ปัญญาธรรรม
...ตอนที่ ๒๕๓ รักแบบไม่มีเชื้อ
ผู้มีปัญญาธรรม จะรู้จักพิษภัยของความรัก ที่ประกอบด้วยเชื้อแห่งความหลง เชื้อที่ทำให้ดวงจิตทั้งหลาย ต้องเจ็บ ต้องป่วย ต้องทุกข์ทน จึงรักด้วยความเมตตา จิตเป็นสาธารณะ ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา ปรารถนาให้ทุกดวงจิตมีความสุข พ้นทุกข์เสมอกัน เป็นรักที่ไม่มีเชื้อ
...ตอนที่ ๒๕๒ จิตมีภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็ง ***
ผู้มีปัญญาธรรม จะอยู่กับโลก อย่างเข้าใจในโลก ไม่ปนเปื้อนไปกับกิเลสตัณหา เห็นทุกอย่างเป็นธรรมดา ไม่ทุกข์ไม่สุขกับสิ่งใด ที่ผ่านมาแล้วผ่านไป อยู่กับโลกตามเหตุตามปัจจัย จนกว่ากายเนื้อจะดับไป ไม่ลุ่มหลงในโลกเลย
...ตอนที่ ๒๕๑ ทำเหมือนไม่ทำ ***
ผู้มีปัญญาธรรม จะทรงสภาวะของจิตที่สงบ สว่าง แจ่มแจ้งในสิ่งที่ทำ ทำสิ่งใด จะเกิดผลอะไร ทำไปอย่างไม่ลังเลสงสัย ทำไปอย่างปล่อยวาง ด้วยแสงสว่างแห่งปัญญา ทำไปด้วยความสบาย ไม่หนักไม่เหนื่อย ทำไปเหมือนไม่ได้ทำ
ผู้มีปัญญาธรรม จะนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ รู้ว่าเวลาไม่เคยคอยใคร จะสร้างความดี ในเหตุปัจจัยที่มี อยู่ในกรอบของดี ใช้เวลาทุกวินาที ให้ห่างจากกิเลส ตัณหา ให้มากที่สุด แข่งกับเวลา เช่นนี้ มีอยู่ในผู้มีปัญญาธรรม
...ตอนที่ ๒๔๙ รู้ว่าเกิดแล้วต้องตายแน่ ***
บุคคลที่มีปัญญาธรรม จะรู้ว่าร่างกายเกิดจากกรรม เป็นไปตามกรรม แล้วต้องเสื่อมสลาย ตายไปเป็นธรรมดา ไม่เป็นสุข ไม่เป็นทุกข์ ในสิ่งที่ได้มาแล้วเสื่อมไป ได้สิ่งใดมาจึงนำไปต่อยอดความดี จากผลบุญเก่าที่ทำเอาไว้ จึงเป็นผู้มีปัญญาแห่งธรรม
... ตอนที่ ๒๔๘ เพียบพร้อมศีลธรรม
ผู้มีปัญญาธรรม จะรักษาศีลอย่างดี ไม่ให้มีรูรั่ว เพื่อเป็นเกราะแก้ว คุ้มครองจิตให้ห่างจากกิเลสตัณหา จนมีดวงธรรม ดวงสมาธิ ดวงปัญญา จิตจะอยู่เหนือกิเลสตัณหา จะรักษาหรือไม่รักษา ก็ทรงศีล ทรงธรรม อยู่เช่นนั้นเอง
...พุทธธรรมวาระพิเศษ วันปีใหม่ 2561
เราเกิดมา เป็นคนครั้งหนึ่ง ชีวิตของเรา เหมือนอยู่บนเส้นทาง ที่เรานั้นจะต้องวิ่งไป ให้ถึงเส้นชัยในสักวัน ไม่ว่าเราจะนอนอยู่ จะตื่นอยู่ จะเดินอยู่ นั่งอยู่ สุขอยู่ ทุกข์อยู่ เวลานั้นก็เดินไปตลอดเวลา ตามหน้าที่ของมัน วันหนึ่ง เราก็ต้องถึงเส้นชัย แต่เราเกิดมาครั้งหนึ่ง เราทำความดีแข่งกับเวลา หรือทุกข์แข่งกับเวลา เราสร้างกรรมชั่วแข่งกับเวลา ลองทบทวนดูให้ดี เวลาที่เหลืออยู่ เราใช้ความดี ในการวิ่ง ทำแต่ความดี แข่งกับมัน หรือปล่อยให้ความทุกข์ วิ่งแข่งกับเวลาที่เหลืออยู่ ปล่อยให้ความโลภ ความโกรธ ความหลง ปล่อยให้สิ่งต่างๆเหล่านั้น ครอบงำเรา แล้ววิ่งไปตามเส้นทางหรือเปล่า ลูกทั้งหลาย การที่เรามัวแต่ทุกข์อยู่ มัวแต่หลงอยู่ มัวแต่โกรธอยู่ มัวแต่ยุ่งเรื่องของชาวบ้านอยู่ มัวแต่วุ่นวายในสิ่งต่างๆทั้งหลายนั้น เส้นชัยที่เรานั้น จะต้องวิ่งไปให้ถึง เขาก็เดินไปตามกาลเวลาของเขาอยู่ตลอด เรามัวแต่ทุกข์อยู่ จมอยู่ เวลาของเราหมดเมื่อไหร่ เราก็ต้องกลับมานับใหม่ เริ่มใหม่ มาทุกข์อยู่ หลงอยู่ เป็นอยู่อย่างนั้น ไม่รู้จักจบสิ้นเลย
...ตอนที่ ๒๔๗ ไม่จำไม่จดแต่รู้หมดในสิ่งที่เกิด ***
ผู้มีปัญญาธรรม ไม่ต้องจำไม่ต้องจด จะรู้เข้าใจหมดในสิ่งที่เกิด โดยไม่ต้องคิด ไม่ต้องพิจารณา ก็จะรู้ว่ามันเกิดขึ้นมาด้วยเหตุใด รู้แจ่มแจ้งขึ้นมาเอง เช่นนั้น สำหรับผู้มีดวงปัญญาแห่งธรรม
...ตอนที่ ๒๔๖ รู้จักของจริงของปลอม
ผู้มีปัญญา จะรู้ค่าแห่งธรรม เห็นสิ่งสมมุติทั้งหลาย เป็นของปลอม ขวนขวายดิ้นรนขนมากองไว้ จะมากเท่าใด ของปลอมทั้งหลาย ท้ายที่สุดก็สลายหายไปอยู่ดี จึงปล่อยวาง ไม่ยึดติด ลุ่มหลงในสิ่งใด จิตจึงผ่องใส เลื่อนเข้าสู่ความพ้นทุกข์
...ตอนที่ ๒๔๕ รู้จักพระพุทธเจ้าองค์จริงองค์ปลอม
ผู้ที่ทำความดี เพื่อดับกิเลสตัณหา เพื่อดับการเกิด บุคคลผู้นั้น จึงจะสามารถพบพระพุทธเจ้าองค์จริง หากทำความดี ที่ยังมีความลุ่มหลง ยึดคิดในความดี มีความชั่วแอบแฝงในการทำความดี จะทำให้หลงทาง ไปพบกับพระพุทธเจ้าองค์ปลอม พบแต่ความทุกข์ ในการทำความดี
...ตอนที่ ๒๔๔ รู้ว่าจิตติดเชื้อหรือหายดีแล้ว ***
ร่างกายจะเจ็บป่วยด้วยเชื้ออะไร จะทุกข์จะร้อน จะเจ็บป่วยไข้ มีอาการเป็นเช่นใด ผู้มีปัญญาธรรมดีแล้ว ย่อมเห็นจิตของตนได้ชัดเจน เปรียบเช่นกับร่างกาย จิตจะเจ็บป่วยด้วยเชื้อกิเลสอะไร สามารถชำระเชื้อกิเลสให้หายไปจากจิตใจตน ความสามารถเช่นนี้ มีอยู่ในผู้มีปัญญาธรรม
...ตอนที่ ๒๔๓ เห็นความเหมือนในความแตกต่าง ***
ธรรมะมีมากมายมหาศาล ก็เหมือนมีน้อย โลกจักรวาลวัฎสงสาร ล้วนมีสิ่งเหมือนกันและแตกต่าง ผู้มีปัญญาแจ่มแจ้งในธรรมแล้ว ล้วนเห็นความเป็นธรรมชาติ มีขึ้น ตั้งอยู่ แล้วสลายไป เห็นทุกอย่างไม่แตกต่างกันเป็นธรรมดา เห็นความเหมือนในความแตกต่าง เช่นนั้น
...ตอนที่ ๒๔๒ กายป่วยแต่จิตไม่ป่วย
ผู้มีปัญญา จะเห็นตามความเป็นจริงของร่างกาย ไม่ยึดติดยึดถือว่าเป็นของตน สามารถยกจิตอยู่เหนือกาย กายจะเป็นไข้ จิตจะไม่ป่วยไปด้วยเลย เห็นมันต้องเสื่อมไปเป็นธรรมดา เช่นนั้น สำหรับผู้มีปัญญาธรรม
... ตอนที่ ๒๔๑ รู้เท่าทันกิเลสตัณหา ***
ดวงจิตผู้รู้ จะรู้ทันกิเลส รู้ทันตัณหา มีสิ่งใดปรุงแต่งผ่านกายผ่านใจมา จิตจะเข้าใจ รู้ทันทุกอย่างเห็นเป็นธรรมดา จะสามารถยกจิตเหนือกิเลสตัณหา ไม่สุขไม่ทุกข์กับสิ่งใดที่ผ่านมา จึงถือว่าเป็นผู้มีปัญญาธรรม
...ตอนที่ ๒๓๘ ไม่สุขไม่ทุกข์ในสิ่งที่มีที่เป็น ***
ผู้มีปัญญาธรรม จะไม่ลุ่มหลงกับสิ่งใด ไม่ว่าจะสมมุติว่าเป็นใคร จะได้สิ่งใดมา ก็จะนำมาสร้างความดี จัดสรรไปตามเหตุตามปัจจัย ทำไปอย่างไม่สุขไม่ทุกข์ ปล่อยวางได้ ไม่ว่าสิ่งใด จะเป็นไปเช่นใด
...ตอนที่ ๒๓๙ กายเคลื่อนแต่จิตไม่เคลื่อน ***
ผู้มีปัญญาธรรม จิตจะปล่อยวาง ปราศจากการปรุงแต่ง จิตสงบนิ่งไม่หวั่นไหวไปตามกระแส กายจะเคลื่อนไปในทิศทางใด ไปกับไม่ไปมีค่าเสมอกัน ไม่รู้สึกแตกต่างในสิ่งที่ทำ ในสิ่งที่เป็น เห็นทุกอย่างเป็นธรรมดา
บุคคลที่มีปัญญาธรรม เมื่อได้ความเป็นทิพย์ มีคุณวิเศษ จะไม่ลุ่มหลงในสิ่งที่มี ที่ได้ รู้ว่าดวงจิตทั้งหลาย ล้วนเป็นไปตามกรรม เป็นธรรมดา จะไม่นำคุณวิเศษนั้น ไปละเมิดกฎของกรรม ทำตามเหตุปัจจัยที่สมควรแก่เหตุเท่านั้น
...ตอนที่ ๒๓๗ ระลึกรู้เท่าทันในสิ่งที่ทำ ***
ผู้มีปัญญา จะรู้เท่าทันในสิ่งที่คิด ที่พูด ที่ทำ โดยพิจารณาอยู่ในกรอบของศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา รู้เท่าทันปัญหา รู้วิธีแก้ไข ปล่อยวางได้ จึงเป็นผู้รู้แจ้ง มีแสงสว่างแห่งปัญญาธรรม
...ตอนที่ ๒๓๖ ใครจะทำดีทำชั่วช่างตัวเขา
ผู้มีปัญญา จะวางใจเป็นกลาง เห็นทุกอย่างเป็นธรรมดา บอกแล้วเตือนแล้ว ก็ปล่อยวาง ใครจะไปทำดีทำชั่วช่างตัวเขา ไม่รับเอาการกระทำของผู้อื่น เข้ามาให้ตนเองเป็นทุกข์ จึงจะถือว่าเป็นผู้มีปัญญาแห่งธรรม
...ตอนที่ ๒๓๕ อยู่กับปัญหาอย่างไม่มีปัญหา
ผู้มีปัญญาธรรม ย่อมอยู่กับปัญหา อย่างไม่มีปัญหา เห็นสิ่งทั้งหลายเป็นธรรมดา แม้กายแห่งตนก็จะเห็นเป็นเพียงท่อนไม้ ท่อนฟืน ไม่มีประโยชน์อันใด จะไม่รุ่มร้อนไปกับสิ่งใด มีปัญญาแก้ไข ในสิ่งที่เกิดขึ้น ตามเหตุตามปัจจัย แต่ไม่สุขไม่ทุกข์อะไร ในสิ่งที่ทำ
...ตอนที่ ๒๓๔ รู้จุดมุ่งหมายของการบวช
สังสารวัฏนั้นยาวไกล ดวงจิตทั้งหลาย ถูกกิเลส ตัณหาหลอก ให้ต้องเดินเวียนเดินวน เวียนเกิดเวียนตาย เวียนทุกข์ ไม่รู้จักจบสิ้น การออกบวชเพื่อจะได้มี ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา จะได้รู้แจ้ง ตามความเป็นจริงของชีวิต จะได้ไม่เดินหลงทาง
...ตอนที่ ๒๓๓ รู้คุณค่าของการลงทุนไม่ให้สูญเปล่า
ด้วยบุญกุศลเก่าที่สร้างที่ทำมา เคยค้ำหนุนค้ำจุนพระพุทธศาสนา ให้มีบุญวาสนาบารมี ได้ออกบวชในครั้งนี้ จึงเป็นการลงทุน นำบุญเก่าออกมาใช้ เพื่อต่อยอดความดีเก่าที่ทำไว้ ให้เพิ่มพูนเพิ่มกำไร ให้ถึงที่สุดของความดี
...ตอนที่ ๒๓๒ รู้คุณค่าของการออกบวช
นักบวช ผู้ที่รู้คุณค่าของการบวช จะรีบเร่งขวนขวาย ทำความดี เจริญในศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา เพื่อชำระกิเลส ตัณหา ที่มีในตนให้หมดไป ให้สมกับคุณค่าที่ได้รับมา จึงจะเป็นผู้มีปัญญาแห่งธรรม
...ตอนที่ ๒๓๑ รู้ในบ่วงแห่งใจสายใยครอบครัว
ผู้มีปัญญาธรรม ย่อมรู้เข้าใจในบ่วงของกรรม ที่ทำให้เกิดเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่เป็นน้อง เป็นลูก พันผูกให้เกิดความรัก ความห่วงใย ซึ่งล้วนมาจากผลของกรรม ที่ทำร่วมกันมา จะดีหรือชั่ว ให้ได้รับความสุข ความทุกข์ ย่อมเกิดแต่กรรม จึงปล่อยวาง ไม่ทุกข์ ในเหตุที่มันเป็นไป
...ตอนที่ ๒๒๙ รู้ในเหตุที่กระทบกายใจ ***
รู้เหตุที่เกิดขึ้นในกาย รู้เหตุที่อยู่ภายนอก ที่มากระทบใจ รู้เหตุรู้ผลที่มันเป็นไป ในกฎของกรรม และความไม่เที่ยงแท้ของสรรพสิ่ง เข้าใจในความเป็นจริง แล้วปล่อยวางได้ จึงจะเป็นผู้มีปัญญาแห่งธรรม
...ตอนที่ ๒๓๐ รู้ในความเป็นจริงของร่างกาย
ผู้ที่รู้เข้าใจในธาตุสี่ ขันธ์ห้า ที่รวมกันมาเป็นร่างกาย เจ็บป่วยด้วยเหตุอะไร มาจากผลของกรรมอะไร รู้จึงแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาดไป แล้วถอดถอนในสิ่งที่ไม่ดีภายใน ปล่อยวางในจิตใจ จนพ้นความทุกข์ จึงจะถือว่าเป็นผู้มีปัญญาแห่งธรรม
... ตอนที่ ๒๒๘ รู้ในการเกิดการดับ ***
คำสอนของพระพุทธเจ้า ให้เรารู้เหตุของทุกข์ เมื่อรู้เหตุของทุกข์ ก็รู้เหตุของการเกิด เมื่อรู้เหตุของการเกิด ก็รู้เหตุของการดับการเกิด แล้วประพฤติปฏิบัติตามให้ได้ เมื่อการเกิดดับไป ความทุกข์ทั้งหลายก็หายไป ง่ายๆเช่นนี้เอง
ผู้ที่รู้ว่าตนเป็นใคร ทำไมต้องเกิด จะดับการเกิดได้อย่างไร จึงได้ปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรม สมาธิ ปัญญา จนอยู่เหนือกิเลส ตัณหา และสลายหนี้กรรมที่ทำมา จนสามารถถอดถอนตัวตน กลับไปสู่ธรรมชาติของจิต บุคคลผู้นั้นถือได้ว่า เป็นผู้มีปัญญาแห่งธรรม
...ตอนที่ ๒๒๖ รู้เหตุของทุกข์ ***
ความทุกข์ทั้งหลาย เกิดขึ้นได้เพราะมีเรา เราทั้งหลายเกิดขึ้นมาได้ เพราะความไม่รู้ตามความเป็นจริง จึงถูกกิเลส มีความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ ครอบงำจิตใจ ทำให้สร้างกรรมที่ไม่ดีขึ้นมา จึงส่งผลให้เกิดปัญหา เกิดความทุกข์ขึ้นมา จากการกระทำของตน
ปัญญาธรรรม คือ การรู้แจ้ง เข้าใจความเป็นจริงของชีวิต เข้าใจกฎของธรรมชาติ กฎของกรรมและกฎของความไม่เที่ยงแท้ รู้เหตุที่เกิด รู้สิ่งที่ดับไปเป็นธรรมดา ด้วยการ มีศีล ธรรม สมาธิ จึงรู้ตามความเป็นจริง จึงปล่อยวาง เห็นทุกอย่างเป็นธรรมดา จึงไม่เป็นทุกข์ เช่นนี้ จึงเป็นผู้มีปัญญาแห่งธรรม
...ตอนที่ ๒๕๔ ไม่มีความโลภ ***
ผู้มีปัญญาธรรม จะไม่ยึดติด ลุ่มหลงในสิ่งของข้าวของ ถ้ามีสิ่งใดก็จะจัดสรรไป ให้เกิดประโยชน์ นำไปสร้างความดี ถ้ายังไม่มี ก็ไม่อยากได้ อยากมี อยากเป็น ให้เบียดเบียนตน จนผู้อื่นต้องเป็นทุกข์ เป็นผู้อยู่เหนือเชื้อของความโลภ ความหลง
...ตอนที่ ๒๕๕ เชื้อความโกรธทำอะไรไม่ได้ ***
ผู้ที่มีแสงสว่างแห่งปัญญา จะรู้แจ้งเห็นภัยในความโกรธ ที่จะคอยแผดเผาดวงจิตทั้งหลาย ให้เร่าร้อนเป็นทุกข์ เขาจะยกจิตให้อยู่เหนือเชื้อ ไม่ให้มากล้ำกราย ทำให้จิตใจ เศร้าหมอง เพราะเชื้อความโกรธนั้นเลย
...ตอนที่ ๒๕๖ รู้หน้าที่แห่งตน
เราได้สมมุติเป็นอะไร ก็ให้ทำหน้าที่ของตนให้ดี ผู้เป็นนักบวช ย่อมต้องเจริญในศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา ชำระกิเลส ตัณหา รักษาจิตให้สะอาดบริสุทธิ์ จึงจะเป็นผู้มีปัญญา รู้จักหน้าที่แห่งตน
...พุทธธรรมวาระพิเศษ ข้อสงสัยในเรื่องพระผู้สร้างโลก
พระยาธรรมิกราช ได้เผยแผ่ธรรม เรื่องพระผู้สร้างโลกจักรวาล ได้มีผู้ที่คัดค้าน และสงสัย ในสิ่งที่เผยแผ่ออกไป เพื่อให้คลายความสงสัย ป้องกันไม่ให้หลายดวงจิตต้องสร้างกรรมไม่ดี จึงได้น้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ปัจจุบัน ทูลถามเรื่องของพระผู้สร้างโลก ให้เกิดความรู้กระจ่างแจ้ง เพื่อนำมาเผยแผ่ ถ้าบุคคลใด ปรารถนาที่รู้ตาม ก็ขอเชิญเปิดจิตเปิดใจรับฟังคลิปเสียงนี้ แต่จะเข้าใจตามได้หรือไม่ ก็ขอให้ปล่อยวาง ตราบใด ที่ดวงจิตยังติดอยู่ในวัฏสงสาร เรายังไม่ใช่ผู้ที่รู้แจ้งโลก
...ตอนที่ ๒๕๗ รู้เข้าใจในการฟังธรรม *****
ผู้ที่มีปัญญาธรรม เมื่อฟังธรรม จะน้อมนำมาพิจารณา ว่าธรรมนั้นสอนเกี่ยวกับอะไร พิจารณาธรรมให้เข้าใจ เหมาะสำหรับนำมาประยุกต์ใช้ ให้เกิดประโยชน์แก่ตน ได้หรือเปล่า ในสภาวธรรมที่เราเป็นอยู่ จึงจะเป็นผู้ที่ฉลาดรอบรู้ในธรรม
(พืจารณาธรรมจากคำภีร์ และจากหลวงปู่หลวงตา)
...พุทธธรรมวาระพิเศษ บวชแล้วไม่รู้จะไปต่อทางไหนดี ***
บวชมาแล้ว จิตใจยังสับสนวุ่นวาย จะหวนกลับไปทางโลก ก็เคยเจอทุกข์มาแล้ว เลยไม่รู้จะไปทางไหนดี น่าสงสารยิ่งนัก ให้ตั้งใจใหม่ ตั้งเป้าหมายไว้ บวชไปเพื่อให้ถึงซึ่งพระนิพพาน คอยดูจิตว่ามีกิเลสตัวไหน ครอบงำอยู่ มีศีลใดที่ยังบกพร่อง ให้แก้ไขให้ดี อย่าให้มีรูรั่ว ฝึกสมาธิอย่างตั้งใจ พิจารณาธรรมให้เข้าใจเหตุที่เกิด เหตุที่ดับ และทำเหตุที่ดับให้ได้ ทำให้ได้แค่นี้ ความสับสนวุ่นวาย ความทุกข์ทั้งหลายก็จะหายไป
...ตอนที่ ๒๕๘ รู้จักทางลัดกลับสู่พระนิพพาน *****
ผู้มีปัญญา จะดูแค่จิตตน คอยทำความดี ชำระกิเลส ตัณหา ให้เกิดแสงสว่าง เกิดดวงปัญญา เกิดความรู้แจ้งขึ้นมาในตน ไม่คอยแต่สนใจเรื่องของคนอื่น วุ่นเรื่องของชาวบ้าน จึงจะเป็นผู้รู้ทางลัด กลับสู่พระนิพพาน
...ตอนที่ ๒๕๙ เข้าใจในเหตุที่ค้นหาตัวตน *****
ทุกข์ทั้งหลาย เกิดมาได้เพราะมีเรา เราทั้งหลายเกิดขึ้นมาได้ จากผลของกรรม กรรมทั้งหลายเกิดขึ้นมาได้ ด้วยความหลง ความไม่รู้ตามความเป็นจริง จึงสร้างกรรมขึ้นมา ทำให้เกิดเป็นเรา เหล่านี้ จึงเป็นเหตุผล ที่ต้องค้นหาตัวตน เพื่อดับเหตุแห่งเรา ดับเหตุของความทุกข์
บุคคลที่มีปัญญา จะพึงเห็นความเป็นจริงของร่างกาย เห็นวันเวลาที่เติบโตตามวัย เห็นความเสื่อมไปทั้งหลาย จึงรู้ตื่น ไม่ลุ่มหลง ในสิ่งที่มี สามารถนำไปสร้างความดี ก่อนที่มันจะเสื่อมไป เช่นเดียวกันกับร่างกาย
...ตอนที่ ๒๖๑ ทำความดีแข่งกับเวลา
ผู้มีปัญญา จะไม่เอากายของตน หรือกายของบุคคลผู้อื่น มาเป็นเรื่องใหญ่ ที่ต้องวุ่นกับการกิน การตกแต่งร่างกาย เรื่องลาภยศ สรรเสริญ มาทำให้เสียเวลา จะทำสิ่งที่ดี เพื่อขัดเกลากิเลสตัณหา จะทำดีแข่งกับเวลา เพราะ รู้คุณค่าของเวลาที่เสียไป
...ตอนที่ ๒๖๒ การปล่อยวางอย่างถูกต้อง ***
เส้นทางชีวิตล้วนแตกต่าง การจะปล่อยวาง ไปสู่เส้นทางความหลุดพ้น จึงต่างกันไป บางคนสลัดทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางแบบหักดิบ ออกบวชเพื่อหาทางหลุดพ้น หรือ บางคนบวชใจก่อน ปล่อยวางภายในจิตใจ มีหน้าที่อะไรก็ทำไป จนถึงเหตุปัจจัย จึงค่อยปล่อยวางทุกอย่างที่มี ก็เป็นวิธีปล่อยวาง ที่ดีสำหรับบางคน
... ตอนที่ ๒๖๓ การเคารพนับถือในทางธรรม
ผู้มีปัญญาธรรม เขาจะแยกแยะในการเคารพนับถือ ตามลำดับของศีล ผู้ที่มีศีลห้าต้องเคารพต่อผู้มีศีลแปด ผู้มีศีลแปดต้องเคารพต่อผู้มีศีลสิบ ผู้ที่มีศีลสิบต้องเคารพต่อผู้ที่มีศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ด โดยที่ปฏิบัติตนอยู่ในความดีตามระดับของศีลที่รักษา จึงเป็นการเคารพที่ถูกต้อง เพื่อเป็นการดับอัตตาตัวตน จะได้เข้าถึงความพ้นทุกข์
ผู้มีปัญญา จะแยกแยะ สิ่งที่รู้ สิ่งที่เห็น จากความเป็นทิพย์ กับสิ่งที่คิดขึ้นเอง จากการพิจารณาดูจิตของตน ว่าสงบ หรือสับสนวุ่นวาย เป็นสิ่งที่คิดเอาไว้ก่อน หรือเปล่า สอนให้ผิดศีลผิดธรรม มีเหตุมีผล หรือเปล่า เมื่อลองนำไปปฏิบัติตาม แล้วได้ผลเป็นยังไง เหล่านี้ เป็นวิธีพิสูจน์ ความเป็นจริงในสิ่งที่เห็น
...ตอนที่ ๒๖๕ หลักธรรมของพระพุทธเจ้า
คำสอนในคัมภีร์ มีเยอะแยะมากมาย คำสอนครูอาจารย์ มีแพร่หลาย มีความรู้ ความเห็น ที่เหมือน ที่ต่างกันออกไป เลยทำให้สับสน ในกลุ่มคนที่ปฏิบัติตาม จะให้ยึดหลักอะไร อย่างไหนถึงจะดี
...ตอนที่ ๒๖๖ การสืบทอดธรรมที่ถูกต้อง
การที่พุทธศาสนา จะมีความเจริญรุ่งเรือง มีพระธรรมคำสอน สืบต่อให้คนรุ่นหลัง ได้ศึกษาอย่างถูกต้อง ผู้ถ่ายทอดธรรม ต้องน้อมนำคำสอนมาปฏิบัติ ให้สำเร็จธรรม แจ่มแจ้งด้วยตนเองเสียก่อน พระธรรมที่ถ่ายทอดไป จึงจะไม่ผิดเพี้ยน ตกหล่น ให้คนเดินตามต้องหลงทาง
...ตอนที่ ๒๖๗ การถวายเป็นพุทธบูชาที่สูงสุด
การกระทำสิ่งใด ที่จะเป็นเหตุปัจจัย ให้ถึงความพ้นทุกข์ เป็นการกระทำที่ดี มีอานิสงส์มาก การมอบกายถวายชีวิต ถวายจิต กาย ใจ เป็นพุทธบูชา แล้วนำมาดูแลรักษาให้แก่พุทธองค์ โดยไม่นำไปสร้างกรรมชั่ว ทำแต่ความดี อยู่ในกรอบของศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา จึงจะสำเร็จผลในการถวาย และเป็นการถวายบูชาที่สูงสุด
...ตอนที่ ๒๖๘ คนดีไม่มีที่ยืน ***
เมื่อมีการสร้างความดี ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ล้วนโดนติฉินทาว่าร้าย โจมตีจนไม่มีที่จะยืน ผู้มีปัญญาจะเห็นเป็นธรรมดา เพราะดวงจิตในวัฏสงสาร ล้วนตกเป็นทาสของพญามาร เมื่อมีดวงจิตใดหาญกล้าสร้างความดี ย่อมโดนมารโจมตีเป็นธรรมดา ดวงจิตที่เอาชนะมาร ล้วนไปนิพพานหมดแล้ว
คนเรามีทุกอยู่ ๒ อย่าง คือ ทุกข์กาย และ ทุกข์ใจ บุคคลผู้ที่รู้ถึง ความทุกข์ในตน และ ทุกข์ในบุคคลผู้อื่น รู้ว่าเหตุของทุกข์เกิดจากอะไร รู้วิธีการรักษา อยู่ในกรอบของศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา จึงเป็นผู้ที่มีปัญญาแห่งธรรม
...ตอนที่ ๒๗๐ อยู่เหนือความปราณีต
บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรม จะอยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ สิ่งที่ละเอียดปราณีต อย่างไม่ลุ่มหลง ติดอยู่ในสิ่งที่มี ที่เป็น ในสิ่งที่ได้มา จะจัดสรรไปตามเหตุตามปัจจัย ให้เกิดประโยชน์แก่โลก โดยไม่รู้สึกดีใจที่ได้มา และ เสียดายในสิ่งเสื่อมไป จะอยู่เหนือสิ่งภายนอก ไม่ให้มากระทบจิตใจ ให้เป็นสุขเป็นทุกข์ได้เลย
...ตอนที่ ๒๗๑ เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต
ผู้ที่รู้ทัน ในเหตุที่เกิดแก่ตน เข้าใจในผลของกรรม ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใด เกิดสิ่งที่ดีหรือไม่ ก็ยอมรับให้เป็นไป จะไม่สร้างกรรมไม่ดีเพิ่ม เติมแต่ความดี มีศีลธรรม จิตสงบเย็น เป็นผู้มีปัญญา รู้จักการถอดถอนอัตตา จนถึงความว่าง เห็นทุกอย่างไม่มีอยู่จริง เป็นแค่สิ่งสมมุติ จึงเป็นผู้มีปัญญาแห่งธรรม
...ตอนที่ ๒๗๒ การวางเฉยที่ถูกต้อง
ผู้มีปัญญาธรรม จะจัดสรรไปตามเหตุ ตามปัจจัย ไม่ได้ใช้ความอยาก ความไม่อยาก ความลุ่มหลง ความยึดติดในสิ่งใด ใช้สติปัญญา พิจารณาหาความจริงที่ซ้อนอยู่ ด้วยความรู้แจ้งในสิ่งที่ทำ จะวางเฉยทุกขณะจิต ในสิ่งที่เป็นไป วางจิตอยู่ในอุเบกขาอารมณ์ จึงเป็นการวางเฉยของผู้มีปัญญาแห่งธรรม
...ตอนที่ ๒๗๓ วิธีการออกจากวัฏสงสาร
ผู้ที่ปรารถนาดับการเกิด ย่อมต้องศึกษาให้เข้าใจ กฎในวัฏสงสาร ๒ ข้อ คือ กฎของกรรม และกฎของความไม่เที่ยง เพื่อจะได้ไม่ลุ่มหลง ในสิ่งที่มี ที่เป็น จะทำแต่ความดี ไม่ยึดติดในสิ่งใด สลายทุกอย่างที่มี แม้แต่ตัวตน จนถึงความว่างเปล่า เป็นกติกาของการก้าวออกจากวัฏสงสาร ของผู้ปรารถนาพระนิพพาน
...ตอนที่ ๒๗๔ ตราบใดที่ยังมีเรา เงาก็ยังมีอยู่
การทำความดี ที่ยังยึดถือในความดี ทำให้มีอัตตาตัวตน ยังไม่พ้นบ่วงมาร ความดีอาจจะนำพา ให้เราเป็นพญามารผู้ยิ่งใหญ่ ยิ่งทำดีมาก ยึดติดมาก ยิ่งหลงมาก จนกว่าจะทำดี เพื่อดับความลุ่มหลง ความยึดดี เพื่อสลายตัวตน จึงจะพ้นจากอำนาจของมาร
การบูชาไม่ว่าสิ่งใด อย่าบูชาด้วย ความยึดติด ลุ่มหลง ให้น้อมนำความดี จากสิ่งที่บูชา มาประพฤติปฏิบัติตน ให้ถึงความไม่มีตัวตน ดับกิเลส ตัณหา จึงจะเป็นการบูชาที่ได้ประโยชน์สูงสุด
...ตอนที่ ๒๗๖ ไม่เร่งรีบจนเกินไป
การที่จะเป็นผู้เผยแผ่ธรรม ควรพิจารณาความเป็นจริง ให้ละเอียด ลึกซึ้งเสียก่อน ดูข้างนอก ดูข้างใน ขัดเกลาจิตใจ ให้สะอาดบริสุทธิ์ จนถึงความหลุดพ้นอย่างแท้จริง จะได้ไม่ประกาศธรรมออกไป ให้ผู้อื่นต้องเดินหลงทาง
...พุทธธรรมวาระพิเศษ วันแห่งความรัก
ความรักแบบมีเชื้อ เป็นความรักที่เห็นแก่ตัว ต้องดิ้นรนแสวงหาให้ได้มา ต้องรักษาประคองไว้ ท้ายที่สุดก็เสื่อมรักนั้นไป แล้วแสวงหารักอื่นมาแทน ความรักจึงเป็นความหลง ให้ดวงจิตทั้งหลาย ต้องทุกข์ทน ตราบใด ที่ยังอยู่ใต้อำนาจของความรัก
...ตอนที่ ๒๗๗ อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ
ผู้ที่ปรารถนา จะไปพระนิพพาน จะมีกรรมที่ไม่ดีเข้ามา เพื่อสลายจ่ายหนี้กรรม มีกรรมดีเข้ามา เพื่อสลายบุญสัมพันธ์ที่ดี ที่มีต่อกัน จึงควรยืนหยัด ทำความดีต่อไป อย่างเข้มแข็ง อย่างรู้แจ้ง ไม่อ่อนแอ ไม่พ่ายแพ้ ต่อสิ่งทั้งหลายที่กระทบมา เพื่อสลายอัตตาตัวตน ไม่ต้องกลับวนมาเกิด อีกต่อไป
การทำความดี มี ๒ รูปแบบ แบบที่ ๑ ทำความดี ที่ยังยึดติด ลุ่มหลง ในความดีที่ทำ ยังผลให้เกิดในสวรรค์ แบบที่ ๒ ทำความดี เพื่อชำระกิเลส ดับตัณหา สลายกรรมดี และสลายกรรมชั่ว เพื่อสลายตัวตน เป็นความดีอันสูงสุด
...ตอนที่ ๒๗๙ ธรรมะเป็นสิ่งละเอียดอ่อน
ผู้มีปัญญา จะรู้ว่าดวงจิตในโลกนี้ มีมากมาย ต่างมีกรรม มีกิเลสตัณหาที่แตกต่าง จะให้เข้าใจหนทาง ที่ละเอียดซับซ้อนของบุคคลอื่น ย่อมยากที่จะเข้าใจ ตราบใด ที่เรายังไม่เข้าใจ เข้าถึง หนทางพ้นทุกข์แห่งตน
สำรวมอยู่ตรงไหน สำรวมอย่างไร จึงจะเป็นการสำรวมที่ดี สำรวมที่กาย ไม่ทำร้ายทำลายใคร สำรวมวาจา ไม่พูดร้าย สำรวมใจ ไม่คิดร้ายกับผู้ใด ให้พิจารณาดูจากศีล ที่ได้สมาทาน และ ไม่เป็นการเพิ่มกิเลสตัณหาเข้ามา จึงเป็นการสำรวม ที่ถูกต้องอย่างแท้จริง