รายได้และค่าใช้จ่าย เป็นองค์ประกอบของงบกำไรขาดทุน ที่แสดงให้ทราบความสำเร็จจากการดำเนินงานของกิจการในช่วงเวลาหนึ่งที่ระบุ เช่น 1 ปี รายได้ทั้งหมด หักค่าใช้จ่ายทั้งหมด คือผลกำไรหรือขาดทุนของรอบระยะเวลาบัญชีนั่นเอง
ในที่นี้จะกล่าวถึง การคำนวณกำไรขาดทุนในหลักการ รายได้ที่กล่าวไว้ในมาตรฐานการบัญชี หมายถึงอะไร การรับรู้รายได้ มีเกณฑ์อย่างไร
การคำนวณกำไรของกิจการ มีวิธีการคำนวณได้ 2 วิธี
1. การคำนวณการเปลี่ยนแปลงสุทธิของทุน / ส่วนได้เสียทที่ในกิจการ (Capital maintenance approach / change in equity approach)
วิธีนี้เป็นการกระทบยอดทรัพย์สินสุทธิ/ส่วนของทุน ณ วันสิ้นปี กับต้นปี และเงินลงทุนที่เพิ่มขั้น/ลดลงระวห่างปี วิธีจะเป็นการกระทบ ไม่แสดงรายละเอียดของรายได้และค่าใช้จ่าย
2. คำนวณกำไรจากรายการค้า (Transaction approach) วิธีนี้สนใจกิจกรรมที่เกิดขึ้น แทนการสนเฉพาะยอดเปลี่ยแปลงสุทธิเท่านั้น วิธีนี้จะนำรายการที่เกิดขึ้นในระหว่างงวดมาสรุปหมวดหมู่เป็นรายได้และค่าใช้จ่าย ดังที่เราเห็นในงบกำไรขาดทุน ในปัจจุบัน
วัตถุประสงค์
มาตรฐานรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 15 ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในมาตรฐานเรื่องได้ คือ การกำหนดหลักการที่กิจการต้องปฏิบัติเพื่อรายงานข้อมูลที่มีประโยชน์ให้ผู้ใช้งบการเงิน เกี่ยวกับลักษณะ จำนวนเงิน จังหวะเวลา และความไม่แน่นอนของรายได้และกระแสเงินสดที่เกิดขึ้นจากสัญญาที่ทำกับลูกค้า
โดยสรุปคือว่า มาตรฐานการบัญชีและรายงานทางการเงิน ฉบับ15 นี้ ได้กำหนดว่า รายได้จะบันทึกบัญชีเมื่อไร จำนวนเงินเท่าไร
ขอบเขต
มาตรฐานชุดใหญ่ (TFRS for PAEs) ใช้สำหรับการรับรู้รายได้ทุกกิจการเว้นเรื่อง สัญญาเช่า สัญญาประกันภัย เครื่งอมือทางการเงิน และการแลกเปลี่ยนที่ไม่เป็นตัวเงินในสายธุรกิจเดียวกัน
ส่วนมาตรฐานรายงานทางการเงินสำหรับกิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียต่อสาธารณะ (TFRS for NPAEs) มีข้อกำหนดและหลักการที่เกี่ยวกับรายได้ในบทที่ 18 ย่อหน้า 321-348 ของมาตรฐานฯ โดยมีเนื้อหาครอบคลุมถึงรายได้จาก 1.การขายสินค้า 2. การให้บริการ 3. ให้ผู้อื่นใช้สินทรัพย์ (ดอกเบี้ย ค่าสิทธิ และเงินปันผล)
ส่วนรายได้จากขายอสังหาริมทรัพย์ และสัญญาก่อสร้าง มีมาตรฐานกำหนดไว้เฉพาะ (ในบทที่ 19 และ20 ตามลำดับ)
รายได้ (Revenue) หมายถึง
รายได้ (Revenue) หมายถึง
1. การเพิ่มขึ้นของประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในรอบระยะเวลาบัญชีในรูปกระแสเข้า
2. การเพิ่มค่าของสินทรัพย์
3. การลดลงของหนี้สิน อันส่งผลให้ส่วนของเจ้าของเพิ่มขึ้น
4. ไม่รวมถึงเงินทุนที่ได้รับจากผู้มีส่วนร่วมในส่วนของเจ้าของ
มาตรรฐานมาตรฐานรายงานทางการเงินสำหรับกิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียต่อสาธารณะ (TFRS for NPAEs-ชุดเล็ก) บทที่ 18 ให้คำนิยามไว้เหมือนกัน เว้นแต่ในข้อ 4 ข้างต้น มาตรฐานชุดเล็กจะเพิ่มข้อความว่า
· ไม่รวมรายการกำไร
· ไม่รวมจำนวนเงินที่เรียกเก็บแทนบุคคลที่3 หรือตัวแทน ไม่ถือเป็นรายได้ เพราะไม่ได้ทำให้ส่วนของเจ้าของเพิ่มขึ้น
ส่วนในกรอบแนวคิด ได้ให้นิยามของรายได้ เหมือนคำนิยาม และยังรวมถึงรายได้จากกิจการรมหลักจากการดำเนินงานตามปกติและผลกำไรซึ่งจะมาจากการดำเนินงานปกติหรือไม่ก็ได้ เช่น กำไรจะอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
มาตรฐานชุดเล็ก - (NPAES)
รายได้ วัดมูลค่าโดยใช้มูลค่ายุติธรรมของสิ่งตอบแทนที่ได้รับหรือค้างรับ เช่นเงินสด ตั๋วเงินรับ
รายได้ สุทธิจากจำนวนส่วนลดการค้าและส่วนลดตามปริมาณซื้อที่กิจการกำหนด
การแลกเปลี่ยนสินค้าหรือบริการที่มีลักษณะและมูลค่าใกล้เคียงกัน ไม่ถือว่าการแลกเปลี่ยนก่อให้เกิดรายได้ แต่หากแลกเปลี่ยนสินค้าหรือบริการที่ต่างกัน จะถือว่ามีรายได้
การขายสินค้า
การรับรู้รายได้จากการขาย เมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขทุกข้อต่อไปนี้
1. โอนความเสี่ยงและผลตอบแทนของความเป็นเจ้าของสินค้าให้กับผู้ซื้อ (โอน 2R : Risk and Return) โดยทั่วไปคือการโอนกรรมสิทธิหรือการครอบครองนั่นเอง
2. โอนการควบคุมสินค้าไปแล้ว
3. วัดมูลค่าของรายได้ได้อย่างน่าเชื่อถือ
4. เป็นไปได้ค่อนข้างแน่ว่าจะได้รับประโยชน์เชิเศรษฐกิจของรายการบัญชี (พูดภาษาชาวบ้านคือ ได้เงินแน่นั่นเอง)
5. วัดมูลค่าต้นทุนได้
การให้บริการ
การให้บริการ ให้รับรู้รายได้ตามขั้นความสำเร็จของงาน เรียกว่า วิธีอัตราส่วนของงานที่ทำเสร็จ โดยต้องเข้าเงื่อนไขทุกข้อ
1. วัดมูลค่ารายได้ได้อย่าน่าเชื่อถือ
2. จะได้รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจค่อนข้างแน่ (ได้เงิน)
3. วัดขั้นความสำเร็จของงาน ได้อย่างน่าเชื่อถือ
4. วัดต้นทุนที่เกิดขึ้นแล้ว และต้นทุนเมื่อทำเสร็จได้อย่างน่าเชื่อถือ
ดอกเบี้ย ค่าสิทธิ และเงินปันผล
รายได้ดอกเบี้ย รับรู้ตามอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงหรือวิธีที่ใกล้เคียง
ค่าสิทธิ รับรู้ตามเกณฑ์คงค้าง ตามเนื้อหาของข้อตกลงที่เกี่ยวข้อง
เงินปันผล รับรู้เมื่อผู้ถือหุ้นมีสิทธิได้รับเงินปันผล
ตามตามมาตรฐานรายงานทางการเงินสำหรับกิจการที่มีส่วนได้เสียสาธารณะ (TFRS for PAES)
· กิจการต้องรับรู้รายได้ในงบกำไรขาดทุน เมื่อประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์หรือการลดลงของหนี้สิน
· และเมื่อกิจการสามารถวัดค่าของประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตได้อย่างน่าเชื่อถือ
· อีกนัยหนึ่ง การรับรู้รายได้จะเกิดขึ้นพร้อมกับการรับรู้การเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์หรือการลดลงของหนี้สิน (เช่น สินทรัพย์สุทธิจะเพิ่มขึ้นเมื่อกิจการขายสินค้าหรือให้บริการ หรือหนี้สินจะลดลงเมื่อเจ้าหนี้ยกหนี้ให้)
ในทางปฏิบัติในการรับรู้รายได้ กรอบแนวคิดทางบัญชีกำหนดเกณฑ์การรับรู้รายได้ไว้เป็นขั้นตอนเพื่อประโยชน์ในทางปฏิบัติ เช่น รายได้จะรับรู้ต่อเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ขั้นตอนดังกล่าวกำหนดให้กิจการรับรู้รายได้ เฉพาะรายการที่มีระดับความแน่นอนเพียงพอที่จะเกิดขึ้น และสามารถวัดมูลค่าได้อย่างน่าเชื่อถือ
ขั้นที่ 1 ระบุสัญญาที่ทำกับลูกค้า
ขั้นทึ่ 2 ระบุภาระที่ต้องปฏิบัติในสัญญา
ขั้นที่ 3 การกำหนดราคาของรายการค้า
ขั้นที่ 4 ปันส่วนราคา
ขั้น 5 รับรู้รายได้เมื่อปฏิบัติตามภาระเสร็จสิ้น
· สัญญาคือข้อตกลงระหว่างคู่สัญญาตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไปที่ก่อให้เกิดสิทธิและภาระผูกพันที่ใช้บังคับได้
· ความสามารถในการใช้บังคับได้ของสิทธิและภาระผูกพันเป็นประเด็นเชิงกฎหมาย
· สัญญาอาจเป็นลายลักษณ์อักษร วาจา หรือประเพณีปฏิบัติทางธุรกิจ
· วิธีปฏิบัติและกระบวนการสาหรับการทาสัญญาที่ทำกับลูกค้ามีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศ แต่ละอุตสาหกรรม และในแต่ละกิจการ หรือ อาจแตกต่างกันแม้ภายในกิจการเดียวกัน
การรับรู้รายการรายการสัญญาที่ทำกับลูกค้าต้องเข้ามเงื่อนไขทั้ง 5 ข้อ
1. คู่สัญญาได้อนุมัติสัญญาแล้ว
2. ระบุบสินค้าหรือบริการที่จะส่งมอบได้
3. ระบุเงื่อนไขการชำระ
4. สัญญามีเนื้อหาเชิงพาณิชย์
5. การเรียกเก็บสิ่งตอบแทนเป็นไปได้ค่อนข้างแน่
หากสัญญาที่ทำกับลูกค้าไม่เป็นตามเงื่อนไขทั้ง 5 ข้อ และกิจการได้รับสิ่งตอบแทนจากลูกค้า รับรู้สิ่งตอบแทนที่ได้รับจากลูกค้าเป็นหนี้สิน และจะรับรู้สิ่งตอบแทนที่ได้รับเป็นรายได้ ก็ต่อเมื่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งต่อไปนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว
1. กิจการไม่มีภาระผูกพันคงค้างที่จะต้องส่งมอบสินค้าหรือบริการให้ลูกค้า /ได้ส่งมอบสินค้า/บริการแล้ว
2. และกิจการได้รับสิ่งตอบแทนที่ลูกค้าสัญญาทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด
3. และลูกค้าไม่มีสิทธิเรียกคืนสิ่งตอบแทนดังกล่าวได้ หรือ
4. สัญญาได้ยุติลงและลูกค้าไม่สามารถเรียกคืนสิ่งตอบแทนที่กิจการได้รับมาแล้วได้ (สัญญาสิ้นสุดลง)
กิจการจะรับรู้รายได้เมื่อได้ปฏิบัติตามภาระผูกพันตามสัญญากับลูกค้าแล้ว = เสร็จสิ้นภาระที่ต้องปฏิบัติ
ภาระผูกพันที่ต้องปฏิบัติตามสัญญา หมายถึงข้อตกลงกับลูกค้าที่จะโอนสินค้าหรือบริการให้แก่ลูกค้า โดยเป็นข้อตกลงชัดแจ้งหรือโดยนัยที่เข้าใจตามปกติธุรกิจของกิจการ
ต้องระบุข้อตกลงในการโอนสินค้าหรือบริการทุกรายการที่เกิดขึ้นในสัญญา และพิจารณาว่าการโอนสินค้าหรือบริการใด (หรือกลุ่มของสินค้าหรือบริการใด) ควรถือเป็นภาระที่ต้องปฏิบัติตามสัญญาที่แยกต่างหาก (separate performance obligations)
การที่ต้องระบุภาระที่ต้องปฏิบัติ เพราะจะมีผลต่อการปันผลการรับรู้รายได้ให้แต่ภาระฯ
ราคา หมายถึงจำนวนผลตอบแทนที่กิจการคาดว่าจะได้รับจากการแลกเปลี่ยนสินค้าหรือบริการกับลูกค้า
การกำหนดราคา มีทั้งแบบคงที่/กำหนดจำนวนเงินที่แน่นอน หรือกำหนดแบบผันแปร เช่นส่วนลด เงินจูงใจ
ขั้นนี้คือการปันส่วนราคาของรายการค้าที่ได้ระบุไว้ในขั้นที่ 2 ถ้ามีภาระที่ต้องปฏิบัติเดียว ก็ไม่ต้องปันส่วน การปันส่วนจะมีเมื่อมีภาระฯมากกว่า 1 ภาระ โดยวิธีการปันส่วนจะใช้ราคาซื้อหรือขายเดี่ยว (stand-alone selling price) ณ จุดเริ่มต้นของสัญญา
กิจการจะรับรู้รายได้เมื่อได้ปฏิบัติตามภาระเสร็จสิ้น
ภาระเสร็จเมื่อสินค้าหรือบริการได้ถูกโอนการควบคุม (control) ไปยังลูกค้า
การควบคุม หมายถึง ความสามารถสั่งการการใช้งานสินค้าหรือบริการ และการได้รับประโยชน์ส่วนใหญ่จากสินค้าหรือบริการ รวมถึงการกีดกันไม่ให้กิจการอื่นได้รับประโยชน์จากสินค้าหรือบริการนั้นด้วย
การรับรู้รายได้ โดยคำนึงถึงเวลา มี 2 แบบ
1. รับรู้รายได้ตามช่วงเวลา (over time) – รับรู้เมื่อภาระต้องปฏิบัติแล้วเสร็จ เป็นช่วงเวลา (Performance obligations satisfied over time) เช่นบริการสมาชิก 1 ปี
2. รับรู้รายได้ ณ จุดเวลา ( a point in time) – รับรู้เมื่อภาระเสร็จ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง (Performance obligations satisfied at a point in time) เช่น ภาระเสร็จเมื่อส่งมอบสินค้า
ข้อบ่งชี้ของการโอนอำนาจการควบคุม มีจุดพิจารณา คือ
· ความสามารถสั่งการการใช้สินทรัพย์
· ลูกค้าได้ประโยชน์ที่เหลืออยู่จากสินทรัพย์
การวัดระดับความก้าวหน้าของการปฏิบัติตามภาระที่ต้องปฏิบัติให้เสร็จสิ้นให้สมบูรณ์
วิธีวัดระดับความก้าวหน้า
1. รวมวิธีผลลัพธ์ (Output method) เช่น ผลผลิตที่ได้ หน่วยงของงานที่ส่งมอบ
2. วิธีปัจจัยนำเข้า (Input method) เช่น จำนวนชั่วโมงแรงงานที่ใช้ ต้นทุนที่เกิด
วัตถุประสงค์ของข้อกำหนดที่เกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลคือ เพื่อต้องการให้กิจการเปิดเผยข้อมูลอย่างเพียงพอที่จะทำให้ผู้ใช้งบการเงินเข้าใจลักษณะ จำนวนเงิน จังหวะเวลาและความไม่แน่นอนของรายได้ และกระแสเงินสดที่เกิดขึ้นจากสัญญาที่ทำกับลูกค้า เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณของรายการดังต่อไปนี้
1 รายการสัญญาของกิจการที่ทำกับลูกค้า
2 ดุลยพินิจสำคัญที่ใช้ในการพิจารณารายการสัญญาที่กิจการทำกับลูกค้าเพื่อการปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับนี้ รวมทั้งดุลยพินิจที่เปลี่ยนแปลงไป และ
3 สินทรัพย์ที่รับรู้มาจากต้นทุนที่ทำให้ได้มาซึ่งสัญญาหรือต้นทุนในการทำให้เสร็จสิ้นตามสัญญาที่ทำกับลูกค้าที่รับรู้
ค่าใช้จ่าย หมายถึง สินทรัพย์ของกิจการที่ลดลง หรือหนี้สินที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการประกอบากรหากำไร ประเภทที่สำคัญของค่าใช้จ่าย ได้แก่ ค่าใช้จ่ายที่ก่อให้เกิดรายไ เช่นต้นทุนสินค้า ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร ดอกเบี้ยจ่าย และภาษีเงินได้ ค่าใช้จ่ายที่ไม่เกิดประโยชน์ตอบแทนและขาดทุนต่างๆ เช่น ขาดทุนในการจำหน่ายสินทรัพย์ถาวร และขาดทุนจากการประเมินราคาหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดที่ถือเป็นสินทรัพยหมุนเวียน เป็นต้น
การควบคุมภายในด้านการขาย
การควบคุมภายในด้านการขาย มาตรการที่สำคัญ ได้แก่ การแบ่งแยกหน้าที่เพื่อมิอให้บุคคลหรือแผนกงานหนึ่งแผนกงานใดควบคุมการขายตั้งแต่ต้นจนจบ หน้าที่ซึ่งควรแยกความรับผิดชอบออกจากกันมีดังต่อไปนี้
1. การรับคำสั่งซื้อจากลูกค้า รวมทั้งการออกใบสั่งผลิต ควรเป็นหน้าที่ของแผนกขาย
2. การเก็บเงินจากลูกค้า ควรเป็นหน้าที่ของแผนกการเงิน
3. การส่งของลูกค้า ควรเป็นหน้าที่ของแผนกส่งของ
4. การจัดทำใบกำกับสินค้าและลูกหนี้รายตัว ควรเป็นหน้าที่ของแผนกบัญชี
5. การอนุมัติหนี้สูญและรับคืนสินค้า ควรให้อยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ระดับบริหาร
ใบกำกับสินค้และใบส่งของควรมีเลขที่กำกับ และมีการตรวจสอบลงบัญชีให้เลขที่เรียงลำดับโดยครบถ้วน แผนกบัญชีควรรับผิดชอบตรวจสอบใบกำกับสินค้าทุกฉบับก่อนส่งไปให้ลูกค้า เพื่อให้ถูกต้องทั้งปริมาณ ราคา และจำนวนเงินรวม สินค้าที่รับคืนควรมีใบรับของและออกใบหักหนีแสดงปริมาณ สภาพ และราคาของสินค้า
กรณีขายสินค้าหรือให้บริการเป็นเงินสด ควรกำหนดให้พนักงานขายออกบิลขายเงินสดสำหรับการขายทุกรายการ และมีพนักงานรับเงินโดยเฉพาะ หรือใช้เครื่องบันทึกรับเงิน การตรวจสอบบิลขายเงินสดประจำวันโดยจัดเลขที่บิลให้เรียงลำดับครบถ้วน คำนวณราคาขายและทำสถิติที่ขายโดยแยกเป็นแผนกหรือประเภทของสินค้า ก็เป็นวิธีที่ควรปฏิบัติ
การควบคุมภายในด้านการซื้อ
การควบคุมภายในด้านการซื้อที่ควรแยกความรับผิดชอบออกจากกันมีดังต่อไปนี้
1. การออกใบสั่งซื้อ ควรเป็นหน้าที่ของแผนกจัดซื้อ
2. การรับของและทำใบรับของ ควรเป็นหน้าที่ของแผนกพัสดุ
3. การจัดทำใบสำคัญจ่าย ตรวจสอบราคาของ และทำบัญชีเจ้าหนี้รายตัวหรือทะเบียนใบสำคัญ ควรเป็นหน้าที่ของแผนกบัญชี
4. การจ่ายเงิน ควรเป็นหน้าที่ของแผนกการเงิน
ใบสั่งซื้อควรมีเลขที่กำกับและมีสำเนาให้แผนกบัญชีเรียงลำดับเลขที่โดยครบถ้วน ควรมีระเบียบกำหนดวิธีการซื้อและผู้มีอำนาจอนุมัติให้เหมาะสม เมื่อแผนกบัญชีตรวจสอบใบกำกับสินค้าของผู้ขายและทำใบสำคัญเพื่อเตรียมจ่ายเงิน ควรตรวจสอบปริมาณและราคาของที่จะจ่ายเงินให้ตรงกับที่ได้รับและสั่งซื้อไปด้วย ใบกำกับสินค้าและเอกสารประกอบเมื่ออนุมัติจ่ายเงินแล้ว ควรประทับตราหรือหมายเหตุว่าได้จ่ายเงินแล้ว เพื่อป้องกันมิให้นำมารเบิกจ่ายซ้ำอีก
วัตถุประสงค์การตรวจสอบรายได้และค่าใช้จ่าย
1. เพื่อให้ทราบว่ารายได้และค่าใช้จ่ายของรอบระยะเวลาบัญชีได้บันทึกไว้โดยครบถ้วนตามความเป็นจริงหรือไม่ เพื่อมิให้งบกำไรขาดทุนแสดงผลการดำเนินงานที่เป็นเท็จ
2. เพื่อให้การบันทึกรายได้และค่าใช้จ่ายเป็นไปตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป ซึ่งได้ถือปฏิบัติเช่นเดียวกับปีก่อน และมีการแสดงรายการในงบกำไรขาดทุนโดยถูกต้อง และเพื่อให้มีการเปิดเผยข้อมูลที่จำเป็นไว้ด้วย เช่น ดอกเบี้ยจ่ายที่ถือเป็นส่วนหนึ่งของราคาทุนของสินทรัพย์ ข้อผูกพันตามสัญญาเช่าระยะยาวและผลขาดทุนยกมา ไม่เกิน5 ปี ที่อาจนำไปหักจากกำไรทางบัญชีเพื่อคำนวณภาษีเงินได้
3. เพื่อให้ทราบว่ามีรายจ่ายที่เป็นทุนซึ่งลงบัญชีผิดไว้ในบัญชีค่าใช้จ่ายบ้างหรือไม่
4. เพื่อให้ทราบว่ามีข้อพิพาทในบัญชีสินทรัพย์และหนี้สินที่เกี่ยวข้องบ้างหรือไม่ เช่นบันทึกไว้ไม่ครบถ้วน หรือสูงกว่าควารเป็นจริง เป็นต้น
5. เพื่อเปิดเผยข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญเกี่ยวกับการเสียภาษีเงินได้ ตามประมวลรัษฏากร
วิธีการตรวจสอบรายได้และค่าใช้จ่าย
1. ตรวจสอบเอกสารใบสำคัญประกอบรายการในสมุดขั้นต้น แล้วผ่านรายการไปยังบัญชีรายได้และค่าใช้จ่ายสำหรับระยะเวลาหนึ่ง
2. ตรวจสอบการถือปฏิบัติตามหลักการบัญชีเช่นเดียวกับปีก่อน
3. ตรวจสอบกำไรจากการขายตามสัญญาผ่อนชำระ
4. ตรวจสอบรายได้เบ็ดเตล็ด
5. ตรวจสอบรายการต้นปีใหม่
6. ตรวจสอบรายการพิเศษ
7. ตรวจสอบกำไรต่อหุ้น
8. ตรวจสอบข้อมูลที่จะต้องเปิดเผยเป็นหมายเหตุ
9. ตรวจสอบภาษีอากรตามประมวลรัษฏากร
อ้างอิง/เครดิต (References)
http://www.tfac.or.th/Article/Detail/94713
มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 15 รายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า
มาตรฐานการรายงานทางการเงินสำหรับกิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียสาธารณะ
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 18 (ปรับปรุง 2552) เรื่องรายได้
การสอบบัญชี พยอม สิงห์เสน่ห์