เรื่องที่ 4 วิธีการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน

วิธีการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน

การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (Cardiopulmonary Resuscitation : CPR) เป็นการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ เมื่อเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน เพื่อนำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย และช่วยให้โลหิตมีการไหลเวียนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกาย จนกระทั่งระบบต่าง ๆ กลับมาทำหน้าที่ได้เป็นปกติ

สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะหยุดหายใจ และหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน ได้แก่ หัวใจขาดเลือด ไฟฟ้าดูด ได้รับสารพิษ จมน้ำ อุบัติเหตุ

ต่าง ๆ เป็นต้น อาการของผู้ที่ต้องได้รับการช่วยเหลือ โดยการท า CPR คือ หมดสติ หยุดหายใจหรือมีการหายใจผิดปกติ (Gasping)

ขั้นตอนการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (Cardiopulmonary Resuscitation : CPR)

1. สำรวจสถานการณ์

สำรวจสถานการณ์บริเวณที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว ถ้าสถานการณ์ปลอดภัยให้ตะโกนเรียกผู้บาดเจ็บ

2. หากไม่มีการตอบสนอง ใช้มือทั้ง 2 ข้างตบไหล่ เรียกพร้อมสังเกตการตอบสนอง (การลืมตาขยับตัวและพูด) และดูการ

เคลื่อนไหวของทรวงอก หน้าท้อง พบว่า หน้าซีดไม่มีการตอบสนอง หน้าอก หน้าท้องไม่เคลื่อนไหว แสดงว่าหมดสติ ไม่หายใจ ให้ตะโกนขอความช่วยเหลือ

3. ขอความช่วยเหลือ

* ถ้าผู้บาดเจ็บหมดสติไม่หายใจ ให้ขอความช่วยเหลือ โทรศัพท์แจ้งสายด่วน1669 (ศูนย์นเรนทร)

4. การกระตุ้นหัวใจ โดยการกดหน้าอก ยกละประมาณ 30 ครั้ง

* ตำแหน่ง : กึ่งกลางหน้าอก

* กดด้วย : สันมือ 2 ข้างซ้อนกัน

* กดลึก : ประมาณ 5 - 6 เซนติเมตร

* กดเร็ว : ประมาณ 100 - 120 ครั้ง/นาที และต้องผ่อนมือให้ทรวงอกคืนตัวก่อนกดครั้งต่อไป

* จำนวน : 30 ครั้ง

* ออกแรงกดจากลำตัวโดยมีสะโพกเป็นจุดหมุน กดในแนวตั้งฉากกับพื้น ข้อศอกเหยียดตรงเวลาในการกดและผ่อนต้อง

เท่ากัน กดแรงและกดเร็วเป็นจังหวะ (Push Hard - Push Fast)

5. การผายปอด และการช่วยหายใจ

5.1 การช่วยหายใจโดยวิธีเป่าปาก ให้ผู้ป่วยนอนหงาย วางศีรษะให้ต่ำกว่าไหล่เล็กน้อย และให้แหงนศีรษะไปข้างหลังเท่าที่

จะทำได้ เพื่อให้ทางเดินหายใจของผู้ป่วยโล่ง ลิ้นมาจุกที่คอหอย ใช้มือหนึ่งบีบจมูกของผู้ป่วย ใช้นิ้วหัวแม่มือของอีกมือหนึ่งแหย่เข้าไปในปากผู้ป่วยเพื่อดึงคางให้อ้าออก หายใจเข้าลึก ๆ อ้าปากให้กว้าง ๆ เอาปากประกบกับปากผู้ป่วยให้แน่นแล้วเป่าลมเข้าไปในปากผู้ป่วย ดูว่าหน้าอกผู้ป่วยพองขึ้นหรือไม่ ถ้าพองขึ้นแสดงว่าลมเข้าไปในปอดได้ดี ถอนปากที ่ประกบออกเพื่อให้ผู้ป่วยได้หายใจออกเอง เมื่อผู้ป่วยหน้าอกยุบลง ก็เป่าลมเข้าไปในปากผู้ป่วยอีก ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ประมาณ 15 - 20 ครั้งต่อนาทีจนกว่าผู้ป่วยจะหายใจได้เอง ระหว่างปฏิบัติให้ศีรษะผู้ป่วยแหงนไปข้างหลังตลอดเวลา

5.2 การช่วยหายใจโดยวิธีเป่าจมูก ให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าเช่นเดียวกับวิธีช่วยหายใจด้วยวิธีเป่าปากแต่ใช้มือข้างหนึ่งดันคางผู้

ป่วยให้ปากปิดสนิท หายใจเข้าลึก ๆ เอาปากประกบลงไปบนจมูกผู้ป่วยให้แนบสนิท แล้วเป่าลมเข้าไป ดูว่าหน้าอกผู้ป่วยพองขึ้นหรือไม่ ถ้าพองขึ้นแสดงว่าลมเข้าไปในปอดได้ดี ถอนปากออกแล้วให้มือจับคางผู้ป่วยให้อ้าออก เพื่อให้ผู้ป่วยหายใจออกได้ทางปาก เมื่อผู้ป่วยหน้าอกยุบลง ก็เป่าลมไปทางจมูกเช่นเดิมอีก ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าผู้ป่วยจะหายใจได้เอง

5.3 การช่วยหายใจโดยการยกแขนและกดทรวงอก ให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าเช่นเดียวกับสองวิธีแรก พับแขนผู้ป่วยเข้าหากันไว้

บนอก นั่งคุกเข่าอยู่เหนือศีรษะผู้ป่วย จับข้อมือผู้ป่วยทั้ง 2 ข้าง ข้างละมือ โย้ตัวไปข้างหน้าเหยียดแขนตรงกดลงไปตรงมือของผู้ป่วย ซึ่งจะเท่ากับกดทรวงอกของผู้ป่วยให้หายใจออกขับเอาน้ำออกมา แล้วโย้ตัวไปข้างหลังพร้อมกับจับแขนผู้ป่วยทั้ง 2 ข้าง ดึงแยกขึ้นไปข้างบนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้จะทำให้ปอดผู้ป่วยขยายตัว ทำให้อากาศไหลเข้าไปได้ ท าเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าผู้ป่วยจะหายใจได้เอง

5.4 การช่วยหายใจโดยการแยกแขนและกดหลัง ให้ผู้ป่วยนอนคว่ำ ให้แขนของผู้ป่วยทั้ง 2 ข้างพับเข้าหากัน หนุนอยู่ใต้

คาง นั่งคุกเข่าอยู่เหนือศีรษะผู้ป่วย วางฝ่ามือลงบนหลังของผู้ป่วยใต้ต่อกระดูกสะบัก ข้างละมือ โดยให้หัวแม่มือมาจดกัน กางนิ้วมือทั้ง 2 ข้างออก โน้มตัวไปข้างหน้า แขนเหยียดตรงใช้น้ำหนักตัวกดลงบนแผ่นหลังของผู้ป่วย ซึ่งจะเท่ากับกดทรวงอกของผู้ป่วยให้หายใจออก ขับเอาน้ำ (ถ้ามี) ออกมาจากนี้ย้ายมือทั้ง 2 ข้าง มาจับต้นแขนผู้ป่วยแล้วโย้ตัวกลับพร้อมกับดึงข้อศอกของผู้ป่วยมาด้วย จะทำให้ปอดผู้ป่วยขยายตัว ทำให้อากาศไหลเข้าไปได้ ทำเช่นนี้เรื่อย ๆ ไปจนกว่าผู้ป่วยจะหายใจได้เอง ถ้าการช่วยหายใจกระทำได้ถูกต้องดังกล่าว และหัวใจของผู้ป่วยยังเต้นอยู่ตลอดเวลา ผู้ป่วยจะดูแดงขึ้น และอาจกลับมาหายใจได้เป็นปกติอีก

ข้อสังเกต

1. การกดหน้าอกให้กดต่อเนื่อง ระวังอย่าหยุดกดหรืออย่าให้มีการเว้นระยะการกด

2. การกดหน้าอกแต่ละครั้งต้องมีการปล่อยให้ทรวงอกกลับคืนสู่สภาพเดิมก่อน (แต่ไม่ยกสันมือขึ้นพ้นจากทรวงอก) แล้วจึง

กดครั้งต่อไป

เมื่อหัวใจถูกกดด้วยความลึก 5 - 6 เซนติเมตร ความดันในช่องอกจะเพิ่มขึ้น ทำให้มีเลือดสูบฉีดออกจากหัวใจ และไหล

เวียนไปเลี้ยงสมองและอวัยวะอื่น ๆ

เมื่อหัวใจคลายตัวกลับสู่สภาพเดิมในระหว่างการกดหน้าอกและความดันในช่องอกลดลงเลือดจะไหลกลับสู่หัวใจและปอด

เพื่อรับออกซิเจนที่เป่าเข้าไปจากการช่วยหายใจ และพร้อมที่จะสูบฉีดครั้งใหม่ต่อไป