เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองการปกครองของโลก นับเป็นมูลเหตุใหญ่ที่ทำให้สังคมไทยเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองและเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 20 (ค.ศ. 1900 – 2000) ดังนี้
1. สงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1914 – 1918)
สงครามโลกครั้งที่ 1 เพิ่มความขัดแย้งระดับโลกที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ค.ศ. 1914 ระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายมหาอำนาจกลาง ซึ่งไม่เคยปรากฏสงครามขนาดใหญ่ที่มีทหารหรือสมรภูมิที่เกี่ยวข้องมากขนาดนี้มาก่อน นับยุคสมัยแห่งความหายนะ โดยสาเหตุของการเกิดสงครามครั้งนี้ เกิดจากความขัดแย้งทางการเมืองของทวีปยุโรป ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของยุโรปและการสิ้นสุดของ “จักรวรรดิออตโตมัน”อันเป็นต้นเหตุของการปฏิวัติรัสเซีย
นอกจากนี้การพ่ายแพ้ของประเทศเยอรมนีในสงครามครั้งนี้ ส่งผลให้เกิดลัทธิชาตินิยมขึ้นในประเทศอันเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 5 (ค.ศ. 1939)
2. สงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1939 – 1945)
สงครามโลกครั้งที่อุบัติขึ้นอีกครั้งในเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 นับเป็นการประลองความยิ่งใหญ่อีกครั้งระหว่างเยอรมันและอังกฤษเพียง 1 ปี เยอรมันก็สามารถยึดครองยุโรปไว้เกือบทั้งทวีปอังกฤษต้องสูญเสียอำนาจโดยสิ้นเชิง สงครามครั้งนี้ไม่เพียงแต่เกิดขึ้นในยุโรปเท่านั้น ทางด้านเอเชียญี่ปุ่นได้เข้ายึดครองประเทศต่าง ๆ โดยได้บุกยึดจีนแผ่นดินใหญ่และดินแดนต่างๆ ในเอเชียตะวันตะวันออกเฉียงใต้ส่งผลให้สหรัฐฯ เข้าร่วมสงครามในครั้งนี้อีกสงครามเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเยอรมันได้บุก โจมตี สหภาพโซเวียตและเข้ายึดครองได้เกือบทั้งหมด ส่วนญี่ปุ่นเองก็โจมตีกองทัพเรือของสหรัฐฯ ที่เพริลฮาเบอร์ ทำให้สหรัฐฯ ใช้มาตรการเด็ดขาดโจมตีญี่ปุ่นซึ่งจบลงด้วยการทิ้งระเบิดประมณู 2 ลูก ที่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ กล่าวโดยสรุปได้ว่าการทำสงครามครั้งนี้เป็นสงครามระหว่าง 2 ฝ่าย คือ สหรัฐฯกับญี่ปุ่น เพื่อครอบครองเอเชียและระหว่างเยอรมันกับสหภาพโซเวียต เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ในยุโรป
ผลกระทบของสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง มีผลกระทบหลายด้าน ซึ่งสรุปได้ดังนี้
ประการแรก อาณานิคมของยุโรปเริ่มได้รับอิสรภาพมากขึ้นเพราะผลของสงครามนั้น ทั้งผู้แพ้และผู้ชนะในยุโรปต่างก็หมดกำลัง ไม่ว่ากำลังทรัพย์หรือกำลังคน ประเทศอยู่ในสภาพบอบช้ำ จึงไม่มีพลังต่อต้านกระแสการดิ้นรนแห่งเสรีภาพของประเทศอาณานิคมได้อีกอังกฤษ ฝรั่งเศสต่างต้องผ่อนปรนตามกระแสต่อต้านของประเทศอาณานิคม
ประการที่สอง ผลพวงจากสงครามทั้ง 2 ครั้งนี้ ก่อให้เกิดลัทธิคอมมิวนิสต์ในสหภาพโซเวียต ซึ่งเริ่มตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่แรก จนกระทั่งเมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วลัทธิคอมมิวนิสต์ในสหภาพโซเวียตก็ยังอยู่และเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในทวีปยุโรปและเอเชียจึงกล่าวได้ว่าผลของสงครามโลก ครั้งที่ 2 ทำให้โลกต้องพบปัญหาที่ร้ายแรงกว่าเดิม เพราะเมื่อลัทธินาซีในเยอรมันล่มสลายไปเนื่องจากแพ้สงคราม ยุโรปกลางและยุโรปตะวันออกต้องอยู่ใต้อิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์จนหมดสิ้น โดยมีผู้นำคือ สหภาพโซเวียต ในที่สุดสหภาพโซเวียตจึงก้าวขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจแทนเยอรมันและมีความมุ่งหวังจะเป็นจ้าวโลกให้ได้ แต่สหภาพโซเวียตก็ต้องพบคู่แข่งที่สำคัญที่มีแนวความคิดที่แตกต่างกัน คือสหรัฐอเมริกากล่าวโดยสรุป สงครามทั้ง 2 ครั้งได้เปลี่ยนยุโรปจากการเป็นผู้นำของโลก กลายมาเป็นยุโรปต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสหภาพโซเวียตของฝ่ายสหรัฐอเมริกา นับเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์โลกและลัทธิล่าอาณานิคมของยุโรปที่เจริญตั้งแต่ก่อนศตวรรษที่ 20 อันยาวนานก็ถึงจุดอวสานไปด้วย หากจะสรุปรวมๆ เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง สถานการณ์โลกได้เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คือ ยุโรปไม่ได้ครอบครองแอฟริกาและเอเชียต่อไป อำนาจโลกขึ้นอยู่กับ 2 ประเทศ คือ สหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกา ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ทางการเมืองของประเทศมหาอำนาจทั้งสองหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้นำไปสู่เหตุการณ์สงครามเย็น
3. สงครามเย็น
สงครามเย็น คือ การต่อสู้ระหว่างค่ายประชาธิปไตยกับค่ายคอมมิวนิสต์ เป็นการทำสงครามกันโดยปราศจากเสียงปืนหรือการเข่นฆ่า อันเป็นผลสืบเนื่องจากการขยายอิทธิพลทางด้านอุดมการณ์ทางการเมืองของสองค่าย ต่างฝ่ายต่างก็แสวงหาพรรคร่วมอุดมการณ์ทั้ง 2 ค่ายต่างใช้ยุทธวิธีต่างๆ ที่จะดึงประเทศต่างๆ ทั่วโลกมาเป็นฝ่ายตนให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจ การเมืองหรืออาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ แก่ประเทศในโลกที่สามแม้จะมีประเทศเล็กๆ จะรวมตัวเป็นกลุ่ม “ผู้ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด” ก็ตามก็ไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศมหาอำนาจทั้งสองลดการแข่งขันกันสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจที่ดีมากเพราะไม่ได้รับผลจากสงครามมากนักและสามารถขายอาวุธให้กับชาติพันธมิตร ซึ่งต่างจากสหภาพโซเวียตที่มีอำนาจมาก แต่สภาพเศรษฐกิจตกต่ำ เนื่องจากทำสงครามกับเยอรมัน อย่างไรก็ตามสหภาพโซเวียตก็ยังมีอุดมการณ์ที่แน่วแน่ที่จะแพร่อิทธิพลทางคอมมิวนิสต์ให้กว้างขวางเพื่อครองโลก โดยสหภาพโซเวียตมองว่า เมื่อยุโรปตะวันออกเป็นบริวารของตนแล้ว
1. การสิ้นสุดของสงครามเย็นและการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจในโลก
ความเปลี่ยนแปลงในช่วงปี ค.ศ. 1989 – 1990 มีความสำคัญอย่างยิ่งในแง่ของความสัมพันธ์ทางอำนาจ ทั้งในระดับโลกและภูมิภาค ในทางประวัติศาสตร์ กล่าวได้ว่าการสิ้นสุดของทศวรรษ 1980 เป็นการสิ้นสุดของยุคสมัยหนึ่งทีเดียว นั่นคือ ยุคสมัยที่รู้จักกันทั่วไปว่า “สงครามเย็น” อันเป็นความขัดแย้งหรือปรปักษ์ทางอุดมการณ์ระหว่างทุนนิยมและคอมมิวนิสต์ สงครามเย็นเริ่มก่อตัวตั้งแต่ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างรัสเซียและพันธมิตรตะวันตกทั้งๆ ที่ยังอยู่ในระหว่างการร่วมมือต่อต้านนาซีและมาแตกแยกกลายเป็นการเผชิญหน้าระหว่าง “ตะวันออก” และ “ตะวันตก” อย่างชัดเจน ประมาณปี ค.ศ.1946 – 1947 คำประกาศของสตาลิน ในปี ค.ศ. 1946 เรียกระดมพลังในชาติเพื่อเตรียมการเผชิญหน้ากับฝ่ายตะวันตก (ความจริงจุดมุ่งหมายในทางปฏิวัติ น่าจะเพื่อฟื้นฟูบูรณะและพัฒนาประเทศอย่างเร่งรัด) นับเป็นการ “ประกาศสงครามเย็น” โดยฝายคอมมิวนิสต์และการประกาศ “หลักการทรูแมน” ในปีต่อมาก็นับเป็นการ “ประกาศสงครามเย็น”ของฝ่ายตะวันตก การล่มสลายของระบอบปกครองคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกและความเปลี่ยนแปลงในรัสเซียที่เป็นแม่แบบของระบบปกครองแบบนี้ที่สั่นคลอน ไม่เพียงแต่การผูกขาดอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซีย แต่รวมไปถึง “จักรวรรดิ” รัสเซียเลยทีเดียวซึ่งส่งผลกระทบสำคัญยิ่งต่อความสัมพันธ์ทางอำนาจในโลก ในช่วงต่อระหว่างปี ค.ศ.1989 – 1990 นักสังเกตการณ์ทางการเมืองบางคนระบุอย่างไม่ลังเลยว่า “โลกได้เปลี่ยนไปแล้วในช่วงเวลาเพียงหนึ่งปี”
4. การเมืองโลกสู่สังคมไทย
จุดเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่นำสู่สังคมไทยในยุคปัจจุบัน กล่าวได้ว่าเหตุการณ์สำคัญก็คือการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ในปี ค.ศ. 1997 อดีตสหภาพโซเวียตเป็นประเทศที่มีดินแดนกว้างใหญ่ มีอาณาเขตครอบคลุมทั้งในทวีปยุโรปและทวีปเอเชีย นอกจากนี้สหภาพโซเวียตยังมีบทบาทในการเป็นผู้นำของโลกคอมมิวนิสต์ด้วยการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์และปัญหาในสหภาพโซเวียต เริ่มจากการเปลี่ยนแปลงครั้งแรกในการปฏิวัติ เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1917 โดยเลนินผู้ซึ่งนำสหภาพโซเวียตเข้าสู่ความเป็นคอมมิวนิสต์และทำให้โลกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายลัทธิคอมมิวนิสต์โดยมีแกนนำ คือ สหภาพโซเวียตและฝ่ายโลกเสรีนำโดยสหรัฐอเมริกา การกระทำดังกล่าวก็มีอาจจะลุล่วงไปได้ด้วยดี ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นโลกจึงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ต่อมาเมื่อถึงช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ประเทศมหาอำนาจทั้ง 2 ต้องประสบกับปัญหาทางด้านเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากการสนับสนุนประเทศต่างๆ ในค่ายของตนทั้งทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ ทุน เทคโนโลยีต่างๆ จนลืมผลกระทบที่จะมีมาสู่ประเทศ นอกจากนี้ ประเทศต่างๆ เหล่านั้นเริ่มจะมีอิสระในการดำเนินนโยบายภายในประเทศและคำนึงผลประโยชน์หลักของตนมากขึ้น ดังนั้น ประเทศมหาอำนาจทั้งสองจึงได้ตกลงเจรจาจำกัดอาวุธยุทธศาสตร์ขึ้น ทำให้สถานการณ์โลกเริ่มคลี่คลายลง การเปลี่ยนแปลงครั้งที่สองของสหภาพโซเวียตที่ส่งผลกระทบทั่วโลกและทำให้สหภาพโซเวียตต้องล่มสลายนั้น ก็คือ การปรับเปลี่ยนนโยบายบริหารประเทศแบบใหม่ของนายมิดาฮิล กอร์บาซอฟ ประธานาธิบดีของสหภาพโซเวียต ซึ่งได้ใช้นโยบาย เปเรสทอยก้า กลาสนอสต์ ซึ่งมีสาระสำคัญอยู่ที่การปฏิรูปโครงสร้างทางการเมือง การขจัดความเฉื่อยชา การคอรัปชั่นของเจ้าหน้าที่พรรคและยังรวมถึงการเปิดโอกาสให้มีประชาธิปไตยในการรับข่าวสารข้อมูลนั้นได้ทำให้เกิดความวุ่นวายในสหภาพโซเวียต ทำให้ผู้นำคอมมิวนิสต์ไม่ไว้วางใจผู้นำ และนำไปสู่การปฏิวัติที่ล้มเหลว การหมดอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์ ประเทศบริวารของสหภาพโซเวียตในยุโรปตะวันออกต่างแยกตัวเป็นอิสระและท้ายที่สุดรัฐต่างๆ ในสหภาพโซเวียตต่างแยกตัวเป็นประเทศอิสระปกครองตนเอง ส่งผลให้สหภาพโซเวียตถึงการล่มสลายและดุลอำนาจ
5. เกิดขบวนการนักศึกษาเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก ในช่วงสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง
ขบวนการนักศึกษานี้ได้เกิดขึ้นจากแนวความคิด “การปฏิบัติวัฒนธรรม” ในเชิงการปลดปล่อยตนเองเป็นรูปแบบของการต่อต้านสถาบันเดิม หรือการปลดปล่อยตนเองจากวัฒนธรรมเก่าสร้างวัฒนธรรมใหม่ ดังจะเห็นได้จากความนิยม “เพลงร็อค” “กางเกงยีน”“บุปผาชน” “ซ้ายใหม่” โดยความคิดที่เกิดกับนักศึกษานี้ไม่เพียงเกิดกับนักศึกษาของสหรัฐ ยุโรปตะวันตก ญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังเข้ามาสู่นักศึกษาไทยด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสงครามเวียดนามนักศึกษาไทยมีส่วนร่วมในขบวนการต่อต้านสงครามเป็นอย่างมาก
ขบวนการนักศึกษาโลกกลายเป็นพลังทางสังคมและการเมืองสำคัญโดยเฉพาะในการประท้วงใหญ่ของนักศึกษาฝรั่งเศส (ค.ศ. 1968) ที่ทำให้เมืองปารีส และอีกหลายเมืองของฝรั่งเศสกลายเป็นอัมพาต และในปีเดียวกัน การประท้วงของนักศึกษาอเมริกันก็ทำให้นายลินคอน จอห์นสัน ไม่กล้าลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐ สมัยที่ 2
สำหรับประเทศไทยนั้น กระแสความคิดที่ปลดปล่อยและขบวนการนักศึกษาได้เกิดขึ้น อันเป็นผลมาจากระยะชว่ งเวลาอันยาวนานของการเมืองโลก โดยในชว่ ง 14 ตุลาคม 2516 เกิดขบวนการนักศึกษาประท้วงต่อต้านระบอบถนอม – ประภาส – ณรงค์ จนนักศึกษาต้องถูกรัฐทำลายชีวิตไปกว่า 70 คน แต่ในที่สุดก็สามารถไล่ ถนอม – ประภาส และณรงคไ์ ด้
สรุปได้ว่า ขบวนการนักศึกษาไทย ช่วง พ.ศ. 2516 – 2519 นับเป็นส่วนหนึ่งของ“ช่วงระยะเวลายาว” ของการเมืองไทยกว่า 100 ปี ในขณะเดียวกันก็เป็นส่วนหนึ่งของ“ช่วงเวลาระยะยาว” ของการเมืองโลกกว่า 2 ศตวรรษ โดยมาพร้อมและทันกับระยะเวลาของการปลดปล่อย และเปลี่ยนแปลงของโลกครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 ซึ่งหลังจากนั้นเพียงไม่กี่ปี เมื่อถึงศตวรรษ 1980 ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง โดยสหภาพโซเวียตและระบบสังคมนิยมได้ล่มสลาย เศรษฐกิจตลาดและโลกาภิวัตน์ก็เติบโตมาแทนที่ ซึ่งเชื่อกันว่าจะมีความกา้ วหนา้ ไปพรอ้ มกับ “ความพินาศของอดีต” และ “การสิ้นสุดของประวัติศาสตร์ทางการเมือง”