น้ำเสียงหรือทํานองเสียง (intonation) คือ ระดับเสียงสูงต่ำภายในประโยค ในการพูด ภาษาอังกฤษ น้ำเสียง (intonation) เป็นสิ่งสําคัญ เพราะเป็นส่วนที่ใช้บอกความหมาย เจตนาของ ผู้พูดและลักษณะของประโยค ถ้าผู้พูดใช้ระดับเสียงผิดหรือน้ําเสียงผิด เช่น ควรใช้ระดับเสียงปกติ กลับไปใช้ระดับเสียงสูง อาจทําให้ผู้ฟังเข้าใจเจตนาของผู้พูดและแปลความหมายของคําพูดแตกต่าง ออกไปได้ ซึ่งเป็นปัญหาหนึ่งของการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร
หลักการใช้น้ำเสียง
น้ำเสียงหรือทํานองเสียง (intonation) มีองค์ประกอบ 2 ประการ คือ ระดับเสียง (pitch levels) และประเภทของน้ำเสียง (intonation)
1. ระดับเสียง (pitch levels)
1.1 ระดับเสียงสูงพิเศษ (Extra – high pitch level)
1.2 ระดับเสียงสูง (High pitch level)
1.3 ระดับเสียงปกติ (Normal pitch level)
1.4 ระดับเสียงต่ํา (Low pitch level)
ดังนั้น ระดับเสียง (pitch levels) จึงเทียบได้ดังนี้
การทําความเข้าใจระดับเสียงเป็นพื้นฐานที่สําคัญของการออกเสียงสูง – ต่ำ ภายใน ประโยคและการเลือกใช้ประเภทของน้ำเสียง (intonation)
2. ประเภทของน้ำเสียง (intonation) โดยทั่วไปในการออกเสียงเรามักแบ่งประเภทของน้ำเสียง (intonation) ภายใน ประโยค เป็น 4 ประเภท คือ
2.1 น้ำเสียงลดต่ำลง (Falling intonation or Gliding down) เป็นน้ําเสียงที่มี ระดบัเสียงลดหลั่นลงมาเป็นระดับที่ 1 เหมือนการลงบันได เช่น จากระดับเสียงระดับที่ 3 → 2 → 1 ในประโยคต่อไปนี้
2.2 น้ําเสียงไต่ขึ้น (Rising intonation or Gliding up) เป็นน้ำเสียงที่เริ่ม จากระดับปกติ และสูงขึ้นเป็นลําดับขั้น เช่น จากระดับที่ 2 → 3 → 3 ในประโยคต่อไปนี้
2.3 น้ำเสียงพุ่งขึ้น (Take off) เป็นน้ําเสียงที่มีการเปลี่ยนแปลงของระดับ เสียงจากต่ำสุดไปสูงสุดหรือจากระดับปกติไปยังระดับสูงสุดอย่างรวดเร็วคล้ายอาการของเครื่องบิน หรือจรวดที่พุ่งตัวจากพื้นดินสู่ฟ้าในแนวดิ่งอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนระดับเสียงจะเปลี่ยนจากระดับ 1 เป็น 3 ทันที มักใช้ในประโยคคําถามแบบลดรูป เช่น
2.4 น้ำเสียงดิ่งลง (Diving or Falling – Rising) เป็นน้ําเสียงที่มีการ เปลี่ยนแปลงของระดับเสียงจากสูงลงสู่ระดับต่ำทันที คล้ายอาการของคนที่พุ่งตัวดําดิ่งลึกลงไปใต้น้ํา และดําโผล่ขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างรวดเร็ว เสียง Diving มักใช้ในคําเตือน (warning) เช่น
การออกเสียงคําในภาษาอังกฤษ มีแบบแผนในการออกเสียงที่น่าสนใจอีกแบบหนึ่ง ซึ่งผู้เรียนภาษาอังกฤษควรเรียนรู้และฝึกใช้ฟังและพูด เพื่อความสามารถในการเข้าใจ การฟัง การพูด และการมีทักษะในการสื่อสาร คือ การออกเสียงเชื่อมต่อระหว่างคํา (Linking sound or Linking word)
หลักในการออกเสียงเชื่อมต่อระหว่างคํา การออกเสียงเชื่อมระหว่างคํามีหลักเกณฑ์ในการเชื่อมเสียง คือ เสียงจะเชื่อมต่อ ระหว่างคําได้ เมื่อคําหน้าต้องลงท้ายด้วยพยัญชนะ และคําหลังต้องขึ้นต้นด้วยสระ (a, e, i, o, u)