...ตอนที่ ๓๒ ศีลภิกษุ สังฆาทิเสส ข้อที่ ๘-๑๐
ศีลสังฆาทิเสส ข้อที่ ๘. ภิกษุแกล้งโจทภิกษุอื่นด้วยอาบัติปาราชิกไม่มีมูล ๙. แกล้งหาเลสโจทภิกษุอื่นด้วยอาบัติปาราชิก ๑๐. ภิกษุพากเพียรเพื่อจะทำลายพระสงฆ์ให้แตกกัน ศีลทั้งสามข้อนี้ให้ป้องกันความโกรธ ที่เกิดจากกลั่นแกล้งกันในหมู่พระภิกษุ
...ตอนที่ ๓๑ ศีลภิกษุ สังฆาทิเสส ข้อที่ ๖-๗
ศีลภิกษุ สังฆาทิเสส ข้อที่ ๖ ห้ามสร้างกุฏิด้วยการขอ ข้อที่ ๗ ห้ามสร้างวิหารใหญ่โดยสงฆ์มิได้กำหนดที่ให้ สิกขาบทสองข้อมีไว้ ป้องกันความโลภ ความหลง ไม่ให้ขวนขวายสร้างที่อยู่อาศัย ให้มากจนเกินความพอดี จนสร้างความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่น
...ตอนที่ ๓๐ ศีลภิกษุ สังฆาทิเสส ข้อที่ ๑-๕
ศีลสังฆาทิเสส มี ๑๓ ข้อ เป็นอาบัติรองลงมาจากปาราชิก ภิกษุที่ล่วงอาบัติแล้ว ต้องอยู่ปริวาสกรรม เพื่อให้สงฆ์คืนความบริสุทธิ์ให้ ศีลข้อที่ ๑-๕ จะเป็นศีลที่ป้องกันเชื้อราคะ ที่จะเข้ามาครอบงำจิตใจ ให้ภิกษุเร่าร้อนเป็นทุกข์
... ตอนที่ ๒๙ ศีลภิกษุ ปาราชิก ข้อที่ ๓-๔
ศีลปาราชิกข้อที่ ๑ ห้ามเสพเมถุน มีไว้ป้องกันเชื้อความรัก ข้อที่ ๒ ห้ามลักทรัพย์ ป้องกันเชื้อความโลภ ข้อที่ ๓ ห้ามฆ่ามนุษย์ มีไว้ป้องกันความโกรธ ศีลข้อที่ ๔ ห้ามอวดอุตริมนุสธรรม เพื่อป้องกันความหลง ศีลจึงเป็นเกราะไม่ให้เชื้อโรคร้ายเข้ามาทำลายภิกษุ ที่บวชในพระธรรมวินัย ให้เร่าร้อนเป็นทุกข์
...ตอนที่ ๒๘ ศีลภิกษุ ปาราชิก ข้อที่ ๑-๒
ศีลพระภิกษุสงฆ์ มี ๒๒๗ ข้อ มีปาราชิก ๔ ข้อ ที่เป็นอาบัติหนัก เมื่อล่วงแล้ว จะไม่สามารถทำคืนได้ จะขาดความเป็นภิกษุสงฆ์ทันที สิกขาบทที่ ๑ ห้ามเสพเมถุน และ สิกขาบทที่ ๒ ห้ามลักทรัพย์ ล่วงไปแล้วจะต้องชดใช้กรรมที่หนักมาก พระภิกษุจึงควรพิจารณา อย่าให้ผิดศีลปาราชิกโดยเด็ดขาด
สามเณร คือ ผู้ออกบวชในพระธรรมวินัย ในพระพุทธศาสนา รักษาศีลสิบข้อ เป็นกรอบความดี ป้องกันไม่ให้เชื้อแห่งความรัก โลภ โกรธ หลง เข้ามาทำลายต้นแห่งความดี การรับเงินทองก็รับได้ แต่สละออกไปเป็นของส่วนสาธารณะ เก็บไว้เฉพาะที่จำเป็นต้องใช้ แต่อย่าเป็นการสะสม ให้กิเลสงอกงามขึ้นมา
...ตอนที่ ๒๖ ศีลอุบาสกอุบาสิกา
ศีลแปด มีไว้เพื่อให้อุบาสก อุบาสิกา ชี พราหมณ์ ได้ชำระจิตกายใจ รักษาพรหมจรรย์ ให้ห่างจากกิเลสตัณหา ละความโกรธ ความโลภ ความรัก ความหลง ละความวุ่นวายในการกิน การนอน ละการปรุงแต่งในกาย ไม่ไปวุ่นวายในงานสังคม เพื่อจิตจะได้สงบ จะได้เข้าถึงมรรคผลนิพพาน
...ตอนที่ ๒๕ การรักษาศีลที่ถูกต้อง
ศีลเป็นกรอบความดี ที่ให้อยู่ห่างจากกิเลสตัณหา สมาทานรักษาศีล ตามกำลังของตน ให้อยู่ในทางสายกลาง อย่าให้เบียดเบียนใคร ให้ตึงเครียด หรือย่อหย่อน จนเกินไป จึงจะเป็นการรักษาศีล ที่ถูกต้องอย่างแท้จริง
...ตอนพิเศษ งานเททองหล่อพระ 2 เม ย 2560
สิ่งใดจะเป็นของเรา หรือเราจะเป็นของเขานั้น ขึ้นอยู่กับว่า เราจะได้ประโยชน์ในสิ่งที่มี ในสิ่งที่เป็น หรือว่าตกเป็นทาสของสิ่งที่มี ต้องเหนื่อยหนักในการแสวงหาและรักษาไว้ ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยในสิ่งที่มี เพราะไม่ได้นำไปสร้างความดี ให้เกิดประโยชน์แก่ดวงจิตของตน
...พุทธธรรมตอนพิเศษ งานผ้าป่าเททองร่วมใจ 1-2 เมษายน 2560
มหาเศรษฐีจะไม่ขาดจากโลกนี้ หากมนุษย์รู้จักการบุญ ทำทาน พระอรหันต์จะไม่ขาดจากโลก หากยังมีผู้ประพฤติปฏิบัติ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า การมาร่วมบุญในครั้งนี้ ขอให้ตั้งใจขวนขวายทำบุญ ตามที่ได้ตั้งใจมาเถิด เพื่อประโยชน์สุขแก่ตน และโลกจักรวาล
...ตอนที่ ๒๔ รู้คุณค่าในสิ่งที่ได้รับ
ดวงจิตในวัฏสงสาร มีมากมายนับไม่ถ้วน เมื่อมีโอกาสได้เข้ามาบวช จงรู้คุณค่าในสิ่งที่ได้รับมา อย่าปล่อยโอกาสที่ดี ให้ผ่านไปอย่างไร้ค่า ไม่รู้อีกกี่ภพชาติ จึงจะได้รับโอกาสเช่นนี้
...ตอนที่ ๒๓ เปิดคัมภีร์ธรรมในตน*****
สรรพสิ่งทั้งหลาย มีเหตุที่มาและเหตุที่ดับ เช่นเดียวกัน การพิจารณาให้เห็นธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในตน ก็จะสามารถเข้าใจธรรมชาติ ของทุกสิ่งทุกอย่างได้ ก็จะเกิดความรู้แจ้ง ไม่ปรารถนามีสิ่งใด อีกต่อไปแล้ว ก็จะเป็นผู้พ้นจากความทุกข์
...ตอนที่ ๒๒ ให้เป็นผู้รู้แจ้งในธรรม*****
นักบวชเมื่อเห็นทุกข์ แล้ววางทุกข์เข้ามาบวช ปล่อยวางภาระหน้าที่ทางโลก ที่ต้องทำ ต้องแบกเอาไว้ ละแล้วทุกสิ่ง เพื่อดับอัตตาตัวตน ชำระล้างวิบากกรรมให้หมดไป ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
...ตอนที่ ๒๑ ให้เป็นผู้รู้แจ้งในโลก
ไม่ว่าชีวิตจะเกิดมา ในรูปแบบใด ก็จะมีความทุกข์ที่ซ่อนอยู่ จะต้องพลัดพราก จากสิ่งที่รักที่พอใจ ไม่มีสิ่งใด ที่จะอยู่ตลอดกาลไปได้เลย นักบวชพึงพิจารณา ให้เห็นทุกข์เช่นนี้ จะได้เบื่อหน่ายในโลก จะได้หาทางหลุดพ้น ด้วยศีลธรรม สมาธิปัญญา ดับกิเลสตัณหา จะได้เป็นผู้ที่ไม่ต้องเกิดอีกต่อไป
...ตอนที่ ๑๙ พิจารณาให้รู้เท่าทันบททดสอบ
การศึกษาในทางโลก เมื่อปรารถนาเลื่อนชั้น ก็ต้องผ่านการสอบ เพื่อวัดระดับความรู้ การศึกษาในทางธรรม ก็เช่นเดียวกัน นักบวชพึงพิจารณา ให้เข้าใจในวิชาที่ศึกษา เมื่อมีบททดสอบเข้ามา จะได้รู้เท่าทันและสอบผ่านบททดสอบ จึงจะสามารถเป็นผู้สำเร็จในทางธรรม
...ตอนที่ ๑๘ พิจารณาจิตกายใจของตน*****
นักเดินทางสำรวจเส้นทาง ตรวจดูความพร้อมของยวดยาน ดูความพร้อมของจิตกายใจของผู้เดินทาง เช่นใด นักบวชพึงพิจารณาดูตน ดูเหตุปัจจัย ดูจิตกายใจในบำเพ็ญอยู่เสมอ เพื่อความสำเร็จ ถึงจุดมุ่งหมาย ดั่งที่ได้ตั้งใจ
...ตอนที่ ๑๗ พิจารณาให้รู้ในเหตุและผลที่เกิด
นักบวชพึงพิจารณา เมื่อสิ่งที่ใดเข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม ให้พิจารณาให้รู้ถึงเหตุที่เกิด ว่ามาจากอะไร ต้นตอมันอยู่ที่ไหน ไม่ควรเพ่งโทษคนอื่น ควรพิจารณาให้ดีก่อน ว่าเราได้ทำเหตุอะไรไว้ ผลถึงออกมาอย่างนี้ เมื่อรู้แจ่มแจ้งแล้ว จึงจะเป็นไม่เป็นทุกข์
...ตอนที่ ๑๕ พิจารณาพระนิพพาน*****
จักรวาลวัฏสงสาร เหมือนกรงนกที่ใหญ่มาก ไม่ว่านกจะบินสูงขนาดไหน ท้ายที่สุด ต้องโดนเชือดอยู่ดี พระนิพพานเปรียบเหมือนนกที่อยู่นอกกรง เป็นนกเสรีไม่อยู่ใต้กฎแห่งกรรม ไม่ต้องเกิดและต้องตาย ไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป
...ตอนที่ ๑๖ พิจารณาสิ่งที่เห็นให้เป็นธรรม
นักบวชพึงพิจารณา ในสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ให้เห็นเป็นธรรม เห็นตามความเป็นจริงที่ซ้อนอยู่ รู้ในเหตุที่เกิด รู้ในเหตุที่ดับ รู้แล้วปล่อยวาง ทำจิตว่างๆ จึงจะเป็นผู้พ้นจากความทุกข์
... ตอนที่ ๑๔ พิจารณาความไม่เที่ยง*****
นักบวชพึงพิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยงแท้ ทั้งภายนอก และ ภายในจิตใจเห็นเป็นธรรมดา จะคลายความยึดติด ลุ่มหลง ในสิ่งทั้งหลายนั้นได้ จะพ้นซึ่งความทุกข์
...ตอนที่ ๑๓ พิจารณาให้เห็นความเป็นจริง*****
เมื่อมีคำถามแต่ไม่มีคำตอบ จึงเป็นผู้ไม่รู้ เมื่อเกิดปัญหา ผู้ไม่รู้ย่อมแก้ปัญหาไม่ได้ จึงเกิดความทุกข์ นักบวชพึงฝึกตนให้เป็นผู้รู้ ด้วยการทำสมาธิให้ถึงฌาน เพื่อให้เกิดญาณรู้ จึงจะสามารถดับปัญหา และ อยู่เหนือปัญหาได้ จึงจะเป็นผู้พ้นจากความทุกข์
...ตอนที่ ๑๒ ทำสมาธิ*****
นักบวช ผู้ปรารถนาความพ้นทุกข์ จะขาดสมาธิไม่ได้ เปรียบเหมือน ไฟฉายต้องมีแบตฯ เพื่อให้แสงสว่าง ฉันใด จิตก็ต้องมีสมาธิ ฉันนั้น จึงจะทำให้เกิดปัญญา รู้เห็นสภาวธรรมต่างๆ ความเป็นจริงได้
...ตอนที่ ๑๑ ศึกษาพระธรรม*****
คำสอนของพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์แสดงไว้เป็นแผนที่การบอกทาง ให้นักบวชผู้เดินตามได้รู้หนทาง รู้แนวทางการปฏิบัติ เพื่อออกจากความทุกข์ ด้วยการดับการเกิด รู้เหตุของการเกิด รู้วิธีดับการเกิด สามารถดับการเกิดได้ จึงจะเป็นนักบวชที่ดี
การรักษาศีลเป็นปัจจัย ให้ห่างไกลจากกิเลส ตัณหา นักบวชพึงพิจารณาในศีล อย่าให้ขาดล่วงสิกขาบทใด ในความคิด ในวาจา ในทางกาย จึงจะเป็นการรักษาศีลได้ อย่างบริสุทธิ์อย่างแท้จริง
ความโกรธถูกจุดขึ้นในที่ใด เปรียบเหมือนเพลิงไฟ ที่คอยแผดเผา สิ่งที่อยู่ใกล้ให้มอดไหม้ ให้เร่าร้อนเป็นทุกข์ ผู้เป็นนักบวช จึงควรดับไฟความโกรธนั้นเสีย ด้วยศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา จึงจะพบกับความสุข
นักบวชไม่ควรสั่งสมข้าวของ ที่เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดความโลภ เพราะความโลภ จะฉุดให้จิตตกไปสู่ที่ต่ำ ควรสละสิ่งของทั้งหลาย มีไว้เท่าที่จำเป็นพอ
ความรักเปรียบเหมือนดอกไม้ ที่เบ่งบานแล้วโรยรา เหี่ยวแห้งแล้วร่วงหล่นลงสู่ดิน การยึดติดในความรัก ยึดติดในความไม่เที่ยง จึงต้องพบกับความทุกข์ นักบวชพึงพิจารณาให้เห็นสภาวธรรม ความเป็นจริงที่ซ่อนอยู่ในความรัก จึงพึงหลีกเว้นเสีย จึงจะไม่พบกับความทุกข์
จุดมุ่งหมายของการออกบวช เพื่อดับการเกิด สิ่งที่ต้องละให้ได้ก็คือ กิเลส ซึ่งมีความหลงเป็นหัวหน้าใหญ่ เมื่อมีความหลง จึงมีความรัก เมื่อมีความรัก จึงมีความโลภ และมีความโกรธ ตามมา การละความหลงเสียได้ ความทุกข์ทั้งหลายจึงจะดับไป
นักบวชที่ดี ต้องมีระเบียบภายนอก รักษาระเบียบภายใน ดูแลเสนาสนะ อารามที่พัก ที่อาศัย ให้สะอาดเรียบร้อย รักษาศีล กฎระเบียบของสำนัก ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน จึงถือว่าจะเป็นนักบวชที่ดี
...ตอนที่ ๔ เกรงใจต่อพระรัตนตรัย*****
เมื่อเป็นนักบวชในพุทธศาสนา จะมีคุณพระพุทธคลุมจิต คุณพระธรรมคลุมใจ คุณพระสงฆ์คลุมกาย จะทำอะไร ที่จะทำให้พระรัตนตรัยเศร้าหมอง จึงไม่ควรกระทำ เพราะไม่ใช่มีเฉพาะเราคนเดียว จึงควรเกรงใจต่อพระรัตนตรัยนั้นด้วย
ผู้ปรารถนาจะออกบวช ต้องพร้อมด้วยจิตกายใจ พร้อมที่จะตายจากทางโลก สละทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในทางโลก เพื่อเกิดใหม่ในทางธรรม พร้อมที่จะรักษาศีลที่ได้สมาทานไว้ จึงจะเป็นการเตรียมตัวที่ดี ก่อนที่จะออกบวช
...ตอนที่ ๒ สิ่งที่ควรคำนึงถึงเมื่อบวช
นักบวชที่ดี ควรระลึกถึงปัจจัยสี่ ที่ญาติบุญได้นำมาถวาย เหมือนหว่านเมล็ดพันธุ์ ลงไปในผืนนา จะต้องทำตน ให้เป็นนาบุญที่อุดมสมบุรณ์ มีปุ๋ยมาก ชุ่มเย็นไปด้วย ศีลธรรม สมาธิ ปัญญา จึงจะเป็นที่พึ่ง ของดวงจิตทั้งหลาย ได้มาอาศัยร่วมสร้างความดี
...ตอนที่ ๓ ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย
นักบวชควรระลึกถึง คุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เพื่อเป็นที่พึ่ง ที่ระลึก นึกถึงคุณค่า ความลำบาก กว่าจะมี พระพุทธเจ้าหนึ่งพระองค์ ต้องสั่งสมบารมี นับภพชาติไม่ถ้วน เพื่อแสวงหาหนทาง ดับความพ้นทุกข์ เมื่อพบหนทางแล้ว จึงได้ให้แผนที่การบอกทาง เป็นพระธรรมคำสอน ให้กับผู้เดินตาม เกิดมีเป็นพระสงฆ์ ได้รู้เห็นตาม ได้ถ่ายทอดคำสอน สืบทอดให้เห็นเส้นทาง ไม่ลบเลือนไป จนให้เราได้ออกบวช จึงควรระลึกถึงคุณค่าได้รับมา
ศีลปาจิตตีย์ ข้อที่ ๘. ห้ามบอกคุณวิเศษที่มีจริงแก่ผู้มิได้บวช ๙. ห้ามบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่ผู้มิได้บวช ๑๐.ห้ามขุดดินหรือใช้ให้ขุด ๑๑.ห้ามทำลายต้นไม้ ๑๒. ห้ามพูดเฉไฉเมื่อถูกสอบสวน
...ตอนที่ ๔๒ ศีลภิกษุ ปาจิตตีย์ ข้อที่ ๑๒-๑๖
ศีล ปาจิตตีย์ ข้อที่ ๑๒. ห้ามพูดเฉไฉเมื่อถูกสอบสวน ๑๓. ห้ามติเตียนภิกษุผู้ทำการสงฆ์โดยชอบ ๑๔. ห้ามทิ้งเตียงตั่งของสงฆ์ไว้กลางแจ้ง ๑๕. ห้ามปล่อยที่นอนไว้ ไม่เก็บงำ ๑๖. ห้ามนอนแทรกภิกษุผู้เข้าไปอยู่ก่อน
...ตอนที่ ๔๓ ศีลภิกษุ ปาจิตตีย์ ข้อที่ ๑๗-๒๒
ศีลภิกษุ ปาจิตตีย์ ข้อที่ ๑๗. ห้ามฉุดคร่าภิกษุออกจากวิหารของสงฆ์ ๑๘. ห้ามนั่งนอนทับเตียงหรือตั่งที่อยู่ชั้นบน ๑๙. ห้ามพอกหลังคาวิหารเกิน ๓ ชั้น ๒๐. ห้ามเอาน้ำมีสัตว์รดหญ้าหรือดิน ๒๑. ห้ามสอนนางภิกษุณีเมื่อมิได้รับมอบหมาย ๒๒. ห้ามสอนนางภิกษุณีตั้งแต่อาทิตย์ตกแล้ว ศีลทุกข้อ ให้พิจารณาก่อน ที่จะทำสิ่งใด ว่าควรหรือไม่ควรกระทำ
...ตอนที่ ๔๔ ศีลภิกษุ ปาจิตตีย์ ข้อที่ ๒๓-๓๕
ศีลภิกษุ ปาจิตตีย์ ข้อที่ ๒๓.ห้ามสอนนางภิกษุณีถึงที่อยู่
๒๔.ห้ามติเตียนภิกษุอื่นว่าสอนนางภิกษุณีเพราะเห็นแก่ลาภ
๒๕.ห้ามให้จีวรแก่นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ แต่ให้แลก เปลี่ยนจีวรกันได้
๒๖.ห้ามเย็บจีวรให้นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ
๒๗.ห้ามเดินทางไกลร่วมกับนางภิกษุณี เว้นไว้แต่หนทาง ที่จะไปมีอันตราย
๒๘.ห้ามชวนนางภิกษุณีเดินทางเรือร่วมกัน เว้นไว้แต่โดยสารหรือข้ามฟาก
๒๙.ห้ามฉันอาหารที่นางภิกษุณีไปแนะให้เขาถวาย
๓๐.ห้ามนั่งในที่ลับสองต่อสองกับนางภิกษุณี
๓๑.ห้ามฉันอาหารในที่ทานเกิน ๑ มื้อ(ยกเว้นแต่ป่วย)
๓๒.ห้ามขออาหารชาวบ้านเพื่อมาฉันรวมกลุ่มกับพวกของตน
๓๓.ห้ามนิมนต์แล้วไปฉันอาหารที่อื่น
๓๔.ห้ามรับบิณฑบาตเกิน ๓ บาตร
๓๕.ห้ามฉันอีกเมื่อฉันในที่นิมนต์เสร็จแล้ว
...ตอนที่ ๔๕ ศีลภิกษุ ปาจิตตีย์ ข้อที่ ๓๖-๔๓
ศีลภิกษุ ปาจิตตีย์ ข้อที่ ๓๖.ห้ามพูดให้ภิกษุที่ฉันแล้วฉันอีกเพื่อจับผิด
๓๗. ห้ามฉันอาหารในเวลาวิกาล
๓๘. ห้ามฉันอาหารที่เก็บไว้ค้างคืน
๓๙. ห้ามขออาหารประณีตมาเพื่อฉันเอง
๔๐. ห้ามฉันอาหารที่มิได้รับประเคน
๔๑. ห้ามยื่นอาหารด้วยมือให้ชีเปลือยและนักบวชอื่นๆ
๔๒. ห้ามชวนภิกษุไปบิณฑบาตด้วยแล้วไล่กลับ
๔๓. ห้ามเข้าไปแทรกแซงในสกุลที่มีคน ๒ คน
...ตอนที่ ๔๖ ศีลภิกษุ ปาจิตตีย์ ข้อที่ ๔๔-๕๓
ศีลภิกษุ ปาจิตตีย์
๔๔. ห้ามนั่งในที่ลับมีที่กำบังกับมาตุคาม (ผู้หญิง)
๔๕. ห้ามนั่งในที่ลับ (หู) สองต่อสองกับมาตุคาม
๔๖. ห้ามรับนิมนต์แล้วไปที่อื่นไม่บอกลา
๔๗. ห้ามขอของเกินกำหนดเวลาที่เขาอนุญาตไว้
๔๘. ห้ามไปดูกองทัพที่ยกไป
๔๙. ห้ามพักอยู่ในกองทัพเกิน ๓ คืน
๕๐. ห้ามดูเขารบกันเป็นต้น เมื่อไปในกองทัพ
๕๑. ห้ามดื่มสุราเมรัย
๕๒. ห้ามจี้ภิกษุ
๕๓. ห้ามว่ายน้ำเล่น
...ตอนที่ ๔๗ ศีลภิกษุ ปาจิตตีย์ ข้อที่ ๕๔-๖๒
ศีลภิกษุ ปาจิตตีย์ ข้อที่
๕๔.ห้ามแสดงความไม่เอื้อเฟื้อในวินัย
๕๕.ห้ามหลอกภิกษุให้กลัว
๕๖.ห้ามติดไฟเพื่อผิง
๕๗.ห้ามอาบน้ำบ่อยๆเว้นแต่มีเหตุ
๕๘.ให้ทำเครื่องหมายเครื่องนุ่งห่ม
๕๙.วิกัปจีวรไว้แล้ว (ทำให้เป็นสองเจ้าของ-ให้ยืมใช้) จะใช้ต้องถอนก่อน
๖๐.ห้ามเล่นซ่อนบริขารของภิกษุอื่น
๖๑.ห้ามฆ่าสัตว์
๖๒.ห้ามใช้น้ำมีตัวสัตว์
...ตอนที่ ๔๘ ศีลภิกษุ ปาจิตตีย์ ข้อที่ ๖๓-๖๘
ศีลภิกษุ ปาจิตตีย์ ข้อที่
๖๓. ห้ามรื้อฟื้นอธิกรณ์(คดีความ-ข้อโต้เถียง)ที่ชำระเป็นธรรมแล้ว
๖๔. ห้ามปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น
๖๕. ห้ามบวชบุคคลอายุไม่ถึง ๒๐ ปี
๖๖. ห้ามชวนพ่อค้าผู้หนีภาษีเดินทางร่วมกัน
๖๗. ห้ามชวนผู้หญิงเดินทางร่วมกัน
๖๘. ห้ามกล่าวตู่พระธรรมวินัย (ภิกษุอื่นห้ามและสวดประกาศเกิน ๓ ครั้ง)
...ตอนที่ ๔๙ ศีลภิกษุ ปาจิตตีย์ ข้อที่ ๖๙-๗๓
ศีลภิกษุ ปาจิตตีย์ ข้อที่
๖๙. ห้ามคบภิกษุผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
๗๐. ห้ามคบสามเณรผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
๗๑. ห้ามพูดไถลเมื่อทำผิดแล้ว
๗๒. ห้ามกล่าวติเตียนสิกขาบท
๗๓. ห้ามพูดแก้ตัวว่า เพิ่งรู้ว่ามีในปาฏิโมกข์
...ตอนที่ ๕๐ ศีลภิกษุ ปาจิตตีย์ ข้อที่ ๗๔-๗๙
ศีลภิกษุ ปาจิตตีย์ ข้อที่
๗๔. ห้ามทำร้ายร่างกายภิกษุ
๗๕. ห้ามเงื้อมือจะทำร้ายภิกษุ
๗๖. ห้ามโจทภิกษุด้วยอาบัติสังฆาทิเสสที่ไม่มีมูล
๗๗. ห้ามก่อความรำคาญแก่ภิกษุอื่น
๗๘. ห้ามแอบฟังความของภิกษุผู้ทะเลาะกัน
๗๙. ให้ฉันทะแล้วห้ามพูดติเตียน
...ตอนที่ ๕๑ ศีลภิกษุ ปาจิตตีย์ ข้อที่ ๘๐-๘๕
ศีลภิกษุ ปาจิตตีย์ ข้อที่
๘๐. ขณะกำลังประชุมสงฆ์ ห้ามลุกไปโดยไม่ให้ฉันทะ
๘๑. ร่วมกับสงฆ์ให้จีวรแก่ภิกษุแล้ว ห้ามติเตียนภายหลัง
๘๒. ห้ามน้อมลาภสงฆ์มาเพื่อบุคคล
๘๓. ห้ามเข้าไปในตำหนักของพระราชา
๘๔. ห้ามเก็บของมีค่าที่ตกอยู่
๘๕. เมื่อจะเข้าบ้านในเวลาวิกาล ต้องบอกลาภิกษุก่อน
...ตอนที่ ๕๒ ศีลภิกษุ ปาจิตตีย์ ข้อที่ ๘๖-๘๙
ศีลภิกษุ ปาจิตตีย์ ข้อที่
๘๖. ห้ามทำกล่องเข็มด้วยกระดูก งา หรือเขาสัตว์
๘๗. ห้ามทำเตียง ตั่งมีเท้าสูงกว่าประมาณ
๘๘. ห้ามทำเตียง ตั่งที่หุ้มด้วยนุ่น
๘๙. ห้ามทำผ้าปูนั่งมีขนาดเกินประมาณ
...ตอนที่ ๕๓ ศีลภิกษุ ปาจิตตีย์ ข้อที่ ๙๐-๙๒
ศีลภิกษุ ปาจิตตีย์ ข้อที่
๙๐. ห้ามทำผ้าปิดฝีมีขนาดเกินประมาณ
๙๑. ห้ามทำผ้าอาบน้ำฝนมีขนาดเกินประมาณ
๙๒. ห้ามทำจีวรมีขนาดเกินประมาณ
...ตอนที่ ๕๔ ศีลภิกษุ ปาฏิเทสนียะ ข้อที่ ๑-๔
ปาฏิเทสนียะ คือประเภทลหุกาบัติ จัดเป็นอาบัติโทษเบา
มีทั้งหมด ๔ ประการดังนี้
๑. ห้ามรับของคบเคี้ยว ของฉันจากมือภิกษุณีมาฉัน
๒. ให้ไล่นางภิกษุณีที่มายุ่งให้เขาถวายอาหาร
๓. ห้ามรับอาหารในสกุลที่สงฆ์สมมุติว่าเป็นเสขะ (อริยบุคคล แต่ยังไม่ได้บรรลุเป็นอรหันต์)
๔. ห้ามรับอาหารที่เขาไม่ได้จัดเตรียมไว้ก่อนมาฉันเมื่ออยู่ป่า
......ตอนที่ ๕๕ ศีลภิกษุ เสขิยวัตร สารูป ข้อที่ ๑-๖
เสขิยวัตร 75 ประกอบด้วย 4 หมวด
1.สารูป มี 26 สิกขาบท - ว่าด้วยกิริยามารยาที่ควรประพฤติในเวลาเข้าไปในหมู่บ้าน เริ่มตั้งแต่การนุ่งห่ม การสำรวม ระวังอิริยาบถ การพูดคุย ให้อยู่ในอาการที่เหมาะสม
2.โภชนปฏิสังยุต มี 30 สิกขาบท - ว่าด้วยกิริยามารยาทที่ควรประพฤติในการรับบิณฑบาต และการฉันภัตตาหาร
3. ธรรมเทสนาปฏิสังยุต มี 16 สิกขาบท - ว่าด้วยกิริยามารยาทในการแสดงธรรมแก่ผู้อื่น
4.ปกิณกะ มี 3 สิกขาบท - ว่าด้วยกิริยามารยาท ในการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
...ตอนที่ ๓๙ ศีลภิกษุ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ข้อที่ ๒๑-๓๐
ศีลภิกษุ นิสสัคคิยปาจิตตีย์
ข้อที่ ๒๑.เก็บบาตรที่มีใช้เกินความจำเป็นไว้เกิน ๑๐ วัน
ข้อที่ ๒๒.ขอบาตร เมื่อบาตรเป็นแผลไม่เกิน ๕ แห่ง
ข้อที่ ๒๓.เก็บเภสัช ๕ (เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย) ไว้เกิน ๗ วัน
ข้อที่ ๒๔. แสวงและทำผ้าอาบน้ำฝนไว้เกินกำหนด ๑ เดือนก่อนหน้าฝน
ข้อที่ ๒๕.ให้จีวรภิกษุอื่นแล้วชิงคืนในภายหลัง
ข้อที่ ๒๖ .ขอด้ายเอามาทอเป็นจีวร
ข้อที่ ๒๗. กำหนดให้ช่างทอทำให้ดีขึ้น
ข้อที่ ๒๘. เก็บผ้าจำนำพรรษา (ผ้าที่ถวายภิกษุเพื่ออยู่พรรษา) เกินกำหนด ข้อที่ ๒๙. อยู่ป่าแล้วเก็บจีวรไว้ในบ้านเกิน ๖ คืน
ข้อที่ ๓๐.น้อมลาภสงฆ์มาเพื่อให้เขาถวายตน
จบศีลนิสสัคคิยปาจิตตีย์ เท่านี้แล
...ตอนที่ ๔๐ ศีลภิกษุ ปาจิตตีย์ ข้อที่ ๑-๗
ปาจิตตีย์ ชื่ออาบัติจำพวกหนึ่งในอาบัติทั้ง ๗ จัดไว้ในพวกลหุกาบัติ คืออาบัติเบาที่เปรียบด้วยลหุโทษ เมื่อภิกษุต้องแล้ว จะต้องบอกแก่ภิกษุด้วยกัน จึงจะพ้นจากอาบัตินั้น มี ๙๒ ข้อได้แก่ ภิกษุ ๑.ห้ามพูดปด ๒.ห้ามด่า ๓.ห้ามพูดส่อเสียด ๔. ห้ามกล่าวธรรมพร้อมกับผู้ไม่ได้บวชในขณะสอน ๕. ห้ามนอนร่วมกับอนุปสัมบัน(ผู้ไม่ใช้ภิกษุ) เกิน ๓ คืน ๖.ห้ามนอนร่วมกับผู้หญิง ๗.ห้ามแสดงธรรมสองต่อสองกับผู้หญิง
การบัญญัติไม่ให้รับเงินทอง เพื่อไม่ให้สะสมเงินทองยึดว่าเป็นของตน ทำให้เกิดความโลภ แต่ถ้ารับไว้แล้ว นำมาทำประโยชน์ต่อศาสนา ย่อมไม่ผิดศิล
...ตอนที่ ๓๘ ศีลภิกษุ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ข้อที่ ๑๘-๒๐*****
ศีลนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ข้อที่ ๑๘ .รับเงินทอง ข้อที่ ๑๙. ซื้อขายด้วยเงินทอง ข้อที่ ๒๐.ซื้อขายโดยใช้ของแลก
ข้อที่ ๑๒. หล่อเครื่องปูนั่งด้วยขนเจียม (ขนแพะ แกะ) ดำล้วน ข้อที่ ๑๓.ใช้ขนเจียมดำเกิน 2 ส่วนใน 4 ส่วน หล่อเครื่องปูนั่ง ข้อที่ ๑๕ .หล่อเครื่องปูนั่งใหม่ เมื่อของเดิมยังใช้ไม่ถึง 6 ปี ข้อที่ ๑๖. เมื่อหล่อเครื่องปูนั่งใหม่ ให้เอาของเก่าเจือปนลงไปด้วย ๑๗.ใช้ภิกษุณีที่ไม่ใช้ญาติทำความสะอาดขนเจียม ศีลป้องกันความยึดติด โลภ หลงในจีวร ที่นั่ง ที่นอน ข้าวของเครื่องใช้
...ตอนที่ ๓๓ ศีลภิกษุ สังฆาทิเสส ข้อที่ ๑๑-๑๓
ศีลสังฆาทิเสส ข้อที่ ๑๐ ทำสงฆ์แตกแยก ข้อที่ ๑๑ เข้าข้างภิกษุที่ทำสงฆ์แตกแยก ข้อที่ ๑๒ ภิกษุทำตนเป็นคนหัวดื้อ ข้อที่ ๑๓ ประจบสอพลอคฤหัสถ์ เป็นข้อห้ามที่ป้องกันเชื้อของความโกรธ และความหลง
...ตอนที่ ๓๔ ศีลภิกษุ อนิยต ข้อที่ ๑-๒
อนิยต แปลว่า อาบัติที่ไม่แน่นอน ว่าจะให้ปรับเป็นอาบัติแบบไหน ตามแต่หนักหรือเบา ตามพระวินัยอย่างใดอย่างหนึ่ง มี ๒ ข้อดังนี้ ๑. ภิกษุนั่งในที่ลับตากับสตรีสองต่อสอง ๒. ภิกษุนั่งในที่ลับหูกับสตรีสองต่อสอง
...ตอนที่ ๓๕ ศีลภิกษุ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ข้อที่ ๑-๓
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ คือ ประเภทของโทษที่เกิดจากการล่วงละเมิดสิกขาบท อย่างเบา มีทั้งหมด ๓๐ ประการ ข้อที่ ๑. เก็บจีวรที่เกินความจำเป็นไว้เกิน ๑๐ วัน ๒.อยู่โดยปราศจากจีวรแม้แต่คืนเดียว ๓.เก็บผ้าที่จะทำจีวรไว้เกินกำหนด ๑ เดือน
...ตอนที่ ๓๖ ศีลภิกษุ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ข้อที่ ๔-๘
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ข้อที่ ๔.ใช้ให้ภิกษุณีซักผ้า ๕.รับจีวรจากมือของภิกษุณี ๖.ขอจีวรจากคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติ เว้นแต่จีวรหายหรือถูกขโมย
๗.รับจีวรเกินกว่าที่ใช้นุ่ง เมื่อจีวรถูกชิงหรือหายไป
๘.พูดทำนองขอจีวรดีๆ กว่าที่เขากำหนดจะถวายไว้แต่เดิม
ศีลจึงเป็นกรอบของความดี ให้ห่างจากกิเลสตัณหา จึงจะพ้นจากความทุกข์
...ตอนที่ ๓๗ ศีลภิกษุ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ข้อที่ ๙-๑๗
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ข้อที่ ๙.พูดให้เขารวมกันซื้อจีวรดีๆ มาถวาย ข้อที่ ๑๐.ทวงจีวรจากคนที่รับอาสาเพื่อซื้อจีวรถวายเกินกว่า 3 ครั้ง ข้อที่ ๑๑. หล่อเครื่องปูนั่งที่เจือด้วยไหม
...ตอนที่ ๖๐ ศีลภิกษุ เสขิยวัตร โภชนปฏิสังยุต ข้อที่ ๗-๑๑
หมวด “โภชนปฏิสังยุต” มี ๓๐ สิกขาบท - ว่าด้วยกิริยามารยาทที่ควรประพฤติในการรับบิณฑบาต และการฉันภัตตาหาร ข้อที่
๗. ฉันบิณฑบาตไปตามลำดับ (ไม่ขุดให้แหว่ง)
๘. ฉันบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง ไม่ฉันแกงมากเกินไป
๙. ฉันบิณฑบาตไม่ขยุ้มแต่ยอดลงไป
๑๐. ไม่เอาข้าวสุกปิดแกงและกับด้วยหวังจะได้มาก
๑๑. ไม่ขอเอาแกงหรือข้าวสุกเพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน หากไม่เจ็บไข้
...ตอนที่ ๖๑ ศีลภิกษุ เสขิยวัตร โภชนปฏิสังยุต ข้อที่ ๑๒-๑๖
หมวด “โภชนปฏิสังยุต” มี ๓๐ สิกขาบท - ว่าด้วยกิริยามารยาทที่ควรประพฤติในการรับบิณฑบาต และการฉันภัตตาหาร ข้อที่
๑๒.ไม่มองดูบาตรของผู้อื่นด้วยคิดจะยกโทษ
๑๓.ไม่ทำคำข้าวให้ใหญ่เกินไป
๑๔.ทำคำข้าวให้กลมกล่อม
๑๕.ไม่อ้าปากเมื่อคำข้าวยังมาไม่ถึง
๑๖.ไม่เอามือทั้งมือใส่ปากในขณะฉัน
...ตอนที่ ๖๒ ศีลภิกษุ เสขิยวัตร โภชนปฏิสังยุต ข้อที่ ๑๗-๒๓
หมวด “โภชนปฏิสังยุต” มี ๓๐ สิกขาบท - ว่าด้วยกิริยามารยาทที่ควรประพฤติในการรับบิณฑบาต และการฉันภัตตาหาร ข้อที่
๑๗.ไม่พูดในขณะที่มีคำข้าวอยู่ในปาก
๑๘.ไม่ฉันโดยการโยนคำข้าวเข้าปาก
๑๙.ไม่ฉันกัดคำข้าว
๒๐.ไม่ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย
๒๑.ไม่ฉันพลางสะบัดมือพลาง
๒๒.ไม่ฉันโปรยเมล็ดข้าว
๒๓.ไม่ฉันแลบลิ้น
... ตอนที่ ๖๓ ศีลภิกษุ เสขิยวัตร โภชนปฏิสังยุต ข้อที่ ๒๔-๓๐
หมวด “โภชนปฏิสังยุต” มี ๓๐ สิกขาบท - ว่าด้วยกิริยามารยาทที่ควรประพฤติในการรับบิณฑบาต และการฉันภัตตาหาร ข้อที่
24. ไม่ฉันดังจับๆ
๒๕. ไม่ฉันดังซูด ๆ
๒๖. ไม่ฉันเลียมือ
๒๗. ไม่ฉันเลียบาตร
๒๘. ไม่ฉันเลียริมฝีปาก
๒๙. ไม่เอามือเปื้อนจับภาชนะน้ำ
๓๐. ไม่เอาน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวเทลงในบ้าน
...ตอนที่ ๖๔ ศีลภิกษุ เสขิยวัตร ธรรมเทสนาปฏิสังยุต ข้อที่ ๑-๑๖
หมวด “ธรรมเทสนาปฏิสังยุต” มี ๑๖ สิกขาบท : ว่าด้วยกิริยามารยาทในการแสดงธรรมแก่ผู้อื่น
๑. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีร่มในมือ
๒. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีไม้พลองในมือ
๓. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีของมีคมในมือ
๔. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีอาวุธในมือ
๕. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมเขียงเท้่า (รองเท้าไม้)
๖. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมรองเท้า
๗. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในยาน
๘. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนที่นอน
๙. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งรัดเข่า
๑๐. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่โพกศีรษะ
๑๑. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่คลุมศีรษะ
๑๒. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนอาสนะ (หรือเครื่องปูนั่ง) โดยภิกษุอยู่บนแผ่นดิน
๑๓. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งบนอาสนะสูงกว่าภิกษุ
๑๔. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งอยู่ แต่ภิกษุยืน
๑๕. ภิกษุเดินไปข้างหลังไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่เดินไปข้างหน้า
๑๖. ภิกษุเดินไปนอกทางไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในทาง
...ตอนที่ ๖๕ ศีลภิกษุ เสขิยวัตร ปกิณกะ ข้อที่ ๑-๓
หมวด “ปกิณกะ” มี ๓ สิกขาบท : ว่าด้วยกิริยามารยาท ในการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
๑.ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ยืนถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
๒.ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในของเขียว (พันธุ์ไม้ใบหญ้าต่างๆ)
๓.ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในน้ำ
...ตอนที่ ๖๖ ศีลภิกษุ อธิกรณสมถะ ข้อที่ ๑-๔
อธิกรณ์ แปลว่า ภารกิจที่พึงทำให้สงบให้เรียบร้อยเหมาะสม
อธิกรณ์ ในคำวัดใช้หมายถึงสาเหตุ คดีเรื่องราว ปัญหา ความยุ่งยาก กิจกรรมที่เกิดขึ้นในหมู่สงฆ์ ที่สงฆ์ต้องจัดการสะสางหรือดำเนินการทำให้สงบหรือเป็นไปด้วยดี
อธิกรณ์ ในพระวินัยมี ๔ เรื่อง คือ เป็นชื่อแห่งเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วจะต้องจัดต้องทำให้ลุล่วงไป มี ๔ ประการ คือ
๑. วิวาทาธิกรณ์ คือวิวาท ได้แก่การเถียงกันปรารภพระธรรมวินัยนี้ จะต้องได้รับชี้ขาดว่าถูกว่าผิด หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นการถกเถียงกันด้วยเรื่องพระธรรมวินัย
๒. อนุวาทาธิกรณ์ คือ ความโจทกล่าวหากัน ด้วยปรารภพระธรรมวินัยนี้จะต้องได้รับชี้ขาดว่าถูกว่าผิด หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นการถกเถียงกันด้วยเรื่องอาบัติ
๓. อาปัตตาธิกรณ์ คือ กิริยาที่ต้องอาบัติหรือถูกปรับอาบัตินี้จะต้องทำคืน คือทำให้พ้นโทษ หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นการถกเถียงกันด้วยเรื่องการปรับอาบัติและวิธีการออกหรือพ้นจากอาบัติ
๔. กิจจาธิกรณ์ คือกิจธุระที่สงฆ์จะพึงสามัคคีร่วมกันทำ เรียกว่า สังฆกรรม เช่นให้อุปสมบทนี้จะต้องทำให้สำเร็จ
อธิกรณสมถะ
“อธิกรณสมถะ” เป็นชื่อแห่งสิกขาบทหรือสิกขาบทหรือแห่งธรรม แปลว่า “สำหรับระงับอธิกรณ์” มี ๗ ประการ คือ
๑. สัมมุขาวินัย แปลว่า ระเบียบอันจะพึงทำในที่พร้อมหน้า ๔ อย่าง คือ
ก. พร้อมหน้าสงฆ์ คือภิกษุเข้าประชุมครบองค์กำหนดเป็นสงฆ์
ข. พร้อมหน้าบุคคล คือ บุคคลที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้อยู่พร้อมหน้ากัน
ค. พร้อมหน้าวัตถุ ได้แก่ยกเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นวินิจฉัย
ง. พร้อมหน้าธรรมวินัย ได้แก่วินิจฉัยถูกธรรม ถูกวินัย
๒. สติวินัย แปลว่า ระเบียบยกเอาสติขึ้นเป็นหลัก ได้แก่กิริยาที่สงฆ์สวดประกาศให้สมมติ (การรับรู้ร่วมกัน) แก่พระอรหันต์ว่าเป็นผู้มีสติเต็มที่ เพื่อระงับอนุวาทาธิกรณ์ ที่มีผู้โจทท่านด้วยศีลวิบัติ
๓. อมูฬหวินัย แปลว่า ระเบียบที่ให้แก่ภิกษุผู้หายเป็นบ้าแล้ว ได้แก่กิริยาที่สงฆ์สวดประกาศให้สมมติ (การรับรู้ร่วมกัน) แก่พระอรหันต์ว่าเป็นผู้มีสติเต็มที่ เพื่อระงับอนุวาทาธิกรณ์ ที่มีผู้โจทท่านด้วยศีลวิบัต
๔. ปฏิญญาตกรณะ แปลว่า ทำตามรับ ได้แก่ปรับอาบัติตามปฏิญญาของจำเลยผู้รับเป็นสัตย์ การแสดงอาบัติ ก็จัดว่าทำปฏิญญาในข้อนี้ด้วย
๕. เยภุยยสิกา แปลว่า ตัดสินตามคำของคนมากเป็นประมาณ วิธีนี้สำหรับใช้ในเมื่อความเห็นของคนมาก แตกต่างกัน ให้ตัดสินเอาตามคำของคนมากเป็นประมาณ
๖. ตัสสปาปิยสิกา แปลว่า กิริยาที่ลงโทษแก่ผู้ผิด มี ๒ นัย
ก. เพิ่มโทษแก่ภิกษุผู้ประพฤติผิดซ้ำอีก
ข. ตัดสินโทษแม้ไม่รับเป็นสัตย์ แต่พิจารณาสมจริงดังกล่าวในอนิยตสิกขาบทนั้น
๗. ติณวัถารกวินัย แปลว่า ระเบียบดังกลบไว้ด้วยหญ้า ได้แก่กิริยาที่ให้ประนีประนอมกันทั้ง ๒ ฝ่าย
...ตอนที่ ๖๗ ศีลภิกษุ อธิกรณสมถะ ข้อที่ ๕-๗
อธิกรณสมถะ การทำอธิกรณ์ให้สงบระงับ หมายถึง วิธีระงับอธิกรณ์ตามพระธรรมวินัย ๗ อย่าง คือ
๑.สัมมุขาวินัย ตัดสินในที่พร้อมหน้าทั้ง โจทย์และจำเลยพร้อมพยาน ตามพยานหลักฐาน
๒.สติวินัย ถือสติเป็นหลัก การยกเลิกความผิดเพราะเป็นพระอรหันต์หรืออริยบุคคลที่จะไม่ทำผิดวินัยในข้อนั้นได้
๓.อมูฬหวินัย ผู้หายจากเป็นบ้า การเลิกความผิดเพราะผู้กระทำผิดนั้นวิกลจริตหรือเป็นบ้า
๔.ปฏิญญาตกรณะ ทำตามที่รับ การตัดสินตามการยอมรับผิด คำสารภาพของผู้กระทำผิด
๕.ตัสสปาปิยสิกา ลงโทษแก่ผู้ผิดที่ไม่รับ การลงโทษพยานผู้ที่ไม่ยอมพูดในการสอบสวนของคณะสงฆ์
๖.เยภุยยสิกา การตัดสินตามมติเสียงข้างมาก
๗.ติณวัตถารกะ ดุจกลบไว้ด้วยหญ้า วิธีประณีประนอม การตัดสินยกฟ้อง เลิกแล้วต่อกัน(ในกรณีทะเลาะกัน)
การใช้สมถะระงับอธิกรณ์
๑. สัมมุขาวินัย เป็นเครื่องระงับอธิกรณ์ได้ทุกอย่าง
๒. สติวินัย, อมูฬหวินัย, ตัสสปาปิยสิกา ทั้ง ๓ อย่างนี้ เป็นเครื่องระงับเฉพาะอนุวาทาธิกรณ์
๓. ปฏิญญาตกรณะ, ติณวัตถารกวินัย ทั้ง ๒ อย่างนี้ ท่านกล่าวว่า เป็นเครื่องระงับเฉพาะปัตตาธิกรณ์ และใช้เป็นเครื่องระงับอนุวาทาธิกรณ์ด้วย ก็ได้
๔. เยภุยยสิกา ใช้เป็นเครื่องระงับเฉพาะวิวาทาธิกรณ์
ศีลทุกข้อเป็นกรอบของความดี มีไว้เพื่อป้องกันกิเลสตัณหาที่จะเข้ามาใหม่ และ ชำระจิตใจให้ห่างไกล จากกิเลสตัณหา ด้วยการสำรวมกาย วาจา ใจ เป็นบันไดสู่มรรคผลนิพพาน
หมวด “สารูป” มี 26 สิกขาบท
1. นุ่งให้เป็นปริมณฑล (ล่างปิดเข่า บนปิดสะดือไม่ห้อยหน้าห้อยหลัง)
2. ห่มให้เป็นนปริมณฑล (ให้ชายผ้าเสมอกัน)
3. ปกปิดกายด้วยดีไปในบ้าน
4. ปกปิดกายด้วยดีนั่งในบ้าน
5. สำรวมด้วยดีไปในบ้าน
6. สำรวมด้วยดีนั่งในบ้าน
...ตอนที่ ๕๖ ศีลภิกษุ เสขิยวัตร สารูป ข้อที่ ๗-๑๘
ศีลภิกษุ เสขิยวัตร สารูป ข้อที่ ๗-๑๘
๗. มีสายตาทอดลงไปในบ้าน (ตาไม่มองโน่นมองนี่)
๘. มีสายตาทอดลงนั่งในบ้าน
๙. ไม่เวิกผ้าไปในบ้าน
๑๐. ไม่เวิกผ้านั่งในบ้าน
๑๑. ไม่หัวเราะดังไปในบ้าน
๑๒. ไม่หัวเราะดังนั่งในบ้าน
๑๓. ไม่พูดเสียงดังไปในบ้าน
๑๔. ไม่พูดเสียงดังนั่งในบ้าน
๑๕. ไม่โคลงกายไปในบ้าน
๑๖. ไม่โคลงกายนั่งในบ้าน
๑๗. ไม่ไกวแขนไปในบ้าน
๑๘. ไม่ไกวแขนนั่งในบ้าน
...ตอนที่ ๕๗ ศีลภิกษุ เสขิยวัตร สารูป ข้อที่ ๑๙-๒๖
ศีลภิกษุ เสขิยวัตร สารูป ข้อที่
19. ไม่สั่นศีรษะไปในบ้าน
20. ไม่สั่นศีรษะนั่งในบ้าน
21. ไม่เอามือค้ำกายไปในบ้าน
22. ไม่เอามือค้ำกายนั่งในบ้าน
23. ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะไปในบ้าน
24. ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะนั่งในบ้าน
25. ไม่เดินกระโหย่งเท้า ไปในบ้าน
26. ไม่นั่งรัดเข่าในบ้าน
...ตอนที่ ๕๘ เสขิยวัตร โภชนปฏิสังยุต ข้อที่ ๑-๓
เสขิยวัตร ๗๕ ข้อ
หมวด “โภชนปฏิสังยุต” มี ๓๐ สิกขาบท : ว่าด้วยกิริยามารยาทที่ควรประพฤติในการรับบิณฑบาต และการฉันภัตตาหาร
๑. รับบิณฑบาตด้วยความเคารพ
๒. ในขณะบิณฑบาต จะแลดูแต่ในบาตร
๓. รับบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง (ไม่รับแกงมากเกินไป)
...ตอนที่ ๕๙ เสขิยวัตร โภชนปฏิสังยุต ข้อที่ ๔-๖
หมวด “โภชนปฏิสังยุต” มี ๓๐ สิกขาบท - ว่าด้วยกิริยามารยาทที่ควรประพฤติในการรับบิณฑบาต และการฉันภัตตาหาร ข้อที่
๔. รับบิณฑบาตแค่พอเสมอขอบปากบาตร
๕. ฉันบิณฑบาตโดยความเคารพ
๖. ในขณะฉันบิณฑบาต และดูแต่ในบาตร