การพัฒนาและใช้เทคโนโลยีต้องคำนึงถึงข้อดีและข้อเสียอย่างรอบด้าน ผู้พัฒนาต้องวิเคราะห์ความจำเป็นหรือความต้องการ และผลกระทบก่อนการลงมือพัฒนา เนื่องจากเทคโนโลยีมีทั้งข้อดีและข้อเสีย
นวัตกรรม (innovation) คือเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างขึ้น โดยนำความรู้จากศาสตร์ต่าง ๆ มาสร้างหรือพัฒนา อาจเป็นสิ่งที่ทำขึ้นใหม่หรือแปลกจากเดิม นวัตกรรมเป็นได้ทั้งแนวคิด วิธีการ อุปกรณ์ หรือผลิตภัณฑ์
1.1 ความรู้กับการแก้ปัญหา
การแก้ปัญหา ผู้แก้ปัญหาต้องใช้ทั้งความรู้และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ อาจเป็นความรู้เดิมที่รู้อยู่แล้ว และเป็นความรู้ใหม่ที่ต้องสืบค้นจากแหล่งต่าง ๆ และนำมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ ร่วมกันเพื่อให้เกิดเป็นสารสนเทศที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในแต่ละขั้นตอน ความรู้ที่นำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางาน อาจแบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ได้แก่ ความรู้พื้นฐาน และความรู้และทักษะในการปฏิบัติงาน
1.1.1 ความรู้พื้นฐาน
ความรู้พื้นฐาน ได้แก่ ความรู้ทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์
ตัวอย่าง การออกแบบประตูห้องต่าง ๆ ผู้ออกแบบต้องคำนึงถึงขนาดและวัสดุที่เหมาะสมกับการใช้งาน และคำนึงถึงความต้องการของผู้ใช้งาน ผู้ออกแบบต้องมีความรู้เรื่องสมบัติของวัสดุ กระจก ไม้ หรือพลาสติก ในขณะที่ประตูห้องน้ำจะต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมในการใช้งานที่ต้องสัมผัสกับน้ำและความชื้น จึงต้องเลือกใช้วัสดุที่มีสมบัติทนน้ำเช่น พีวีซี (Polyvinyl chloride: PVC) ผู้ออกแบบต้องใช้ความรู้เรื่องกลไกและการเคลื่อนที่เพื่อออกแบบบานพับ ลูกล้อและรางเลื่อน รวมทั้งอุปกรณ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และใช้ความรู้ด้าน การยศาสตร์เกี่ยวกับลักษณะการบิดแขนและข้อมือ ตำแหน่งของมือ มากำหนดความสูงของลูกบิดประตูซึ่งส่วนใหญ่เป็น 90 เชนติเมตร เพื่อการใช้งานที่สะดวกสบาย และตรงตามความต้องการ
ศึกษาความรู้เกี่ยวกับประตู ได้ที่ : https://www.doorthai.com/
การสร้างเขื่อน โรงกำจัดขยะ โรงไฟฟ้า ฯ เหล่านี้ก็จำเป็นต้องศึกษาระบบนิเวศ ต้องทำรายงานการวิเคราห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment: EIA) และกฎหมายต่าง ๆ
การให้บริการส่งสินค้าด้วยโดรน (drone) การซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน การซื้อสินค้าโดยไม่ต้องลงจากรถ (drive thru) เหล่านี้เป็นผลมาจากความต้องการของผู้บริโภคกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลง
1.1.2 ความรู้และทักษะในการปฏิบัติงาน
ความรู้และทักษะในการปฏิบัติงาน ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับข้อบังคับทางกฎหมาย คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณในการปฏิบัติงาน และทักษะที่จำเป็น เช่น การสื่อสาร การคิดเชิงระบบ ความคิดสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การทำงานร่วมกับผู้อื่น
ตัวอย่าง ในการวิจัยและพัฒนาเครื่องเป่าความดันลมเพื่อเปิดขยายทางเดินหายใจของผู้ป่วยที่เรียกว่าซีแพป (Continuous Positive Airway Pressure: CPAP) ต้องประกอบด้วย แพทย์ พยาบาล นักวิจัย และวิศวกรเพื่อพัฒนาเครื่องต้นแบบ จากนั้นต้องมีการทดสอบและประเมินผลการทำงานของเครื่องมือนี้กับผู้ป่วยจริงซึ่งต้องได้รับอนุญาตจากป่วยและคณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยในคน
1.2 การคิดเชิงออกแบบกับการแก้ปัญหา
การแก้ปัญหา คือ การปรับเปลี่ยนสถานการณ์ให้เป็นไปตามความต้องการของผู้ใช้ในการแก้ปัญหาให้ตรงตามวัตถุประสงค์
การคิดเชิงออกแบบ เป็นขั้นตอน กรอบ หรือกระบวนการในการดำเนินงานเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งมีลำดับการดำเนินงานตามขั้นตอนที่แตกต่างกัน เช่น มีการทำซ้ำหรือย้อนกลับ ผลลัพธ์ของการแก้ปัญหาอาจเป็นสิ่งประดิษฐ์กระบวนการหรือขั้นตอนการทำงาน การบริการ หรือโมเดลทางธุรกิจ เป็นต้น
การคิดเชิงออกแบบ เริ่มตั้งแต่การทำความเข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้ง การรวบรวมข้อมูลที่รอบด้าน การพิจารณาผู้ใช้เป็นสำคัญ เพื่อพัฒนาแนวหางการแก้ปัญหา การทดสอบ การปรับปรุง และการนำเสนอผลลัพธ์แบ่งเป็น 3 กระบวนการย่อย ได้แก่ การระบุและตีความปัญหา การพัฒนาแนวคิด และการสร้างแนวทางการแก้ปัญหา
1.2.1 การระบุและตีความปัญหา คือ ผู้แก้ปัญหามีความเข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้ง โดยระบุสาเหตุ สาระสำคัญ เหตุการณ์และบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปสู่การสร้างวิธีการหรือสิ่งประดิษฐ์ เพื่อเปลี่ยนแปลงหรือกำจัดสาเหตุนั้น โดยใช้คำถาม ปัญหาคืออะไร เกิดขึ้นเมื่อใด เกิดที่ใด ใครเกี่ยวข้องบ้าง ทำไมจึงเป็นปัญหา นอกจากนี้ต้องคำนึงถึงความต้องการ บริบท ข้อจำกัดหรือเงื่อนไขทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงผลกระทบในเชิงลบที่อาจเกิดกับผู้ใช้ ผู้แก้ปัญหาต้องรวบรวมความรู้และข้อมูลจากหลาย ๆ ช่องทางและรอบด้าน
1.2.2 การพัฒนาแนวคิด เริ่มจากการพิจารณาหน้าที่ องค์ประกอบ หรือสภาวะแวดล้อมของวิธีการหรือสิ่งประดิษฐ์ที่จะสร้าง เพื่อแก้ปัญหาแล้วจึงนำข้อมูลและความรู้ที่รวบรวม มากำหนดแนวคิดในการแก้ปัญหา ต้องประเมินและเลือกข้อมูล ความรู้ เพื่อพัฒนาแนวคิดในการแก้ปัญหา และอาจต้องมีการสืบค้นและรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม นอกจากนี้ผู้แก้ปัญหาควรเขียนภาพร่าง หรือแผนภาพแสดงรายละเอียดของแนวคิดในการแก้ปัญหาเพื่อใช้ในการสื่อสาระหว่างทีมงานและผู้เกี่ยวข้อง และรับข้อมูลย้อนกลับ (feedback) จากผู้เกี่ยวข้องเพื่อการปรับปรุงให้เหมาะสม
เกร็ดน่ารู้ สารสนเทศ (information) หมายถึง ข้อมูล (data) ที่ได้ผ่านการประมวลผลด้วยกระบวนการต่าง ๆ แล้ว ซึ่งเป็นผลจากการเก็บรวบรวมข้อมูล การบริหารจัดการข้อมูล การนำข้อมูลมาวิเคราะห์ วิจัย และนำผลที่ได้มาใช้ในการตัดสินใจเพื่อดำเนินการต่าง ๆ
ตัวอย่างเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการจัดการข้อมูลและสารสนเทศ เช่น คลาวด์คอมพิวตั้ง (cloud computing) ข้อมูลขนาดใหญ่ (big data) ปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) หรือเอไอ (A) การทำเหมืองข้อมูล (data mining) อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (internet of things) หรือไอโอที (IoT) ซึ่งความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก (disruptive technologies) ที่คิดค้นขึ้นเพื่อช่วยให้การทำงานของมนุษย์มีความสะดวกสบาย รวมทั้งยังเป็นสิ่งที่ช่วยให้ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและอนาคตมีมูลค้าเพิ่มขึ้นอีกด้วย
1.2.3 การสร้างแนวทางการแก้ปัญหา คือการนำแนวคิดมาสร้างให้เป็นจริง โดยอาจสร้างเป็นต้นแบบ (prototype) และนำไปทดสอบกับผู้ใช้เพื่อรับข้อมูลย้อนกลับ และต้องประเมินวิธีการที่สร้างขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับหน้าที่ ความต้องการ และเป้าหมายของการแก้ปัญหา และสิ่งสำคัญคือปรับปรุงวิธีการหรือสิ่งประดิษฐ์โดยอาศัยข้อมูลย้อนกลับ
ตัวอย่าง ฟาร์มอัจฉริยะ
การนำเทคโนโลยีฟาร์มอัจฉริยะมาใช้ในการทำเกษตรกรรมนั้น มักเกิดจากความต้องการลดต้นทุนในการจ้างคนงานการจัดสรรตารางกิจกรรมภายในฟาร์มได้ตรงเวลา และการเพิ่มผลผลิตโดยการติดตามและปรับสภาพแวดล้อมในฟาร์มหรือโรงเรือนให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสมกับผลผลิต
การระบุและตีความปัญหา
1. รายได้จากการขายผักน้อยลง เนื่องจากผลผลิตน้อย เพราะประสบปัญหาเรื่องน้ำ และโรคในพืช
2. หาข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุที่ต้องการปรับเปลี่ยน ผลประกอบการ และศึกษาสภาพแวดล้อม สภาพอากาศ ชนิดของผลผลิตในฟาร์ม วิธีการบริหารจัดการ การดูแลผลผลิต และการกำจัดของเสียในฟาร์ม และงบประมาณ นอกจากนี้ควรรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมและชุมชนที่อยู่รอ ๆ ฟาร์ม ข้อมูลการตลาด
3. การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย และเลือกชนิดของพืชที่จะปลูกให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
4. นำข้อมูลมาพิจารณาว่าปัญหาคืออะไร และเขียนขอบเขตของปัญหา ดังนี้ ต้องการปรับเปลี่ยนฟาร์มให้เป็นฟาร์มอัจฉริยะเพื่อลดต้นทุนในการจ้างคนงาน และต้องการเพิ่มปริมาณและคุณภาพของผลผลิตทางการเกษตร โดยการติดตามสภาพแวดล้อมภายในฟาร์มและควบคุมให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืช 4 ชนิด ได้แก่กะหล่ำปลี ข้าวโพด มะเขือเทศเชอรี่ และกรีนโอ๊ค"
5. ร่วมกันวางแผนการเงินและการผลิต โดยการวิเคราะห์จุดคุ้มทุน (break-even point analysis) ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างต้นทุน ปริมาณ และกำไร อาศัยความรู้ด้านเศษฐศาสตร์ การตลาด และปริมาณสินค้า ราคาสินค้า ต้นทุนการผลิต
ต้นทุนการผลิตสินค้าประกอบ 2 ประเภท ได้แก่ ต้นทุนคงที่ (fixed cost) และต้นทุนผันแปร (variable cost) ต้นทุนคงที่ หมายถึง ค่าใช้จ่ายที่มีลักษณะคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามปริมาณสินค้าที่ผลิต ดังนั้น เมื่อผลิตสินค้าได้จำนวนมากขึ้น ตันทุนคงที่ต่อหน่วยจะลดลงตัวอย่างต้นทุนคงที่ เช่น ค่าเสื่อมราคาหรือค่าเช่าเครื่องจักร ค่าเบี้ยประกันภัย ส่วนตันทุนผันแปร หมายถึงค่าใช้จ่ายในการผลิตที่เปลี่ยนแปลตามปริมาณสินค้าที่ผลิต กล่าวคือ เมื่อผลิตสินค้าในปริมาณที่มากขึ้นต้นทุนผันแปรจะสูงขึ้นตาม ตัวอย่างต้นทุนผันแปร เช่น เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ค่าแรงงาน
6. หลังจากกำหนดพื้นที่ในการปลูกพืชแต่ละชนิดแล้ว คือความกว้าง ความยาว และรูปแบบ (layout) ของแปลงหรือโรงเรือน โดยต้องมีความรู้เกี่ยวกับปัจจัยการปลูกพืชแต่ละชนิด เช่น ขนาดหลุมจำนวนเมล็ดพันธุ์ต่อหลุม ระยะห่างในการปลูก ตลอดจนปริมาณน้ำ ชนิดและปริมาณสารอาหารที่พืชต้องการในแต่ละวัน ความชื้น อุณหภูมิละปริมาณแสงแดดที่เหมาะสม สภาพภูมิอากาศของพื้นที่นั้น เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างฤดูกาลและทิศทางลม รวมทั้งสภาพภูมิประเทศ เช่น ความสูงต่ำของพื้นที่ และระยะห่างจากแหล่งน้ำ มาพิจารณาร่วมด้วย
การพัฒนาแนวคิด
1. ข้อมูลทั้งหมดมาพิจารณาเพื่อหาคำตอว่า “จะแก้ปัญหาด้วยวิธีการอย่างไร” โดยต้องพิจารณาว่าการดำเนินงานในฟาร์มอัจฉริยะต้องมีส่วนประกอบย่อยอะไรบ้าง และแต่ละส่วนทำหน้าที่หรือมีการดำเนินงานอย่างไร อาจแบ่งงานออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่
1. การดูแลและจัดเตรียมวัตถุดิบ เช่น การเตรียมดินให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะกับการเพาะปลูกการเตรียมต้นกล้า การเตรียมแปลงหรือโรงเรือน การเตรียมปุ๋ย และสารป้องกันศัตรูพืช
2. การบริหารฟาร์ม เช่น การจัดทำบัญชี การเงิน การจ้างคนงาน
3. การจัดการฟาร์ม/ โรงเรือน เช่น ระบบควบคุมอุณหภูมิ ระบบควบคุมความขึ้น ระบบการให้น้ำและปุ๋ย และระบบตรวจเฝ้าระวัง
4. การตลาดและการขนส่ง เช่น การประชาสัมพันธ์ การติดต่อ การขายทั้งทางหน้าร้านและออนไลน์และการขนส่งสินค้ายังไปลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย
ระบบที่สำคัญอีกระบบสำหรับฟาร์มอัจฉริยะ คือการจัดการฟาร์ม/โรงเรือน มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยในการควบคุมสภาพแวดล้อมของโรงเรือนให้เหมาะสมกับการเจริญติโตของพืชปลูก ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบและติดตั้ง ระบบทั้งหมดสามารถเก็บข้อมูล ถ่ายโอนข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ ประมวลผลข้อมูลและสั่งการให้ระบบทำหน้าที่ปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมตามที่ต้องการ ผู้ออกแบบระบบต้องมีความรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และความรู้เกี่ยวกับวัสดุ อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องมาประกอบการออกแบบ วางแผนการทำงาน การเชื่อมต่อ และเขียนแผนภาพ หรือภาพร่างเพื่อแสดงกระบวนการการทำงานทั้งระบบ ต้องมีความรู้ด้านเทคโนโลยี เช่น หลักการทำงานของเซ็นเซอร์ การเก็บข้อมูลความชื้น อุณหภูมิ ความเร็วลมปริมาณน้ำและสารอาหาร กระบวนการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ การออกแบบและวางแผนการเชื่อมต่ออุปกรณ์รดน้ำ ผู้ออกแบบต้องสำรวจราดาวัสดุ อุปกรณ์ที่ต้องใช้และคำนวณจำนวนอุปกรณ์แต่ละชิ้น เพื่อเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับงบประมาณ
การสร้างแนวทางการแก้ปัญหา
ลงมือดำเนินการต่อเชื่อมอุกรณ์ต่าง ๆ ทั้งระบบท่อสำหรับการรดน้ำ ให้ปุ๋ย ควบคุมอุณหภูมิ รวมถึงระบบไฟฟ้า และระบบส่งข้อมูล นอกจากนี้ ในส่วนของซอฟต์แวร์ที่ควบคุมระบบการถ่ายโอนข้อมูลและระบบการสั่งงานอัตโนมัติผู้ออกแบบต้องออกแบบและเขียนโปรแกรม (code) เพื่อควบคุมการทำงานของระบบตั้งแต่การรวบรวมข้อมูลจากเซ็นซอร์ การรับข้อมูลการพยากรณ์อากาศ การจัดก็บ การประมวลผล และการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ตลอดจนการสั่งการระบบอัตโนมัติต่าง ๆ เช่นระบบรดน้ำ ระบบฉีดสารป้องกันศัตรูพืช ทั้งนี้ระหว่างการพัฒนาระบบ ผู้ออกแบบต้องมีการทดสอบและปรับปรุงการทำงานของระบบย่อยเป็นระยะเพื่อให้ระบบมีสมรรถนะตามที่คาดหวัง
หากลองเขียนขั้นตอนการดำเนินการสร้างฟาร์มอัจฉริยะโดยใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมเทียบกับการแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการคิดชิงออกแบบ จะเห็นได้ว่า ขั้นตอนการทำงานทั้ง 2 แบบมีความคล้ายคลึงกัน นั่นเป็นเพราะทักษะการคิดเชิงออกแบบและกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมเป็นกรอบการทำงานเพื่อปัญหา หรือเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่ทำให้เกิดปัญหา ดังนั้น ในการแก้ปัญหาใด ๆผู้แก้ปัญหา ต้องทำความเข้าใจกับสาเหตุที่เเท้จริงของปัญหาโดยการรวบรวมข้อมูล ใช้ข้อมูลและความรู้ในการออกแบบวิธีการแก้ปัญหา หลังจากนั้น ลงมือสร้างควบคู่ไปกับการทดสอบและปรับปรุง ทั้งนี้ทุกขั้นตอนของการดำเนินงานต้องคำนึงถึงผู้ใช้งานเป็นสำคัญ ผลลัพธ์จากการทำงานไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใดต้องตรงตามความต้องการของผู้ใช้งาน สอดคล้องกับบริบทและข้อจำกัดของผู้ใช้งาน
สรุป การคิดเชิงออกแบบและกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมเป็นกรอบการทำงานเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม สถานการณ์ หรือทรัพยากรที่มีอยู่ให้เป็นไปตามที่มนุษย์ต้องการ และส่งเสริมให้เกิดสภาวะแวดล้อมที่อำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิต ผลลัพธ์ของการแก้ปัญหาอาจเป็นสิ่งประดิษฐ์ กระบวนการหรือขั้นตอนการทำงาน การบริการ หรือโมเดลทางธุรกิจในการแก้ปัญหาใด ๆ ผู้แก้ปัญหาต้องทำความเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาโดยการรวบรวมข้อมูลและใช้ข้อมูล ความรู้ในการออกแบบวิธีการแก้ปัญหา แล้วจึงลงมือสร้างควบคู่ไปกับการทดสอบและปรับปรุง และต้องออกแบบวิธีการโดยคำนึงถึงความต้องการของผู้ใช้งานและผู้เกี่ยวข้องเป็นสำคัญ