พระสกิทาคามี เป็นพระอริยบุคคล ขั้นที่ ๒ ละกิเลสตัณหาได้เบาบาง มากกว่าพระโสดาบัน จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกเพียงชาติเดียวเท่านั้น เพื่อผ่านบททดสอบความยึดติด ยึดมั่นถือมั่นในตน จึงจะสำเร็จผลเข้าสู่พระนิพพาน
...ตอนที่ ๓๑๓ การแบ่งระดับพระสกิทาคามี
ผู้สำเร็จธรรมขั้นนี้ จะมีความเหมือนที่แตกต่าง บางคนแสดงธรรม ชี้ทางผู้อื่นได้ บางคนไม่รู้ว่า จะอธิบายให้ผู้อื่น ได้เข้าใจอย่างไร ในหนทางที่ตนเดินมา พระสกิทาคามี มีความละเอียดของจืต อาจจะแตกต่างกัน แต่จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก แค่ชาติเดียวเท่านั้น
...ตอนที่ ๓๑๔ การปฏิบัติเพื่อเป็นพระสกิทาคามี
บุคคลที่จะเป็นพระสกิทาคามีได้นั้น ย่อมต้องเป็นพระโสดาบันก่อน เมื่อเป็นพระโสดาบันแล้ว ไม่ควรชะล่าใจ ว่ายังไงก็ถึงพระนิพพาน ให้เร่งสร้างความดี ชำระกิเลสให้หมดไป จะได้พ้นจากความทุกข์
...ตอนที่ ๓๑๕ อานิสงส์ของการเป็นพระสกิทาคามี
พระสกิทาคามี มีจิตใจที่สงบ มีอารมณ์ตั้งมั่น ในการประพฤติ ปฏิบัติ จนละเรื่องของ ความลุ่มหลง ความรัก ความโลภ ความโกรธ คือ กิเลส / และตัณหา ความอยาก กับไม่อยากนั้น ได้เบาบางลงมาก.. - อยู่ในระดับที่ถือว่า เบาบางลงมาก - อยู่ในระดับที่ถือว่า มีชีวิตที่สงบสุขดี จิตนั้นไม่มัวหมอง / ไม่เศร้าหมอง / ไม่เพลิดเพลินไปกับกิเลสตัณหา จนทำให้ตนนั้นถึงกับเป็นทุกข์ - ในระยะเวลาที่ยาว ถึงแม้ว่าจะมีความทุกข์จรเข้ามาบ้าง.. แต่ก็เป็นเพียงทุกข์ ที่จรเข้ามา ให้ตนได้พิจารณาตรึกตรองเหตุนั้นๆ แล้วก็วางลง..
...ตอนที่ ๓๑๖ พระสกิทาคามีมาเกิดอีกชาติเดียว
บุคคลผู้ที่สำเร็จธรรม ถึงขั้นพระสกิทาคามี เมื่อจากโลกนี้ไป ต้องกลับมาเกิดอีกชาติหนึ่ง เพื่อชำระกิเลสตัณหาให้สิ้นไป และจ่ายหนี้กรรมทั้งหลาย ก่อนที่จะได้สำเร็จธรรม ระดับพระอนาคามี และพระอรหันต์ ไม่ต้องกลับมาเกิดบนโลกมนุษย์อีกต่อไป
...ตอนที่ ๓๑๑ สิทธิพิเศษของพระโสดาบัน
ผู้สำเร็จผลเป็นบริยบุคคล ขั้นพระโสดาบัน จะมีความสุขมากกว่าความทุกข์ จะไม่เกิดในอบายภูมิทั้ง ๔ ที่มี สัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน จะเกิดเป็นมนุษย์ ไม่เกิน ๗ ชาติ ก็จะหลุดพ้นจากวัฏสงสาร สู่พระนิพพาน ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด กลับมามีความทุกข์อีกต่อไป
...ตอนที่ ๓๑๐ บรรลุโสดาบันแล้วไม่ถอยหลัง
บุคคลผู้ที่ได้บรรลุธรรม จนถึงความเป็นพระโสดาบัน แล้วนั้น จะไม่มีความลังเลสงสัย ในพระรัตนตรัย จะเข้าใจในกฎของกรรมอย่างชัดเจน จึงไม่มีการละเมิดศีล ดวงจิตเข้าสู่กระแสพระนิพพาน ไม่หวนกลับคืนมา เป็นปุถุชนอีกต่อไป
...ตอนที่ ๓๐๙ รู้ได้อย่างไรใครเป็นพระโสดาบัน
การจะรู้ว่าใครเป็นพระโสดาบัน ตนจะต้องเป็นพระอริยบุคคล แล้วเท่านั้น จึงจะรู้ว่า พระโสดาบันเป็นอย่างไร แต่ถึง แม้เป็นแล้ว ก็อย่าไปตัดสินใคร มีสิ่งซับซ้อน ละเอียดอ่อนมากมาย ให้ดูแต่ตนเองก็พอ
...ตอนที่ ๓๐๘ การปฏิบัติให้เป็นพระโสดาบัน
พระโสดาบัน คือ ผู้ที่หลุดจากทุกข์ ในระดับที่ 1 เป็นผู้ที่มีชีวิตสงบสุข มีจุดมุ่งหมาย คือ พระนิพพาน มีที่พึ่งในการดำรงชีวิต คือ องค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์ มีศีล เป็นเกราะป้องกัน ไม่ให้กลับไปสู่จุดที่ต่ำ มีความรู้แจ้ง ถึงทุกสิ่งที่เกิด ที่มีอยู่ ที่ดับไป - ตามความเป็นจริง จนละกิเลสและตัณหาให้เบาบาง
ความดีของผู้เป็นอริยบุคคล ระดับที่ 1 ที่เรียกว่าพระโสดาบันนั้น เป็นผู้รู้ว่าไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้ เกิดมาแล้วต้องตายแน่ ศรัทธาในพระรัตนตรัย ไม่เบียดเบียนใคร แม้แต่ตัวเราเอง อยู่ในกรอบของศีลห้า จึงไม่มีเหตุให้นำพาต้องตกไปในภูมิที่ต่ำอีกต่อไป
...ตอนที่ ๓๐๖ ระดับการทำความดี
บุคคลผู้มีปัญญาธรรม มีเป้าหมาย ให้ถึงความสำเร็จ 4 ระดับ คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ เป็นสิ่งที่จะต้องทำให้ถึงสำหรับดวงจิต ที่ต้องการพ้นจากความทุกข์
...ตอนที่ ๓๐๔ ชนะนิวรณ์ อุทธัจจะกุกกุจจะ *****
การฟุ้งซ่านของจิต เพราะกำลังสมาธิไม่แน่น จากศีลไม่ครบ มีกรรมวิบากมารบกวน มีกิเลส ตัณหาครอบงำ แก้ไขด้วยการ รักษาศีลให้ดี ตามที่ตนได้สมาทานเอาไว้ สวดฟอกจิตไป แล้วน้อมรับพลังพุทธบารมี ฝึกให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน ผู้ที่มีปัญญาธรรม จะทำเช่นนี้กัน
...ตอนที่ ๓๐๓ ชนะนิวรณ์ ถีนมิทธะ ความง่วง
การจะเอาชนะความง่วงได้ ต้องพิจารณาให้เข้าใจ ว่ามันเกิดจากทางจิตใจ หรือทางกาย เกิดจากความหดหู่ ท้อถอย เบื่อหน่าย ทำให้ขี้เกียจ หรือ เกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ถ้าเกิดทางจิตใจ ให้แก้ไขทางจิตใจ ถ้าเกิดจากทางกายก็ให้ไปนอน
...ตอนที่ ๓๐๒ ชนะนิวรณ์ ถีนมิทธะ
ถีนมิทธะ อารมณ์ หดหู่ ท้อถอย เกิดจากความหลงไปในอดีต และส่งจิตล่องลอยไปสู่อนาคต ทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี ทำให้จิตใจเหนื่อยหนัก เบื่อหน่าย เมื่อยล้า ผู้มีปัญญาธรรมดีแล้ว จะถอดถอนอดีต ไม่ยึดติดในสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ไม่หลงไหลไปในอนาคต เอาจิตตั้งอยู่ ในความดีที่ทำอยู่ในปัจจุบัน
... ตอนที่ ๓๐๑ ชนะนิวรณ์ พยาบาท
ผู้มีปัญญาธรรม จะรู้ว่า ความโกรธ ความพยาบาท ไม่ใช่สิ่งที่ดี ไม่มีประโยชน์ ไม่ควรกักเก็บความโกรธเอาไว้ ปล่อยวางไป จิตจะได้สะอาดสงบ อยู่เป็นสุข ไม่มีความพยาบาทในจิตใจ
...ตอนที่ ๓๐๐ ชนะนิวรณ์ กามฉันทะ
ผู้มีปัญญาธรรมดีแล้วนั้น จะเข้าใจความเป็นจริง ของรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ ว่าไม่เที่ยงแท้ จึงวางจิตใจให้เป็นกลาง ปล่อยวาง ไม่ไปยึดติด ลุ่มหลงในสิ่งใด ให้เกิดความทุกข์
การตั้งใจทำความดี มีอุปสรรคห้าด่าน บุคคลที่ปรารถนาพระนิพพาน ต้องผ่านไปให้ได้ ซึ่งมีความหลง ความสุขความทุกข์ ความเจ็บป่วยไข้ ความตาย และไม่ยอมให้ใคร มาขัดขวางการสร้างความดี จะไปให้ถึงที่สุดของความดี ดับการเกิดแห่งตนให้ได้ ไม่ต้องกลับมาทุกข์อีกต่อไป
เทวปุตมาร คือ มารผู้มีฤทธิ์ มีอำนาจ ลุ่มหลงในตน คนอื่นจะสร้างความดีเกินหน้า ก็จะหาเรื่องกลั่นแกล้ง ขัดขวางความดี มีอยู่ทั้งในกายหยาบและกายทิพย์ ผู้มีปัญญาธรรม จะไม่ยึดติด ลุ่มหลงในสิ่งใด แม้แต่ในตน ก็จะพ้นบ่วงของเทวปุตมาร
มัจจุมาร คือ ความตายมาตัดรอน การสร้างความดี ผู้มีปัญญาธรรม เขาจะรู้คุณค่าของเวลาที่มี จะเร่งขวนขวายความดี เพื่อดับกิเลส ตัณหา ดับการเกิดให้ได้ เพื่อไม่ให้ความตาย มีความสำคัญ ให้หวั่นไหวแก่ดวงจิตนั้น อีกต่อไป
กิเลสมาร คือ การไม่รู้ตามความเป็นจริง เลยถูกหลอก จึงไม่สามารถทำความดีได้ บุคคลผู้มีปัญญาธรรม จะรักษาศีล มีธรรม มีสมาธิ จะเกิดปัญญารู้แจ้งตามความเป็นจริง สามารถเอาชนะ ความหลง ความรัก ความโกรธ นั้นได้ ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส ตัณหา อีกต่อไป
...ตอนที่ ๒๙๕ ชนะอภิสังขารมาร *****
อภิสังขารมาร คือ บุญและบาปเป็นตัวขัดขวางความดี บาปเก่า หนี้กรรมเก่า มาตัดรอน มาเป็นมารขัดขวางความดี สร้างความดี ทำให้เกิดความสุข ความสบาย มีความร่ำรวย ประกอบไปด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ จึงลุ่มหลง ทำความดีต่อไปไม่ได้ บุญเลยเป็นตัวขัดขวางความดี ไม่ให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
...ตอนที่ ๒๙๔ ชนะขันธมาร *****
ผู้มีปัญญาธรรม เมื่อได้ร่างกายที่ดี จะไม่รีรอสิ่งใด รีบเร่งสร้างความดี ก่อนที่ร่างกายจะเจ็บป่วย ก่อนที่จะเสื่อมไป แต่ถ้าร่างกายไม่ดี ก็ใช้จิตใจที่มี ในการคิดดี พูดดี พิจารณาถอดถอน ความยึดถือในกาย จนรู้แจ้ง ความจริงในกาย จึงชนะได้ในขันธมาร
...ตอนที่ ๒๙๓ จุดมุ่งหมายที่หายไป *****
บุคคลที่ทำความดี จนถึงความปรารถนาที่ตั้งเอาไว้ จึงวางเฉย สักว่าทำไป อยู่ไป ปล่อยวางกับทุกสิ่ง ไม่ดิ้นรนขวนขวายสิ่งใด ไม่มีความต้องจะ อีกต่อไป ไม่สนในอดีต อนาคตอีก อยู่กับปัจจุบัน อย่างมีสติปัญญา เป็นผู้ไม่มีจุดมุ่งหมาย ที่ต้องทำอีกต่อไป
...ตอนที่ ๒๙๒ ความเชื่อ ความศรัทธา
พระพุทธเจ้าเห็นการตาย การพลัดพราก เป็นเหตุของความทุกข์ ถ้าจะดับทุกข์ ต้องดับการเกิดให้ได้ เพื่อไม่ต้องตาย ต้องพลัดพรากอีก จึงเชื่อว่า น่าจะมีหนทาง ที่จะดับการเกิดได้ ด้วยการเชื่อ อย่างวางใจเป็นกลางๆ แล้วเอาตนเข้าพิสูจน์ จนค้นพบหนทาง อย่างนี้ เป็นลักษณะ ความเชื่อของผู้มีปัญญาแห่งธรรม
...ตอนที่ ๒๙๑ ความเป็นจริงของชีวิต ***
อาหารสีสันเป็นยังไง พอจะรู้ได้ด้วยตามองเห็น แต่รสชาติจะเป็นอย่างไร ต้องได้ลิ้มชิมเอง จึงจะรู้ได้จากสิ่งที่มมองเห็น ชีวิตจะมีความจริงเป็นเช่นใด มีสิ่งซับซ้อนซ่อนอยู่มากมาย ต้องใช้จิตใจที่บริสุทธิ์ จึงจะพิสูจน์ให้รู้ได้ด้วยตนเอง
...ตอนที่ ๒๙๐ ขาดปัจจัยค้ำหนุน
ผู้ที่มีปัญญาธรรม จะดำรงชีวิตไป ตามเหตุตามปัจจัยที่มี สิ่งที่มีหรือขาดไป จะดูอยู่ เห็นอยู่ รู้อยู่ ในสิ่งที่เกิดขึ้นที่ขาดไป จะปรับตน ให้อยู่ในสิ่งที่มี ในสิ่งที่ได้ เลยเหมือนไม่ขาดอะไร ไม่ว่าจะขาดปัจจัยภายนอกหรือภายใน จะไม่ทำให้เขาเป็นทุกข์ เป็นสุขได้เลย
บุคคลที่มีปัญญาธรรม เมื่อได้ปัจจัยสี่ ที่สมมุติว่าเป็นของตน จะจัดสรรแบ่งปัน ให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมให้ได้มากที่สุด โดยไม่หวงแหน ไม่ยึดติด ในสิ่งที่ได้มา ในสิ่งที่เสื่อมไป จิตไม่ตกไป ในอำนาจของความโลภ ความหลง จึงเป็นผู้ดำเนินเดินไปสู่ หนทางแห่งความพ้นทุกข์
...ตอนที่ ๒๘๘ อยู่เหนือเรื่องจุกจิกกวนใจ
สิ่งที่กระทบจิตใจ ไม่ว่าจะมาจากภายนอก หรือภายใน ล้วนเกิดจากจิตใจที่อ่อนแอ จึงทำให้วุ่นวาย ไม่มีความสงบ ให้ควรตรวจดู ศีล ว่าบกพร่อง อยู่หรือเปล่า เข้าใจในธรรมของพระพุทธเจ้า มากน้อยเท่าใด สมาธิ มีมากอยู่หรือเปล่า ปัญญานั้นเล่า แจ่มแจ้งดีพอแล้วหรือยัง ผู้มีปัญญาธรรม จะทำเช่นนี้ เพื่อแก้สิ่งจุกจิกกวนใจ
...พุทธโอวาทวันมาฆบูชา ๒๕๖๑ ตอนที่ ๓ เหตุที่มีองค์เทพ เทวดา พญานาค ในวัด
พระพุทธเจ้าเป็นครูของเทวดา ชาวบาดาล และมนุษย์ทั้งหลาย ไม่ว่าใครจะเวียนเกิดไปอยู่ภูมิใด ล้วนต้องการสร้างความดี สร้างบุญบารมี ต้องการฟังธรรมทั้งนั้น การมีรูปปั้นองค์เทพเทวดา พญานาค ภูมิเจ้าที่ จึงไม่แปลกอันใด แต่ขอบูชาให้ถูกต้อง แค่นั้นเป็นพอ
...พุทธโอวาทวันมาฆบูชา ๒๕๖๑ ตอนที่ ๒ ***
กรรมดีที่สร้างในกาลก่อน จึงย้อนส่งผล ให้ได้มาพบพระพุทธศาสนา จึงควรเร่งรีบ ขวนขวาย สร้างความดี ต่อยอดความดี ให้เข้าถึงความดีที่สูงสุด คือ หลุดจากวัฎสงสาร เข้าถึงพระนิพพาน
... พุทธโอวาทวันมาฆบูชา ๒๕๖๑ ตอนที่ ๑
ยุคสมัยแปรผัน กาลเวลาแปรเปลี่ยน เป็นไปตามกฎของความไม่เที่ยง กิเลส ตัณหาพัฒนาไป ตามยุคสมัย พระธรรมคำสอน ให้ปรับประยุกต์ใช้ ตามกาล ไม่ควรยึดถือ ยึดติด สิ่งที่มันเกิดขึ้น ในอดีตจนเกินไป ละเลยสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน จึงจะสามารถตามทันกิเลส และดับตัณหาได้อย่างแท้จริง
...ตอนที่ ๒๘๗ ชี้บอกอย่างผู้มีปัญญาธรรม ***
ผู้มีปัญญาธรรม เขาจะรู้ว่าดวงจิตทั้งหลาย มีการสร้างสั่งสมความดี มาแตกต่างกัน บางคนยังสร้างความดี ในระดับพื้นฐาน บางคนทำความดี เพื่อหวังพระนิพพาน จะไม่เอาตน ไปว่ากล่าว ตัดรอนความดีของผู้ใด จะทำตนให้เป็นตัวอย่าง และชี้ทางบอกทางไป อย่างปล่อยวาง แค่นั้นพอ
...ตอนที่ ๒๘๖ รู้วิธีสลายหนี้กรรม *****
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นแก่เรา จะเป็นสิ่งที่ดี หรือเป็นสิ่งที่ไม่ดี ล้วนเกิดมาจากการกระทำของตน ส่งผลให้ต้องเป็นไป ผู้มีปัญญาธรรมดีแล้ว จะเห็นเป็นธรรมดา ไม่ลุ่มหลง จมอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น สักว่าดูอยู่ รู้อยู่ เห็นอยู่ ยกจิตออกจาก ความพอใจไม่พอใจ วิบากกรรมทั้งหลาย จึงสลายไป ทำอะไร เขาไม่ได้ สำหรับผู้มีปัญญาแห่งธรรม
...ตอนที่ ๒๘๕ ผู้มีชัยชนะอย่างแท้จริง ***
ผู้มีปัญญาธรรม จะรู้ว่า ถ้าเอาชนะความลุ่มหลงในตนได้ สลายบ่วงของกิเลส ตัณหา บ่วงหนี้กรรมที่ทำมา จิตจะเป็นอิสระ อยู่เหนืออำนาจแห่งกรรม และกฎของความไม่เที่ยงแท้ จะทำอะไรไม่ได้ ไม่ต้องกลับมาแพ้อีก จึงเป็นผู้มีชัยชนะอย่างแท้จริง
...ตอนที่ ๒๘๔ บ่วงของความทุกข์
บ่วงที่ร้อยรัด มัดดวงจิตเอาไว้ ไม่ให้พ้นจากความทุกข์ มีบ่วงแห่งความหลง ความรัก ความโลภ ความโกรธ ความอยาก ความไม่อยาก ความยึดถือในตน ในคนของตน ในสิ่งของทั้งหลาย ยังมีหนี้กรรมที่ต้องชดใช้ และหน้าที่แห่งตน จึงยังผลให้ดวงจิตทั้งหลาย แทบไม่มีทางจะพ้นบ่วงกรรม
ดวงจิตเป็นดวงแก้วใสๆ มีกิเลสสีสันมากมาย มาครอบงำ ปกปิดความบริสุทธิ์เอาไว้ ให้มืดมิดมืดมน สับสนวุ่นวาย ไม่รู้ทางออกจะไปหนทางใด ให้ออกจากการเวียนวน จึงเป็นไป ตามผลของกรรม เช่นนี้ สำหรับผู้ที่ไม่มีปัญญาแห่งธรรม
ศาสนาพุทธ จะเสื่อมหรือไม่ อยู่ที่มีคนปฏิบัติตน ตามธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า อยู่หรือเปล่า ถ้าเราทุกคนทำความดี ฝึกฝนตนอยู่ในศีลธรรม สมาธิ ปัญญา พระอรหันต์จะเกิดขึ้นมากมาย ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาทำลาย ถ้าแต่ละคนยังทำดี
... ตอนที่ ๒๘๑ ไม่ถูกธรรมหรือไม่ถูกใจ ***
ธรรมชาติของมนุษย์นั้น ย่อมเอาตัวตนเป็นใหญ่ สิ่งใดที่ตนรู้ สิ่งที่ตนยึดถือ สิ่งที่ตนเข้าใจ จึงนำมาเป็นบรรทัดฐาน ตัดสินว่า สิ่งนั้นผิด สิ่งนี้ถูก ไม่สนใจความเป็นจริง ด้วยจิตใจถูกอำนาจกิเลส ตัณหาครอบงำ จึงทำไปโดยความเขลา เอาความถูกใจ ไม่ถูกใจ เป็นตัวตัดสินธรรม ซึ่งเห็นได้ทั่วไปในเวลานี้
...ตอนที่ ๓๑๗ พระอนาคามี *****
พระอนาคามี เป็นอริยบุคคลในพุทธศาสนา ขั้นที่ ๓ ละสังโยชน์ได้ห้าข้อ เหลืออารมณ์ติดเล็กน้อย สามารถทำให้หมดไปในภูมิที่เป็นทิพย์ ไม่ต้องกลับมาเกิดในโลกมนุษย์อีกต่อไป
...ตอนที่ ๓๑๘ การปฏิบัติเพื่อเป็นพระอนาคามี*****
พระอนาคามี คือ ผู้ทรงฌาน ทรงสมาธิ ถึงฌาน 4 จนรู้แจ้ง เข้าใจในสิ่งทั้งหลาย..
จนสามารถ
ถอดถอน การลุ่มหลงในตน
ถอดถอน ความลังเลสงสัย คือ ความไม่รู้ตามความเป็นจริง
ถอดถอน การที่จะทำความดีแบบเล่นๆไป จนรักษาศีลได้อย่างบริสุทธิ์
สามารถถอดถอนตนให้ ไม่ลุ่มหลงใน รูป รส กลิ่นเสียง สัมผัสต่างๆ
ถอดถอนตน ไม่ให้จิตนั้นเข้าไปเกี่ยวข้องกับความไม่พอใจ ความรำคาญใจ ขัดเคืองใจ ความโกรธทั้งหลาย และทรงอารมณ์เช่นนี้.. อยู่ตลอดเวลา
พระอนาคามี เป็นผู้ที่ถึงซึ่งกระแสแห่งพระนิพพานแล้ว อย่างแท้จริง
จะไม่กลับมาเกิดอีก
...ตอนที่ ๓๑๙ อานิสงส์ของการเป็นพระอนาคามี *****
พระอนาคามี ผู้สำเร็จธรรมระดับนี้ ไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกต่อไป อารมณ์จิตจะใกล้เคียงกับอารมณ์พระนิพพาน กิจที่เหลืออยู่ คือการพิจารณาถอดถอนตัวตน ให้พ้นจากสมมุติทั้งหลายที่มีที่เป็น จนถึงความพ้นทุกข์อย่างแท้จริง
...ตอนที่ ๓๒๐ การแบ่งระดับพระอนาคามี
พระอนาคามี ไม่จำเป็นต้องแบ่งระดับให้ซับซ้อน ผู้ที่เข้าถึงสภาวธรรมนี้ จะสำเร็จผลในชาติปัจจุบัน หรือไปนิพพานในโลกทิพย์ ก็ไม่มีผลอะไร เพราะเป็นผู้ไปแล้วด้วยดี ไม่ต้องกลับมาเกิด กลับมาทุกข์อีกต่อไป
...ตอนที่ ๓๒๑ การสำเร็จของพระอนาคามี
การบรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ จะใช้เวลามากหรือน้อย ของผู้สำเร็จธรรมถึงขั้นพระอนาคามีแล้วนั้น ขึ้นอยู่กับกิเลส ตัณหา ขึ้นอยู่กับหนี้กรรมที่ทำมา จึงใช้เวลามากน้อยต่างกัน
พระอรหันต์เป็นพระอริยบุคคล ระดับสูงสุดในพระพุทธศาสนา ดับกิเลสตัณหา สลายหนี้กรรมที่ทำมา ไม่ต้องกลับมาเวียนเกิด เวียนตาย พ้นจากความทุกข์ เข้าสู่พระนิพพาน
...ตอนที่ ๓๒๓ พระอรหันต์ละตัวตน
พระอรหันต์ จะรู้ตามความเป็นจริงว่า ร่างกายไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ละความยึดติด ลุ่มหลงในตน ปล่อยวางทุกอย่าง มีเหมือนไม่มี จึงหลุดพ้นจากความทุกข์ จากความไม่เที่ยงแท้ ที่แปรผันไป
...ตอนที่ ๓๒๔ พระอรหันต์ละความลังเลสงสัย
พระอรหันต์ จะไม่ลังเลสงสัย ในคุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์ ไม่ลังเลสงสัยในกฎของกรรม และกฎของความไม่เที่ยง เป็นผู้ปฏิบัติเข้าถึงธรรม แจ่มแจ้งในความจริงเหล่านี้ จึงไม่มีความทุกข์
...ตอนที่ ๓๒๕ พระอรหันต์กับการรักษาศีล
พระอรหันต์เป็นผู้มีปัญญา รู้แจ้งในสรรพสิ่ง จึงรักษาศีล ที่สมาทานอย่างไม่บกพร่อง จนศีลอยู่ในจิตกายใจ ไม่มีวันหวนไป ทำความชั่วอีก จึงรักษาศีลปรับประยุกต์ เข้ากับยุคสมัย โดยไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป อยู่ในทางสายกลางอย่างแท้จริง
...ตอนที่ ๓๒๖ พระอรหันต์กับการละกามราคะ *****
พระอรหันต์ จะรู้แจ้ง ในความเป็นจริงของรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ เห็นถึงความไม่เที่ยงแท้ ที่แปรเปลี่ยนไป จึงไม่ยึดติด ลุ่มหลง ในสิ่งใดอีกต่อไป จึงไม่มีความทุกข์
...ตอนที่ ๓๒๗ พระอรหันต์กับสิ่งที่มากระทบใจ
ผู้สำเร็จธรรม ถึงความเป็นพระอรหันต์แล้วนั้น เมื่อมีสิ่งมากระทบใจ จะเข้าใจ รู้แจ้งในความเป็นธรรมดา ซึ่งเป็นไปตามกฎของกรรม ตามกฎของความไม่เที่ยง จะยอมรับความเป็นจริง จิตจะนิ่งวางเฉย ไม่สุขไม่ทุกข์กับสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นมา
...ตอนที่ ๓๒๘ พระอรหันต์ละความหลงในสิ่งที่มีรูป
พระอรหันต์ไม่หลงใหล ใฝ่ฝันในสิ่งใด ไม่ว่าสิ่งทั้งหลาย จะมีรูปสวย มีความละเอียดประณีต เช่นใด ่ทางจิตใจก็ไม่ลุ่มหลง ในฌานที่มีรูป เห็นเป็นธรรมดา ในความไม่เที่ยงแท้ ปล่อยวางทุกอย่าง เลยไม่มีเหตุให้เป็นทุกข์
...ตอนที่ ๓๒๙ พระอรหันต์ละความหลงในสิ่งที่ไม่มีรูป
พระอรหันต์ จะไม่ยึดติดในสิ่งใด แม้แต่สิ่งที่ไม่มีรูป สัมผัสจับต้องไม่ได้ รับรู้ได้ทางจิตใจ เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปเป็นธรรมดา จึงไม่หลงในสิ่งใด แม้แต่อรูปฌาน
...ตอนที่ ๓๓๐ พระอรหันต์ละการยกตน
พระอรหันต์ จะไม่นำตนไปเปรียบเทียบ กับบุคคลผู้อื่น ว่าเขาดีกว่าตน เขาเสมอตน หรือเขาด้อยกว่าตน จะเห็นทุกอย่าง เป็นเพียงสิ่งสมมุติ ยึดถือเอาไว้ไม่ได้ แม้แต่ตัวตนของตน ก็ไม่มีอยู่จริง จึงปล่อยวาง ไม่เห็นความแตกต่าง ในสมมุติที่เป็นเขาเป็นเรา
...ตอนที่ ๓๓๑ พระอรหันต์กับความฟุ้งซ่าน
บุคคลผู้ที่ยังไม่สำเร็จเป็นองค์พระอรหันต์ จะฟุ้งซ่านว่า จะไปถึงพระนิพพานไหม จะไปดีหรือไม่ดี พระนิพพานเป็นเช่นใด แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้ว ความคิดคำนึงเหล่านี้ จะหายไป เพราะรู้แจ้งถึงสภาวธรรมความเป็นจริงนั้นแล้ว
...ตอนที่ ๓๓๒ พระอรหันต์ละความไม่รู้
พระอรหันต์ เป็นผู้ละแล้วซึ่งอวิชา ความไม่รู้ ความหลงในสิ่งใด แม้แต่ความสุขในสวรรค์ ในพรหมโลก ก็ไม่สามารถทำให้องค์พระอรหันต์ ติดอยู่ ในความสุขเหล่านั้นได้ จึงเป็นเป็นผู้ดับการเกิด ไม่กลับมาเวียนตายเวียนเกิดในวัฏสงสารอีกต่อไป
...ตอนที่ ๓๓๓ ดวงจิตพระอรหันต์
ผู้สำเร็จธรรมเป็นพระอรหันต์ ดวงจิตจะเป็นอิสระ ปราศจากสิ่งครอบงำ จะอยู่ที่ไหนไม่มีความแตกต่าง อยู่เหมือนไม่อยู่ มีเหมือนไม่มี ไม่สุขไม่ทุกข์กับสิ่งใด เสร็จกิจที่ต้องทำ จิตจึงอยู่ว่างๆ วางอุเบกขาอารมณ์
...ตอนที่ ๓๓๔ การปฏิบัติเป็นพระอรหันต์ แบบที่ ๑
แนวทางการปฏิบัติ เพื่อความสำเร็จเป็นพระอรหันต์ จะต้องรู้จักความทุกข์ เคยพบประสบทุกข์ หรือเคยเห็นทุกข์มาก่อน จึงจะหาหนทางดับความทุกข์ ซึ่งต้องรู้ในเหตุของความทุกข์ แล้วจึงดับความทุกข์ด้วยศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา ตามที่พระพุทธองค์ชี้บอก ก็สามารถนำจิตตนให้พ้นจากความทุกข์ จนถึงความเป็นพระอรหันต์ได้
...ตอนที่ ๓๓๕ การปฏิบัติเป็นพระอรหันต์ แบบที่ ๒
การใช้ทานบารมีนำ ในการสร้างความดี ทานแรงกาย ทานวาจา ทานสิ่งของข้าวของที่ได้มา ให้อภัยทาน พร้อมการรักษาศีล บางครั้งออกบวชเนกขัมมบารมี เติมเต็มความดี จนรู้แจ้งตามความเป็นจริง จึงดับอัตตา สลายตัณหา ละความยึดติด ปล่อยวางทุกอย่างที่มี เข้าถึงความหลุดพ้น สำเร็จตนเป็นองค์อรหันต์
...ตอนที่ ๓๓๖ การปฏิบัติเป็นพระอรหันต์ แบบที่ ๓
แนวทางการปฏิบัติอีกแบบ เมื่อได้ทำสมาธิ เข้าถึงความสงบดีแล้ว ให้พิจารณาร่างกาย จะแยกตามธาตุทั้งสี่ หรือพิจารณาแยกขันธ์ทั้งห้า ให้เห็นตามความเป็นจริง ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ถอดถอนความยึดติด ดับความยึดถือ จนเห็นแจ้งในจิตที่ซ้อนอยู่ข้างใน ถอดถอนภายในจิต ไปถึงความไม่มีอยู่จริง จะเข้าถึงสภาวธรรมของพระนิพพาน
...ตอนที่ ๓๓๗ การปฏิบัติเป็นพระอรหันต์ แบบที่ ๔
การปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ไม่ต้องสนใจผู้อื่น ให้ดูจิตกายใจของตนเอง ว่ามีกิเลส ตัณหา อยู่มากน้อยเท่าใด มีสังโยชน์ใด ที่ยังเหลืออยู่ ให้ทำการชำระถอดถอนไปเรื่อยๆ จนไม่มีสิ่งใดมาร้อยรัดดวงจิตแล้ว จึงจะเป็นผู้พ้นจากความทุกข์ เข้าถึงพระนิพพาน
... ตอนที่ ๓๓๘ เคล็ดลับการเป็นพระอรหันต์
เคล็ดลับการปฏิบัติ เพื่อความสำเร็จเป็นพระอรหันต์ แบบง่ายๆ เป็นทางลัดตัดเข้าสู่พระนิพพาน
...ตอนที่ ๓๓๙ สายการปฏิบัติของพระอรหันต์
...ตอนที่ ๓๔๐ พระอรหันต์สายสุกขวิปัสสโก
พระอรหัรต์สายนี้ จะใช้ความดีนำ ทำความดีไป อย่างไม่ลังเลสงสัย ไม่อยากรู้เรื่องของใคร ไม่ลองผิดลองแต่ถูก จนชำระกิเลสดับตัณหาได้ในตน สำเร็จผลเข้าสู่พระนิพพาน
...ตอนที่ ๓๔๑ สุกขวิปัสสโกกับความเป็นทิพย์
พระอรหันต์สายสุขวิปัสสโก จะเป็นผู้ไม่ค่อยลังเลสงสัย จะทำสิ่งใดก็มุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำ กรรมฐานก็ทำได้ ไม่จำกัดว่ากองใด แต่เมื่อไม่ลังเลสงสัย ก็ไม่รู้จะดูสิ่งนั้น สิ่งนี้ไปทำไม ให้วุ่นวายใจ แค่เอามาพิจารณาถอดถอนร่างกาย จิตใจให้พ้นทุกข์ก็พอ
...ตอนที่ ๓๔๒ พระอรหันต์สายเตวิชโช
บุคคลผู้มีความลังเลสงสัย ถ้าไม่ได้รู้เห็นด้วยตนเอง ก็จะไม่ยอมรับที่จะเชื่อ จึงต้องมียาขนานนี้ มาเพื่อรักษาดวงจิตเหล่านี้ ให้หายจากความสงสัย มีวิชาสามอย่าง คือ ๑. ปุเพนิวาสานุสสติญาณ การระลึกชาติที่แล้วๆ มาได้ ๒. จุตูปปาตญาณ รู้ว่าสัตว์ที่ตายไปแล้ว และเกิดมานี้ ตายแล้วไปไหน ก่อนเกิดมาจากไหน ๓. อาสวักขยญาณ รู้จักทำอาสวกิเลสให้สิ้นไป
...ตอนที่ ๓๔๓ พระอรหันต์สายฉฬภิญโญ
พระอรหันต์สายฉฬภิญโญ หรือสายอภิญญาหก จะมีความสามารถพิเศษ
เพื่อมาช่วยในการดับกิเลสตัณหา สลายอัตตาตัวตน ๖ อย่าง คือ
๑. อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้ เช่น ล่องหนได้ เหาะได้ ดำดินได้
๒. ทิพพโสต มีหูทิพย์
๓. เจโตปริยญาณ กำหนดรู้ใจผู้อื่นได้
๔. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้
๕. ทิพพจักขุ มีตาทิพย์
๖. อาสวักขยญาณ รู้การทำอาสวะให้สิ้นไป
...ตอนที่ ๓๔๔ พระอรหันต์สายปฏิสัมภิทัปปัตโต
พระอรหันต์สายปฏิสัมภิทัปปัตโต มีปฏิสัมภิทา 4 (ปัญญาแตกฉาน) 1. ปัญญาแตกฉานในอรรถ เห็นข้อธรรมหรือความย่อ ก็สามารถแยกแยะอธิบายขยายออกไปได้โดยพิสดาร 2. ปัญญาแตกฉานในธรรม เห็นอรรถาธิบายพิสดาร ก็สามารถจับใจความมาตั้งเป็นกระทู้หรือหัวข้อได้ เห็นผลอย่างหนึ่ง ก็สามารถสืบสาวกลับไปหาเหตุได้ 3. รู้ศัพท์ ถ้อยคำบัญญัติ และภาษาต่างๆ เข้าใจใช้คำพูดชี้แจ้งให้ผู้อื่นเข้าใจและเห็นตามได้ 4. มีไหวพริบ ซึมซาบในความรู้ที่มีอยู่ เอามาเชื่อมโยงเข้าสร้างความคิดและเหตุผลขึ้นใหม่ ใช้ประโยชน์ได้สบเหมาะ เข้ากับกรณีเข้ากับเหตุการณ์
...ตอนที่ ๓๔๕ ผู้ไม่ใช่พระอรหันต์ มีคุณวิเศษได้หรือไม่
คุณวิเศษมีอยู่ คู่กับโลกวัฏสงสาร เป็นเครื่องมือไว้สลายตัวตน คุณวิเศษเกิดขึ้นได้ สำหรับบุคคล ที่ตั้งใจฝึกฝนกรรมฐาน แต่ถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์ ก็อาจจะไม่แจ่มแจ้งแจ่มใส ทำให้ลุ่มหลงได้เหมือนกัน
...ตอนที่ ๓๔๖ ลุ่มหลงในคุณวิเศษ
ตราบใด ที่ยังไม่ใช่พระอริยเจ้า อย่าพึ่งคิดว่าตนดี ถึงจะมีคุณวิเศษอะไร เขาก็มีเอาไว้ เพื่อเป็นเครื่องช่วยดับกิเลส ตัณหาเท่านั้น ถึงแม้ จะเเป็นพระอรหันต์ เขายังไม่ยึดในสิ่งที่เป็น จึงเป็นผู้ไม่มีความลุ่มหลงที่แท้จริง
...ตอนที่ ๓๔๗ การถอดถอนความลุ่มหลงคุณวิเศษ
คุณวิเศษทั้งหลาย เกิดขึ้นได้จากการบำเพ็ญ ภายใต้ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา ขึ้นอยู่กับวาสนาบุญบารมี ของแต่ละบุคคล เป็นเครื่องมือที่จะใช้ดับกิเลสตัณหา สลายตัวตน เพื่อความพ้นทุกข์เท่านั้น ไม่ใช่สิ่งสำคัญอันใด ที่จะทำให้ไปลุ่มหลงอยู่เลย
...ตอนที่ ๓๔๘ ผู้มีคุณวิเศษที่แท้จริง
ผู้ที่มีคุณวิเศษที่แท้จริง คือผู้ที่ไม่ทุกข์แล้ว ไม่ต้องกลับมาเวียนตาย เวียนเกิดอีกต่อไป จึงจะนับว่าได้เป็นผู้วิเศษที่แท้จริง
... ตอนที่ ๓๔๙ รวมสี่สายกลายเป็นหนึ่ง
แม่น้ำสี่สาย ไหลรวมลงไปกลายเป็นหนึ่ง ไม่ว่าใครจะปฏิบัติ แล้วได้อะไร เห็นอะไร ล้วนเป็นไปเพื่อชำระกิเลส ดับตัณหาเท่านั้น จึงไม่ความแตกต่างอย่างไร เพราะท้ายที่สุด ก็ต้องปล่อยวางทุกอย่าง สู่ความว่าง สู่ความไม่มีอยู่จริงทั้งนั้น