่ตามประมวลรัษฎากรใช้วิธีนี้
3) การหักภาษี ณ ที่จ่าย (Withholding/Deduct at source)
กฏหมายจะกำหนดให้ผู้จ่ายเงิน ซึ่งก่อให้เกิดฐานภาษีทำหน้าที่หักภาษีไว้ แล้วนำส่งรัฐบาล เงินที่นำส่งนี้ถือเป็นเครดิตภาษีของผู้เสียภาษีที่จะต้องชำระไว้จริง ตัวอย่างเช่านภาษีเงินได้สำหรับเงินเดือน นายจ้างจะต้องหักภาษีไว้ เมื่อจ่ายเงินในแต่ละเดือนแล้วนำส่งภาษีให้รัฐบาล เมื่อครบรอบปี ลูกจ้างยื่นแบบแสดงรายการเงินได้เพื่อเสียภาษี ก็จะนำภาษีที่ถูกหักไว้มาเป็นเครดิตภาษีจากภาษีที่คำนวณได้ หากถูกหักไว้เกินก็สามารถขอคืนได้
4) การชำระภาษีล่วงหน้า (Prepayment)
ผู้มีเงินได้จากแหล่งรายได้ซึ่งไม่มีผู้จ่ายให้โดยแน่นอน เช่นการประกอบธุรกิจพาณิชย์ มีหน้าที่ประมาณว่าในแต่ละงวดหรือปีภาษีตนควรมีภาษีต้องชำระเท่าใดแล้วนำเงินภาษีไปชำระล่วงหน้า ต่อเมื่อถึงกำหนดเวลาชำระภาษีจึงประเมินตนเองโดยแน่นอนแล้วนำภาษีที่ได้ชำระล่วงหน้าไปเป็นเครดิตภาษี ตัวอย่างตามวิธีนี้ เช่นการยื่นภาษีกลางปี ตามแบบ ภ.ง.ด. 51 ของบริษัท
5. วิธีหาข้อยุติในจำนวนเงินที่ต้องเสียภาษี
เนื่องจากการเสียภาษีอากรเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงและข้อกฏหมายซึ่งอาจสลับซับซ้อนจึงอาจเกิดปัญหาเรื่องจำนวนเงินที่ต้องเสียภาษีอากร กฏหมายต้องวางวิธีการเพื่อหาข้อยุติที่เป็นทียอมรับกันทั้งฝ่ายเจ้าพนักงานผู้จัดเก็บภาษีอากรและผู้เสียภาษีอากรเอง การหาข้อยุติโดยปกติมี 3 ขั้น ยกเว้นภาษีอากรบางประเภทที่อาจมีเพียง 2 ขั้นตอน
ขั้นตอนการหาข้อยุติในจำนวนภาษีอากรที่ต้องเสีย มีดังนี้
1) การประเมิน
ในกรณีที่เป็นการประเมินตนเอง เมื่อยื่นแบบและเสียภาษีแล้วเป็นที่พอใจของเจ้าพนักงาน การกำหนดภาษีอากรก็ยุติเพียงนี้ แต่หากเจ้าพนักงานประเมนเห็นว่าไม่ถูกต้อง ก็อาจประเมินเพิ่มเติมได้ ถ้าผู้เสียภาษีไม่คัดค้าน ยอมเสียภาษีเพิ่ม การหาข้อยุติก็จบ
2) การวินิจฉัยของหน่วยอุทธรณ์ของฝ่ายบริหาร
ในกรณีที่ผู้เสียภาษีอากรไม่พอใจการประเมินของเจ้าพนักงานตามข้อ 1) กฏหมายกำหนดให้ผู้เสียภาษีอากรยื่นอุทรณ์ภายใน 30 วัน ต่อหน่วยอุทรณ์ของฝ่ายบริหารเสียก่อน จะนำคดีขึ้นสู่ศาลเลยไม่ได้
หน่วยอุทรณ์ของฝ่ายบริหารนั้น อาจเป็นอธิบดีหัวหน้ากรมผู้จัดเก็บภาษีนั้นหรืออาจเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทรณ์ตามที่กำหนด
เมื่อหน่วยอุทรณ์ของฝ่ายบริหารดังกล่าวมีคำวินิจฉัยแล้ว หากผู้เสียภาษีอากรยอมรับในคำวินิจฉัย ก็เป็นอันยุติ แต่หากไม่ยอมรับ ผู้เสียภาษีอากรก็สามารถนำคดีสู่ศาลได้
3) การพิจารณาคดีในศาล
หากผู้เสียภาษีอากรยังไม่พอใจคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทรณ์ ต้องอุทรณ์ต่อศาลภาษีอากรกลางและศาลฎีกาตามลำดับ เมื่อคดีความขึ้นสู่ศาล ทั้งฝ่ายผู้เสียภาษีอากรและฝ่ายรัฐบาลมีสิทธิอุทรณ์ต่อศาล
6. บทกำหนดโทษ
เพื่อประโยชน์ในการบังคับให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากร ปฏิบัติตามกฏหมาย จึงได้กำหนดบทลงโทษในกรณีไม่ปฏิบัติตามกฏหมาย แบ่งบทลงโทษได้เป็น 3 ประการดังนี้
1) โทษทางอาญา
การหลีกเลี่ยงภาษีอากรหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติตามกฏหมายภาษีอากร เป็นความผิดทางอาญาอย่างหนึ่ง จึงมีบทลงโทษทางอาญาไว้ หากเป็นการหลีกเลี่ยงภาษีอากรโดยจงใจ บทลงโทษจะรุนแรงโดยมีโทษจำคุกขั้นสูงอยู่ด้วย ส่วนการฝ่าฝืนบทบัญญัติเกี่ยวด้วยพิธีการ บทลงโทษอาจปรับอาจเดียวหรือโทษจำคุกขั้นต่ำด้วย
2) การเพิ่มจำนวนเงินภาษีอากร
ในกรณีที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรประเมินตนเองไม่ถูกต้อง หรือให้ข้อความเพื่อการประเมินของเจ้าพนักงานไม่ถูกต้อง ทำให้ภาษีอากรที่เสียน้อยกว่าที่ต้องเสีย หรือมีข้อผิดพลาดอื่น กฏหมายภาษีอากรบางประเภทจะกำหนดให้เพิ่มจำนวนเงินที่ต้องเสียภาษีตามปกติอีก 1 เท่า หรือ 2 เท่า (ยื่นแบบปรับ 1 เท่า ไม่ยื่นแบบ 2 เท่า) ภาษีที่ต้องเสียเพิ่มนี้เรียกว่าเบี้ยปรับ
3) ดอกเบี้ยจากการชำระเกินกำหนด
ถ้าผู้เสียภาษีอากรไม่ชำระค่าภาษีอากรในเวลาที่กฏหมายกำหนด อาจมีบทบัญญัติให้เสียดอกเบี้ยแก่รัฐด้วย เรียกว่า เงินเพิ่ม เงินเพิ่มในลักษณะเช่นนี้มีลักษณะเหมือนดอกเบี้ยที่ลูกหนี้ต้องชำระ เช่นหากไม่ชำระภาษีภายในเวลาที่กำหนด ต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือน
อ้างอิง: กฏหมายเกี่ยวกับภาษีอากร โดย วิทย์ ตันตยกุล