จงตั้งจิตให้มั่นในการทำความดีเถิด แล้วลูกนั้นจะได้พบกับความสุขอันเป็นนิรันดร์ …
-- ซึ่งมีอยู่ในตัวของลูก “ผู้มีจิตที่บริสุทธิ์” นั้นเอง --
พระยาธรรมเอ๋ย.. การที่นำธรรมต่างๆมาเผยแผ่ เผยแพร่ออกไป จงเข้าใจไว้เถิดลูก เป็นปกติของมนุษย์ ที่อาจถึงบ้างไม่ถึงบ้างในธรรมคำสั่งสอนนั้น
“ถึง” หมายถึงจิตของเขา อาจเข้าใจในธรรมนั้น
“ไม่ถึง” หมายถึงจิตของเขา อาจะไม่เข้าใจในธรรมนั้น
... เขาจึงไม่สามารถรับได้เสมอเหมือนกัน…
จงเห็นทุกอย่างเป็นปกติเถิดลูก - แล้วทำตัวแห่งตนให้ดีก็พอ
เธอจงอย่ากังวลว่า // ใครจะทำให้สายธรรมเสื่อมเสีย // ใครจะทำให้สายธรรมพังไปเธอจงทำตัวของเธอให้ดีเถิด แล้วสายธรรมนี้ก็จะยังคงอยู่ต่อไป เพราะบุคคลผู้ใดที่ทำไม่ดี ความไม่ดีนั้นก็จะอยู่ในตัวของเขาเอง จะไม่มาเกี่ยวข้องอะไรกับสายธรรม หรือตัวของเธอเลย
เหมือนเราผู้เป็นพระพุทธเจ้า ก็ยังไม่เคยห่วงว่า จะมีใครเอาศาสนาไปทำให้เสื่อมเสีย ทำให้เป็นแบบไหนไป
*เพราะศาสนา เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์* เป็นสิ่งที่ดี และเป็น *แนวทางแห่งทางพ้นทุกข์ *
-- ใครเล่าที่จะทำให้เสื่อมเสียได้ --
บุคคลผู้ใดที่ใช้ศาสนาในทางที่ไม่ถูก ทำในสิ่งที่ทำให้ศาสนานั้นดูจะเสื่อมจะเสียไป บุคคลผู้นั้นเขาก็ไปชดใช้กรรมของเขาเอง -- ศาสนาก็ยังคงอยู่ **
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้ใดที่กระทำชั่ว แม้จะทำชั่วในรอบที่อยู่ในศาสนา ซึ่งอาจจะดึงศาสนาให้ไม่ดีไปด้วย แต่บุคคลผู้นั้นก็ลงนรกเพียงแต่ผู้เดียว “ศาสนาอันบริสุทธิ์” นี้ก็ยังคงอยู่
พระยาธรรมเอ๋ย.. สิ่งไม่ดี ที่บังเกิดนั้น-- เพื่อพิสูจน์ให้เห็นความดีว่าแตกต่างกันเช่นไร
“มารในศาสนา” แม้จะมีเกิดขึ้นบ้าง แต่ก็เป็นสิ่งที่ทดสอบให้รู้ว่า > ศาสนาดียังไง !
ช่างเขาเถิดลูก ใครจะทำอะไร ทำแบบไหน เขาก็จะเสื่อมและเสียไปตามในสิ่งที่เขานั้นกระทำเอง
-- ไม่ได้มีความเกี่ยวข้อง เกี่ยวเนื่องอะไรที่ทำให้ศาสนา หรือสายธรรมเสื่อมเสียไป --
จงทำตนแห่งตนให้ดี / ถึงที่สุดแห่งความพ้นทุกข์ และเผยแผ่ธรรมออกไปให้แพร่หลาย ให้บุคคลที่ปรารถนาที่จะฟังธรรมนั้น เขาได้ทำความเข้าใจให้กระจ่างแจ้งในธรรมคำสั่งสอนต่างๆเถิด
ส่วนอย่างอื่นนั้น.. ไม่มีความจำเป็นหรอกลูกที่จะไปสนใจกับสิ่งเหล่านั้น เพราะมันเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้ มันยังอยู่ในโลกอันจอมปลอม เสียงชื่นชม หรือเสียงนินทานั้น-- มันก็ยังเป็นเสียงที่หลอกเราอยู่
อย่าลุ่มหลงกับมันเลย ทั้งดีและไม่ดี นั่นแหละลูก..
เพราะว่า องค์พระพุทธเจ้ายังไม่เคยสนใจเลย.. ลูกเอ๋ย ว่าใครจะนำศาสนาไปทำผิดหรือถูก
ฉะนั้น.. เธอจงอย่าสนใจกับการกระทำของผู้อื่นด้วย เธอแค่ทำหน้าที่แห่งตนให้ดีก็พอ
แล้วความบริสุทธิ์ในธรรมคำสั่งสอน / ความบริสุทธิ์ในศาสนา -- ก็จะเข้าถึงจิตของผู้ที่มีความบริสุทธิ์นั้นได้เอง
จงประพฤติ ปฏิบัติตาม เช่นนี้เถิดลูก.. แล้วความยึดติด ลุ่มหลง ติดอยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะถอดถอนเอง
เธอจะไม่เป็นทุกข์ ไม่ว่าใครจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร ดีหรือชั่ว.. เธอก็จะเห็นว่าเป็นปกติ เช่นนั้นเอง
ศาสนาเกิดขึ้นมาแล้ว 2600 ปี บัดนี้ก็ยังมีอยู่ ทั้งที่คนชั่วมากมาย – ตกนรก เพราะนำศาสนาไปทำในสิ่งที่เสื่อมเสีย และคนเหล่านั้นก็พังลงด้วยการกระทำ / พฤติกรรมของตนเอง -- แต่ศาสนาก็ยังคงอยู่
ฉะนั้น เธอแค่ทำหน้าที่ก็พอ..ลูกเอ๋ย ส่วนบุคคลผู้อื่นนั้น เขาจะเลือกที่จะทำดีหรือชั่ว ก็ขึ้นอยู่กับเขา
.. เธอจงอย่าสนใจการกระทำของเขาเลย
และนักบวชผู้ประพฤติดี ปฏิบัติดี ปรารถนาได้รับความพ้นทุกข์นั้น แล้วได้สร้างได้ทำสิ่งที่ดี อาจจะเจอสิ่งทดสอบกวนใจมากมาย ก็ให้จงรู้เช่นนี้เหมือนกันกับเธอ แล้วจงอย่าเป็นทุกข์กันเลย ..ลูกเอ๋ย
-- ตั้งมั่นในความดีเถิด เพื่อพบกับความพ้นทุกข์ของลูกเอง และนั่นคือ จุดมุ่งหมายของเรา ไม่ใช่สิ่งอื่นใด --
สาธุ
http://phusawan.com/webboard/index.php?topic=1157.0
ตำนานการก่อเกิดพระยาธรรม
พระยาธรรมิกราช ซึ่งเป็นจิตที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดมได้ทรงเนรมิตขึ้นมา ได้ขึ้นเข้าเฝ้าทูลต่อพระองค์ท่านที่พระนิพพาน...เนื้อความมีดังนี้
*ตำนานการก่อเกิดพระยาธรรม*
เมื่อลูกเข้าเฝ้าต่อองค์พระบิดา เพื่อนอบน้อมขอรับฟังธรรมคำสอนสั่งจากพระองค์ แล้วพระองค์จึงได้เล่าเรื่องราวให้ลูกได้ฟัง ดังนี้...
คราครั้งหนึ่ง มีลูกน้อยบังเกิดอยู่ในนิพพาน จากองค์พระบิดาให้มาเป็นองค์แทนแสวงหาบุญ ให้มาค้ำหนุนในกึ่งศาสนา มาเป็นผู้นำคำสอนคำสั่ง..พระยาธรรม พ่อจึงได้บังเกิดลูกน้อยจากเส้นเกศา จากเส้นเกศามาเป็นนกน้อยอยู่ในนิพพาน เมื่อถึงกาลเวลาจึงได้เสกมาเป็นกลีบดอกบัว เมื่อเจ้าแม่กวนอิมเสด็จมาพร้อมกับองค์อินทร์ มาเฝ้าน้อม จึงได้กล่าวไปว่าดังนี้
“ ท่านทั้งสอง จงฟังไว้ให้ดี จากวันนี้ไปจะมีข่าวดีเกิดแก่ที่โลกสวรรค์ บาดาล มนุษย์ จิตวิญญาณทั้งหลาย จากวันนี้จะมีสิ่งบังเกิดก่อเกิดแล้วในรอบศาสนา ท่านทั้งสองจงมารับกลีบดอกบัวนี้ไป จงไปแล้วให้บังเกิด ให้เกิดสิ่งที่ดีแก่ท่านทั้งสอง …
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว องค์อินทร์ องค์เจ้าแม่กวนอิม จึงได้มารับกลีบบัวอันถูกปลุกเสกจากเด็กน้อย ดวงจิตน้อยนิดที่ได้สรรค์เสกมาจากองค์พระบิดา แต่ไม่รู้ว่าคือสิ่งใด เจ้าแม่กวนอิมจึงรับไป แล้วองค์พระบิดาให้ทรงเสวยกลีบดอกบัวเข้าไปในตัว แล้วให้ไปสำรวจตามกาลเวลา หากมีสิ่งใดปรากฏมาให้จงรับด้วยความปิติยินดี แล้วเจ้าแม่กวนอิมกับองค์อินทร์จึงเสด็จมาจากที่นิพพาน เมื่อกาลเวลาผ่านไปไม่นาน จึงได้ตั้งครรภ์ขึ้นมาเป็นเวลา 7 วัน ของโลกสวรรค์ จึงได้ตั้งครรภ์ เมื่อถึงกาลเวลาจึงได้คลอดออกมาเป็นบุตรน้อย หน้าตาจิ้มลิ้ม น่าชื่นชม กลิ่นหอมคลุมไป ทั้งแผ่นดิน อาณาจักรสวรรค์ มนุษย์บาดาล จิตวิญญาณในนรก ได้ร่วมกลิ่น ได้ร่วมโมทนาบุญ
เมื่อนั้น จึงมีองค์พระบิดาพระสัมมาเสด็จมาอยู่บนต้นโพธิ์แก้วโพธิ์ทอง นั่งเรืองรองอยู่บนดอกบัว มาปรากฏกายต่อหน้าองค์อินทร์ และเจ้าแม่กวนอิม ท่านทั้งสองจงฟังไว้ให้ดี ลูกของท่านนี้จะมาเป็นผู้พิทักษ์โลก ช่วยโปรดเมตตาจิตวิญญาณที่ยังไม่ได้รับการหลุดพ้นจากความทุกข์ เจ้าจงสละลูกตนไปสู่โลกมนุษย์ ให้ไปสร้างบารมีช่วยโลกมนุษย์ จงมอบเด็กน้อยผู้มีบุญไปสู่โลกเทอญ
เจ้าแม่กวนอิมน้ำตารินหลั่ง ไม่อยากพลัดพรากจากเด็กน้อยผู้น่าเอ็นดู ไม่อยากให้จากอกตนมา จึงอุ้มแน่นไว้ นั่งลงคุกเข่าร้องไห้ แล้วจึงได้ยกออกจากอกมาให้องค์บิดา.. องค์อินทร์จับเด็กน้อยโยนลงไปสู่น้ำทิพย์ที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่จะชำระจิต เพื่อสละแก่โลก
เมื่อนั้นองค์อินทร์ได้รับลูกน้อยผู้หน้าตาจิ้มลิ้ม หน้าตาสวยสดงดงามไปด้วยไอบุญ นำมาแล้วโยนลงไปในสระน้ำทิพย์ ด้วยจิตที่เป็นพลังบุญ เมื่อโยนลูกน้อยลงไปในสระน้ำทิพย์แล้ว เมฆขาวลอยมืดมน เมฆขาวลอยมาชนกัน หมอกบางทั่วราชอาณาจักรขององค์อินทร์ สักครู่ผ่านไปจึงได้ปรากฏกายเด็กผู้หญิงตัวน้อยนิด โผล่ขึ้นมาจากบ่อน้ำทิพย์ ขึ้นมาเป็นเด็กน้อยเริ่มโต เป็นเด็กน้อยผู้หน้าตาแช่มช้อยด้วยบารมี อายุคงได้ 5 ปี ของโลกมนุษย์ตัวน้อยนิด ขึ้นมากล่าวว่าดังนี้
สวัสดีค่ะ คุณพ่อ
สวัสดีค่ะคุณแม่
หนูโตแล้ว หนูจะมาอยู่ที่แห่งนี้เพื่อพัก แล้วจะมาแสดงธรรมที่ในโลกมนุษย์ ให้กึกก้องทั่วแผ่นดิน
องค์พระบิดาตั้งหนูมาเป็นผู้นำคำสอนสั่ง-พระยาธรรม ในกึ่งศาสนา
หนูจึงมาเป็นลูกพ่อ ลูกแม่ ในวันนี้ หนูมีดีอยู่ในตัว หนูมีกลิ่นไอบุญ เป็นผู้เกื้อกูลบารมี องค์พระบิดาให้หนูมาสร้างบุญใหญ่ พ่อจ๋าแม่จ๋าสร้างเวียงวังเป็นที่นั่งพักผ่อนจิตให้หนูทีเถิดหนา
เมื่อนั้นแล้วองค์พระอินทร์ องค์เจ้าแม่กวนอิม ได้ยิน รู้สึกทึ่งในสิ่งตนได้รับพรประเสริฐสุด ในการคราวนี้ได้มีบุตรเป็นพระยาธรรม ผู้จะมานำแสงสว่าง ชี้ทางในโลกทั้ง 3 ชี้ทางจิตวิญญาณทั้งหลาย
.. องค์พ่อองค์อินทร์ เจ้าแม่กวนอิม จึงอุ้มลูกน้อยเข้าไปในวังใหญ่ จึงได้ไปเตรียมการสร้างวังเป็นสีชมพู ให้ลูกหนูน้อยได้อยู่อาศัย แล้วเมื่อได้ไปสร้างที่พักพิงให้ลูกน้อยแล้ว จึงได้นำธรรม นำทางลูกน้อย กลับเข้าเฝ้าต่อองค์พระบิดา
เมื่อพระอินทร์ เจ้าแม่กวนอิม นำลูกน้อยเสด็จเข้าเฝ้าองค์พระบิดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจึงได้กราบนอบน้อมถวายต่อองค์ผู้มีเมตตา ทรงให้สิ่งดีมาแก่ทั้งสอง และ 3 โลก จิตวิญญาณ
หลังจากนั้น องค์พระบิดาจึงได้กล่าวชี้ทางองค์อินทร์และเจ้าแม่กวนอิม ว่าดังนี้
... “เด็กน้อยผู้นี้ ดูแลไว้ให้ดี สอนสั่ง ชี้ทางลูกน้อยผู้นี้ให้ดี จากนี้ไป 260 กว่าปี จะให้มีการให้บังเกิดในโลกมนุษย์ จะได้ไปในกึ่งศาสนาขององค์พระศาสดา จะได้ไปสร้างบารมีใหญ่ ท่านทั้งสองจงดูแลไว้ให้ดี นะลูกเอ๋ย”
จากนั้นองค์ทั้ง 2 จึงน้อมรับคำสั่ง คำบอกกล่าวจากองค์พระบิดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วลาจากการเข้าเฝ้ากลับมาเฉลิมฉลองทั่ว 3 โลก จากนั้นมาตามกาลเวลา จึงได้ส่งมาอยู่ในกายหญิงบนแผ่นดินของโลกมนุษย์ เพื่อสู่การสร้างบุญบารมี จึงได้มีพระยาธรรมบังเกิดแก่โลกมนุษย์ สวรรค์ บาดาล
เรื่องราวการก่อเกิดพระยาธรรม เป็นตำนานมาดังนี้นะลูกเอย
เมื่อองค์พระสัมมาได้เล่าเรื่องราวของการก่อเกิดพระยาธรรมให้ลูกฟังแล้ว ลูกจึงได้กราบนอบน้อม อำลาต่อองค์พระบิดากลับมาสู่โลกมนุษย์ เพื่อเล่าสู่ญาติบุญ ญาติธรรมผู้มีความตั้งใจดี ได้ฟังกันว่าดังนี้ เป็นนิทาน เรื่อง ตำนานก่อเกิดของพระยาธรรม อีกหน่อยจะเป็นตำนานเอาไว้ให้ลูกหลานได้ฟังกัน...
http://phusawan.com/webboard/index.php?topic=1012.0
เธอจะตื่นจากสิ่งที่เธอยังถืออยู่ แล้วเธอจะมีชัยชนะ ที่จะชนะกับสิ่งเหล่านั้นได้
เรามีหน้าที่เพื่อทำสิ่งใด จงทำไปให้ถึงที่สุดแห่งการทำ โดยไม่สนใจเสียงนินทา
หรือสรรเสริญ ไม่สนใจสิ่งมันกระทบมา.. ดี และไม่ดีเหล่านั้น
แล้วเธอจะถอดถอน ความยึดดี ถือดี.. ความลุ่มหลงในสิ่งที่เป็นตัวเป็นตนได้
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. จิตของมนุษย์ จิตที่ยังติดอยู่ในวัฏสงสาร ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ จิตเหล่านั้น ที่ยังไม่ได้ถูกฟอกให้หลุดจากกิเลสตัณหา -- ย่อมต้องมีความอิจฉา ความเห็นผิด และเห็นถูกตามใจตน
ฉะนั้น พระยาธรรมเอ๋ย.. การที่จะมีสิ่งใหม่ๆเกิดขึ้น / ในสิ่งที่ดีเกิดขึ้น หรือมีอะไรบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นใหม่นั้น ..ย่อมเป็นธรรมดาที่คนในส่วนใหญ่ ไม่ยอมรับความเป็นจริง
บางคนก็ไม่ยอมรับ เพราะอิจฉาบ้างบางคนก็ไม่ยอมรับ เพราะยึดถือในสิ่งที่ตนรู้ /ตนเป็นอยู่บ้าง... ด้วยเหตุผลต่างๆมากมาย
พระยาธรรมเอ๋ย.. แต่การที่เธออุบัติบังเกิดขึ้นมานี้ เธอจงจำไว้เถิดลูก ..
*เธอไม่ได้บังเกิดขึ้นมา เพื่อรับคำชื่นชมจากใคร
*เธอไม่ได้บังเกิดขึ้นมา เพื่อให้ใครมาสรรเสริญยกย่อง หรือสิ่งที่เธอทำทั้งหมดนั้น-- ไม่ได้ทำไปเพื่อลาภสักการะอันใดทั้งสิ้นเลย
พระยาธรรมเอ๋ย.. จงจำไว้เถิดลูก การที่คนเราเกิดมานั้น มีปกติในจิตต่างๆ เป็นธรรมดาที่เขาจะยอมรับบ้าง ไม่ยอมรับบ้าง เชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง
... แต่จงทำตนของตนให้ดี ทำหน้าที่ของตนให้ดีก็พอ
การที่เธออุบัติบังเกิดขึ้นในคราวครั้งนี้นั้น เจตนาของเราหรือของเธอ ก็คือ ต้องการที่จะนำธรรมคำสั่งสอนมาเผยแผ่ เผยแพร่ให้กับกลุ่มคน ผู้คนที่มีความปรารถนาที่จะฟัง / ที่จะประพฤติ ปฏิบัติตาม เพื่อให้เข้าถึงความพ้นทุกข์เท่านั้น.. และเธอเองก็มีหน้าที่แค่เผยแผ่ธรรม แต่ไม่ใช่เพราะทำไป > เพื่อสิ่งอื่น
ฉะนั้น.. จงทำตน ทำหน้าที่แห่งตนให้ดีก็พอ ส่วนบุคคลผู้อื่นที่เขาจะรู้ตามหรือไม่ // เขาจะเห็นผิดเห็นถูกตามหรือไม่นั้น มันเป็นเรื่องของเขา และมันเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้อยู่ในวัฏสงสารนี้
แต่ลูกเอ๋ย.. จงรู้เช่นนี้เถิดลูก.. สิ่งเหล่านั้น อยู่บนความไม่เที่ยงแท้แน่นอน…
เขาจะชม เขาจะด่า เขาจะเห็นด้วยหรือไม่นั้น > มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เที่ยงแท้ และไม่ใช่เป้าหมายจุดประสงค์ที่เธอมา เพื่อสิ่งนั้นเลย
-- เธอมาเพื่อบอกทางต่างหากเล่า และเธอก็มีหน้าที่เพียงแค่บอกทาง --
จงทำหน้าที่แห่งตนให้ดีก็พอ แล้วเธอนั้นจะได้ไม่ติดอยู่ในสิ่งใด สิ่งหนึ่ง
/ ไม่ว่าจะเป็นความสุข หรือความทุกข์
/ ไม่ว่าจะเป็นคำนินทา หรือสรรเสริญ
เธอจงมองให้เห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ มันไม่มีอยู่จริง...
อีกไม่นานหรอก ลูกเอ๋ย.. สิ่งต่างๆทั้งหลายบนโลกนี้ มันก็จะแปรเปลี่ยนไป ตามกาลเวลา ตามยุค ตามสมัย
แต่เธอมาแล้ว ก็ทำหน้าที่แห่งตนให้ดี ประกาศธรรมให้ได้มากเท่าที่เธอจะทำได้.. แล้วเธอก็จะไม่เป็นทุกข์อะไร
ไม่ทุกข์เพราะว่าเธอนั้นไม่ได้สนใจ หรือมองอย่างอื่นเป็นเป้าหมายแห่งเธอ …
แต่เป้าหมายแห่งเธอ คือ “การเผยแผ่ธรรม” และก็ไม่ได้ยึดในการเผยแผ่นั้น
เมื่อหมดรอบแล้ว.. เธอก็ไปตามกาลเวลา
พระยาธรรมเอ๋ย.. เธออย่าสนใจเลยลูก ว่าจะมีใครเขาทำแบบไหน มีใครเขาชม หรือว่าติเตียนเธอ
เพราะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น..
** ไม่ได้มาเพื่อสั่งสอนให้ใครชื่นชม
** ไม่ได้สั่งสอน เพื่อให้ใครยกย่องหรือบูชา
ไม่ได้สั่งสอนอย่างอื่น นอกจากเพื่อให้คนเหล่านั้นได้พบกับความพ้นทุกข์...
นั่นคือ จุดมุ่งหมายของเราชาวพุทธ
นั่นคือ จุดมุ่งหมายของนักบวช
พระยาธรรมเอ๋ย.. นอกจากเธอแล้ว ที่มาทำหน้าที่เผยแผ่ธรรมในกึ่งศาสนานี้ เพื่อช่วยเหลือ /โปรดดวงจิตต่างๆ ให้ได้รู้แจ้งถึงการดับการเกิด เพื่อเขาเหล่านั้นได้พ้นทุกข์ ยังมีนักบวชอีกมากมาย ที่เขาเหล่านั้นก็มีหน้าที่แห่งตน ที่จะมาเผยแผ่ เผยแพร่ธรรมสำสั่งสอนเช่นเดียวกัน และคำสอนที่เราได้สอนแก่เธอไป -- ก็สามารถนำไปใช้ได้ > ในทุกกลุ่มของนักบวช ผู้ประพฤติดี ปฏิบัติดี
เธอจงนำธรรมนี้ไปเผยแผ่ให้แก่เขาเหล่านั้น ให้ได้ฟังตามเถิด ..
-- เพื่อเขาเหล่านั้นจะได้ไม่สับสน ไม่หลงอยู่ในจุดใด จุดหนึ่ง --
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. การที่เราเกิดมาอยู่ในศาสนาพุทธนี้ ไม่ว่าเราจะทำความดีด้วยอะไรก็ตาม เราก็ทำเพียงเพื่อให้เรานั้น เข้าถึงความพ้นทุกข์
ไม่ว่าเรานี้จะมีชื่อเสียงโด่งดัง จะมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย จะมีลาภสักการะมากเพียงใด หรือไม่มีเลยก็ตาม
-- เราก็แค่ทำไปเพื่อความพ้นทุกข์ --
จงจำไว้เช่นนี้เถิดลูก.. จะได้ไม่ไปติดอยู่ในลาภสักการะ หรือติดอยู่ในความดี ติดอยู่ในความชั่ว ติดอยู่ในสิ่งสมมุติทั้งหลาย.. เพื่อตัวของลูกนั้น
-- จะได้รู้ตัวตนของตน
-- จะได้เข้าถึงความพ้นทุกข์ได้ อย่างแท้จริง
ทำสิ่งใดก็ตาม เราเพียงแต่ทำเพื่อพ้นทุกข์ ไม่ได้ทำให้บุคคลผู้อื่น เขาเชื่อหรือไม่เชื่อ // ไม่ได้ทำเพื่อให้บุคคลผู้อื่นเขามานอบน้อมบูชาเรา เพียงแต่เรากำลังทำสิ่งที่จะทำให้เรา เข้าถึงการดับการเกิดได้ เท่านั้น.. ลูกเอ๋ย
แล้วเราจะได้รู้ว่า จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของเรานั้น คือ อะไร.. อยู่ที่ตรงไหน
การทำสิ่งใดไป.. จะได้ไม่ยึดติดในสิ่งที่ทำ /จะได้ไม่ติดอยู่แค่ตรงนั้น
พระยาธรรมเอ๋ย.. จงจำไว้เสมอเถิดลูกว่า การมาสอนสั่งธรรมของพระพุทธเจ้า สอนแค่ให้เรา *พ้นทุกข์* > ไม่มีจุดมุ่งหมายอื่นใด ...
เธอทั้งหลายที่เดินตาม.. ก็จงรู้สึกไว้เช่นนั้นเถิด !
+ +
http://phusawan.com/webboard/index.php?topic=1009.0
จุดมุ่งหมายการมาของพระยาธรรม
ธรรมะเปิดโลก วันที่ 17 กรกฎาคม 2558
ตอนที่ 90 **จุดมุ่งหมายการมาของพระยาธรรม**
เมื่อพระยาธรรมิกราชได้เข้าเฝ้าต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านได้ทรงแสดงธรรมกลับมา ดังนี้ว่า
ความทุกข์นำทางพระองค์พบแสงสว่าง รู้ตามความเป็นจริงว่า ..
**สรรพสิ่งในโลกนี้ เป็นสิ่งสมมุติ**
พระองค์รู้แจ้ง จึงได้สอนสั่งจิตทั้งหลายให้เดินตาม เพื่อพบแสงสว่าง ข้ามทะเลทุกข์
แต่แล้วพระองค์มีเวลาอยู่ในโลกนี้ไม่นาน ครบ 80 ชันษา ก็ดับลาจากโลกไป ดับขันธ์ปรินิพพาน
... เหลือแต่คำสอนสั่งทิ้งไว้ในโลก ให้มนุษย์ผู้รู้ได้เดินตาม
จากนั้นมาเนิ่นนาน ถึงเวลา 568 ปี จึงได้มีความเมตตา สร้างดวงจิตของพระยาธรรมให้บังเกิดมาเป็นนกน้อย อยู่ในนิพพาน
นกน้อยคอยเฝ้ารอบกายพระองค์ เกิดมาแล้วไม่รู้สุข-ทุกข์ เกิดมาแล้วไม่รู้โลกอื่น ไม่รู้สิ่งใด แต่ทำไมมีเทพผู้ใหญ่ พระโพธิสัตว์กวนอิม มีพ่อพระอินทร์มาเฝ้าบ่อยนัก มาทูลถามเรื่องนั้น จะแก้ไขอย่างไร // มาทูลถามเรื่องเรื่องนี้ จะทำเช่นไร
พระยาธรรมฟังแล้วก็ข้องใจ จึงได้นอบน้อมทูลถามองค์พระพุทธเจ้าให้เมตตา
โลกอื่นยังมีอีกหรือเจ้าคะ ? ทำไมถึงมีความทุกข์มากนัก ?
พระองค์จึงเมตตาบอกพระยาธรรม…
ลูกเอ๋ย.. โลกในจักรวาล ในวัฏสงสารนั้น มีจิตมากมาย ที่ยังจมอยู่ในการเวียนเกิดเวียนตาย เวียนทุกข์กาย ทุกข์ใจ มากมาย ลูกออกไปดูให้เข้าใจ.. ปรารถนาสิ่งใด ค่อยกลับมาเฝ้าทูลถาม
นกน้อยจึงได้บินด้วยพลังพุทธบารมี ออกมาตรวจดูวัฏสงสาร เห็นโลกนรก มีเปรต อสุรกายมีดวงจิตมากมายที่เป็นทุกข์...
โลกมนุษย์ก็เป็นทุกข์มากมาย ต้องเกิดแล้วตาย / ตายแล้วเกิด --ไม่รู้จบสิ้นเลย
พระยาธรรมสะเทือนใจ จึงได้กลับไปนอบน้อมแทบเท้าองค์พระบิดา องค์พระสัมมาว่า
"ลูกจะช่วยได้อย่างไรเจ้าคะ"
พระองค์จึงเมตตาส่งพระยาธรรมิกราช มาอุบัติอยู่ในเมืองสวรรค์ มาเป็นลูกเจ้าแม่กวนอิม - มาเป็นลูกพ่อพระอินทร์.. ออกมาเป็นลูกในโลกทิพย์ ได้มีการอุบัติมาเป็นเด็กน้อย เป็นโพธิสัตว์น้อยอยู่ในสวรรค์ชั้นฟ้า มีวิมานแก้วรองรับ อยู่โลกสวรรค์ ถึง 200 กว่าปีโลกมนุษย์ ..… แล้วก็ได้มีโอกาสดี ลงมาสู่โลกมนุษย์ เพื่อทำหน้าที่ของตน เพื่อทำหน้าที่...
/ มาช่วยคน
/ มาช่วยฉุดให้หลุดพ้นจากวัฏสงสาร
/ มาช่วยนำทางเข้าสู่พระนิพพาน
จึงได้มาอยู่ในกายเนื้อของสตรีผู้หนึ่ง ซึ่งไม่เคยรู้ศาสนาพุทธ คือ อะไร ท่องนะโม 3 จบ ก็ยังท่องไม่ได้ เป็นคนต้อยต่ำ เป็นเด็กป่า เด็กเขา ไม่รู้สิ่งใด แต่อยู่ๆ ก็ได้มาอยู่ในกาย จึงเกิดการเปิดโลก เปิดจักรวาล ให้ดวงจิตในกายนั้นได้เรียนรู้ศึกษาธรรม
จากนั้นมา จึงได้เดินทาง -- พระยาธรรม จึงนำกายเนื้อไปสร้างบุญสร้างบารมี เพื่อเปิดทางตน เพื่อเปิดทางของพระยาธรรม เพื่อเผยแผ่ธรรม
อยู่มาวันหนึ่งได้มีนิมิตจากเบื้องบน ให้ไปตามหาผู้คนที่จะมาสร้างบารมีร่วม ให้เดินทางไปที่อำเภอเชียงของ จะมีผู้มีบุญมีบารมี มาช่วยกลั่นช่วยกรอง ให้จิตนั้นเห็นทาง ให้เข้าใจ สว่างในพระธรรม จะได้นำไปเผยแผ่ให้แก่สัตว์โลกได้ฟัง จึงทำตาม เดินตามไปที่เชียงของ เพื่อตามหาผู้มีบารมี ผู้ที่จะเป็นครูบาอาจารย์ ช่วยแนะนำสอนสั่งตน
เมื่อไปแล้ว ก็พบกับหลวงพ่อมานิตย์ ผู้ใจบุญ จึงได้ให้โอกาสพระยาธรรมพิสูจน์ตน มีความสามารถเก่งกล้าในคุณงามความดี พิสูจน์กายของตนนี้ -บริสุทธิ์หลุดจากกิเลสตัณหา ไปสู่สติและปัญญาในธรรมที่สั่งนำมาเผยแผ่
ก็ได้ต่อบารมี ถึง 2 ปี จึงได้มีคำสอนสั่งจากองค์พระบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาเผยแผ่แก่โลกนี้
จึงได้รู้หน้าที่ตน -- การเกิดมาเป็นคนในคราวนี้ อุบัติบังเกิดมาด้วยพลังพุทธบารมีขององค์พระบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อมาในกึ่งศาสนา มาเป็นผู้แทนองค์ศาสดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า / เพื่อเผยแผ่ธรรมคำสอนสั่งในกึ่งศาสนานี้
จึงได้ทำหน้าที่ตนแต่ละวัน จึงได้น้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธเจ้า เพื่อนำธรรมมาเผยแผ่แก่ญาติบุญได้ฟังให้รู้แจ้ง เข้าใจตาม
**พระยาธรรม** บังเกิดขึ้นแล้ว ด้วยการพิสูจน์ตน ด้วยการวางการเกิดมาเป็นคน / ดับความทุกข์ในตน เข้าใจในการเกิดมาเป็นคน แล้วจึงนอบน้อมต่อธรรมของพระองค์ มาเผยแผ่แก่สัตว์โลกที่ยังเวียนวนทุกผู้ทุกคนให้ได้ฟัง
สร้างบารมีมาแล้ว ปีกว่าๆ ที่เผยแผ่ธรรม มีแม่ยวนใจ พร้อมด้วยลูกหลานบริวารที่อธิษฐานมาเนิ่นนาน เพื่อจะมาพบกันในกึ่งศาสนานี้-- จึงได้มอบถวายผืนนาที่ทำกิน ถวายผืนแผ่นดินแห่งนี้ ให้หลวงพ่อมานิตย์ผู้เป็นครู
ท่านจึงเมตตาให้พระยาธรรมมาเผยแผ่แก่ญาติบุญในที่แห่งนี้ เป็นจุดที่ 2..
จึงได้นำธรรมคำสอนสั่งมาเผยแผ่ให้แก่ญาติบุญ ญาติธรรมได้ฟัง
จงโปรดจิตเปิดใจรับฟัง เสียงธรรมที่นำมาแสดงนั้น **เป็นเสียงจากพระพุทธองค์ทรงเมตตาส่งผ่านมา**
*พระยาธรรม* เป็นเพียงเครื่องเสียงให้ญาติบุญญาติธรรม ได้ฟังพระพุทธองค์ท่านทรงเป็นผู้สั่งสอนธรรม พระยาธรรม แค่ทำตามคำสอนที่พระองค์ทรงเมตตา
จึงได้โอกาสดี ได้นำการก่อเกิดของพระยาธรรม นำมาชี้แจงให้ญาติบุญญาติธรรมได้เข้าใจ เพื่อจะได้เข้าถึงซึ่งพระธรรม..
-- วันนี้จึงได้นำคำขับร้องนี้มาแสดง --
สาธุ
+ +
ขอก้มกราบแด่องค์พระบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์หลวงพ่อสมปรารถนา ในสวนธรรมิกราช ขอก้มกราบนอบน้อมทั้งจิต กาย และใจ นอบน้อมถวาย…
วันนี้ ลูกได้เดินทางมาถึงจุดนัดหมายขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
วันนี้ ลูกได้เผยแผ่ธรรม ได้นำคำสั่งสอนสั่งของพระองค์ มาเผยแผ่แก่สัตว์โลก สามโลก จักรวาล ได้มาเปิดตำนานพระยาธรรมิกราช ตามที่องค์พระบิดาทรงเมตตาส่งลูกมา
ขอกราบนอบน้อมอัญเชิญญาณบารมี ของหลวงพ่อองค์แทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่องค์ปฐม จวบจนองค์ปัจจุบันนี้ ที่ได้มารวบรวมพลังพุทธบารมี อยู่ในหลวงพ่อสมปรารถนา -- ใน **แดนธรรมิกราช แห่งที่ 2**
เป็นดินแดนที่จะรองรับเสียงธรรมจากพระองค์ เพื่อเผยแผ่ให้แก่ญาติบุญญาติธรรมได้ฟังพร้อมกัน
ขอกราบนอบน้อมอัญเชิญพลังบารมี มาเปิดตำนานพระยาธรรมิกราช --ว่าเป็นใคร มาทำอะไรในกึ่งศาสนา
มาเพื่อจะโปรดญาติโยม ญาติธรรม ด้วยความเมตตา มาช่วยสร้างสะพานนิพพานให้ดวงจิต หรือว่ามาเพื่อสิ่งใด / เกิดมาจากที่ใด / เกิดมาทำไมในกึ่งศาสนานี้ --
เมื่อ 2600 ปี ที่ผ่านมา.. มีองค์พระพุทธเจ้าเสด็จมาในโลกใบนี้ เพื่อจะมาทำหน้าที่บอกทาง ชี้แสงสว่าง นำทางคนให้หลุด ให้พ้นจากทะเลทุกข์ / การว่ายการวนอยู่ในวัฏสงสาร
พระองค์ได้อุบัติมา แล้วเรียนรู้ความทุกข์บนโลก.. จนพบทาง
เปิดตำนานพระยาธรรมิกราช
ธรรมะจากพระพุทธเจ้า วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2559
ตอนที่ 193 **เปิดตำนานพระยาธรรมิกราช**
^* การก่อเกิดพระยาธรรม *^
สวัสดีค่ะ ญาติบุญทุกๆท่านผู้มีความตั้งใจดีที่จะฟังธรรม
วันนี้กวนอิมน้อยก็จะมีข่าวดีมาบอกกับญาติบุญทุกๆท่าน
บัดนี้ พระยาธรรมิกราชได้เกิดขึ้นแล้วบนโลกปฐพีนี้ และคงจะเป็นข่าวดีสำหรับทั้ง 3 โลก สวรรค์ มนุษย์ และบาดาล ที่จะได้ฟังธรรมจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยผ่านพระยาธรรมิกราชอีกครั้งหนึ่ง
ก่อนอื่นนั้นพวกเราก็คงจะเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระยาธรรมิกราช ที่จะเกิดขึ้นในรอบของกึ่งศาสนากันมามากมายแล้ว แต่ว่าพวกเราคงไม่มีใครรู้จักพระยาธรรมิกราชที่แท้จริงว่าพระยาธรรมนั้นก่อเกิดมาจากสิ่งใด และเกิดมาเพื่ออะไรกันแน่ ใครเป็นผู้ให้กำเนิด แล้วจะมาถ่ายทอดสภาวธรรมอย่างไรบ้าง
วันนี้กวนอิมน้อยจึงจะพาท่านผู้ฟังทุกๆท่าน ญาติบุญทั้งหลาย ผู้มีความตั้งใจดีที่จะฟังธรรมจากพระยาธรรมิกราช และแน่นอนว่าหากเราจะรับฟังธรรมจากใครซักคนหนึ่ง ก็ต้องรู้ที่มาและที่ไปของคนนั้นๆ หรือองค์นั้นๆ
วันนี้กวนอิมน้อยจึงได้เข้าเฝ้าต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อทูลถามถึงที่ไปที่มาของพระยาธรรมิกราช และหน้าที่ของพระยาธรรมที่จะต้องทำ และก่อเกิดมาเพื่อสิ่งใด …**
กวนอิมน้อยจึงจะชวนญาติบุญทุกๆท่าน ผู้ที่มีความตั้งใจดีที่จะฟังเรื่องราวของพระยาธรรมิกราช มาทำความรู้จักพระยาธรรมิกราชพร้อมๆกับกวนอิมน้อย ในรอบของการมาเข้าเฝ้าครั้งนี้ เมื่อกวนอิมน้อยได้ขึ้นมานอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระบิดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เจริญ กวนอิมน้อยจึงได้กราบนอบน้อมต่อแทบเท้าขององค์พระบิดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนี้ว่า
“ กวนอิมน้อยขอกราบนมัสการต่อองค์พระบิดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เจริญ พระเจ้าข้า วันนี้กวนอิมน้อยมีเรื่องที่ติดอยู่ในจิต จึงขึ้นมาเพื่อทูลถามต่อองค์พระศาสดา ถึงเรื่องราวของพระยาธรรมิกราชเจ้าค่ะ พระยาธรรมิกราชนี้ก่อเกิดมาจากสิ่งใดหรือเจ้าคะ”
เมื่อกวนอิมน้อยได้ทูลถามต่อพระองค์เช่นนั้นแล้ว พระองค์ท่านจึงเมตตาตอบกลับกวนอิมน้อยมาว่า
“ กวนอิมน้อยเจ้าจงฟังไว้ให้ดีนะลูก พระยาธรรมิกราชนี้ก่อเกิดมาจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ที่สำเร็จในการตรัสรู้ไปแล้วนั้น ต้องมีการสร้างพระยาธรรมิกราชขึ้นมา เพื่อรอรอบการที่จะมานำพระธรรมคำสอนมาเผยแผ่ในรอบของกึ่งศาสนา และพระยาธรรมิกราชนั้นมีหน้าที่ที่จะต้องทำ คือการนำคำสอนกลับไปเผยแผ่ ซึ่งในรอบศาสนาหนึ่งๆ ก็จะถูกจำกัดเวลาไว้ในรอบของ 5 พันปี และบัดนี้ก็เป็นรอบของกึ่งศาสนาแล้ว ผ่านมาแล้วทั้งหมดก็ราวๆ 2600 ปีได้
ทั้งหมดนี้จึงถึงเวลาอันควรแล้วแก่การก่อเกิดพระยาธรรมิกราช และพระยาธรรมิกราชนี้ก็ถูกสร้างมาจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ในแต่ละรอบของกึ่งศาสนา เช่นดังเจ้าเองก็เถิด เราได้สร้างเจ้ามาเพื่อเป็นพระยาธรรมิกราช นำข่าวสารไปสู่โลกมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์และสัตว์โลก จิตวิญญาณทั้งหลาย ได้ฟังธรรมจากเราอีกครั้งหนึ่ง พระยาธรรมิกราชที่ก่อเกิดเป็นเจ้านั้น เราได้ปลุกเสกขึ้นมาจากนกน้อยที่อยู่ในนิพพาน ส่งไปเรียนรู้กับ 3 โลก อยู่ที่โลกสวรรค์ และบัดนี้เจ้าก็ต้องลงไปทำหน้าที่ของตนบนโลกมนุษย์ โดยสื่อสภาวะธรรมโลกทิพย์ถ่ายทอดพระธรรมคำสอนจากเราไปสู่โลกมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์และจิตวิญญาณทั้งหลายได้ฟังธรรมจากเราโดยผ่านเจ้าไป "
เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เจริญท่านได้กล่าวกับหนูเช่นนั้นแล้ว หนูจึงทูลถามต่อพระองค์ท่านต่อไปอีกว่า “ข้าแต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เจริญ หากว่าเป็นเช่นนั้น หนู..กวนอิมน้อยก็เป็นพระยาธรรมิกราชพี่พระองค์สร้างมาใช่มั้ยล่ะเจ้าคะ แล้วถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้น ในหน้าที่ของพระยาธรรมิกราช จะต้องทำอะไรบ้าง หนูจะได้รู้หน้าที่ของตนพระเจ้าค่ะ”
เมื่อกวนอิมน้อยได้ทูลถามต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไปอย่างนั้น พระองค์ท่านจึงตอบกลับมาดังนี้ว่า
พระยาธรรมิกราชมีหน้าที่ขึ้นเข้าเฝ้าต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และต่อผู้ที่หลุดพ้นแล้วทุกพระองค์ พระอรหันต์ก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี และสามารถเข้าเฝ้าต่อโพธิสัตว์องค์ไหนๆก็ได้ เดินทางไปได้ทุกที่ ทุกมุม ทุกจิต ด้วยบารมีจากเรา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะหนุนนำกำลังให้
และหน้าที่หลักก็คือ การสื่อสภาวะธรรมเพื่อไปเผยแผ่ธรรมในรูปแบบใหม่ ที่ง่ายตามยุคตามสมัยของยุคนั้นๆ เช่น ในยุคนี้ก็ควรจะเป็นธรรมะที่ง่าย และธรรมะที่สอนด้วยคำพูดง่ายๆ โดยไม่จำเป็นต้องใช้คำศัพท์ยากๆ ที่ให้คนธรรมดาฟังแล้วก็เข้าใจ
ซึ่งการแสดงธรรมผ่านพระยาธรรมนั้นจะไม่ใช้คำศัพท์ที่ยาก และจะไม่แสดงซ้ำในพระคัมภีร์ เพราะพระคัมภีร์นั้นได้บันทึกเอาไว้อย่างดีแล้ว และในศีลข้อห้ามทั้งหลายก็ได้ทรงบัญญัติเอาไว้ดีอยู่แล้ว
แต่บัดนี้หน้าที่ของพระยาธรรมก็คือขึ้นเข้าเฝ้า และแสดงธรรมตามที่ตนได้ฟังธรรมนั้นเผยแผ่ออกไป นั่นคือหน้าที่ของพระยาธรรม
เมื่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเมตตาให้คำตอบดังนั้นกับกวนอิมน้อยแล้ว กวนอิมน้อยจึงได้ทูลถามต่อพระองค์ท่านต่อไปอีกว่า
ข้าแต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เจริญ บัดนี้กวนอิมน้อยก็ยังมีคำถามที่ติดอยู่ในใจอีกว่า เพราะเหตุใดล่ะเจ้าคะ พระองค์จึงเลือกให้หนูไปอยู่ในกายของสตรีซึ่งเป็นผู้หญิงธรรมดาคนนึงที่หากตามความเป็นจริงแล้วนั้น ผู้คนจะไม่ค่อยยอมนอบน้อมนับถือแก่สตรี แต่เพราะเหตุใดล่ะเจ้าคะพระองค์จึงเลือกให้หนูไปอยู่ในกายสังขารของสตรี เป็นผู้นำข่าวสารเผยแผ่ธรรมแทนพระองค์ หนูคิดว่าผู้คนคงจะไม่ยอมรับเท่ากับที่ไปอยู่ในกายของบุรุษ หนูจึงทูลถามเพื่อรู้คำตอบว่าเพราะเหตุใด เพื่อจะได้กระจ่างแจ้งแก่ผู้ที่มาฟังธรรมกับหนูด้วยพระเจ้าค่ะ”
เมื่อหนูได้ทูลถามต่อพระองค์ท่านไปเช่นนั้นแล้ว พระองค์ท่านจึงตอบกลับมาดังนี้ว่า …
“ กวนอิมน้อย เจ้าจงจำไว้ให้ดี อันสตรีนี้ถือเป็นผู้หญิงเก่งแห่งแผ่นดิน เจ้าจงจำไว้นะลูก ผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอ แต่มีความอดทนที่หนักแน่น และแท้ที่จริงหากขาดผู้หญิงไปแล้ว พระพุทธเจ้าก็ยังไม่มีแม้ที่จะเกิด เจ้าจงจำไว้ว่า แม้กระทั่งเรานี้หากขาดผู้ที่เป็นสตรี เราจะมีขึ้นมาได้อย่างไร ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นได้สมบูรณ์แบบ ก็เพราะมีสตรี มีผู้หญิง เพราะฉะนั้นผู้หญิงเป็นสิ่งที่ควรเทิดทูนบูชา และไม่ใช่สิ่งที่จะด้อยค่าไปกว่าผู้ชาย เพราะหากแผ่นดินขาดหาย สิ่งใดเล่าจะเป็นสิ่งที่จะจัดตั้งขึ้นทุกอย่างให้ก่อเกิดขึ้นมาให้สมบูรณ์ แผ่นดินก็เทียบเหมือนเป็นมารดา เป็นเพศหญิง เป็นสตรีผู้ที่มีความอดทน อุ้มชู ค้ำทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ ฉะนั้นทุกคนจึงควรที่จะให้เกียรติแก่สตรี เพราะสตรีนี้เปรียบเหมือนมารดาตน หากใครที่ไม่ให้เกียรติแม้กระทั่งมารดาของตนนั้นแล้ว จะเป็นคนดีก็ยังมิได้เลย อย่าว่าแต่จะเป็นคนใหญ่คนโต แม้จะขอเกิดแล้วนั้นก็ยังไม่ได้เกิด จงจำไว้เถิด กวนอิมน้อยเอ๋ย อันสตรีนี้มีค่ามากยิ่งกว่าสิ่งใด ควรเทิดทูนเอาไว้อยู่เหนือหัว เพราะมีสตรีจึงมีทุกอย่างเกิดขึ้น จึงเทิดทูนสตรีนั้นเป็นที่หนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างจึงจะสมบูรณ์ และเช่นเดียวกันในรอบที่เรานั้นได้สร้างบุญสร้างบารมีมาทุกภพทุกชาติ นับเป็นแสนภพแสนชาติคู่กับพระแม่พิมพาเจ้า ซึ่งเป็นคู่บุญคู่บารมี ที่หนุนนำกันมาทุกภพทุกชาติ นั่นก็เพราะมีสตรีหนุนนำบารมี เราจึงได้สร้างบุญบารมีและสำเร็จธรรมในที่สุด
ฉะนั้นเจ้าจงจำไว้เถิด ไม่ว่าจะเกิดเป็นบุรุษหรือสตรี แค่ทำดีเท่านั้นก็เพียงพอ คนเรานี้จะสำคัญหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่เพศหรือสิ่งใด อยู่ที่ใจในการทำดี ต่อจากนี้ให้สตรีมีสิทธิ์ที่จะเป็นผู้ที่หลุดพ้นในจิตได้ เราจึงเลือกให้เจ้ามาเป็นกายของสตรี เพื่อเชิดชูหนุนนำความดีให้สตรีตลอดไป ทุกคนจงจำไว้ ไม่ใช่แค่เป็นเพศชาย ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน เพียงแค่น้อมนำพระธรรมคำสอนไว้ในจิตให้สนิทอยู่ในใจ ให้คลายจากความทุกข์ ให้จิตนั้นบริสุทธิ์ จึงจะเป็นผู้ที่มีความดีและควรแก่การนอบน้อมบูชา
เมื่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้กล่าวเช่นนั้นกับหนูแล้ว หนูจึงกราบนอบน้อมต่อพระองค์ท่าน พร้อมทั้งทูลถามต่อไปอีกว่า
“ ข้าแต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เจริญ กวนอิมน้อยยังไม่เข้าใจอีกว่าเพราะอะไรพระองค์จึงเลือกที่จะมาอยู่ในกายสังขารที่ไม่มีการศึกษาเล่าเรียน และถ้าเทียบกับทางโลก ก็เหมือนคนโง่ดีๆ นี่เอง ซึ่งกวนอิมน้อยรู้สึกว่า หากผู้ที่จะมาฟังธรรม เป็นผู้ที่เรียนจบสูงๆมา มีการศึกษาสูงๆ เขาจะยอมรับได้ยังไง แล้วเพราะอะไรพระองค์จึงเลือกมาอยู่ในกายที่ไร้การศึกษาทางโลกเช่นนี้ กวนอิมน้อยไม่เข้าใจเจ้าค่ะ จึงได้ขึ้นมาทูลถามต่อองค์พระบิดา เพื่อกระจ่างแจ้งแก่จิตของกวนอิมน้อย และผู้ที่จะน้อมเข้ามาฟังธรรมจากลูกพระเจ้าค่ะ”
เมื่อกวนอิมน้อยได้ทูลถามเช่นนั้นต่อองค์พระบิดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ท่านจึงเมตตาตอบกลับหนูมาเช่นนี้ว่า
“ จงจำไว้ให้ดีนะลูก คนเรานี้หากมีการศึกษาที่สูงศักดิ์ และเรียนรู้มาเต็มอัตรา ก็เหมือนกระดาษที่ขีดเขียนเต็มไปด้วยลวดลาย อย่าว่าแต่จะเติมสิ่งใหม่เข้าไปเลย แม้มองไปก็เห็นแต่ความว้าวุ่น
หากคนที่ไม่มีความรู้หนักแน่นทางโลกเต็มอยู่ ก็เหมือนกระดาษขาวที่จะวาดสิ่งใดลงไปก็ได้ ตามสิ่งที่เราปรารถนาจะวาดลวดลายนั้น และหากวาดไปก็จะสวยงามตามที่เราวางเอาไว้
และยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่พระบิดาเราได้เลือกกายนี้ที่ไร้ซึ่งความรู้ทางโลก ไร้การศึกษาที่สูงศักดิ์ ก็เพราะว่ายังมีผู้คนอีกมากมายที่ขาดการศึกษา เราจึงปรารถนาที่จะเลือกในกายนี้เพื่อให้กอบกู้สร้างตำนานคนดีได้โดยไร้การศึกษา สำเร็จธรรมได้ไม่จำเป็นต้องร่ำเรียนให้สูงศักดิ์ จึงจะเป็นกำลังใจให้กับผู้คนเหล่านั้น
เจ้าจงตั้งใจสร้างความดี ให้ก่อเกิดตำนานนี้ ดึงจิตใจของผู้ที่รู้สึกว่าตนนั้นด้อยความรู้ การศึกษาทางโลก มันกลับตรงข้ามกันเสียอีกหากคนเราที่มีการศึกษา ร่ำเรียนมามากมาย ก็มักจะมีมานะทิฐิของตนว่า ฉันเก่งแล้ว ฉันเรียนมาตั้งสูง เหมือนนั่งอยู่บนบัลลังก์ จึงไม่อาจน้อมลงมาเพื่อกระทำสิ่งใดๆได้ จึงมีโอกาสน้อยที่จะสำเร็จธรรมได้
จำไว้นะลูก ไม่มีใครหรอกที่จะสำเร็จธรรมในกายของผู้ที่ร่ำเรียนจนสำเร็จจิตในทางโลก สำเร็จการศึกษาทางโลก
ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นกลับตรงข้ามกันเสียอีก ต้องปล่อยวางทุกอย่างที่ร่ำเรียนมา
อย่าแบกมันไว้ วางไว้ แล้วหยิบกระดาษใหม่ขึ้นมาเรียนรู้เรื่องธรรมะใหม่
จึงจะเข้าใจ เข้าถึงในจิตอย่างแท้จริง ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับการศึกษา
ทุกสิ่งทุกอย่างผู้ที่จะหลุดพ้นได้นั้นอยู่ที่จิตของตน อยู่ที่การกระทำ
อยู่ที่ว่าเรานั้นจะน้อมนำได้เท่าไหร่
อันทรัพย์สินทางโลกนั้น ยิ่งมีมากมายเท่าไหร่ ก็ยิ่งกีดกันตนให้ห่างจากความหลุดพ้น ต่างกันเสียอีก ผู้ที่จะสำเร็จธรรม ต้องสลัดทุกสิ่งทุกอย่างเอาทิ้งไว้แล้วจึงจะสำเร็จได้อยู่ในจิต นี่จึงเป็นสาเหตุที่องค์พระบิดาได้เลือกในกายของผู้ที่ไม่มีการศึกษาทางโลกที่สูงศักดิ์
เจ้าจงตั้งใจทำงานในหน้าที่ของตนเถิด อย่ามัวแต่คิดน้อยนิดน้อยใจ จงหมั่นทำในสิ่งที่ตนนั้นควรกระทำเถิด เจ้าจะเกิดสิ่งประเสริฐอยู่ในตน เกิดเป็นคนต้องสร้างตำนานขึ้นมาให้ดีงาม เพื่อจะได้เป็นสิ่งหนุนนำดวงจิตอื่นให้หลุดพ้นดังเช่นเจ้านั้นเถิด
เมื่อองค์พระบิดาท่านได้ทรงกล่าวตอบกลับมาดังเช่นนั้นกับกวนอิมน้อยแล้ว กวนอิมน้อยจึงนอบน้อมต่อพระองค์และทูลถามต่อไปว่า
“ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ในฐานะที่ข้าพระพุทธเจ้ามีหน้าที่ที่จะต้องเผยแผ่ธรรม เป็นพระยาธรรมิกราช ข้าพระพุทธเจ้าควรจะมีข้อปฏิบัติอย่างไรบ้างล่ะเจ้าคะ ที่จะทำให้ข้าพระพุทธเจ้านั้นได้เข้าถึงธรรม และได้นำดวงจิตอื่นๆให้ได้หลุดพ้นอย่างแท้จริงล่ะเจ้าค่ะ”
เมื่อกวนอิมน้อยได้ทูลถามต่อพระองค์เช่นนั้นแล้ว พระองค์จึงตอบกลับมาดังนี้ว่า
“พระยาธรรมิกราช เจ้าจงจำไว้ให้ขึ้นใจ จากวันนี้ไปเจ้าจงทำหน้าที่ให้ดี ก่อนที่เจ้าจะนำคำสอนประกาศออกไปนั้น จงมั่นใจเสียก่อนว่าคำสอนนั้นเป็นจริงหรือไม่ และก่อนที่เจ้าจะพูดอะไรไป ให้จำไว้ขึ้นใจว่าตนนั้นต้องไม่สับสนในสิ่งที่ประกาศ และจงจำไว้ว่าทุกคำสอนจะมาจากเรา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้หนุนนำคำสอนผ่านเจ้าไป จะไม่มีคำสอนใดเป็นของตนเอง เจ้ามีหน้าที่เป็นผู้เผยแผ่และแนะนำ เจ้าได้ฟังสิ่งใดกับเราแล้ว จงนำธรรมนั้นไปแสดงเถิด
ทุกสิ่งทุกอย่างจะมาจากเรา เจ้าเป็นเพียงผู้ถ่ายทอด และหน้าที่ของเจ้า คือ จงตั้งใจในสิ่งที่ตนรับฟังให้ดี หากการเผยแผ่ออกไปผิดเพี้ยน หรือบกพร่องนั้น จะส่งผลมาถึงเราด้วย และจะทำให้เจ้านั้นเดือดร้อน เจ้าจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสดับฟังธรรมจากเราให้เข้าใจในทุกคำ และทุกครั้งหากมีคำถามมาจากใคร ห้ามมิให้เจ้าตอบไปแบบไม่ได้คิด ไม่ได้เฝ้า ไม่ได้ถาม.. เพราะมันจะทำให้เจ้านั้นกล่าววาจาที่ผิดไป เหมือนคนบอกทางแบบไม่แน่ใจ จึงชี้ทางคนอื่นให้ผิดไป
เจ้าจงจำไว้ว่า เจ้าเป็นผู้นำทาง ต้องแน่ใจแก่การบอกจึงจะชี้ออกไป เข้าใจมั้ย.. และสิ่งที่เจ้าต้องทำอีกก็คือ เจ้าต้องรักและเอ็นดู เมตตาญาติธรรมที่มีความตั้งใจดีที่มาฟังธรรมจากเจ้า เหมือนดังเป็นญาติมิตรสนิทมาหลายภพหลายชาติ
นั่นคือ เจ้าจึงสำเร็จในผลงาน เจ้าจงจำไว้ให้ดี ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เจ้าจะต้องทำ
เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้เมตตาบอกกับกวนอิมน้อยเช่นนั้นแล้ว กวนอิมน้อยจึงได้ทูลถามพระองค์ท่านต่อไปอีกว่า
“ ข้าแต่องค์พระศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กวนอิมน้อยไม่ถนัดในการพูดไทยและคำศัพท์ยากๆ แล้วกวนอิมน้อยจะแสดงธรรมได้ยังไงล่ะเจ้าคะ”
เมื่อกวนอิมน้อยได้ทูลถามต่อพระองค์ไปเช่นนั้นแล้ว พระองค์ท่านจึงได้ตอบกลับมาเช่นนี้ว่า
“เจ้าจงจำไว้ให้ดีเถิด ในรอบนี้จะแสดงธรรมตามยุคตามสมัย เราจะใช้คำพูดที่ง่าย ไม่ได้ต้องใช้คำพูดคำศัพท์ยากๆ เช่นในพระคัมภีร์ ในยุคนั้นมีการใช้คำศัพท์ที่ยากเพราะว่าเป็นยุคที่ยังมีเจ้า มีเวียงวัง มีสิ่งที่ต้องใช้คำศัพท์ยากๆ แต่ในยุคนี้คำพูด การพูด ทุกสิ่งทุกอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
การสอนธรรมก็จะใช้คำพูดที่ง่าย ฟังแล้วได้ใจความ ฟังแล้วเข้าใจ ไม่ยากเกินสำหรับผู้ที่จะฟังธรรม เพราะฉะนั้นเจ้าจงนำคำพูดง่ายๆ เข้าใจได้ไม่ยากไปแสดงธรรมเถิด ไม่มีความผิดประการใดแก่เจ้าหรอก”
... เมื่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้กล่าวเช่นนั้นกับกวนอิมน้อยแล้ว กวนอิมน้อยจึงได้เข้าใจกระจ่างแจ้งถึงเรื่องราวพระยาธรรมิกราช ผู้ที่จะมาเผยแผ่ธรรม
... วันนี้กวนอิมน้อยจึงได้มาเผยแผ่เรื่องราวของพระยาธรรมิกราช ให้กับญาติธรรมผู้มีความตั้งใจดีที่จะฟังธรรมทุกท่าน พวกเราทุกคนหลังจากที่เราได้รับฟังเรื่องราวความไปมาของพระยาธรรมนี้แล้ว คงจะเข้าใจกันแล้วว่าพระยาธรรมิกราชก่อเกิดมาจากไหน ก่อเกิดมาเพื่ออะไร มีหน้าที่อะไร…
... และในวันนี้เอง กวนอิมน้อยก็ได้รู้เรื่องราวของพระยาธรรมิกราช หลังจากที่ได้เดินทางสร้างบารมีมาหลายปี กวนอิมน้อยเพิ่งจะรู้เหมือนกันว่าตนนั้นจะต้องทำหน้าที่ของพระยาธรรมิกราชเผยแผ่ธรรม จึงเป็นโอกาสดีที่หนูจะได้มานำเสนอเรื่องราวการก่อเกิดของพระยาธรรม มาให้ญาติบุญผู้มีจิตใจ ความตั้งใจดีจะฟังธรรมทั้งหลายได้ฟังกัน หากใครทีปรารถนาจะฟังธรรมจากกวนอิมน้อย หรือพระยาธรรมิกราช ก็ติดตามฟังในตอนต่อไปได้นะจ๊ะ
สวัสดีค่ะ
http://phusawan.com/
http://phusawan.com/webboard/index.php?topic=1011.0
** เมื่อมีผู้มาทดสอบพระยาธรรม **
ถือว่าเป็นโอกาสดีมากวันหนึ่ง ที่ข้าพระพุทธเจ้าและท่านทุกๆคน ที่พวกเราก็ได้ฟังธรรม เรียนรู้ธรรมะมาเป็นเวลาประมาณราวๆ 10 กว่าวันแล้ว แล้วก็วันนี้เกิดข้อสงสัยอยู่ในจิตของข้าพระพุทธเจ้าเอง ซึ่งในขณะที่ข้าพระพุทธเจ้าสงสัยก็คงจะมีหลายๆคนในที่นี้ ที่ก็แอบสงสัยเหมือนที่ข้าพระพุทธเจ้าสงสัยเช่นเดียวกัน
วันนี้ข้าพระพุทธเจ้าจึงจะขอขึ้นเข้าเฝ้าต่อองค์พระบิดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อนอบน้อมทูลถามถึงคำถาม สิ่งที่ติดขัดอยู่ในใจของข้าพระพุทธเจ้า และคงจะติดอยู่ในใจของบางคน ที่มีข้อสงสัยเหมือนกันกับข้าพระพุทธเจ้าที่สงสัยอยู่ ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบเข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระบิดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เจริญ
“ ข้าแต่องค์พระบิดาพระเจ้าค่ะ บัดนี้ลูกได้เกิดความสงสัยขึ้นมาในจิตนี้ว่า ในกายที่พระองค์ให้ลูกมาอยู่นี้ ไม่ได้มีการเตรียมการเล่าเรียนศึกษาทางธรรมะมาเลย แม้กระทั่งพระคัมภีร์ หรือศีลข้อต่างๆ สิ่งใดที่ควรทำ ไม่ควรทำของนักบวช พระคัมภีร์ก่อเกิดมาแต่ใด และมีอะไรบ้างที่ทรงได้บัญญัติเอาไว้ทั้งหมด
และข้าพระพุทธเจ้าเองในกายของสตรีนี้ ยังขาดการอ่านหนังสือ ที่จะเล่าเรียนเพื่อให้ก่อเกิดความจำ หรือรู้ในพระธรรมคำสอนที่ได้ทรงบันทึกเอาไว้แล้วนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงเกิดข้อสงสัยในใจขึ้นมาว่า หากแต่ข้าพระพุทธเจ้าประกาศคำสอนของพระองค์ออกไปแล้วนั้น เมื่อได้ประกาศออกไป แน่ใจว่า จะต้องคนที่คิดหรือจะต้องมาทดสอบข้าพระพุทธเจ้า ในทุกรูปแบบ
แต่ในรูปแบบที่ข้าพระพุทธเจ้าได้ข้องใจ และติดอยู่ในใจของข้าพระพุทธเจ้าจะทรงแก้ไข หรือว่าจะตอบแก่เขาเหล่านั้นว่าอย่างไร เมื่อหากคนใดคนหนึ่งมาถามแก่ข้าพระพุทธเจ้า ถึงเรื่องพระคัมภีร์ หรือคำศัพท์ที่แปลมาจากภาษาบาลีทั้งหลาย ซึ่งข้าพระพุทธเจ้านั้น ปัจจุบันนี้ไม่มีความจำอะไรที่จะไปจำอะไรได้เลย แม้แต่กาลเวลาที่ผ่านไปแล้ว หรือเรื่องราวที่ผ่านไปแล้ว ส่วนต่างๆที่ผ่านเข้ามาและผ่านไป ข้าพระพุทธเจ้าจะจำอะไรไม่ได้เลย หรืออาจจะจำได้บ้างก็น้อยมาก และหากจะไปเล่าเรียนศึกษาใหม่ ก็คงจะไม่มีความจำอะไรที่จะมาเก็บข้อมูลทั้งหลายนั้นเอาไว้ เพื่อตอบกับผู้คนเหล่านั้น ที่จะผ่านเข้ามาเพื่อทดสอบข้าพระพุทธเจ้าก็ดี ในการที่จะมาสอบภาษาบาลี พระธรรมคำสอนที่พระองค์ทรงบัญญัติเอาไว้แล้วนั้น เมื่อข้าพระพุทธเจ้าพบเจอเหตุการณ์เช่นนั้น ข้าพระพุทธเจ้าควรที่จะกล่าว หรือแก้ไขปัญหานั้นได้อย่างไร ?
หากเขาผู้นั้นถามข้าพระพุทธเจ้า เช่นว่า ถ้าข้าพระพุทธเจ้าเข้าเฝ้าต่อพระองค์ได้จริง ข้าพระพุทธเจ้าย่อมต้องรู้ว่ามันคืออะไร นั่นคือสิ่งใด แล้วข้าพระพุทธเจ้าจะมีคำตอบเช่นไร ในเมื่อส่วนหนึ่งของกายมนุษย์ที่ข้าพระพุทธเจ้าได้รับมานั้น ได้รับสัญญาณหรือเข้าเฝ้าต่อพระองค์ได้เฉพาะบางเรื่องที่พระองค์ทรงเมตตาแก่ข้าพระพุทธเจ้า แล้วข้าพระพุทธเจ้าจะทำเช่นไรล่ะพระเจ้าค่ะ “
“ พระยาธรรมเอ๋ย เมื่อคำถามของเจ้านั้นได้ทูลถามขึ้นมาแล้ว คำตอบในส่วนหนึ่งก็อยู่ในคำถามนั้น เพราะเราจะให้พระธรรมคำสอนแก่เจ้าเพียงเท่าที่เราปรารถนาจะให้เจ้าเป็นผู้เผยแผ่ และการที่เจ้าไม่ได้มีความรู้ เล่าเรียนมาในตำรา ศึกษามามากมายนั้น เจ้าอย่าเป็นห่วงเลย ทุกสิ่งทุกอย่างจะมีการวางแบบ และจัดเอาไว้ให้เจ้าทั้งหมดแล้ว ไม่ว่าเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า หรือเจ้าจะพบเจอกับสิ่งใด ขอเพียงให้เจ้าตั้งใจภาวนา และทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีที่สุด ตามแบบอย่างของเจ้าที่ควรจะกระทำ ทุกอย่างนั้น เบื้องบนได้ลิขิตเอาไว้หมดแล้ว แม้แต่ผู้ที่จะเข้ามาสอบเจ้า ก็คือ ผู้ที่ถูกลิขิตเอาไว้แล้ว
ฉะนั้น เจ้าจงอย่าพะวงและนึกถึงสิ่งใดเลย นอกจากทำหน้าที่ของเจ้าในวันนี้ให้ดีที่สุด ตนมีหน้าที่อะไรก็จงตั้งใจทำไป ทุกสิ่งทุกอย่างจะมีการจัดเอาไว้ทั้งหมด เจ้าจงเชื่อเถิดว่า คนที่ทำความดี บริสุทธิ์ ย่อมที่จะมีทางออกได้ ในที่สุด คนที่ไม่ปรารถนาดี มีจิตอิจฉาริษยา มีความอยากรู้อยากลอง จิตนั้นย่อมพ่ายแพ้ต่อความบริสุทธิ์ของเจ้า เจ้าจงแสดงให้มนุษย์ได้เห็นเถิด ความบริสุทธิ์ย่อมที่จะชนะได้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นจริง
หากเช่นนั้นวันนี้เราจะแสดงธรรมะหนึ่งแก่เจ้า หากมีคนผ่านเข้ามา และถามถึงพระธรรมคำสอน หรือพระคัมภีร์ที่ถูกบัญญัติเอาไว้แล้วแก่เจ้า และยังตอบหรือบอกกับเจ้าอีกว่า ถ้าท่านเข้าเฝ้าองค์พระบิดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้จริง ท่านย่อมรู้ว่านี่คือสิ่งใด เราก็จะจัดสรร และให้คำตอบแก่เขาเองดังนี้ว่า
ท่านเรียนรู้ในพระคัมภีร์มา ศึกษาในพระธรรมคำสอนที่ถูกบันทึก บัญญัติเอาไว้ตั้ง 2 พันกว่าปีแล้ว มนุษย์ผู้ใดคือคนที่เขียนเอาไว้ บันทึกเอาไว้ ท่านรู้จักเขาหรือไม่
ท่านเคยเห็นพระพุทธเจ้าหรือไม่ ท่านเคยได้ฟังคำสอนจากพระองค์เองหรือไม่
แล้วเพราะเหตุใดท่านจึงเชื่อว่า คำสอนเหล่านี้มาจากพระพุทธเจ้าจริง
และเพราะเหตุใดท่านจึงตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ในส่วนที่ได้บัญญัติเอาไว้แล้ว มานานกว่า 2 พันกว่าปี ทุกสิ่งทุกอย่างจะมีค่าแก่เรา หากว่าความเชื่อของเรานั้น เชื่อว่ามันเป็นจริง ดังเช่นท่านเองที่ศึกษาเล่าเรียนพระคัมภีร์มา ไม่ว่าจะมีคำสอนเยอะเท่าไหร่ จะมีกี่บท กี่เนื้อหา ท่านก็จะจำเอาไว้ทั้งหมด เพราะท่านมีแค่พลังความศรัทธา ว่านั่นคือสิ่งที่ดี และนั่นคือ คำสอนของเรา นั่นคือ สิ่งที่ถูกบัญญัติเอาไว้ดีอยู่แล้ว
ดังเช่นวันนี้ หากท่านหยิบก้อนหินขึ้นมาสักก้อนหนึ่ง หากท่านเห็นว่ามีค่า มันก็จะมีค่ากับท่าน และหากท่านเห็นว่ามันไม่มีค่า มันก็จะไม่มีค่ากับท่าน ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับคุณค่าทางจิตใจ คนเราถ้าเห็นทรัพย์สินเงินทอง เป็นสิ่งมีค่า ก็จะยอมทำได้ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อมัน แต่หากเป็นผู้มีสติปัญญาที่อยู่เหนือมันได้แล้วนั้น ย่อมเห็นมันเป็นเพียงแค่ก้อนหิน ยิ่งกว่านั้น ยิ่งเห็นมันก็ยิ่งที่จะมองข้ามไป ยิ่งเห็นความทุกข์ และไม่ปรารถนาที่จะมีมันด้วยซ้ำไป
หากท่านเป็นผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนธรรมะมา และจำพระธรรมคำสอนได้ในทุกคำแปลทุกคำ ฉะนั้นในคำสอนของเราไม่เคยสอนแก่ใคร เพื่อให้ไปทดสอบใคร หรือให้ไปลองกับใคร นอกจากให้ใช้สติปัญญาพิจารณาในส่วนที่ได้รับมานั้น ว่าถูกต้องหรือไม่ นี่คือคำสอนของเรา** ที่ได้สอนเอาไว้ให้ดูตัวเอง ไม่ให้ดูผู้อื่น ให้กระทำให้ดี ไม่ให้เบียดเบียนผู้อื่น**
แล้วคำสอนที่พระยาธรรมได้สอนสั่งไปนั้น มีคำสอนใดเล่าที่ผิดกับพระคัมภีร์ แล้วท่านเองปรารถนาสิ่งใดเล่า หากท่านมีศรัทธา ไม่ว่าจะเป็นคำสอนของเราจริงหรือไม่ ท่านก็จะเป็นสุขและนำคำสอนนั้น ไปใช้ในชีวิตของท่าน เพราะเป็นคำสอนที่ไม่ได้ผิดสิ่งใด แต่หากท่านกระทำเช่นนั้นแล้ว ท่านยังมั่นใจหรือเปล่า ว่าท่านยังเป็นคนของเราอยู่หรือไม่ ท่านจงมองดูตัวเองเถิด และอย่าสร้างความทุกข์ การเบียดเบียน ด้วยการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อย่าสร้างกรรมโดยตัวนั้นไม่ได้รู้ว่า สิ่งใดเป็นจริงแท้และแน่นอนหรือไม่ การที่คนจะพิสูจน์ได้ว่าจริงหรือไม่ที่เราบัญญัติเอาไว้ในพระคัมภีร์ ก็คือ ** ผู้ปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง **
หากท่านปรารถนาจะทราบว่าจริงหรือไม่ ก็ให้ท่านลองปฏิบัติตามดู เพื่อรู้และพิสูจน์ว่านั่นจริงหรือไม่ นี่จะเป็นคำตอบแรกที่เราจะแสดงแก่เขานั้น และให้ปัญญาแก่เขานั้น
พระยาธรรมเอ๋ย ลูกจงอย่าคิดมากเลย ลูกจงปล่อยวางเถิด สรรพสิ่งแล้วไม่มีเหนือเกินกว่าผู้ที่หลุดพ้นแล้วนั้น หากว่าเราไม่ใช่องค์แทน ไม่ใช่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง สรรพสิ่งที่ก่อเกิดมาจากสติปัญญา จะไม่บังเกิดแก่เจ้าเพื่อสั่งสอนธรรมแก่สัตว์โลกหรอก
พระยาธรรมเอ๋ย เจ้าจงจำธรรมนี้ไว้ให้ดี และสั่งสอนธรรมนี้แก่มนุษย์ทั้งหลายเถิด ผู้ใดที่เดินตามคำสอนของเรา ตั้งแต่การที่บัญญัติเอาไว้ในสมัยที่เราอุบัติขึ้นมาตรัสรู้ และได้ปฏิบัติตามการสอนสั่งของการเดินทางสายกลางนั้น ย่อมเป็นผู้ไม่หลงทาง
การเดินทางเข้าสู่พระนิพพาน อาจมีเส้นทางหลายทาง บ้างก็สะดวกเดินอีกทางหนึ่ง
บ้างก็ชอบไปอีกทางหนึ่ง สุดแล้วแต่ภูมิจิตของแต่ละคนจะเลือก
แต่ท้ายที่สุด ก็คือ ทำให้ตนนั้นหลุดพ้นจากความทุกข์ได้อย่างแท้จริง
และทุกคนที่มีจิตตั้งมั่นในคุณงามความดี สร้างตนนั้นขึ้นมาจากความบริสุทธิ์ใจ
ไม่ได้คิดร้ายทำลายใคร ไม่ได้อิจฉาริษยาสร้างไปด้วยความอยากได้ อยากมี อยากเป็น แข่งขันทั้งหลายนั้น
ท่านทั้งหลายจงมั่นใจเถิด ความดีของท่านจะคุ้มครองท่าน บารมีของเราจะคุ้มครองท่าน ไม่ว่าท่านจะพบหรือเจอกับเหตุการณ์แบบไหน ฉุกเฉินขนาดไหน ย่อมจะมีทางออกแก่ท่าน ไม่มีสิ่งใดจะชนะความบริสุทธิ์ได้
เพราะความบริสุทธิ์นั้น คือ ความว่างเปล่า และอยู่กับฟ้า ดิน ลม อากาศ อยู่ในทุกแห่งหน เมื่อท่านเป็นผู้บริสุทธิแล้ว ท่านย่อมจะชนะกับทุกสิ่งทุกอย่าง
ดังเช่นวันนี้เราได้ให้พระยาธรรม ถือหินขาวๆไว้ในมือเม็ดหนึ่ง ซึ่งถูกปลุกเสกขึ้นมาให้เป็นพระธาตุส่วนหนึ่งของกายเรา แต่จะมีคุณค่าได้อย่างไรเล่า ถ้าเราไม่เชื่อว่า นั่นคือพระธาตุที่ปลุกเสกเพื่อก่อเกิดเป็นพระธาตุของเรา
หากคนที่มีค่าทางจิตใจ ก็จะกราบไหว้บูชา และนอบน้อมเป็นอย่างดี แต่หากคนที่ไม่ได้ตั้งให้มีคุณค่าทางจิตใจ ก็จะมองเห็นเป็นเพียงแค่ก้อนหินขาวๆ ก้อนหนึ่ง ที่ได้หล่อแล้วก็นำมาวางไว้ แม้กระทั่งองค์พระพุทธรูปที่ถูกหล่อมาเป็นรูปปั้นของเรา วางไว้ตามจุดต่างๆ คนที่ไม่มีพลังความศรัทธา ยังไม่ยกมือไหว้แม้แต่สักครั้งหนึ่ง
.... สรรพสิ่ง ขึ้นอยู่กับจิตใจของเรา และทุกอย่างจะพิสูจน์ได้ ก็ต่อเมื่อเราพิสูจน์ได้ด้วยตัวของเราเอง นั่นจึงจะเป็นสิ่งที่บอกแก่เราว่า จริง และควรประกาศแก่ผู้อื่น
พระยาธรรมเอ๋ย เจ้าจงสั่งสอนธรรมแก่เขาเหล่านั้น ดังนี้เถิด เพื่อเป็นแรงกำลังใจให้แก่ลูกๆของเราทุกคน เพื่อให้มีกำลังใจ พลังใจในการสร้าง บำเพ็ญภาวนา สร้างบุญบารมี กุศลทาน ต่อจากนี้ไป ให้ก่อเกิดความอุดมสมบูรณ์ อยู่ในศาสนา และดึงดวงจิตทุกดวง ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ ด้วยตัวของเจ้าเถิด “
" ข้าพระพุทธเจ้าจะขอกราบนอบน้อม ต่อองค์พระบิดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อทูลถามถึงข้อข้องใจอีกข้อหนึ่งพระเจ้าค่ะ เพราะเหตุใดล่ะพระเจ้าคะ พระองค์ถึงสร้างหนูมาเป็นเด็ก แล้วก็พูดไม่ชัด แล้วก็ชอบซน แล้วก็ชอบเล่นตามประสาเด็กๆ แทนที่จะเป็นการสร้างให้หนูเป็นคนเรียบร้อย พูดน้อยๆ มีมารยาทดี เพราะเหตุใดล่ะเจ้าคะ หนูรู้สึกว่า มันเปลี่ยนแปลงยากเหลือเกิน หนูทำไม่ได้เลย และหนูจะทำยังไงล่ะเจ้าคะ เพื่อให้หนูเลิกนิสัยเล่นตามประสาเด็กของหนูได้เสียที และเพราะเหตุอันใดพระองค์จึงได้สร้างหนูมาเป็นแบบนี้ล่ะเจ้าคะ “
“ พระยาธรรมเอ๋ย เจ้าจงฟังไว้ให้ดีเถอะลูก เด็กก็คือเด็ก แต่เด็กนั้นไม่มีพิษมีภัยแก่ใคร เด็กคือผู้บริสุทธิ์ เด็กคือ สิ่งที่ใครเห็นก็รัก และชอบ เอ็นดูในส่วนที่เป็นเด็ก เจ้าจงตัดกิเลสของเจ้าให้หมดเสียเถิด สิ่งที่ไม่น่าเข้าใกล้นั้น คือ กิเลสตัณหา ที่ยังหนาแน่นอยู่ต่างหากล่ะลูก ไม่ใช่นิสัยเด็กที่เล่นซนตามประสาเด็กหรอกลูก ใครว่าการเป็นคนเรียบร้อยนั้นจะเป็นสิ่งที่ดีไปทั้งหมด กลับทำให้อึดอัด และอยู่ใกล้รู้สึกไม่สบาย จะต้องวางตัวให้เป็นในแบบนั้นแบบนี้
ฉะนั้นเราจึงสร้างเจ้ามาให้เป็นคนง่ายๆ อยู่ง่าย กินง่าย ทำอะไรสบาย อยู่กับใครก็ได้ นิสัยร่าเริงแจ่มใส เล่นตามประสาเด็ก ไม่มีตัวตน ไม่มีมานะทิฐิ ไม่มีส่วนที่เป็นองค์ประกอบที่จะต้องแบ่งแยก และตั้งเอาไว้อย่างสูงศักดิ์ นั่นก็คือ การที่ผูกมัด คนที่เข้ามาหาเจ้า คนที่อยู่กับเจ้า ทำให้เขาเหล่านั้นอึดอัด แล้วจะไม่สามารถมาเรียนรู้ธรรมจากเจ้าได้
ฉะนั้นเจ้าอย่ากังวลเลย ถึงในเรื่องต่างๆเหล่านี้ สิ่งที่เจ้าควรจะทำก็คือ กิเลสตัวใดที่ยังหลงเหลืออยู่ จงสลัดออกไป ความโกรธ โลภ หลง กิเลสตัณหาต่างๆนั้น อย่าให้มันมีแก่เจ้า เจ้าเหลือเพียงความบริสุทธิ์อยู่ในจิต ไม่คิดร้าย มุ่งร้าย ทำลายใคร ทุกสิ่งที่ทำไปด้วยความปรารถนาดี แค่นั้นเจ้าก็สามารถประกาศธรรมได้อย่างผู้ที่มีความอิสระ ไม่เป็นผู้ที่จะต้องมาอยู่ใต้กฎของระเบียบที่เนี้ยบ หรือเคร่งครัดจนเกินไป ผู้ที่เข้ามาก็จะไม่ต้องไปอยู่ใต้อำนาจของมันด้วย
นี่คือ เหตุผลที่สร้างเจ้ามาให้เป็นอย่างนี้.. เจ้าจงจำไว้เถิด อย่าพะวง กังวลกับสิ่งใดเลย สิ่งที่แท้จริงอยู่ในใจของลูกๆทุกคน ไม่ได้อยู่ที่องค์ประกอบภายนอกมากนักหรอก เพียงแต่ทำให้พอดี อย่ามากเกินไป อยู่แค่ในกรอบ กลางๆ เท่านั้นก็พอ "...
สาธุ
พระยาธรรม :: กราบขอบพระคุณองค์พระบิดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงให้ความเมตตาประทานคำตอบ พระธรรมคำสอนแก่หนูพระเจ้าค่ะ พระองค์จะมีคำสอนและชี้ทางแก่พวกลูกๆ อีกมั้ยล่ะเจ้าคะ
พ่อ...พระองค์ท่านถามว่า จะถามอะไรหรือเปล่า
พระสงฆ์ :: ข้าพระพุทธเจ้าอยากจะทูลถามเกี่ยวกับร่างกายของพระยาธรรม ตอนนี้ร่างกายของพระยาธรรม มีสภาวะเช่นไรพระเจ้าข้า
พระพุทธองค์ทรงตอบว่า :: ร่างกาย กายเนื้อของพระยาธรรมิกราช ที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง ปรับธาตุฐานในกาย ก็เพื่อให้เรียนรู้ถึงความทุกข์ที่เจ็บป่วยทางกาย ให้เรียนรู้ตามกำลังสติปัญญาของพระยาธรรมเองที่จะข้ามผ่านมันไปได้
.... ฉะนั้นก็ให้มีสติ มีพลังอยู่เหนือมัน เมื่อจิตปล่อยวางได้เมื่อไหร่แล้ว ทุกอย่างก็จะปรับไปสู่การลงล็อคเอง
.... ฉะนั้นก็ให้ปัญญาก่อเกิดแก่พระยาธรรม ให้พิจารณากายของตน แล้วก็ปล่อยวางตามปัญญาที่มีของเขาเอง
พระสงฆ์ :: บัดนี้ สมควรการที่จะสร้างองค์พ่อใหญ่ขึ้นแล้ว ทั้งทางช่าง..แล้วก็สิ่งที่ลูกคิดพิจารณานั้น ถูกต้อง สมควรประการใดพระเจ้าข้า
พระพุทธองค์ ทรงตอบว่า :: เหตุปัจจัยจะถูกจัดสรรมา ทุกอย่างจะไปตามพลังบุญกุศลที่สร้างสมไป ทุกอย่างจะหมุนเวียนเข้ามา ตามกำลังการก่อเกิดพระยาธรรมิกราช และจะมีสายบุญต่างๆ ที่หนุนเข้ามานำทาง ทุกอย่างจะถูกลิขิตเอาไว้ทั้งหมดแล้ว และเมื่อถึงเหตุที่ควรจะจัดสรรสิ่งใด ทุกอย่างก็จะเป็นองค์ประกอบให้ได้จัดสรรขึ้นมา สายปฏิบัติธรรมนี้ จะให้ทำทุกอย่าง โดยการมีธรรมจัดสรร จะไม่ให้สิ่งใดมาจัดสรร ตั้งแต่วันนี้จนถึงตลอดกาลที่สายปฏิบัติธรรมนี้จะคงอยู่ในจิตของทุกๆดวง
.... ฉะนั้นจะไม่ให้บกพร่องไปในทางใดทางหนึ่ง ส่วนใดที่ทำได้ ก็จะเปิดให้ทำได้ ไม่ว่าจะเป็นลูกเอง หรือพระยาธรรม ก็จะทำเกินกรอบไม่ได้ แต่หากสิ่งใดที่ทำแล้วจะได้ หรือกระทำไปได้ ก็จะอนุมัติ หรือสภาวธรรมก็จะเปิดให้จัดสรรและทำไป จงพิจารณาแค่เหตุปัจจัยที่อยู่ตรงหน้า แล้วก็ทำตามหน้าที่ที่ตนได้มีหน้าที่รับมอบหมายจะทำไป ในส่วนหนึ่งๆ เมื่อถึงแก่กาลเวลา ทุกอย่างก็ลงตัว ลงล็อคเอง
ดังเช่นตลอดเวลาที่ผ่านมา ทุกอย่างก็จะใช้ธรรมจัดสรรมาตลอด เช่น การสร้างศาลาหญ้าที่ลูกเองก็ได้กล่าว หรือตั้งจิตอยู่ในใจว่า หากการสร้างคราวครั้งนี้สะดุด สิ่งใดจะเป็นสิ่งที่จะประกอบองค์พ่อใหญ่ขึ้นได้ แต่ทุกอย่าง เมื่อมีการสร้างหรือทำไปแล้ว ปัจจัยก็จะถูกจัดสรรเข้ามา...ไม่เคยให้สะดุด หรือมีสิ่งใดที่จะทำไม่ได้
ฉะนั้น ทุกอย่างให้ทำไปเรื่อยๆ แล้วก็นำทางสายธรรมไปเรื่อยๆ ทุกอย่างจะเป็นองค์ประกอบที่เกิดขึ้นมาเองทั้งหมด
... ญาติโยมก็ดี นักบวชทุกๆท่าน ลูกๆ ทุกๆคน ที่มาในสถานที่แห่งนี้ ก็ช่วยกันภาวนาจิต เพื่อให้ก่อเกิดเป็นพลังบุญ เพื่อการสร้างสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม และเป็นสถานที่บุญกุศล เพื่อเผยแผ่ธรรมให้แก่ดวงจิตอีกหลายๆยุค หลายภพเลย อาจจะอยู่ถึง 600-700 ปี ข้างหน้า
.... ฉะนั้นก็ทุกคนเมื่อได้รับหน้าที่แล้ว ก็ให้ทำหน้าที่ของแต่ละคน ให้ดี ให้ช่วยกัน….**
- - -
สาธุ กราบนอบน้อมขอบพระคุณองค์พระบิดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เจริญพระเจ้าค่ะ ไว้วันหลังหนูจะขึ้นมาทูลถามใหม่นะเจ้าคะ สาธุ http://phusawan.com/webboard/index.php?topic