ในภาษาอังกฤษจะมีการใช้ไวยากรณ์แตกต่างกันในประโยคสำหรับกาลเวลา (Tense)
ที่แตกต่างกัน ซึ่งแบ่งออกเป็นปัจจุบันกาล (Present Tense) และอดีตกาล (Past Tense) และอนาคตกาล (Future Tense) แต่ละกาล (Tense) แยกเป็นกาลย่อย ๆ 4 กาล (4 Tense) รวมแล้วเป็น 12 กาล (12 Tense) คือTime
ในระดับประถมศึกษา ผู้เรียนได้เรียน Present Simple Tense, Present Continuous Tense และ Future Simple Tense ไปแล้ว ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นนี้ จะเรียนอดีตกาล (Past Tense) คือ Past Simple Tense และ Past Continuous Tense โดยละเอียด
ก่อนอื่นต้องขอให้ทบทวนการใช้ Present Simple Tense, Present Continuous Tense และ Future Simple Tense กันก่อน
1. Present Simple Tense คือ ประโยคที่แสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมีโครงสร้างประโยค ดังนี้
โครงสร้างของประโยคดังกล่าว อาจจะมีกรรม (Object) และส่วนขยาย (Complement) หรือไม่มีก็ได้ ให้สังเกตว่าการใช้ประโยคปัจจุบันกาลนั้น จะมีวิธีการกระจายคำกริยา (Verb)
ตามประธาน (Subject) ของประโยค ดังตาราง
จากตาราง เราจะเห็นว่าการกระจายกริยาในประโยคปัจจุบันกาล (Present Simple Tense) นั้น ถ้าประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 (He, She, It) คำกริยาต้องเติม “s” หรือคำกริยา บางตัวต้องเติม “es”
1. คำกริยาที่เติม “S” ข้างหลังได้เลย เช่น
The wind blows.
He eats a mango.
She likes fish.
2. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย s, ss, sh, ch, o และ x ให้เติม "es" หลังคำกริยาตัวนั้น เช่น
My sister watches television.
She washes her clothes every day.
My father misses the train.
3. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย “y” ให้เปลี่ยน “y” เป็น “i” แล้วจึงเติม “es” หลัง คำกริยา
ตัวนั้น ยกตัวอย่าง เช่น
He carries a big box.
(carries มาจาก carry)
Suda tries to call me every day.
(tries มาจาก try)
My mother fries bean with egg.
(fries มาจาก fry)
4. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย “y” แต่หน้า “y” เป็นสระให้เติม “s” ไปข้างท้าย เช่น
He stays with his mother.
(stay หน้า y คือ a ซึ่งเป็นสระ)
Malee pays for a dress.
(pay หน้า y คือ a ซึ่งเป็นสระ)
Suda enjoys eating.
(enjoy หน้า y คือ o ซึ่งเป็นสระ)
วิธีการใช้ Present Simple Tense มีดังนี้
(1) เพื่อแสดงถึงการกระทำที่เป็นนิสัย การกระทำซ้ำ ๆ ที่ทำอยู่เป็นประจำ โดยปกติมักมีคำวิเศษณ์บ่งชี้อยู่ด้วย เช่น every day, every year, every month, every hour, often, usually, always, daily, weekly, yearly, annually, sometimes และ regularly เป็นต้น
(2) เพื่อกล่าวถึงความจริงโดยทั่ว ๆ ไป ซึ่งเป็นความจริงอยู่เสมอ (To state a general truth)
(3) เพื่อแสดงถึงการกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน (To show future action)
(4) เพื่อเล่าหรือเขียนเรื่องราวที่เป็นอดีต เพื่อให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านตื่นเต้นเร้าใจเห็นคล้อยตามนิยมใช้ในบทละครหรือเรื่องราวบางตอนที่เหมาะสม การเล่าหรือเขียนแบบนี้เรียกว่า Historic Present (To show historic present)
(5) เพื่อบอกถึงคำพูด คำประพันธ์หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ผู้ประพันธ์ได้กล่าวหรือเขียนไว้
(6) เพื่อบอกเหตุผลที่จะเกิดขึ้นในประโยคที่นำด้วย If - clause เป็นการแสดงถึงเงื่อนไขบางประการของความน่าจะเป็นจริงในอนาคต (conditions of future possibility)
(7) ใช้ใน If - clause เพื่อแสดงถึงเงื่อนไขบางประการที่เป็นไปได้
(8) ใช้ใน Passive form เพื่อแสดงถึงการถูกกระทำ
(9) ใช้ Present Simple Tense หลัง Here และ There
Present Continuous tense หรือ Present Progressive Tense คือประโยคที่ใช้ แสดงเหตุการณ์ที่กำลังทำอยู่ในขณะที่พูด มีโครงสร้างประโยค ดังนี้
กฎการเติม ing ที่คำกริยา
กริยาบางคำเมื่อจะเติม ing ต้องเปลี่ยนแปลง ดังนี้
1. คำพยางค์เดียว มีสระตัวเดียว และมีตัวสะกดตัวเดียว ต้องเพิ่มตัวสะกดอีกหนึ่งตัว ก่อนเติม ing
2. คำสองพยางค์ซึ่งลงท้ายด้วยตัว “l” ตัวเดียว ให้เพิ่ม “l” อีกหนึ่งตัวก่อนเติม ing
3. คำที่ลงท้ายด้วย “e” ให้ตัดตัว “e” ออกก่อนเติม ing
4. คำที่ลงท้ายด้วย “ie” ให้เปลี่ยน “ie” เป็น “y” ก่อนเติม ing
เมื่อต้องการเปลี่ยนประโยคบอกเล่าของ Present Continuous Tense เป็นประโยคคำถาม ให้วางคำกริยา is, am หรือ are ไปไว้หน้าประโยค ดังนี้
(is / am / are) + subject + V. ing
วิธีการใช้ Present Continuous Tense มีดังนี้
(1) เพื่อแสดงถึงการกระทำที่กำลังเกิดขึ้นในขณะที่พูด (To show action happening now)
(2) เพื่อแสดงถึงการกระทำที่เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ (To show action in the near future) แต่ยังไม่แน่นอนมากเท่ากับ Present Simple Tense
(3) เพื่อแสดงถึงการกระทำที่ทำอยู่จนเกือบจะเป็นนิสัย ซึ่งมักจะถูกกระทำซ้ำ ๆ อยู่บ่อย ๆ หรือบ่อยครั้งที่สุด (To express habitual action that is often repeated.)
(4) ใช้กับการกระทำทั้งสองอย่างที่กำลังดำเนินการอยู่พร้อม ๆ กัน
(5) ใช้กับการกระทำอย่างหนึ่งที่กำลังดำเนินอยู่และมีผู้กระทำการอีกอย่างหนึ่งขึ้นมา โดยไม่คาดฝันมาก่อน
(6) ใช้ในรูป Passive voice เมื่อเราต้องการจะแสดงให้เห็นว่าการกระทำนั้น ๆ มีสิ่งหนึ่งหรือบุคคลหนึ่งกระทำต่อประธานของประโยค
3. Future Simple tense คือ ประโยคที่ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยวางโครงการหรือวางแผนไว้ล่วงหน้า
โครงสร้างประโยค Future Simple Tense
รูปย่อของ shall และ will
โดยปกติคำกริยา shall และ will ที่แสดงอนาคตกาลในประโยค จะนิยมใช้เขียนแบบย่อ จาก shall และ will เป็น “ll” ในประโยคบอกเล่า (Affirmative Sentence) และเป็น shan't หรือ “won't” ในประโยคปฏิเสธและคำถาม (Negative Sentence and Question Sentence) ดังนี้
วิธีการใช้ Future Simple Tense มีดังนี้
1) เพื่อแสดงการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดที่ตั้งใจว่าจะทำหรือคาดว่าจะทำที่เกิดขึ้นในอนาคต โดยปกติมักจะมีคำที่แสดงเวลาในอนาคตอยู่ด้วย เช่น tomorrow, next, week, soon, later เป็นต้น
2) will/shall ไม่สามารถใช้กับกริยาในรูป Continuous form ได้ (มีกล่าวไว้ในข้อควรจำของ Present Continuous Tense)
(3) ใช้ในรูปของ Passive Voice เพื่อแสดงถึงการที่ประธานของประโยคเป็นผู้กระทำ
หลักการใช้ “To be going to” ใน Future Simple Tense
(1) ใช้ใน to be going to เพื่อแสดงถึงการกระทำที่ได้ถูกวางแผนไว้แล้ว และการกระทำนั้นจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
(2) ใช้ to be going to เพื่อแสดงถึงความรู้สึกที่แน่นอนเกี่ยวกับการกระทำของผู้พูด
(3) “to be going to” ไม่นิยมใช้กับกริยา go และ come และไม่นิยมใช้กับ to be going to ซ้ำกัน