ประโยคในภาษาอังกฤษสามารถแบ่งออกตามวัตถุประสงค์ของการใช้ได้เป็น 6 ชนิด คือ
1. ประโยคบอกเล่า (Affirmative Statement or Dedication Sentence) คือ ประโยคที่ใช้ในการสื่อสารเรื่องราว ข่าวสาร ข้อคิดเห็นต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ประกอบด้วย ประธาน (Subject) และกริยา (Verb) ซึ่งอาจจะมีกรรม (Object) หรือส่วนขยาย (Complement) ด้วยก็ได้
ในประโยคบอกเล่า การกระจายกริยาต้องเป็นไปตามประธาน (Subject) และกาล (Tense) ที่บอกเล่าเรื่องนั้น
2. ประโยคคำถาม (Question sentence) เป็นประโยคที่ใช้ถามเพื่อต้องการคำตอบจากผู้ที่เราสนทนาด้วย ประโยคคำถามมี 4 ชนิด คือ
1) ประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วยกริยาช่วย (Yes - no question) เป็นประโยคที่ต้องการคำตอบว่า Yes (ใช่) หรือ No (ไม่ใช่) เท่านั้น ประโยคคำถามประเภทนี้ต้องขึ้นต้นประโยคด้วยกริยาช่วย
การทำประโยคคำถามแบบ Yes-no question นี้ทำจากประโยคบอกเล่าธรรมดา (Affirmative sentence) โดยเอากริยาช่วย (Helping Verb) มาไว้ข้างหน้า ได้แก่ Verb to be, will, have ถ้าประโยคใดไม่มีกริยาช่วยให้ใช้ Verb to do โดยกระจายรูปกริยาช่วยให้ถูกต้องตามประธาน และทำกริยาแท้ให้อยู่ใน รูปเดิมที่ไม่ต้องเติม s หรือ es แล้วลงท้ายประโยคด้วยเครื่องหมายคำถาม (Question mark) ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ประโยคบอกเล่า ประโยคคำถาม
She is your teacher. Is she your teacher?
(เธอเป็นครูของคุณ) (เธอเป็นครูของคุณใช่ไหม)
He likes you. Does he like you?
(เขาชอบคุณ) (เขาชอบคุณหรือเปล่า)
They buy air ticket. Do they buy air ticket?
(เขาซื้อตั๋วเครื่องบิน) (เขาซื้อตั๋วเครื่องบินใช่ไหม)
2) ประโยคที่ขึ้นต้นด้วยคำที่เป็นคำถาม (Question word question) คือ ประโยคที่ขึ้นต้นด้วยคำที่เป็นคำถาม ได้แก่ what (อะไร), when (เมื่อไหร่), where (ที่ไหน), who (ใคร), whom (ถึง, แก่ใคร), whose (ของใคร), which (อันไหน/สิ่งไหน), why (ทำไม), how (อย่างไร)
ในการตั้งคำถามด้วยคำเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะต้องตามด้วยกริยาช่วย ยกเว้น who ตามด้วยกริยาแท้ และ whose ตามด้วยคำนาม ส่วน which ตามด้วยคำนามที่เป็นกรรมหรือกริยาช่วย ขอให้ศึกษารายละเอียดการใช้คำที่เป็นคำถาม (Question word question) แต่ละตัว ดังต่อไปนี้
(1) What อ่านว่า วอท แปลว่า อะไร ใช้ถามเกี่ยวกับคน สัตว์ สิ่งของ เช่น
การตั้งคำถาม
ขอให้นักศึกษาสังเกตว่าการใช้ Question words มาตั้งเป็นประโยคคำถามนั้น Question words จะอยู่ข้างหน้าประโยค ตามด้วยกริยาช่วย ประธาน กริยาแท้ กรรมและส่วนขยาย ตามโครงสร้างประโยค ดังนี้
Example (ตัวอย่าง)
How do you go to Suan Chatuchak?
Where do you live?
When will you go home?
Who is that man?
What are you reading?
Why do you go to the book store?
Question words บางคำสามารถตามด้วยกริยาแท้ (Verb) ได้เลย หากคำถามนั้นถามถึงประธาน (Subject) ของประโยค ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
Example (ตัวอย่าง)
What is - in the case?
Who wants to go home now?
What ในคำถามแรกถามถึงประธานของประโยคซึ่งเป็นสัตว์ จึงใช้คำว่า What ส่วน Who ใช้ถามสำหรับคนเท่านั้น
สำหรับคำว่า Which เป็นคำถามเกี่ยวกับลักษณะให้เลือกตอบ แปลว่าอันไหน ตัวไหน
จึงต้องตามด้วยคำนามหรือสรรพนามเสมอ แล้วตามด้วยกริยาช่วย ประธาน กริยาแท้ กรรมและ
ส่วนขยาย มีโครงสร้างดังนี้
Example (ตัวอย่าง)
Which work do you prefer, a teacher or a soldier?
Which school do you go?
Which one do you like?
Which one does he want?
ส่วนคำว่า How สามารถตามตัวด้วยคำคุณศัพท์ (Adjective) เพื่อถามลักษณะต่าง ๆ ได้ มีโครงสร้าง ดังนี้
Example (ตัวอย่าง)
How long does it take from Sanamluang to Victory Monument?
How often does he see her?
How far is it from here to Bangkok?
How old are you?
How high is that building?
ถ้าถามถึงจำนวนหรือปริมาณจะใช้ How many สำหรับสิ่งที่นับได้ และ How much สำหรับสิ่งที่นับไม่ได้ เช่น
How many boys are there in this village?
(ในหมู่บ้านนี้มีเด็กผู้ชายกี่คน)
How much sugar do you want?
(คุณต้องการน้ำตาลเท่าไร)
How much coffee does he drink every day?
(เขาดื่มกาแฟมากเท่าใดใน 1 วัน)
How many birds are there in that case?
(ในกรงนั้นมีนกกี่ตัว)
สำหรับการถามราคาจะใช้คำถามว่า How much does it cost? เสมอ
(3) ประโยคคำถามที่ลงท้ายด้วยวลีบอกเล่าหรือปฏิเสธที่เป็นคำถาม (Question Tags) เป็นประโยคคำถามที่มักจะใช้ในภาษาพูดหรือบทสนทนา ซึ่งผู้ถามทราบคำตอบอยู่แล้ว แต่ต้องการยืนยัน โดยจะพูดเป็นประโยคบอกเล่าก่อนและลงท้ายด้วยกริยาช่วยและประธาน ถ้าประโยคหน้าเป็นประโยคบอกเล่าธรรมดา จะลงท้ายด้วยวลีปฏิเสธ แต่ถ้าประโยคหน้าเป็นประโยคปฏิเสธ จะลงท้ายด้วยวลีบอกเล่า (ตัวอย่าง)
You are interested in English, aren't you?
(คุณสนใจภาษาอังกฤษใช่ไหม)
She doesn't like to walk to school, does she?
(เธอไม่ชอบเดินไปโรงเรียนใช่ไหม)
Sommai and Suchart can't attend the class today, can they?
(สมหมายและสุชาติมาเรียนวันนี้ไม่ได้ใช่ไหม)
You should come and do the examination next week, shouldn't you?
(คุณจะต้องมาและเข้าสอบสัปดาห์หน้าใช่ไหม)
วลีปฏิเสธที่นำมาลงท้ายประโยคเพื่อเป็นคำถามจะใช้ในรูปตัวอย่าง เช่น
do not you don't you
will not you won't you
shall not we shan't we
am I not aren't I
(4) ประโยคคำถามแบบลดรูป (Reduced question) คือ คำวลี หรือประโยคที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่ง ลดรูปมาจากประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วยกริยาช่วย (Yes-no question) ส่วนมากจะใช้ในการสนทนาของผู้ที่มีความสนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นพิเศษ
(ตัวอย่าง)
O.K.? Are you O.K.?
เห็นด้วยไหม, สบายดีไหม
Any question? Do you have any question?
อยากถามอะไรหรือเปล่า, สงสัยอะไรหรือเปล่า
Anything else? Do you want anything else?
เอาอะไรอีกไหม
Tea or coffee? Would you like tea or coffee?
จะดื่มชาหรือกาแฟ
3. ประโยคปฏิเสธ (Negative Sentence) คือประโยคบอกเล่าที่มีคำหรือวลีที่มีความหมายในเชิงปฏิเสธอยู่ในประโยค ซึ่งจะเป็นคำกริยาวิเศษณ์ (Adverb) เช่น not, never, hardly, scarcely, rarely เป็นต้น หรือคำสรรพนาม แสดงการปฏิเสธ เช่น no one, nobody, none, no, nothing เป็นต้น
(ตัวอย่าง)
Nobody told me to go there on Sunday.
(ไม่มีใครบอกให้ฉันไปที่นั่นในวันอาทิตย์)
I don't want to attend the class today.
(ฉันไม่อยากไปเรียนวันนี้เลย)
This subject is not difficult for us.
(วิชานี้ไม่ยากเลย)
Nothing is worrying, you will pass the examination.
(ไม่ต้องห่วง คุณคงจะสอบผ่าน)
วิธีการทำประโยคบอกเล่าให้เป็นประโยคปฏิเสธ ทำได้ 2 แบบ คือ
1. เติมคำว่า not ไปข้างหลังกริยาช่วย (Helping or Auxiliary Verb) ในประโยคบอกเล่า (Affirmative Sentence)
(ตัวอย่าง)
I will not go to school tomorrow.
(พรุ่งนี้ฉันจะไม่ไปโรงเรียน)
She doesn’t like cats.
(เธอไม่ชอบแมว)
สังเกตวิธีการทำประโยคบอกเล่าให้เป็นประโยคปฏิเสธ จะใช้หลักเดียวกันกับวิธีทำประโยคบอกเล่าให้เป็นประโยคคำถาม คือ ถ้าประโยคใดมีกริยาช่วยอยู่ให้เติมคำว่า “not” (ไม่) เข้าไปหลังกริยาช่วย แต่ถ้าประโยคใดไม่มีกริยาช่วยให้เติม “Verb to do” ไปหน้ากริยาแท้ หรือกริยาหลัก โดยกระจายให้ถูกบุรุษ เพศ พจน์และกาล
ประโยคปฏิเสธ กริยาช่วยที่แสดงการปฏิเสธสามารถใช้ในรูปย่อได้ คือ
do not ----don't
does not ---doesn't
have not ---haven't
has not ---hasn't
am not ---ไม่มีการย่อ
is not--- isn't
are not--- aren't
shall not--- shan't
will not ---won't
cannot---- can't
กริยาช่วย “can” (สามารถ) เมื่อเติมคำว่า "not" เข้าไปจะเขียนติดกันเป็น cannot
คำกริยาช่วยตัวใดทำหน้าที่เป็นกริยาแท้ เช่น have (กิน,มี) do (ทำ) เวลาทำเป็นประโยคปฏิเสธ ต้องใช้กริยาช่วย Verb to do เช่นเดียวกัน
4. ประโยคคำสั่ง (Imperative or Order sentence) เป็นประโยคที่บอกให้ทำหรือขอร้องให้ทำตามที่ผู้นั้นบอก ซึ่งผู้ที่รับคำสั่งคือผู้ที่คนสั่งพูดด้วย ซึ่งคนที่จะสั่งจะเป็นบุรุษ ที่ 1 คือ ผู้พูด (I หรือ We) ส่วนคนที่ถูกสั่งจะเป็นบุรุษที่ 2 (You) เมื่อเป็นประโยคคำสั่งจะตัด ประธาน (You) ออก ประโยคคำสั่งต้องขึ้นต้นด้วยคำกริยาช่องที่ 1 เสมอ ซึ่งอาจจะเป็นรูปบอกเล่าหรือปฏิเสธก็ได้
(ตัวอย่าง)
Don't walk on the lawn! ห้ามเดินในสนาม
Enter your personal code. ใส่รหัสส่วนตัวของท่าน
Sit down here! นั่งตรงนี้
Follow me! ตามฉันมา
วิธีการทำประโยคคำสั่ง
Verb + Object + Complement
(กริยา) (กรรม) (ส่วนขยาย)
ประโยคคำสั่งจะเป็นประโยคที่สรรพนามบุรุษที่ 2 (You) เป็นประธานและอยู่ในรูป ปัจจุบันกาลธรรมดา (Present Simple Tense) เสมอ เพราะการที่จะสั่งหรือขอร้องให้ใครทำ อะไรจะพูดหรือบอกให้ทำหรือไม่ทำในขณะที่พูดนั้น
การทำประโยคคำสั่งจะมาจากประโยคบอกเล่า (Affirmative Sentence) โดยตัด ประธานออก
(ตัวอย่าง)
ประโยคบอกเล่า ประโยคคำสั่ง
(Affirmative Sentence) (Imperative or Order sentence)
You follow me. Follow me.
(คุณตามฉันมา) (ตามฉันมา)
You sit down here. Sit down here.
(คุณนั่งลงตรงนี้) (นั่งลงตรงนี้)
You don't walk on the lawn. Don't walk on the lawn.
(คุณไม่เดินบนสนามหญ้า) (อย่าเดินบนสนามหญ้า)
You turn a little bit left. Turn a little bit left.
(คุณเขยิบไปทางซ้ายอีกสักนิด) (เขยิบไปทางซ้ายอีกสักนิด)
5. ประโยคอุทาน (Exclamatory sentence) คือประโยคที่ใช้แสดงความรู้สึกและอารมณ์ เช่น เสียใจ ดีใจ เป็นต้น ใช้ได้ทั้งประโยคเต็มรูปและลดรูป
(1) ประโยคอุทานเต็มรูป จะขึ้นต้นด้วยคำที่เป็นคำถาม (Question word) how (อย่างไร) และ what (อะไร) ถ้าขึ้นต้นด้วย How จะตามด้วยคำคุณศัพท์ (Adjective) หรือคำกริยา วิเศษณ์ (Adverb) แล้วตามด้วยประธาน (Subject) และกริยา (Verb) ซึ่งอาจจะมีส่วนขยาย (Complement) ด้วยก็ได้ ส่วนประโยคที่ขึ้นต้นด้วย What จะตามด้วยนามวลี (Noun phrase) แล้ว ตามด้วยประธาน (Subject) และกริยา (Verb)
How + Adjective + Subject + Verb + Complement
(คำคุณศัพท์) (ประธาน) (กริยา) (ส่วนขยาย)
Adverb
(คำกริยาวิเศษณ์)
What + Noun phrase + Subject + Verb
(นามวลี) (ประธาน) (กริยา)
เช่น
How beautiful she is! เธอช่างสวยอะไรเช่นนี้
How fluently he can speak English! เขาช่างพูดภาษาอังกฤษคล่องอะไรเช่นนี้
What a healthy man he is! เขาช่างเป็นคนแข็งแรงอะไรเช่นนี้
What a wonderful girl she is! เธอช่างเป็นเด็กมหัศจรรย์อะไรอย่างนี้
(2) ประโยคอุทานลดรูป เป็นประโยคที่ตัดประธาน (Subject) และกริยา (Verb) รวมทั้งส่วนขยาย (Complement) ออก
เช่น
How beautiful! สวยจริงๆ
How fluently! พูดคล่องจริง ๆ
What a healthy man! ช่างเป็นคนที่แข็งแรงจริง ๆ
What a wonderful girl! ช่างเป็นเด็กมหัศจรรย์อะไรเช่นนี้