- กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม
ในชีวิตประจำวันเราอาจประสบปัญหาต่าง ๆ ทั้งจากการใช้ชีวิตและการทำงาน ซึ่งเราจำเป็นต้องแก้ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อยกระดับคุณภาพการดำรงชีวิตของเราเอง ซึ่งอาจทำได้โดยสร้างสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ หรือการคิดหาวิธีการเพื่อสนองความต้องการของตนเอง บางปัญหามีความซับซ้อน การแก้ปัญหาจึงจำเป็นต้องอาศัยความรู้ ทักษะ ทรัพยากร และการวางแผนการทำงานอย่างเป็นขั้นตอน เป็นระบบเพื่อให้การทำงานนั้นบรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายหรือเพื่อให้ได้วิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม
นอกการออกแบบเชิงวิศวกรรมเป็นกระบวนการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหา หรือพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ภายใต้ข้อจำกัด โดยมีขั้นตอนการดำเนินงานประกอบด้วย 6 ขั้นตอน
1. ระบุปัญหา (problem identification) คือการตระหนักถึงสิ่งที่เป็นปัญหา ซึ่งอาจประกอบด้วยปัญหาย่อย ผู้แก้ปัญหาต้องพิจารณาปัญหาหรือกิจกรรมย่อยที่ต้องเกิดขึ้นเพื่อประกอบในการแก้ปัญหาใหญ่ด้วย
2. รวบรวมข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับปัญหา (related information search) คือการรวบรวมข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาดังกล่าว อาจมีการดำเนินการ ดังนี้
(1) การรวบรวมข้อมูล คือ การสืบค้นว่าเคยมีใครหาวิธีแก้ปัญหาดังกล่าวนี้แล้วหรือไม่ และหากมีเขาเเก้ปัญหาอย่างไร และมีข้อเสนอแนะใดบ้าง
(2) การค้นหาแนวคิด คือการค้นหาแนวคิดหรือความรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ หรือเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องและสามารถประยุกต์ในการแก้ปัญหาได้
ในขั้นตอนนี้ผู้แก้ปัญหาควรพิจารณาแนวคิดหรือความรู้ทั้งหมดที่สามารถใช้แก้ปัญหาและจดบันทึกแนวคิดไว้เป็นทางเลือกและหลังจากการรวบรวมแนวคิดเหล่านั้นแล้วจึงประเมินแนวคิดเหล่านั้น โดยพิจารณาถึงความเป็นไปได้ ความคุ้มทุน ข้อดีและจุดอ่อน และความเหมาะสมกับเงื่อนไขและขอบเขตของการเเก้ปัญหาแล้วจึงเลือกแนวคิดหรือวิธีการที่เหมาะสมที่สุด
3. ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา (solution design) คือการนำความรู้ที่ได้รวบรวมมาประยุกต์เพื่อออกแบบวิธีการ กำหนดองค์ประกอบของวิธีการหรือผลผลิต ทั้งนี้ ผู้แก้ปัญหาต้องอ้างอิงถึงความรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีที่รวบรวมได้ ประเมิน ตัดสินใจเลือกและใช้ความรู้ที่ได้มาในการสร้างภาพร่างของชิ้นงานต้นแบบ (prototype) หรือกำหนดเค้าโครงของวิธีการแก้ปัญหา
4. วางแผนและดำเนินการแก้ปัญหา (planning and development) คือการพัฒนาวิธีการแก้ปัญหาหรือขึ้นงานตันแบบที่ได้ออกแบบไว้ในขั้นตอนนี้ ผู้แก้ปัญหาต้องกำหนดขั้นตอนย่อยในการทำงาน รวมทั้งกำหนดเป้าหมายและระยะเวลาในการดำเนินการแต่ละขั้นตอนย่อยให้ชัดเจน
5. ทดสอบ ประเมินผล และปรับปรุงแก้ไขวิธีการแก้ปัญหาหรือชิ้นงาน (testing, evaluation and design improvement) เป็นขั้นตอนทดสอบและประเมินการใช้วิธีการหรือขึ้นงานต้นแบบเพื่อแก้ปัญหา ผลที่ได้จากการทดสอบและประเมินอาจถูกนำมาใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาผลัพธ์ให้มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหามากขึ้น การทดสอบและประเมินผลสามารถเกิดขึ้นได้หลายครั้งในกระบวนการแก้ปัญหา
6. นำเสนอวิธีการแก้ปัญหา ผลการแก้ปัญหาหรือขึ้นงาน (presentation) คือการนำเสนอผลลัพธ์ โดยต้องออกแบบวิธีการนำเสนอข้อมูลที่เข้าใจง่ายและน่าสนใจในระหว่างการแก้ปัญหาด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ขั้นตอนการดำเนินงานสามารถสลับไปมาหรือย้อนกลับขั้นตอนได้ กล่าวคือ ในการทำงานตามกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมนั้นหากชิ้นงานหรือวิธีการแก้ปัญหายังมีข้อบกพร่อง ทำงานหรือใช้งานไม่ได้ อาจต้องย้อนกลับไปทำงานซ้ำในบางขั้นตอน เช่น อาจกลับไปออกแบบวิธีการแก้ปัญหาใหม่ หรืออาจกลับไปรวบรวมข้อมูลเพื่อสร้างแนวทางในการแก้ปัญหาใหม่ เพื่อพัฒนาหรือปรับปรุงผลงานให้ดีขึ้น การย้อนกลับไปดำเนินงานซ้ำที่ขั้นตอนใดของกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ไม่มีการกำหนดที่แน่นอนว่าจะต้องย้อนกลับไปที่ขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งแต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์นั้น โดยนักเรียนสามารถศึกษารายละเอียดแต่ละขั้นตอนของกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ดังต่อไปนี้
6.1 ขั้นระบุปัญหา (problem identification) การระบุปัญหาเป็นการทำความเข้าใจสถานการณ์ของปัญหาหรือความต้องการนั้น ๆ อย่างละเอียด โดยวิเคราะห์เงื่อนไขหรือข้อจำกัดของสถานการณ์ เพื่อตัดสินใจเลือกปัญหาหรือความต้องการที่จะดำเนินการแก้ไข แล้วกำหนดขอบเขตของปัญหาให้ชัดเจน ซึ่งจะนำไปสู่การหาแนวทางในการแก้ปัญหาต่อไป การระบุปัญหาและกำหนดขอบเขตของปัญหาให้มีความขัดเจน เราสามารถนำเทคนิคหรือวิธีการต่าง ๆ มาช่วยในการวิเคราะห์ปัญหา เพื่อให้ทราบถึงองค์ประกอบและสาเหตุของปัญหาเช่น การวิเคราะห์องค์ประกอบของปัญหาด้วย 5W1H การหาสาเหตุของปัญหาด้วยผังก้างปลา (fishbone diagram)
ตัวอย่างสถานการณ์ของการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ
การดำรงชีวิตของผู้สูงอายุมีแนวโน้มอยู่คนเดียวสูงขึ้น ผู้สูงอายุยังมักมีปัญหาสุขภาพหลายด้านตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพร่างกาย เช่น สายตาที่พร่ามัว การเคลื่อนไหวร่างกายที่ยากลำบากขึ้น ปัญหาความจำ ซึ่งอาจทำให้ลืมรับประทานยา ปัญหาสุขภาพดังกล่าวส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
จากสถานการณ์ข้างต้น พบว่าผู้สูงอายุอาจประสบปัญหาจากการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น
1. ปัญหาในเรื่องความจำทำให้ลืมรับประทานยาไม่ครบหรือกินยามากเกินปริมาณที่แพทย์สั่ง
2. ความยากลำบากในการเดินและทรงตัวเพื่อเคลื่อนที่ในชีวิตประจำวัน
3. ปัญหาการมองเห็นที่ไม่ขัดเจนซึ่งอาจส่งผลทำให้เกิดอุบัติเหตุในชีวิตประจำวันได้ง่าย เช่น สะดุดหกล้ม การเดินชนสิ่งของ
4. ผู้สูงอายุที่สูญเสียการได้ยิน ทำให้ต้องสื่อสารเสียงดัง
จากปัญหาการสูญเสียการได้ยินของผู้สูงอายุ เราสามารถทำความเข้าใจของปัญหาได้ชัดเจนขึ้นด้วยการใช้เทคนิคการวิเคราะห์องค์ประกอบของปัญหา จากการตั้งคำถาม 5W1H ซึ่งจะทำให้ได้ข้อมูลเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาได้ตรงกับความต้องการอย่างเหมาะสม
เมื่อวิเคราะห์ปัญหาที่สนใจด้วยการใช้คำถาม 5W1H จนเข้าใจองค์ประกอบของปัญหาแล้วเพื่อให้การกำหนดกรอบหรือขอบเขตของปัญหามีความชัดเจนมากขึ้น ควรมีการวิเคราะห์หาสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับการเกิดปัญหานั้น เนื่องจากปัญหาหนึ่ง ๆ อาจเกิดขึ้นได้จากหลาย ๆ สาเหตุ การหาสาเหตุของการเกิดปัญหาอาจใช้การวิเคราะห์ด้วยผังก้างปลา (fishbone diagram) เพื่อนำไปสู่การกำหนดกรอบหรือขอบเขตของปัญหาที่ชัดเจน เพื่อหาแนวในการแก้ปัญหาต่อไป
สามารถใช้การวิเคราะด้วยผังก้างปลา เพื่อหาสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการสูญเสียการได้ยินของผู้สูงอายุ ได้ดังรูป
จากการหาสาเหตุปัญหาการได้ยินของผู้สูงอายุด้วยผังก้างปลาพบว่า เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยอาจเป็นจากการเสื่อมลงในร่างกาย ซึ่งบางสาเหตุหากทำการแก้ไขการได้ยินอาจกลับมาเป็นปกติหรือดีขึ้น เช่น ภาวะขี้หูอุดตัน แต่บางสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับระบบการได้ยินของผู้สูงอายุ เช่น ใบหู เยื่อแก้วหู กระดูกในหูเซลล์ขนที่เกี่ยวข้องกับการรับเสียง เส้นประสาทรับเสียง หากส่วนของร่างกายเหล่านี้เสื่อมลงจนส่งผลต่อระบบการได้ยิน จะเป็นสาเหตุที่ดำเนินการแก้ไขได้ยากหรือต้องใช้ผู้เชี่ยวซาญแก้ไข นอกจากนี้การดำเนินชีวิตที่สัมผัสกับปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้สูงอายุสูญเสียการได้ยิน เช่น การได้รับเสียงดังเกินไป การสูบบุหรี่รวมถึงการใช้ยาที่มีพิษต่อหู การเป็นโรคเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับระบบไหลเวียนโลหิต ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้สูงอายุสูญเสียการได้ยินได้เช่นกันดังนั้นการหาแนวทางแก้ไขปัญหาผู้สูงอายุสูญเสียการได้ยิน จึงจำเป็นต้องแก้ไขให้ตรงกับสาเหตุของปัญหา บางสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาต้องใช้ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ รวมถึงเครื่องมือและอุปกรณ์โดยเฉพาะเพื่อดำเนินการแก้ไข ดังนั้นการตัดสินใจเลือกสาเหตุของปัญหา เพื่อมาแก้ไขจำเป็นต้องพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ความรู้ ความสามารถของผู้ที่จะดำเนินการแก้ไข รวมถึงทรัพยากรหรือข้อจำกัด เพื่อประกอบการตัดสินใจ จากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุสูญเสียการได้ยิน การสูญเสียการได้ยินจากประสาทหูเสื่อมสามารถเกิดขึ้นได้กับผู้สูงอายุทุกคน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้สูงอายุและผู้ที่สื่อสารด้วย จึงอาจกำหนดเป็นขอบเขตของปัญหาเพื่อหาแนวทางการแก้ไขได้ดังนี้
“ปัญหาการศึกษาการได้ยินของผู้สูงอายุ ที่เกิดขึ้นจากประสาทหูเสื่อมลงตามวัย ส่งผลให้คามสามารถการได้ยินเสียงลดลง จึงต้องการวิธีการที่ช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถได้ยินเสียงได้ดีขึ้น หรือ มีระดับการได้ยินปกติ"
ดังนั้นการหาแนวทางการแก้ไขที่ช่วยให้ผู้สูงอายุที่สูญเสียการได้ยินสามารถได้ยินเสียงได้ดีขึ้นนั้นสามารถดำเนินการได้หรือไม่ อย่างไร นักเรียนจะได้ศึกษาจากขั้นรวบรวมข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับปัญหาตามกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม
6.2 ขั้นรวบรวมข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับปัญหา (related information search) คือการรวบรวมข้อมูลและความรู้ทุกด้านที่เกี่ยวข้องกับปัญหาหรือความต้องการ เช่น ความรู้ด้าน วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี ในขั้นนี้ควรมีการจดบันทึกผลการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อพัฒนาแนวทางในการแก้ปัญหา ซึ่งก่อนการรวบรวมข้อมูลควรมีการกำหนดประเด็นในการสืบคัน ซึ่งอาจเริ่มจากการตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่จำเป็นต่อการแก้ปัญหาภายใต้ขอบเขตของปัญหาที่ระบุไว้ โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า การระดมสมอง (brainstorming)
ตัวอย่างประเด็นที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาการสูญเสียการได้ยินของผู้สูงอายุที่ประสาทหูเสื่อม
- ลักษณะอาการ หรือระบบการได้ยินของผู้สูงอายุที่ประสาทหูเสื่อม
- ผลกระทบจากการสูญเสียการได้ยินของผู้สูงอายุ
- การส่งเสริมให้การได้ยินมีประสิทธิภาพดีขึ้น
เมื่อได้ประเด็นในการสืบคันแล้ว สามารถรวบรวมข้อมูลจากแหล่งเรียนรู้ได้อย่างหลากหลาย เช่น
- การสืบค้นจากเอกสาร บทความ งานวิจัย
- การสืบคันข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต
- การสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญ
- สำรวจตัวอย่างในท้องตลาด
- การศึกษาดูงานจากสถานประกอบการ เช่น ร้านจำหน่ายอุปกรณ์การแพทย์ โรงพยาบาล
เมื่อได้รวบรวมข้อมูลตามประเด็นที่กำหนดไว้แล้ว สามารถนำหัวข้อประเด็นและข้อมูลดังกล่าวมาสรุปเป็นแผนที่ความคิดให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของข้อมูลกับปัญหาที่ต้องการหาแนวทางการแก้ไข
จากการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุที่สูญเสียการได้ยินจากประสาทหูเสื่อม แนวทางหนึ่งที่ช่วยให้ผู้สูงอายุได้ยินเสียงได้ดีขึ้นคือการใช้อุปกรณ์ช่วย เช่น การผ่าตัดใส่ประสาทหูเทียม ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการแก้ไขปัญหาการสูญเสียการได้ยิน แต่ต้องดำเนินการแก้ไขโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายสูง อีกวิธีหนึ่งคือการใช้อุปกรณ์หรือเครื่องช่วยฟัง ซึ่งมีการผลิตเพื่อจำหน่ายอยู่ทั่วไป โดยเครื่องช่วยฟังสามารถปรับใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละคนได้ อย่างไรก็ตามเครื่องช่วยฟังที่มีคุณภาพดีโดยส่วนใหญ่พัฒนาและนำเข้าจากต่างประเทศ จึงมีราคาสูง
สำหรับนักเรียนการช่วยเหลือผู้สูงอายุที่สูญเสียการได้ยินจากประสาทหูเสื่อมด้วยการผ่าตัด คงเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้เนื่องจากไม่มีความรู้ความสามารถ แต่การสร้างเครื่องช่วยฟังเพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุที่สูญเสียการได้ยิน อาจเป็นแนวทางการช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาการสูญเสียการได้ยินที่นักเรียนสามารถทำได้โดยอาจรวบรวมข้อมูลเครื่องช่วยฟังซึ่งมีการผลิตเพื่อจำหน่ายรูปแบบต่าง ๆ เช่น เครื่องช่วยฟังแบบกล่องแบบหัดหลังใบหู และแบบใส่ในช่องหู แล้วนำข้อมูลมาเปรียบเทียบทั้งในด้านองค์ประกอบพื้นฐานของอุปกรณ์ ข้อดี และข้อด้อยที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้งาน เพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนาเครื่องช่วยฟังสำหรับผู้สูงอายุที่สูญเสียการได้ยิน
จากการเปรียบเทียบเครื่องช่วยฟังแต่ละประเภท พบว่ามีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกันไป ซึ่งสามารถนำข้อมูลที่ได้จากการเปรียบเทียบมาใช้ในการพัฒนาแนวทางการแก้ไขปัญหา ด้วยการออกแบบและพัฒนาเครื่องช่วยฟังขึ้นอย่างเหมาะสมภายใต้ความรู้ ความสามารถ ทรัพยากรและข้อจำกัด ในขั้นตอนต่อไป
6.3 ขั้นออกแบบวิธีการแก้ปัญหา (solution design)
หลังจากที่ได้รวบรวมข้อมูลตามประเด็น จึงนำข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับปัญหามาประยุกต์เพื่อออกแบบแนวทางการแก้ปัญหา แนวทางหนึ่งที่ช่วยให้การออกแบบวิธีการแก้ปัญหาชัดเจนคือ การใช้เทคนิคจำแนกหน้าที่และคุณสมบัติที่จำเป็นและควรมีต่อการออกแบบแก้ปัญหานั้น เช่นการใช้เทคนิค (function analysis diagram)
6.3.1 การวิเคราะห์องค์ประกอบพื้นฐานที่จำเป็นต่อการแก้ปัญหาด้วย( function analysis diagram) เพื่อให้การออกแบบเครื่องช่วยฟังได้อย่างเหมาะสม จึงต้องมีการวิเคราะห์องค์ประกอบพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาเครื่องช่วยฟัง เช่น ชิ้นส่วนที่จำเป็นต้องมีในอุปกรณ์และหน้าที่ในการใช้งานซึ่งวิธีการหนึ่งเพื่อให้ได้ข้อมูลนี้คือการวิเคราะห์ด้วย (function analysis diagram) จากการวิเคราะห์องค์ประกอบพื้นฐานของเครื่องช่วยฟังโดยการวิเคราะห์ด้วย function analysis diagram พบว่าเครื่องช่วยฟังที่ผลิตเพื่อจำหน่ายถึงแม้มีหลากหลายรูปแบบตามที่รวบรวมข้อมูลทั่วไปมีองค์ประกอบพื้นฐานที่จำเป็นต่อการทำงานของอุปกรณ์เหมือนกัน ประกอบด้วย
- อุปกรณ์รับเสียง ซึ่งทำหน้าที่เปลี่ยนสัญญาฟณสียงเป็นสัญญาณไฟฟ้า เช่น ไมโครโฟนขนาดเล็ก
- วงจรขยายเสียง ซึ่งทำหน้าที่รับสัญญาณฟฟ้าจากไมโครโฟน เพื่อขยายสัญญาณไฟฟ้าที่เปลี่ยนมาจากสัญญาณเสียงให้ตรงกับระดับการได้ยินของผู้ใช้งาน
- อุปกรณ์ถ่ายทอดเสียง ทำหน้าที่แปลงสัญญานไฟฟ้ามาเป็นเสียง และทำการส่งสัญญาณเสียงนั้นเข้าไปในหูของผู้ใช้งาน เช่น ลำโพงขนาดเล็ก
6.3.2 การสร้างทางเลือกในการแก้ปัญหา
เมื่อได้ข้อมูลองค์ประกอบพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาแนวทางการแก้ปัญหาแล้ว ขั้นตอนต่อมาการออกแบบแนวทางแก้ปัญหาให้มีรายละเอียดที่ชัดเจนขึ้นและอาจสร้างไว้หลายแนวทางจากนั้นจึงตัดสินใจเลือกแนวทางแก้ปัญหาที่เหมาะสมกับเงื่อนไขและขอบเขตของปัญหามากที่สุด โดยพิจารณาปัจจัยด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อดี ข้อเสีย ความสอดคล้องกับทรัพยากรทางเทคโนโลยีที่มีอยู่ ปัจจัยที่ขัดขวางหรือข้อจำกัด ผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม การนำไปใช้งานเพื่อแก้ปัญหา ความประหยัดความปลอดภัย การบำรุงรักษา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของวิธีการหรือแนวทางการแก้ปัญหาในการตัดสินใจเลือกแนวทางในการแก้ปัญหาเราสามารถใช้ตารางช่วยประเมินเพื่อตัดสินใจเลือก สำหรับประเด็นในการตัดสินใจสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม
6.3.3 การถ่ายทอดความคิด
ในการออกแบบจำเป็นต้องอาศัยความรู้เรื่องการถ่ายทอดความคิดซึ่งสามารถทำได้หลายลักษณะเช่น การร่างภาพ การเขียนผังงาน การเขียนแผนภาพ ซึ่งอาจใช้ชอร์ฟแวร์ช่วยในการออกแบบ โดยสามารถเลือกใช้ได้ทั้งแบบฟรีแวร์หรืออาจเป็นโปรแกรมอื่น ทั้งนี้การถ่ายทอดความคิดอาจเริ่มจากวิธีการที่ง่ายและใช้ทรัพยากรน้อยไปจนถึงวิธีการที่ซับซ้อน
การถ่ายทอดความคิดจึงเป็นการสื่อสารแนวคิดที่ใช้แก้ปัญหา หรือสนองความต้องการให้เป็นรูปธรรมเพื่ออธิบายและสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจ ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งในบทเรียนได้เสนอไว้ ได้แก่ ภาพร่าง ภาพฉาย แบบจำลอง ผังงาน และแผนภาพ
1) ภาพร่าง ภาพร่างเป็นภาพที่แสดงรายละเอียดในแต่ละส่วนของสิ่งที่ได้ออกแบบไว้ ซึ่งอาจเป็น ภาพ 2 มิติภาพ 3 มิติ และภาพฉาย
- ภาพ 2 มิติ เป็นภาพที่เเสดงให้เห็นถึงความกว้าง ความยาวหรือความสูงของชิ้นงาน
- ภาพ 3 มิติ เป็นภาพที่ประกอบด้วย ความกว้าง ความยาว และความสูง มีความเหมือนจริง มากกว่าภาพ2 มิติ การเขียนภาพ 3 มิติ ที่นิยมใช้มี 2
- แบบภาพออบลิค (oblique) เป็นภาพ 3 มิติ ที่มองเห็นรูปด้านหน้าเป็นแนวตรง มีฐานของภาพขนานกับเส้นระดับ สามารถวัดขนาดได้ ส่วนด้านยาวนิยมเขียนให้ทำมุมกับเส้นระดับ 45 องศา
- ภาพไอโซเมตริก (isometric) เป็นภาพ 3 มิติ ที่มองเห็นรูปร่างลักษณะใกล้เคียงของจริง มีแนวสันของวัตถุด้านหนึ่งตั้งฉากกับเส้นระดับ ส่วนความกว้างและความยาวจะทำมุม 30 องศากับเส้นระดับ
2) ภาพฉาย ภายฉายเป็นภาพเพื่อเเสดงรายละเอียดของขึ้นงานที่ออกแบบในแต่ละด้าน ประกอบด้วย ภาพด้านหน้าภาพด้านข้าง และภาพด้านบน เป็นอย่างน้อย โดยภาพแต่ละด้านที่ออกมาคือภาพที่เราใช้ตามองตามแนวลูกศรในแต่ละด้านของภาพ แล้วเขียนออกมาเป็นแบบภาพ 2 มิติ ในบางกรณีที่จำเป็นอาจมีภาพด้านหลังหรือด้านล่างด้วยก็ได้ โดยภาพฉายของแต่ละด้านแสดงขนาดและหน่วยในการวัด เพื่อสามารถนำไปสร้างแบบจำลอง หรือชิ้นงานได้
3) ผังงาน อย่างเป็นขั้นตอน โดยใช้สัญลักษณ์ในการสื่อความหมายของลำดับการทำงาน ซึ่งประกอบด้วย ข้อมูลเข้าผังงานเป็นการออกแบบแนวคิดของการทำงานอีกรูปแบบหนึ่งที่แสดงรายละเอียดการทำงาน(input) วิธีการประมวลผล (process) และการแสดงผลลัพธ์ (output) เช่น ขั้นตอนการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาล
4) แผนภาพ เป็นการออกแบบแนวคิดของการทำงานเป็นภาพ พร้อมแสดงรายละเอียดหรือองค์ประกอบเพื่อให้เห็นว่ามีการทำงานหรือวิธีการอย่างไร
6.3.4 การใช้ซอฟต์เเวร์ในการออกแบบ การใช้ซอฟต์แวร์ในการออกแบบภาพ 2 มิติ ภาพ 3 มิติ และภาพฉายช่วยให้ผู้ออกแบบได้เห็นภาพสิ่งที่กำลังออกแบบในมุมต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง ใกล้เคียงความจริงมากขึ้น สามารถปรับเปลี่ยนส่วนต่าง ๆ ของสิ่งที่ออกแบบตามความคิดของเราได้อย่างรวดเร็ว ชอฟต์แวร์ช่วยในการออกแบบมีอยู่หลายชนิด แต่ละชนิดมีคุณสมบัติและจุดเด่นที่แตกต่างกัน จึงควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับการใช้งาน
6.4 ขั้นวางแผนและดำเนินการแก้ปัญหา (planning and development) ก่อนการลงมือสร้างขึ้นงานควรมีการวางแผนโดยกำหนดลำดับขั้นตอนของการสร้างชิ้นงานหรือพัฒนาวิธีการตามที่ได้ออกแบบไว้ มีการกำหนดเป้าหมายและเวลาในการดำเนินงาน รวมทั้งผู้รับผิดชอบงานใแต่ละขั้นตอนอย่างขัดเจน จากนั้นจึงลงมือสร้างขึ้นงานหรือพัฒนาวิธีการตามที่ได้ออกแบบไว้ การวางแผนปฏิบัติงานของการสร้างเครื่องช่วยฟังเพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุที่สูญเสียการได้ยินอาจทำได้
หลังจากวางแผนการทำงานเรียบร้อยแล้ว ขั้นต่อไปเป็นการลงมือสร้างขึ้นงานตามแผนงานที่ได้กำหนดไว้ในการสร้างขึ้นงานควรเลือกใช้วัสดุให้เหมาะสมกับประเภทของงาน และอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงานก็ต้องใช้ให้ถูกต้องและคำนึงถึงความปลอดภัยในการใช้งานการสร้างชิ้นงานหรือลงมือแก้ปัญหา โดยนำทรัพยากรต่าง ๆ มาดำเนินการตามที่ได้ออกแบบแก้ปัญหาไว้ โดยอาศัยทักษะในการทำงานเพื่อแก้ปัญหา เลือกใช้วัสดุ เครื่องมือ และอุปกรณ์ในการสร้างจนได้ชิ้นงานหรือวิธีแก้ปัญหา เพื่อนำทดสอบการทำงานต่อไป
6.5 ขั้นทดสอบ ประเมินผล และปรับปรุงแก้ไขวิธีการแก้ปัญหาหรือชิ้นงาน (testing, evaluation and design improvement) การทำงานในขั้นตอนนี้คือการทดสอบและประเมินผลการทำงานของขึ้นงานหรือวิธีการว่าสามารถแก้ปัญหาตามที่ได้ระบุไว้หรือไม่ สามารถทำงานหรือใช้งานได้หรือไม่ มีข้อบกพร่องอย่างไรผลที่ได้จากการทดสอบอาจถูกนำมาใช้ในการปรับปรุงแก้ไขและพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหามากขึ้น
ในการทดสอบการทำงานของขึ้นงานหรือวิธีการควรมีการกำหนดประเด็นในการทดสอบซึ่งต้องมีความสอดคล้องกับจุดประสงค์ของชิ้นงานหรือวิธีการที่สร้างขึ้น ซึ่งเป้าหมายในการทดสอบจะช่วยลดเวลาและทำให้การปฏิบัติงานง่ายยิ่งขึ้น เพื่อให้ทราบว่าชิ้นงานสามารถแก้ปัญหาหรือสนองความต้องการได้หรือไม่ ซึ่งอาจทำได้ในรูปแบบของแบบประเมินรายการ หรือ การเขียนบันทึกผลการทดสอบในแต่ละประเด็น หลังจากได้ผลการทดสอบชิ้นงานหรือวิธีการจากข้อมูลที่บันทึกได้แล้วก็นำมาวิเคราะห์เพื่อหาแนวทางปรับปรุงแก้ไขขึ้นงานหรือวิธีการ เพื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จากนั้นจึงทดสอบการทำงานอีกครั้ง แล้วประเมินผลการทำงานอีกครั้งว่าสามารถแก้ไขปัญหาตามที่กำหนดไว้หรือไม่ ในการประเมินผลอาจจะตั้งเป็นคำถามเกี่ยวกับขึ้นงานหรือวิธีการในแต่ละประเด็น หรืออาจจะให้ผู้อื่นเป็นผู้ประเมินผลการแก้ปัญหาโดยอาจใช้แบบประเมิน ในการพัฒนาชิ้นงานให้มีความเหมาะสมกับการใช้งาน หรือมีประสิทธิภาพมากขึ้น อาจนำเทคนิคSCAMPER มาช่วยในการวิเคราะห์และออกแบบแนวทางการปรับปรุงชิ้นงาน
6.6 ขั้นนำเสนอวิธีการแก้ปัญหา ผลการแก้ปัญหาหรือชิ้นงาน(presentation) เป็นขั้นตอนในการทำงานที่นำเสนอข้อมูลให้ผู้อื่นเข้าใจเกี่ยวกับภาพรวมของกระบวนการทำงานตั้งแต่แนวคิดในการแก้ปัญหา ขั้นตอนการแก้ปัญหา รวมทั้งผลของการแก้ปัญหาและแนวทางการปรับปรุงแก้ไขให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การเขียนรายงาน การทำแผ่น
การนำเสนอผลงานอาจทำได้ในหลายรูปแบบ เช่นการบรรยายประกอบภาพ การทำแผ่นพับประชาสัมพันธ์ การเขียนบทความเพื่อตีพิมพ์ในวารสาร รวมทั้ง การนำเสนอผลงานต่อผู้ประกอบการซึ่งอาจเป็นแนวทางเพื่อเป็นการต่อยอดผลงานสู่ภาคธุรกิจได้อีกด้วย
สรุปท้ายบท การแก้ปัญหาหรือพัฒนางานตามกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถทำงานอย่างเป็นขั้นตอน มีการกำหนดขอบเขตของปัญหาที่ชัดเจน รวบรวมข้อมูลได้ครอบคลุมและตรงประเด็น ซึ่งแต่ละปัญหาสามารถมีแนวทางในการแก้ไขได้หลากหลายขึ้นกับเงื่อนไขด้านทรัพยากรและข้อจำกัดอื่น ๆ จึงต้องมีการวิเคราะห์และเปรียบเทียบทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดในการแก้ปัญหา การถ่ายทอดความคิดในการออกแบบการแก้ปัญหาช่วยสื่อสารให้ผู้ปฏิบัติงานด้วยกันเข้าใจตรงกันหรืออาจเป็นข้อมูลให้กับผู้สร้างได้เข้าใจชิ้นงานได้ง่ายขึ้น การทดสอบผลงานเพื่อให้ทราบว่าสามารถทำงานได้ตามต้องการหรือไม่ มีการบันทึกข้อมูลอย่างเป็นระบบ ช่วยให้สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ง่ายขึ้นหากจำเป็นต้องมีการปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น ซึ่งการทำงานอย่างเป็นขั้นตอนนี้นอกจากจะช่วยลดข้อผิดพลาดแล้ว ยังเป็นการลดทรัพยากรที่ใช้ในการทำงาน เช่น เวลา งบประมาณ วัสดุ ซึ่งการแก้ปัญหาหรือพัฒนางานตามกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมนี้ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับการทำงานในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย