การบัญชี คือ ศิปลของการเก็บรวบรวม บันทึก จัดจำแนก และทำสรุปข้อมูลอันเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจในรูปของตัวเงิน แสดงข้อมูลเชิงปริมาณ ผลงานขั้นสุดท้ายของการบัญชี คือ การให้ข้อมูลทางการเงินซี่เงป็นประโยชน์แก่บุคคลหลายกลุ่มและผู้ที่สนใจในกิจการรมของกิจการ โดยมุ่งที่จะให้ประโยชน์ในการตัดสินใจทางเศรษฐกิจ
การบัญชีแบ่งออกได้เป็นหลายสาขา เช่น บัญชีการเงิน การบัญชีบริหาร การบัญชีรัฐบาล
ในยุคเริ่มแรก กิจการเล็กๆ เช่นร้านค้าแผงลอย หรือร้านค้าห้องแถว เมื่อสิ้นวัน จะมีการนับเงินที่ขายของได้ แล้วจดบันทึกเงินสดที่ได้รับในแต่วัน นี่ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการบัญชี ต่อเมื่อกิจการมีขนาดใหญ่ขึ้น มีความซับซ้อนมากขึ้น การบัญชีจะมีส่วนสำคัญมากขึ้นโดยมีรูปแบบเพิ่มมากขึ้นโดยความต้องการของเจ้าของ ผู้บริหารงาน หรือหน่วยงานที่กำกับดูแล เช่นกรมสรรพากร เป็นต้น
ทำไมต้องจัดทำบัญชีด้วย? ไม่ทำได้ไหม นี่คงเป็นคำถามคาใจหลายคน ในที่นี้จะขอแบ่งมุมมองออกเป็น 2 ระดับ คือ ระดับมหภาคและจุลภาค ว่าทำไมถึงต้องทำบัญชี
การดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบธุรกิจใด ต้องการข้อมูลการเงินในด้านต่างๆ ราคาทุนของสินค้าที่ซื้อหรือผลิต เพื่อกำหนดราคาขายได้เหมาะสม แข่งขันได้ ข้อมูลลูกหนี้ที่ค้างชำระหนี้เป็นระยะเวลาต่างๆ เงินสดเงินฝากธนาคารมีใช้หมุนเวียนเป็นระยะเวลาเท่าใด มีหนี้สินที่จะต้องจ่ายในระยะสั้น ระยะยาวเท่าใด เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้ ล้วนได้มาจากการทำบัญชี
จากคำกล่าวที่ว่า ทรัพยากรมีจำกัด การใช้ทรัพยากรนั้นจึงจำเป็นต้องใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ในแง่ของการทำธุรกิจ เพื่อการทำกำไร อยู่รอด เติบโตอย่างยั่งยืน ธุรกิจจำเป็นต้องมีข้อมูลทางการเงินที่ถูกต้อง ทันเวลา ตรวจสอบได้
เมื่อบริษัทมีการเติมโต มีกิจกรรมซับซ้อน มีความต้องการเงินทุนที่มากขึ้น ตลาดทุนเป็นส่วนสำคัญในขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจที่แข็งแรง เติบโต การระดมทุนของบริษัทเพื่อนำไปสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ขยายงาน ส่วนนักลงทุนได้ผลตอบแทนในรูปเงินปันผล กำไรจากส่วนต่างราคาตลาดของหุ้นที่จำหน่าย
นักลงทุน เจ้าหนี้ ธนาคาร ผู้ถือหุ้น ล้วนต้องการทราบข้อมูลทางการเงิน เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ เช่น
· ประเมินโอกาส ความเสี่ยงในการลงทุน
· ประเมินความสามารถในการทำกำไร การเติบโตของบริษัท
· ประเมินอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน
งบการเงินและรายงานทางการเงินที่จัดทำโดยนักบัญชี เป็นส่วนสำคัญที่นำไปสู่การลงทุนที่ดี ถือได้ว่างบการเงินและรายงานทางการเงิน เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ
ธุรกรรมของบริษัท นำไปสู่รายการทางการเงิน นักบัญชีรวบรวมระบุ จัดประเภท และวัดมูลค่าของรายการ ตลอดจนจัดทำเป็นรายงานทางการเงิน นักบัญขีมีหน้าที่สื่อสารกับผู้เกี่ยวข้องทั้งภายในองค์การและภายนอกองค์กร เพื่อให้ข้อมูลในการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ
กล่าวโดยย่อ การบัญชีมีวัตถุประสงที่การจัดทำชุดข้อมูลทางการเงินที่มีประโยชน์ในการตัดสินใจต่อผู้ใช้ทั้งภายในและภายนอกองค์กร
ผู้ใช้งบการเงินมีหลายกลุ่ม มีความแตกต่างของวัตถุประสงค์ที่ใช้ข้อมูลทางบัญชี ปัญหาจากการจัดรายงานทางการเงิน มีมากมาย ตั้งแต่การตีความ การพิจารณารายการใดควรบันทึกบัญชี ใช้มูลค่าใด ต้องมีการพิจารณามูลค่าใหม่เมื่อเวลาผ่านไปหรือไม่ เป็นต้น หากต่างองค์กร ต่างใช้กฏเกณฑ์ วิธีการ การตีความของตน ย่อมเกิดความต่างต่าง ความแตกต่างในรายการธุรกรรมเดียวกัน ตีความไม่เหมือนกัน วัดค่าไม่เท่ากัน เปรียบเทียบกันไม่ได้
เพื่อขจัดปัญหาต่างๆ ไม่ว่าการตีความ ความลำเอียง ความไม่ต้องครบถ้วน ความคลุมเครือ และเพื่อให้งบการเงิน เปรียบเทียบกันได้ ผู้ประวิชาชีพทางบัญชีจึงสร้างหลักทฤษฏีที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป เพื่อเป็นแนวปฏิบัติ นี่จึงเป็นคำตอบว่าทำไมจึงต้องมีมาตรฐานการบัญชี
เพื่อให้เข้าใจถึงการพัฒนการมาตรฐานการบัญชี เราควรทราบสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการบัญชี ประวัติความเป็นมาของการบัญชี
สภาพแวดล้อมของการบัญชีคือสิ่งที่เกี่ยวกับสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและกฏหมาย ที่มีข้อกำหนด มีอิทธิพล และมีการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา มีผลต่อวัตถุประสงค์และการปฏิบัติทางการบัญชี ซึ่งก็เช่นเดียวกับสัมคมศาสตร์ หรือมนุษย์ศาสตร์
1. การบัญชียอมรับว่ามนุษย์อยู่ในโลกที่มีทรัพยากรจำกัด มนุษย์ย่อมพยายามใช้ทรัพยากรเหล่านั้นให้เป็นประโยชน์สูงสุด การเน้นประสิทิภาพนำไปสู่การวัดผลกำไรซึ่งเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ
2. การบัญชียอมรับหลักกฏหมายและจรรยาบรรณของสังคม ในเรื่องสิทธิและความเป็นเจ้าของทรัพย์สิน การบัญชีจึงต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเพื่อยึดเป็นมาตรฐานในเรื่องสิทธิ การวัดมูลค่า ตามที่สังคมยอมรับว่ายุติธรรมและความเหมาะสม
3. การบัญชียอมรับว่าในระบบเศรษฐกิจมีความซับซ้อน เจ้าของและผู้ลงทุนมอบการควบคุมทรัพย์สินให้กับผู้อื่น เช่นผู้บริหาร ผู้จัดการ บุคคลดังกล่าวจะต้องประพฤติภายในกรอบของความสุจริตและเที่ยงธรรม
4. กลุ่มบุคคลที่ใช้ประโยชน์จากการบัญชีกลุ่มต่างๆ มีวัตถุประสงค์ไม่เหมือนกัน เพื่อให้ข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์และเที่ยงธรรมที่สุด นักบัญชีจะต้องรู้ถึงความต้องการของผู้ใช้ และให้ข้อมูลที่สนองความต้องการของผู้ใช้
5. ภายใต้เศรษฐกิจที่มีการพัฒนามาก องค์กรที่มีกิจกรรมการผลิต การกระจายรายได้ การแลกเปลี่ยน การบริโภค การประหยัดและการลงทุนจะมีความเกี่ยวพันกันอย่างมาก เนื่องจากกิจกรรมมีการดำเนินอย่างต่อเนื่อง การวัดความสำเร็จจะต้องมีกรอบเวลา เช่นว่า 1 ปี
6. การบัญชีมีความเกี่ยวข้องกับกิจกรรมขององค์กรธุรกิจ ซึ่งประกอบด้วยทรัพยากรทางเศรษฐกิจ หรือทรัพย์สิน พันธรผูกพันทางเศรษฐกิจ หรือหนี้สิน และส่วนได้เสียยคงเหลือ (ส่วนของเจ้าของ/ผู้ถือหุ้น) การเพิ่มขี้นหรือลดลงของทั้งสามส่วนนี้ จะเป็นผลของการดำเนินงาน รายได้ ค่าใช้จ่าย และกำไรสุทธิ
7. การบัญชีมีส่วนช่วยให้เกิดการเปรียบเทียบและประเมินผล โดยจัดมูลค่าของทรัพย์สิน หนี้สิน ส่วนของเจ้าของ โดยใช้หน่วยเงินตราเป็นสื่อกลาง ทำให้วัดค่าได้ทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณ
8. การบัญชีมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในวงจรเศรษฐกิจ สังคม การเมือง กฏหมายและก่อให้เกิดการตัดสินใจและการกระทำ การบัญชี คือระบบการให้ข้อมูลแก่บุคคลและองค์กร เพื่อให้เขาเหล่านั้นนำไปใช้และจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมขึ้นมาใหม่อีก ซึ่งก็จะมีอิธพลย้อนกลับมาสู่การบัญชี
ในยุคแรกๆ กิจการมีขนาดเล็ก ธุรกรรมไม่ซับซ้อน เป็นกิจการครัวเรือน เจ้าของคนเดียว การเก็บบันทึกทางการบัญชี เป็นการบันทึกตามแต่เจ้าของนั้นๆจะออกแบบเอง ส่วนมาเป็นการบันทึกเงินสดรับประจำวัน บันทึกการจ่ายเงินสดในสมุด และไม่ได้มีการใช้ข้อมูลในการตัดสินใจใดๆ
ต่อมาเมื่อกิจการมีการเติบโต มีรายการมากขึ้น มีความซับซ้อน รูปแบบของกิจการเปลี่ยนรูปจากเจ้าของคน เป็นการร่วมทุน/หุ้น มีหลายภาคส่วนเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะข้อกำหนดทางกฏหมายที่ให้จัดทำบัญชี ในรูปแบบที่กำหนด และนำส่งรายงานตามแบบฟอร์มของหน่วยงานที่กำกับดูแลในเวลาที่กำหนด
กฏหมายที่เกี่ยวกับการบัญชี ในประเทศไทย
พ.ศ. 2450 เศษ มีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติลักษณะเข้าหุ้นส่วน และบริษัทรัตนโกสินทร์ศก 130 (พรบ.เข้าหุ้นฯ)
พ.ศ. 2467 ยกเลิก พรบ.เข้าหุ้นฯ และใช้ประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 22 ว่าด้วยหุ้นส่วนและบริษัท (ปพพ.บ3/ล22) ซึ่งมีข้อกำหนดให้กรรมการบริษัท จัดให้มีการบันทึกบัญชีจำนวนเงิน รับ จ่าย และรายการอันเป็นเหตุให้รับหรือจายนั้น จัดให้มีการบันทึกทรัพย์และหนี้สินและจัดทำงบดุล รวมทั้งบัญชีกำไรขาดทุนอย่างน้อยปีละครั้ง งบดุลจะต้องมีผู้สอบบัญชี ทำการตรวจสอบและให้ความคิดเห็น
พ.ศ. 2482 ประกาศใช้ พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2482
พรบ.การบัญชีนี้ ลงวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2482 มีวัตถุประสงค์ให้ธุรกิจในประเทศไทยมีการทำบัญชีในแนวทางเดียวกันและเพื่อคุ้มครองส่วนได้เสียผู้เกี่ยวข้องและให้เกิดความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี พรบ.ฉบับนี้กำหนดให้บริษัท ห้างหุ้นส่วนและบุคคลธรรมดาซี่งประกอบธุรกิจที่กำหนดไว้ในกฏหมายต้องจัดทำบัญชีตามกฏหมาย การประทับตราบัญชี การเก็บรักษา บัญชีและเอกสาร การเลิกประกอบกิจกรรมและโทษตามพระราชบัญญัติการบัญชี
พ.ศ. 2505 มีประกาศพระราชบัญญัติกผู้สอบบัญชี พ.ศ. 2505 ให้มีคณะกรรมการควบคุมการประกอบวิชาชีพสอบบัญชี (ก.บช.) มีอำนาจและหน้าที่ รับขึ้นทะเบียน สั่งพัก ออกข้อบังคับ วางกฏเกณฑ์เกี่ยวกับใบอนุญาตผู้สอบบัญชีอนุญาต
พ.ศ. 2515 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับ 285 (ปว 285) ลงวันที่ 24 พฤศจิการยน พ.ศ. 2515 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ.2482 และพระราชบัญญัติการบัญชี (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2496 ปว 285 ได้กำหนดธุรกิจประเภทต่างๆที่ต้องจัดทำบัญชี ผู้มีหน้าที่จัดทำบญชี บัญชีที่ต้องจัดทำการประทับตราบัญชี การลงรายการในบัญชีและการปิดบัญชี การจัดทำงบดุลและบัญชี กำไรขาดทุน การเก็บรักษาบัญชีและเอกสาร
พ.ศ. 2547 พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2547 ใช้บังคับจนปัจจุบัน (2563) พรบ.การบัญชีฉบับนี้ยกเลิก พรบ.ผู้สอบบัญชี 2505 และปว 285 มาใช้ฉบับนี้แทน โดยมีสาระในพรบ.ฉบับนี้คือ กำหนดผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี กำหนดความรับผิดชอบในการจัดทำบัญชีระหว่างผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีและผู้ทำบัญชี กำหนดอำนาจในการตรวจสอบบัญชีและออกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชี และบทกำหนดโทษ
ข้อสังเกตของพรบ.การบัญชี 2547
· เป็นการรวมกฏหมายวิชาชีพบัญชี (ปว 285) และสอบบัญชี (ก.บช) เป็นฉบับเดียวกัน
· กำหนดนิยามวิชาชีพบัญชี หมายรวมถึงการทำบัญชี การสอบบัญชี การบัญชีบริหาร วางระบบบัญชี บัญชีภาษีอากร การศึกษาและเทคโนโลยีการบัญชี และการบริการอื่นเกี่ยวกับบัญชีที่กำหนดโดยกฏกระทรวง
· มาตรฐานบัญชีที่ประกาศใช้ ถือเป็นกฏหมายที่ต้องปฏิบัติตาม
สถาบันวิชาชีพการบัญชี
13 ตุลาคม พ.ศ.2491 มีการจัดตั้งสมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทย (เดิมชื่อสมาคมนักบัญชีแห่งประเทศไทย) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความสามัคคีและผดุงเกรียรติของสมาชิก ส่งเสริมและเผยแพร่และแลกเปลี่ยนความรู้ทงวิชการบัญชี และวิชาอื่นๆ ส่งเสริมให้วิชาชีพทางบัญชีมีมาตรฐาน ให้ความช่วยเหลือและอนุเคราะห์แก่บรรดาสมาชิกของสมาคม ให้ความร่วมมือและส่งเสริมกิจการสาธารณะประโยชน์ทั่วไป
สมาคมได้มีกิจกรรมอันเกี่ยวกับการพัฒนาการบัญชี การค้นคว้า การเผยแพร่ความรู้และยกระดับมาตรฐานการบัญชีมากมาย ทั้งการจัดประชุมสัมนา ติดต่อกับสมาคมนักบัญชีในประเทศอื่นๆ ผลงานของสมาคมได้มีการการออกแถลงการณ์และร่างแถลงการณ์มาตรฐานบัญชี และการสอบบัญชี
พ.ศ. 2547 เมื่อพรบ.การบัญชี พ.ศ.2547 มีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ.2547 จึงมีผลให้สิ้นสุดสมาคมนักบัญชีฯ เกิดสภาชีพบัญชี ใช้ชื่อว่า สภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์
3 เมษายน 2548 สภาวิชาชีพบัญชีได้จัดประชุมใหญ่สามัญเป็นครั้งแรก โดยมีวาระสำคัญเป็นการเลือกตั้งนายกสภาวิชาชีพบัญชี ตามข้อบังคับของสภาวิชาชีพบัญชีครั้งแรก มีศาสตราจารย์วิโรจน์ เลาหะพันธุ์ ประธานคณะกรรมการดำเนินการเลือกตั้ง เป็นประธานในที่ประชุม ซึ่งมีมติด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ ให้ศาสตราจารย์เกษรี ณรงค์เดช เป็นนายกสภาวิชาชีพบัญชีคนแรก
สภาวิชาชีพบัญชี มีฐานะเป็นนิติบุคคล มีอำนาจหน้าที่ภายใต้พรบ.การบัญชี 2547 นี้ โดยหลักคือส่งเสริมให้ความรู้ทางวิชาชีพ มีหน้าที่ออกข้อกำหนด ประกาศ มาตรฐานวิชาชีพ ทั้งการบัญชี การสอบบัญชี รับรองหลักสูตร ปริญญา ความรู้ความสามารถ ของผู้ประกอบวิชาชีพ
พ.ศ.2504 การประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2504 - 2509) เพื่อรองรับการเติบโตและส่งเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
พ.ศ. 2510 ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อดำเนินงานตามเป้าหมายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2510 - 2514) ว่าด้วยเรื่องการสะสมเงินทุนทางภาคเอกชนให้มากขึ้น โดยแผนพัฒนาฉบับนี้ ได้เสนอให้มีการจัดตั้ง ตลาดหลักทรัพย์ที่มีระบบระเบียบขึ้นเป็นครั้งแรก โดยเน้นให้มีบทบาทสำคัญในการเป็นแหล่งระดมเงินทุน เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ
พ.ศ. 2512 รัฐบาลได้ทำการว่าจ้างศาสตราจารย์ซิดนีย์ เอ็ม รอบบิ้นส์ ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาการเงิน จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา เพื่อมาทำการศึกษาช่องทางการพัฒนาตลาดทุนไทย
พ.ศ. 2515 ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่58 ลงวันที่ 26 ม.ค. 2515 กำหนดดให้มีการควบคุมกิจการค้าขายว่าด้วยธุรกิจเงินทุนและธุรกิจหลักทรัพย์ ซึ่งกระทรวงการคลังได้ประกาศเมื่อวันที่ 19 ก.ย. พ.ศ. 2515 กำหนดกิจการที่ต้องขออนุญาตและเงื่อนไขในการอนุญาตให้ประกอบการ เพื่อควบคุมกิจการธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์
พ.ศ. 2517 มีการประกาศใช้ พระราชบัญญัตตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 20 พ.ค. พ.ศ. 2517 พรบ.ฉบับนี้กำหนดให้มีการจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีฐานะเป็นนิติบุคคล ประกอบด้วยสมาชิกซี่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบกิจการตลาดหลกทรัพย์ โดยไม่นำผลกำไรมาแบ่งปันกัน และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลโดยทั่วไปในกิจการของตลาดหลักทรัพย์
พ.ศ 2518 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ชื่อภาษาอังกฤษในขณะนั้นคือ The Securities Exchange of Thailand) ได้เริ่มเปิดดำเนินการเมื่อวันที่ 30 เมย. พ.ศ. 2518 ซึ่งทำหน้าที่เป็นแหล่งกลาง สำหรับการซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียนและหลักทรัพย์รับอนุญาต อันได้แก่ห้นสามัญ หุ้นบัริมสิทธิ หุ้นกู้ พันธบัตร และตราสารอื่นที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนด
พ.ศ 2534 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ทำการเปลี่ยนชื่อภาษาอังกฤษเป็น "The Stock Exchange of Thailand" (SET) เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2534
หน่วยงานอื่นๆที่มีความสัมพันธ์โดยตรงต่อวิชาชีทางการบัญชี มีอีกหลากหลายหน่วยงาน เช่น สถาบันการศึกษา สมาคมธุรกิจต่างๆ หน่วยงานพัฒนาบุคคลากร เป็นต้น โดยเฉพาะสถาบันทางการศึกษา เป็นแหล่งให้การศึกษาวิชาการทางบัญชี พอที่จะนำไปใช้ประกอบวิชาชีพได้
ประวัติสถาบันการศึกษาที่มีการจัดการสอนวิชาการบัญชี
พ.ศ. 2481 ได้มีการจัดตั้งคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีขึ้นที่จุฤาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาธรรมศาสตร์
มาตรฐานการรายงานทางการเงินของไทย (TFRS) มีเนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์ขององค์กรมาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ (IFRS ® Foundation) ซึ่งมีการสงวนลิขสิทธิ์
สภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ (“สภาวิชาชีพบัญชี”) ได้รับการอนุญาตจากองค์กรมาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศให้ทำซ้ำและจำหน่ายภายในราชอาณาจักรประเทศไทยเท่านั้น (= ห้ามการจำหน่ายภายนอกประเทศไทย)
มาตรฐานการรายงานทางการเงินของไทย (TFRS) ที่ออกโดยสภาวิชาชีพบัญชีมีไว้เพื่อนำมาถือปฏิบัติในราชอาณาจักรประเทศไทยเท่านั้น และไม่ได้มีการจัดทำหรืออนุมัติโดยคณะกรรมการมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ (คณะกรรมการ IASB)
กระบวนการจัดทำมาตรฐานฯ มีการดำเนินการเป็น 6 ขั้นตอน การจัดทำมาตรฐานฯ แต่ละฉบับ มีกระบวนการจัดทำมาตรฐานฯ ที่โปร่งใส ผ่านการสัมมนาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง มีการกลั่นกรองข้อสังเกตประเด็นที่อาจจะเกิดขึ้นจากการนำมาตรฐานฯ ไปปฏิบัติจากคณะอนุกรรมการกลั่นกรองมาตรฐานการบัญชี
ทิศทางของมาตรฐานการรายงานทางการเงินไทย ปัจจุบันมาตรฐานการรายงานทางการเงินของไทยนั้น จัดทำขึ้นตามเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นโดยมาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งมาตรฐานการรายงานทางการเงินของไทยนั้น จะมีผลบังคับใช้ภายใน 1 ปีนับจากวันที่ถือปฏิบัติของมาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ (IFRS)
(อ้างอิงจาก เว็บไซด์สภาวิชาชีพบัญชี http://www.tfac.or.th/Article/Detail/66976 )
อ้างอิงตาม กรอบแนวคิดสำหรับการรายงานทางการเงิน (ปรับปรุง 2558) ประกาศในราชกิจจานุเบกษา 6 พฤศจิกายน 2558
กรอบแนวคิด กำหนดแนวคิดที่ใช้เป็นเกณฑ์ในการจัดทำและการนำเสนองบการเงินสำหรับผู้ใช้ภายนอก
ขอบเขตกรอบแนวคิดนี้กำหนด 4 กรอบแนวคิดหลัก คือ
1) วัตถุประสงค์ของการรายงานทางการเงิน
2) ลักษณะเชิงคุณภาพของข้อมูลทางการเงินที่มีประโยชน์
3) คำนิยาม การรับรู้รายการและการวัดมูลค่าองค์ประกอบของโครงสร้างงบการเงิน
4) แนวคิดของทุนและการรักษาระดับทุน
วัตถุประสงค์ของการรายงานทางการเงินเพื่อวัตถุประสงค์ทั่วไป
วัตถุประสงค์ของการรายงานทางการเงินเพื่อวัตถุประสงค์ทั่วไป คือ การให้ข้อมูลทางการเงิน
เกี่ยวกับกิจการที่เสนอรายงานที่มีประโยชน์ต่อผู้ลงทุน ผู้ให้กู้ยืม หรือเจ้าหนี้อื่น ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับการให้ทรัพยากรแก่กิจการ การตัดสินใจเหล่านี้เกี่ยวกับ การซื้อ ขาย หรือถือตราสารทุนและตราสารหนี้และการให้หรือชำระเงินกู้และสินเชื่อในรูปแบบอื่น
การให้ข้อมูลทางการเงินมีประโยชน์ ข้อมูลนั้นจะต้องมีลักษณะเชิงคุณภาพพื้นฐานและลักษณะเสริม นั่นคือ ข้อมูลนั้นต้องเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจและเป็นตัวแทนอันเที่ยงธรรมของสิ่งที่ต้องการนำเสนอ ประโยชน์ของข้อมูลทางการเงินจะเพิ่มขึ้นถ้าข้อมูลนั้นเปรียบเทียบได้ พิสูจน์ยืนยันได้ ทันเวลาและเข้าใจได้
ข้อจำกัดด้านต้นทุนต่อการรายงานทางการเงินที่มีประโยชน์
ข้อมูลทางการเงินมีต้นทุนและประเด็นสำคัญคือ ต้นทุนนั้นต้องคุ้มกับประโยชน์ของการรายงานข้อมูลนั้น ต้นทุนและประโยชน์ที่ต้องนำพิจารณา
กรอบแนวคิดในส่วนนี้ เป็นส่วนที่เหลือจากกแม่บทการบัญชี (ปรับปรุง 2552) เรื่อง การนำเสนองบการเงิน
ข้อสมมติฐานของงบการเงิน
งบการเงินจัดทำขึ้นตามข้อสมมติที่ว่า กิจการจะดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง และดำรงอยู่ต่อไปในอนาคตที่คาดการณ์ได้
งบการเงิน แสดงถึงผลกระทบทางการเงิน ของรายการและเหตุการณ์อื่น
โดยการจัดประเภทรายการและเหตุการณ์อื่น ตามลักษณะเชิงเศรษฐกิจ ประเภทของรายการดังกล่าวเรียกว่า องค์ประกอบของงบการเงิน
องค์ประกอบซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการวัดฐานะการเงินในงบดุล ได้แก่ สินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของ
องค์ประกอบซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการวัดผลการดำเนินงานในงบกำไรขาดทุน ได้แก่ รายได้และค่าใช้จ่าย
โดยทั่วไปงบแสดงการเปลี่ยนแปลงฐานะการเงิน สะท้อนถึงองค์ประกอบในงบกำไรขาดทุนและการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบในงบดุล ดังนั้นกรอบแนวคิดนี้จึงมิได้ระบุองค์ประกอบของงบแสดงการเปลี่ยนแปลงฐานะการเงินไว้เป็นการเฉพาะ
รายการที่เป็นไปตามคำนิยามขององค์ประกอบให้รับรู้เมื่อเข้าเงื่อนไขทุกข้อ ดังต่อไปนี้
1. มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ที่กิจการจะได้รับหรือสูญเสียประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตจากรายการดังกล่าว
2. รายการดังกล่าวมีราคาทุนหรือมูลค่าที่สามารถวัดได้อย่างน่าเชื่อถือ ข้อมูลจะมีความน่าเช่อื ถือ เมื่อข้อมูลนั้นครบถ้วน เป็นกลาง และปราศจากข้อผิดพลาด
แนวคิดเรื่องทุน มี 2 แนว ดังนี้
1. ทุนทางการเงิน เช่น เงินที่ลงทุน หรืออำนาจซื้อที่ลงทุน ทุนมีความหมายเดียวกับสินทรัพย์สุทธิหรือส่วนของเจ้าของ
2. ทุนทางกายภาพ เช่น ระดับ ความสามารถในการดำเนินงาน ตามแนวคิดเรื่องทุนทางกายภาพ ทุนหมายถึงกำลังการผลิตที่กิจการมี และสามารถผลิตได้จริง เช่น ผลผลิตต่อวัน
การเลือกเกณฑ์การวัดมูลค่าและแนวคิดการรักษาระดับทุนจะเป็นตัวกำหนดรูปแบบทางการบัญชีที่ใช้ ในการจัดทางบการเงิน รูปแบบทางการบัญชีที่ต่างกันให้ ระดับของความเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจและความเชื่อถือได้แตกต่างกัน
อ้างอิง / Reference
Financial Accounting for Corporation – https://www.edx.org/course/usmx-financial-accounting-for-corporations
รายงานการเงิน ศาสตราจารย์เกษรี ณรงค์เดช คณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
(ด้วยคามรำลึกในพระคุณครูบาอาจารย์ เป็นอย่างสูง)