จากการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยและของโลกทำให้เราได้ทราบเรื่องราวและผลงานที่ดำรงความเป็นเอกราช มีวัฒนธรรมด้านต่างๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ และที่สร้างคุณค่าประโยชน์สิ่งที่ดีงามให้แก่มวลมนุษย์ ฉนั้นอนุชนรุ่นหลังจะต้องเอาใจใส่ดูแลรักษามรดกต่างๆ เหล่านี้เพื่อถ่ายทอดสู่คนรุ่นหลังต่อไป
1. สมัยกรุงสุโขทัย
1.1 พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช เป็นพระราชโอรสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์(บางกลางท่าว) กับนางเสือง มีพระนามเดิมว่า พระราม เมื่อชนมายุ 19 พรรษา ได้ตามเสด็จพระบิดาไปในการสงครามระหว่างสุโขทัย กับเมืองฉอด ทรงช่วยพระบิดาทำยุทธหัตถีชนะขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด พระบิดาจึงเฉลิมพระนามให้เป็น “พระรามคำแหง”
พระราชกรณียกิจที่สำคัญ
1. ทรงขยายอาณาเขตออกไปกว้างขวางกว่ารัชสมัยใดๆ และสร้างความสัมพันธ์อันดีกับรัฐใกล้เคียง เช่น พญาเม็งรายแห่งอาณาจักรล้านนา พญางำเมืองแห่งแคว้นพะเยาพระเจ้าฟ้ารั่วแห่งอาณาจักรมอญ
2. ทรงประดิษฐ์ตัวอักษรไทยใน พ.ศ. 1826
3. ทรงส่งเสริมการค้า ทั้งการค้าภายในและการค้าภายนอก เช่น ให้งดเว้นการเก็บจังกอบหรือภาษีด่าน
4. ทรงบำรุงศาสนา เช่น ให้นิมนต์พระสงฆ์นิกายเถรวาทแบบลังกาวงศ์จากนครศรีธรรมราชมาเป็นพระสังฆราช และริเริ่มการนิมนต์พระสงฆ์มาแสดงธรรมในวันพระ
5. ทรงดูแลทุกข์สุขของราษฎรอย่างใกล้ชิด เช่น ให้ผู้เดือดร้อนมาสั่นกระดิ่ง ถวายฎีกาได้ให้ทายาทมีสิทธิได้รับมรดกจากพ่อแม่ที่เสียชีวิตไป เป็นต้น
1.2 พระมหาธรรมราชาที่ 1
พญาลิไท หรือ พระยาลิไท หรือ พระศรีสุริยพงศ์รามมหาธรรม-ราชาธิราช หรือพระมหาธรรมราชาที่ 1 ทรงเปน็ พระราชโอรสของพระยาเลอไทและพระราชนัดดา (หลานปู) ของพ่อขุนรามคำแหง ครองราชย์ พ.ศ. 1890 แต่ไม่ทราบปีสิ้นสุดรัชสมัยที่แน่นอนสันนิษฐานว่าอยู่ระหว่าง พ.ศ. 1911 – 1966 พระมหาธรรมราชาที่ 1 ทรงเป็นแบบฉบับของกษัตริย์ในคติธรรมราชา ทรงปกครองบ้านเมืองและอาณาประชาราษฎร์ด้วยทศพิธราชธรรมทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองจนสุโขทัยกลายเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาและทรงปฏิบัติพระองค์ชักนำชนทั้งหลายให้พ้นทุกข์ หลักฐานสำคัญอีกชิ้นหนึ่งที่แสดงว่าพระองค์มีความรู้แตกฉานในพระไตรปิฎกเป็นอย่างดี ได้แก่ วรรณกรรมเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง วรรณคดีชิ้นแรกของประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 1888 ที่ทรงนิพนธ์ขึ้นตั้งแต่ก่อนเสวยราชย์หลังจากทรงเป็นรัชทายาทครองเมืองศรีสัชนาลัยอยู่ 8 ปี จึงเสด็จมาครองสุโขทัยเมื่อป ี พ.ศ. 1890 โดยตอ้ งใชก้ ำลังทหารเขา้ มายึดอำนาจเพราะที่สุโขทัย หลังสิ้นรัชกาลพอ่ ขุนงัวนำถมแล้วเกิดการกบฏการสืบราชบัลลังก์ไม่เป็นไปตามครรลองครองธรรม
พระราชกรณียกิจที่สำคัญ
1. การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติ เพราะสุโขทัยหลังรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้ว บ้านเมืองแตกแยกแคว้นหลายแคว้นในราชอาณาจักรแยกตัวออกห่างไป ไม่อยู่ในบังคับบัญชาสุโขทัยต่อไป
2. พญาลิไททรงคิดจะรวบรวมสุโขทัยให้กลับคืนดังเดิม แต่ก็ทรงทำไม่สำเร็จนโยบายการปกครองที่ใช้ศาสนาเป็นหลักรวมความเป็นปึกแผ่นจึงเป็นนโยบายหลักในรัชสมัยนี้
3. ทรงสร้างเจดีย์ที่นครชุม (เมืองกำแพงเพชร) สร้างพระพุทธชินราชที่พิษณุโลกทรงออกผนวช เมือ พ.ศ. 1905 การที่ทรงออกผนวช นับว่าทำความมั่นคงให้พุทธศาสนามากขึ้น ดังกล่าวแล้วว่า หลังรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้ว บ้านเมืองแตกแยกวงการสงฆ์เองก็แตกแยก แต่ละสำนักแต่ละเมืองก็ปฏิบัติแตกต่างกันออกไป เมื่อผู้นำทรงมีศรัทธาแรงกล้าถึงขั้นออกบวช พสกนิกรทั้งหลายก็คล้อยตามหันมาเลื่อมใสตามแบบอย่างพระองค์ กิตติศัพท์ของพระพุทธศาสนาในสุโขทัยจึงเลื่องลือไปไกล พระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่หลายรูปได้ออกไปเผยแพร่ธรรมใส่แคว้นต่างๆ เช่น อโยธยา หลวงพระบาง เมืองน่านพระเจ้ากือนา แห่งล้านนาไทย ได้นิมนต์พระสมณะเถระไปจากสุโขทัย เพื่อเผยแพร่ธรรมในเมืองเชียงใหม่
2. สมัยกรุงศรีอยุธยา
2.1 สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เปน็ พระราชโอรสของสมเด็จพระบรมราชาธิบดีที่ 2(เจ้าสามพระยา) กับพระราชธิดาของพระมหาธรรมราชาที่ 2 แห่งสุโขทัย พระองค์จึงเป็นเชื้อสายราชวงศ์สุพรรณบุรีและราชวงศ์พระร่วง
พระร่วง ทรงเป็นพระมหากษัตริยท์ ี่ยิ่งใหญพ่ ระองค์หนึ่งของอยุธยา ขึ้นเสวยราชย์ใน พ.ศ. 1991 เสด็จสวรรคตใน พ.ศ. 2031 ทรงอยู่ในราชสมบัติ 40 ปี นับว่านานที่สุด
พระราชกรณียกิจที่สำคัญ
1. การรวมอาณาจักรสุโขทัยเข้ากับอยุธยา เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถขึ้นเสวยราชย์ใน พ.ศ. 1991 นั้น ทางสุโขทัยไม่มีพระมหาธรรมราชาปกครองแล้ว คงมีแต่พระยายุทธิษเฐียร พระโอรสของพระมหาธรรมราชาที่ 4 ไดรั้บแตง่ ตั้งจากอยุธยาใหไ้ ปปกครองเมืองพิษณุโลก ถึง พ.ศ. 1994 พระยายุทธิษเฐียรไปเข้ากับพระเจ้าติโลกราชแห่งล้านนา พระราชมารดาของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้ปกครองเมืองพิษณุโลกต่อมาจนสิ้นพระชนม์เมื่อพ.ศ. 2006 สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้เสด็จไปประทับที่พิษณุโลกและถือว่าอาณาจักรสุโขทัยถูกรวมเข้ากับอาณาจักรอยุธยานับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
2.2 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 เป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถครองราชย์ พ.ศ. 2034 ถึง พ.ศ. 2072
ใน พ.ศ. 2054 โปรตุเกสได้เข้ามาติดต่อกับกรุงศรีอยุธยา นับเป็นชาวตะวันตกชาติแรกที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทย ไทยจึงเริ่มเรียนรู้ศิลปวิทยาของชาวตะวันตก โดยเฉพาะด้านการทหาร ทำให้สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ทรงพระราชนิพนธ์ตำราพิชัย-สงครามของไทยได้เป็นครั้งแรก นอกจากนี้ทรงให้ทำสารบัญชี คือ การตรวจสอบจัดทำบัญชีไพร่พลทั้งราชอาณาจักร นับเป็นการสำรวจสำมะโนครัวครั้งแรก โดยทรงตั้งกรมสุรัสวดีให้มีหน้าที่สำรวจและคุมบัญชีไพร่พลทางด้านศาสนา สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ทรงสร้างวัดพระศรีสรรเพชญ์ไว้ในเขตพระราชฐาน และให้หล่อพระศรีสรรเพชญ์ สุง 8 วา หุ้มทองคำ ไว้ในพระมหาวิหารของวัดด้วย ในรัชสมัยนี้อยุธยาและล้านนายังเป็นคู่สงครามกันเช่นเดิม เนื่องจากกษัตริย์ล้านนา คือ พระเมืองแก้ว (ครองราชย์ พ.ศ. 2038 – 2068) พยายามขยายอาณาเขตลงมาทางใต้ จนถึง พ.ศ. 2065 มีการตกลงเป็นไมตรีกัน สงครามจึงสิ้นสุดลง
ทางด้านศาสนา
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ทรงสร้างวัดพระศรีสรรเพชญ์ไว้ในเขตพระราชฐานและให้หล่อ พระศรีสรรเพชญ์ สูง 8 วา หุ้มทองคำ ไว้ในพระมหาวิหารของวัดด้วย ในรัชสมัยนี้อยุธยาและล้านนายังเป็นคู่สงครามกันเช่นเดิม เนื่องจากกษัตริย์ล้านนา คือ พระเมืองแก้ว(ครองราชย์ พ.ศ. 2038 - 2068) พยายามขยายอาณาเขตลงมาทางใต้ จนถึง พ.ศ. 2065 มีการตกลงเปน็ ไมตรีกัน สงครามจึงสิ้นสุดลง
2.3 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นโอรสของสมเด็จพระมหาธรรมราชาในราชวงศ์สุโขทัยกับพระวิสุทธิกษัตริย ์ พระราชธิดาของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ประสูติเมื่อ พ.ศ. 2098ที่เมืองพิษณุโลกเมื่อพระชนมายุได้ 9 พรรษา ทรงถูกส่งไปเป็นตัวประกันที่กรุงหงสาวดีเพราะพม่ายึดเมืองพิษณุโลกได้ ทรงได้รับการเลี้ยงดูในฐานะพระราชบุตรธรรมเป็นเวลา 7 ปี จน พ.ศ. 2112 กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า พระมหาธรรมราชาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยาในฐานะเมืองขึ้นของกรุงหงสาวดี และอนุญาตให้พระนเรศวรกลับกรุงศรีอยุธยา และได้รับการสถาปนาให้เป็นเจ้าเมืองพิษณุโลกและมีตำแหน่งอุปราช ระหว่างนั้นทรงทำสงครามกับเขมรและพม่า เพื่อป้องกันอยุธยา พระเจ้าหงสาวดีเห็นดังนี้จึงคิดกำจัดพระนเรศวร แต่พระองค์ทรงทราบจึงทรงประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง รวมเวลาที่กรุงศรีอยุธยาตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่าเป็นเวลา 15 ปี หลังจากประกาศอิสรภาพก็ทรงทำสงครามกับพม่าหลายครั้ง และได้กวาดต้อนผู้คนจากหัวเมืองฝ่ายเหนือมาไว้เป็นกำลังได้มาก ต่อมาใน พ.ศ. 2133 สมเด็จพระธรรมราชาสวรรคต พระนเรศวรจึงเสด็จขึ้นครองราชย์และทรงสถาปนาพระเอกาทศรถพระอนุชาขึ้นเป็นพระมหาอุปราช พระราชภารกิจของพระองค์ ได้แก่ การทำศึกสงคราม โดยเฉพาะสงครามครั้งสำคัญ คือ สงครามยุทธหัตถี ที่ทรงรบกับพม่าที่ตำบลหนองสาหร่าย แม้แต่ฝ่ายแพ้ก็ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นนักรบแท้หลังจากนั้นตลอดระยะเวลา 150 ปี กรุงศรีอยุธยาไม่ถูกรุกรานจากพม่าอีก สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงขยายอาณาเขตออกไปอยา่ งกวา้ งขวางครอบคลุมทั้งลา้ นนา ลา้ นชา้ งไทยใหญ่ และกัมพูชา รวมถึงพม่า ครั้งสุดท้าย คือ การเดินทัพไปตีเมืองอังวะ ซึ่งพระองค์ประชวร และสวรรคตที่เมืองหาง ใน พ.ศ. 2148 พระชนมายุได้ 50 พรรษา เสวยราชสมบัติได้ 15 ปี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงเป็นวีรกษัตริย์ที่ได้รับการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ในฐานะผู้กอบกู้เอกราชให้แก่กรุงศรีอยุธยา ประชาชนชาวไทยจึงยกย่องพระองค์ให้เป็นมหาราช พระองค์หนึ่ง
พระราชกรณียกิจที่สำคัญ
1. การลดส่วยและงดเก็บภาษีอากรจากราษฎรเป็นเวลา 3 ปีเศษ
2. การประกาศใช้กฎหมายพระราชกำหนดและกฎหมายเพิ่มเติมลักษณะรับฟ้อง
3. การส่งเสริมงานด้านวรรณกรรม หนังสือที่แต่งในสมัยนี้ เช่น สมุทรโฆษคำฉันท์โคลงทศรถสอนพระราม โคลงพาลี-สอนน้อง โครงราชสวัสดิ์ เพลงพยากรณ์กรุงเก่า เพลงยาวบางบท รวมถึงวรรณกรรมชิ้นสำคัญ คือ โครงเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนารายณ์นับเป็น ยุคทองแห่งวรรณกรรม ของไทยยุคหนึ่ง
4. การทำศึกสงครามกับเชียงใหม่และพม่า พ.ศ. 2203 และได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ ลงมาอยุธยาด้วย
5. ด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศนั้น เจริญรุ่งเรืองมาทั้งประเทศตะวันออก เช่น จีน อินเดีย และประเทศตะวันตกที่สำคัญ ได้แก่ โปรตุเกส ฮอลันดา อังกฤษ และฝรั่งเศสทั้งด้านการเชื่อมสัมพันธไมตรีและการป้องกันการคุมคามจากชาติต่างๆ เหล่านี้จากพระราชกรณียกิจต่างๆ ดังกล่าว จึงทรงได้รับการยกย่องว่าทรงเป็น มหาราช พระองค์หนึ่ง อีกทั้งในรัชสมัยของพระองค์ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลสำคัญด้านศิลปวัฒนธรรมยุคหนึ่งด้วย สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเสด็จสวรรคตใน พ.ศ. 2231 ที่เมืองลพบุรี ราชธานีที่สองที่พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น
3. สมัยกรุงธนบุรี
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มีนามเดิมว่า สิน ประสูติเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2277 ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เป็นบุตรของนายไหฮอง และนางนกเอี้ยงเจ้าพระยาจักรีรับไปเป็นบุตรบุญธรรม ต่อมาเข้ารับราชการจนได้ตำแหน่งหลวงยกกระบัตรเมืองตาก และเป็นเจ้าเมืองตากครั้นเมื่อพม่าล้อมกรุงใน พ.ศ. 2308 พระยาตากถูกเรียกตัวเข้าป้องกันพระนครหลวง แต่เกิดท้อใจว่าหากสู้กับพม่าที่อยุธยาต้องเสียชีวิตโดยเปล่าประโยชน์เป็นแน่ จึงพาทัพตีฝ่าหนีไปตั้งตัวที่จันทบูร(จันทรบุรี) พอถึงเดือนเมษายนพ.ศ. 2310 กรุงศรีอยุธยา ก็เสียแก่พม่า แต่หลังจากนั้น 7 เดือน พระยาตากก็ได้ยกทัพมาขับไล่พม่าออกจากกรุงศรีอยุธยา ได้ทั้งหมด แต่เห็นว่ากรุงศรีอยุธยาเสียหายมาก จึงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวง และประกอบพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นครองราชย์ใน พ.ศ. 2310ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 แต่คนทั่วไปนิยมออกพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าตากสิน พร้อมทั้งพระราชทานนามเมืองว่า กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร เหตุที่เลือกธนบุรีเป็นเมืองหลวง เนื่องจากทรงเห็นว่าธนบุรีเป็นเมืองเล็กป้องกันรักษาง่ายอยู่ใกล้ปากอ่าวสะดวกแก่การติดต่อค้าขายกับต่างชาติ และการลำเลียงอาวุธ มีเส้นทางคมนาคมสะดวกโดยเฉพาะทางเรือมีแม่น้ำคั่นกลาง เช่นเดียวกับพิษณุโลกและสุพรรณบุรี เพื่อจะได้ใช้กองทัพเรือสนับสนุนการรบ และตั้งอยู่ไม่ไกลศูนย์กลางเดิมมากนัก เป็นแหล่งรวมขวัญและกำลังใจของผู้คน โดยอาศัยมีผู้นำที่เข้มแข็ง
พระราชกรณียกิจที่สำคัญที่สุด
การรวบรวมบรรดาหัวเมืองต่างๆ เข้าอยู่ภายใต้การปกครองเดียวกัน เนื่องจากมีคนพยายามตั้งตัวขึ้นเป็นผู้นำในท้องถิ่นต่างๆ มากมาย เช่น ชุมนุมเจ้าเมืองพิษณุโลก ชุมนุมเจ้าเมืองพิมาย ชุมนุมเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช เป็นต้น ตลอดรัชกาลมีศึกสงครามเกิดขึ้นมากมาย ได้แก่ ศึกพม่าที่บางกุ้ง ศึกเมืองเขมร ศึกเมืองเชียงใหม่ ศึกเมืองพิชัย ศึกบางแก้วศึกอะแซหวุ่นกี้ ศึกจำปาศักดิ์ ศึกเวียงจันทน์ ซึ่งพระเจ้ากรุงธนบุรีได้รับชัยชนะในการศึกษามาโดยตลอด ในสมัยกรุงธนบุรีตอนปลาย
4. สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
4.1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2279พระบิดามีพระนามเดิมว่า ทองดี พระมารดาชื่อ หยก
เมื่อทรงมีพระชันษา 21 พรรษา ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ 3 เดือน เมื่อลาสิกขาก็ทรงเข้ารับราชการในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ครั้นถึงแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าเอกทัศทรงได้รับตำแหน่งเป็นหลวงยกกระบัตร ประจำเมืองราชบุรี พระองค์ทรงมีความชำนาญในการรบอยา่ งยิ่ง จึงไดรั้บพระราชทานปูนบำเหน็จความดีความชอบใหเ้ ลื่อนเปน็ พระราชวรินทร์พระยาอภัยรณฤทธิ์ พระยายมราชว่าที่สมุหนายก เจ้าพระยาจักรี และในที่สุดได้เลื่อนเป็นเจ้าพระยามหากษัตรยิ์ศึก มีเครื่องยศอย่าง เจ้าต่างกรม เมื่อทรงตีได้เวียงจันทร์ พระองค์ได้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฎิมากร (พระแก้วมรกต) จากเมืองเวียงจันทน์มายังกรุงธนบุรีด้วย ต่อมาเกิดเหตุจลาจล ข้าราชการและประชาชนจึงอัญเชิญเป็นพระมหากษัตริย์แทนสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
พระราชกรณียกิจที่สำคัญพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงเป็นทั้งนักปกครองและนักการทหารที่ยอดเยี่ยม ทรงแต่งตั้งให้เจ้านายที่เคยผ่านราชการทัพศึกมาทำหน้าที่ช่วยในการปกครอง บ้านเมืองโปรดเกล้าฯ
1. ให้ชำระกฎหมายให้สอดคล้องกับยุคสมัยของบ้านเมือง คือ กฎหมายตราสามดวง
2. รวมถึงการชำระพระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์อันเป็นเครื่องส่งเสริมความมั่นคงของกรุงรัตนโกสินทร์
3. นอกจากนี้พระองค์ยังคงทรงส่งเสริมวัฒนธรรมของชาติ ทั้งด้านวรรณกรรมที่ทรงแสดงพระปรีชาสามารถในการประพันธ์ โดยพระราชนิพนธ์ บทละครเรื่องรามเกียรติ์บทละครเรื่องอุณรุท บทละเครื่องอิเหนา บทละครเรื่องดาหลัง เพลงยาวรบพม่าที่ท่าดินแดงนอกจากด้านวรรณกรรมแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชยังทรงส่งเสริมศิลปะด้านสถาปัตยกรรม ประติมากรรม และนาฏกรรม
4. ภายหลังที่ครองกรุงรัตนโกสินทร์เพียง 3 ปี ได้เกิดศึกพม่ายกทัพมาตีเมืองไทยพระองค์ทรงจัดกองทัพต่อสู้จนทัพพม่าแตกพ่าย ยังความเป็นเอกราชให้กับแผ่นดินไทยมาจนทุกวันนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้นต่อพสกนิกรชาวไทย เป็น มหาราชอีกพระองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย และทรงเป็นปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชจักรีวงศ์ ที่ปกครองบ้านเมืองให้เกิดความสงบสุขจวบจนปัจจุบัน
4.2 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฎ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 กับกรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ทรงพระราชสมภาพเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2347ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจะเสด็จสวรรคตนั้น พระองค์มิได้ตรัสมอบราชสมบัติให้แก่เจ้านายพระองค์ใด ที่ประชุมพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางผู้ใหญ่จึงปรึกษายกราชสมบัติให้แก่พระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ฝ่ายเจ้ามงกุฎซึ่งทรงผนวชตามราชประเพณีก่อนพระราชบิดาสวรรคตไม่กี่วัน จึงได้ดำรงอยู่ในสมณเพศต่อไปถึง 26 พรรษา ทำให้พระองค์มีเวลาทรงศึกษาวิชาการต่างๆ อย่างมากมาย โดยเฉพาะภาษาต่างประเทศ เป็นเหตุให้ทรงทราบเหตุการณ์โลกภายนอกอย่างกระจ่างแจ้ง ทั้งยังได้เสด็จธุดงค์จาริกไปนมัสการปูชนียสถานตามหัวเมืองห่างไกล ที่ทำให้ทรงทราบสภาพความเป็นอยู่ของราษฎรเป็นอย่างดี
พระราชภารกิจที่สำคัญ
1. การทำสนธิสัญญากับอังกฤษ เพื่อแลกกับเอกราชของประเทศ ยอมให้ตั้งสถานกงสุลมีสิทธิสภาพนอกราชอาณาเขต ยอมเลิกระบบการค้าผูกขาดเป็นการค้าเสรี เก็บภาษีขาเข้าในอัตราร้อยชักสาม
2. ทรงปรับปรุงการรักษาความมั่นคงของประเทศ มีการตั้งข้าหลวงปักปันพระราชอาณาเขตชายแดนด้านตะวันตกร่วมกับอังกฤษ ทรงจ้างผู้เชี่ยวชาญชาวยุโรปมาสำรวจทำแผนที่พระราชอาณาเขตชายแดนด้านตะวันออก จ้างนายทหารยุโรปมาฝึกสอนวิชาทหารแบบใหม่ ทรงให้ต่อเรือกลไฟขึ้นใช้หลายลำและผลจากการทำสัญญากับอังกฤษทำให้เศรษฐกิจเจริญรุ่งเรืองมาก
3. พระองค์จึงขยายพระนครออกไปทางทิศตะวันออก ได้มีการขุดคลองและสร้างถนนขึ้นมากมาย เช่น คลองผดุงกรุงเกษม คลองภาษีเจริญ คลองดำเนินสะดวก ถนนเจริญกรุง ถนนบำรุงเมือง ถนนเฟื่องนคร
4. ได้เกิดกิจการแบบตะวันตกขึ้นหลายอย่าง เช่น ใช้รถม้าเดินทาง มีตึกแบบฝรั่งมีโรงสีไฟ โรงเลื่อยจักร เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการรับชาวต่างประเทศเข้ามารับราชการ ออกหนังสือราชกิจจานุเบกษา ตั้งโรงกษาปณ์ ฯลฯ
5. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานเสรีภาพในการนับถือศาสนา เพราะทรงเห็นว่าไม่มีผลต่อกิจการแผ่นดิน
6. พระองค์ได้ทรงปัญญัติกฎหมายขึ้นเกือบ 500 ฉบับ ซึ่งเป็นกฎหมายที่เต็มไปด้วยมนุษยธรรม
7. พระองค์ทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์ ทรงยอมรับวิชาการทางตะวันตกมาใช้ เช่นการถ่ายรูป การก่อสร้าง และงานเครื่องจักร เป็นต้น ทั้งยังทรงมีพระปรีชาสามารถในด้านดาราศาสตร์ คือ ทรงคำนวณเวลาเกิดสุริยุปราคาหมดดวงในประเทศไทย ที่ตำบลหว้ากอแขวงเมืองประจวบคีรีขันธ์ ได้ว่าจะเกิดขึ้นวันที่18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 เวลา 10.32 นาิกาเวลาดวงอาทิตย์มืดเต็มดวง คือ 6 นาที 46 วินาที และเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นจริงตามที่ทรงคำนวณไว้ทุกประการ
ในการเสด็จไปทอดพระเนตรสุริยุปราคาครั้งนั้นทำให้พระองค์ประชวรด้วยไข้สับสั่นอย่างแรง และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 สิริพระชนมายุได้ 64 พรรษารวมเวลาครองราชย์ได้ 17 ปีเศษ
4.3 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระราชโอรสในรัชกาลที่ 4 และสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 มีพระนามเดิมว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ทรงได้รับการศึกษาขั้นต้นในพระบรมมหาราชวังเมื่อพระชนมายุ 13 พรรษา ทรงเป็นกรมขุนพินิตประชานาถ เสวยราชย์เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411
ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง 15 พรรษา โดยมีเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน จนถึง พ.ศ. 2416 ทรงบรรลุนิติภาวะ พระชนมพรรษาครบ 20พรรษา จึงมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ 2 ทรงครองราชย์สมบัติยาวนานถึง 42 ปีสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453
พระราชกรณียกิจที่สำคัญ
เพื่อให้ไทยเจริญก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศและรอดพ้นจากภัยจักรวรรดินิยมที่กำลังคุมคามภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ขณะนั้น รัชกาลที่ 5 ทรงพัฒนาและปรับปรุงประเทศ ทุกด้าน เช่น
การปกครอง
ทรงปฎิรูปการปกครองใหม่ตามอย่างตะวันตก แยกการปกครองออกเป็น 3 ส่วนคือ การปกครองส่วนกลาง แบ่งเป็นกระทรวงต่างๆ การปกครองส่วนภูมิภาคโดยระบบเทศาภิบาลและการปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปสุขาภิบาล
กฎหมายและการศาล
ให้ตั้งกระทรวงยุติธรรมรับผิดชอบศาลยุติธรรม เป็นการแยกอำนาจตุลาการ ออกจากฝ่ายบริหารเป็นครั้งแรก ยกเลิกจารีตนครบาลที่ใช้วิธีโหดร้ายทารุณในการไต่สวนคดีความตั้งโรงเรียนกฎหมายขึ้น และประกาศใช้ประมวลกฎหมายลักษณะอาญาอันเป็นประมวลกฎหมายฉบับแรกของไทย การปรับปรุงกฎหมายและการศาลนี้เป็นลู่ทางที่ทำให้ประเทศไทยสามารถแก้ปัญหาสิทธิสภาพนอกอาณาเขตได้ในภายหลัง
สังคมและวัฒนธรรม
ทรงยกเลิกระบบทาสและระบบไพร่ ให้ประชาชนมีอิสระในการดำรงชีวิต ยกเลิกประเพณีที่ล้าสมัย และรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา
การเงิน การธนาคารและการคลัง
ผลจากการทำสนธิสัญญาเบาว์ริงในสมัยรัชกาลที่ 4 ทำให้เศรษฐกิจการค้าขยายตัวมีชาวต่างประเทศเข้ามาทำกิจการในประเทศไทยมากขึ้น รัชกาลที่ 5 จึงให้ออกใช้ธนบัตรและมีการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนที่แน่นอนเป็นครั้งแรก ทรงอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ของต่างประเทศเข้ามาตั้งสาขาและสนับสนุนให้คนไทยตั้งธนาคารพาณิชย์ขึ้น ในด้านการคลัง มีการจัดทำงบประมาณแผ่นดินเป็นครั้งแรก และปรับปรุงระบบจัดเก็บภาษีอากรให้มีประสิทธิภาพขึ้น
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระกรุณาธิคุณต่อประชาชนชาวไทยและประเทศไทยอย่างใหญ่หลวง จึงทรงได้รับพระราชสมัญญาว่า พระปิยมหาราชอันหมายถึงว่า ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย และในโอกาสครบรอบ 150 พรรษาแห่งวันคล้ายวันพระราชสมภพ วันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2546 องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศยกย่องให้พระองค์เป็นบุคคลสำคัญและมีผลงานดีเด่นของโลกทางสาขาการศึกษา วัฒนธรรม สังคมศาสตร์ มนุษยวิทยา การพัฒนาสังคม และสื่อสาร
4.4 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เปน็ พระโอรสในรัชกาลที่ 4กับเจ้าจอมมารดาชุ่ม มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร ประสูติเมื่อวันที่ 21มิถุนายน พ.ศ. 2405 ทรงไดรั้บการศึกษาเบื้องตน้ ในพระบรมมหาราชวัง ในสมัยรัชกาลที่ 5ได้รับการสถาปนาเป็นกรมหมื่นดำรงราชานุภาพ แล้วเลื่อนเป็นกรมหลวง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้เลื่อนขึ้นเป็นกรมพระยา และเมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 7 ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สมเด็จฯ กระพระยาดำรงราชานุภาพทรงเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาบ้านเมือง โดยเฉพาะการปฏิรูปประเทศในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงปฏิบัติหน้าที่ราชการด้านความวิริยะอุตสาหะ มีความรอบรู้ มีความซื่อสัตย์ และจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์
กรณียกิจที่สำคัญ
การศึกษา
ใน พ.ศ. 2423 ทรงได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกรมทหารมหาดเล็กจึงเกี่ยวข้องกับการศึกษามาตั้งแต่นั้น เนื่องจากมีการตั้งโรงเรียนทหารมหาดเล็กขึ้นในกรมทหารมหาดเล็ก ต่อมาเปลี่ยนเป็นโรงเรียนเรียนพลเรือน จนถึง พ.ศ. 2433 ทรงเป็นอธิบดีกรมศึกษาธิการและกำกับกรมธรรมการ จึงปรับปรุงงานด้านการศึกษาให้ทันสมัย เช่นกำหนดจุดมุ่งหมายทางการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ คือ ฝึกคนเพื่อเข้ารับราชการกำหนดหลักสูตร เวลาเรียนให้เป็นแบบสากล ทรงนิพนธ์แบบเรียนเร็วขึ้นใช้เพื่อสอนให้อ่านได้ภายใน 3 เดือน มีการตรวจคัดเลือกหนังสือเรียน กำหนดแนวปฏิบัติราชการในกรมธรรมการ และริเริ่มขยายการศึกษาออกไปสู่ราษฎรสามัญชน เป็นต้น
การปกครอง
ทรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยคนแรกเป็นเวลานานถึง 23 ปี ติดต่อกันตั้งแต่ พ.ศ. 2435 – 2458 ทรงมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานระบบการบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาพในแนวใหม่ โดยยกเลิกการปกครองที่เรียกว่า ระบบกินเมือง ซึ่งให้อำนาจเจ้าเมืองมาก มาเป็นการรวมเมืองใกล้เคียงกันตั้งเป็นมณฑล และส่งข้าหลวงเทศาภิบาลไปปกครองและจ่ายเงินเดือนให้พอเลี้ยงชีพ ระบบนี้เป็นระบบการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางนอกจากนี้มีการตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นในกระทรวงมหาดไทย เพื่อทำหน้าที่ดูแลทุกข์สุขราษฎรเช่น กรมตำรวจ กรมป่าไม้ กรมพยาบาล เป็นต้น ตลอดเวลาที่ทรงดูแลงานมหาดไทย ทรงให้ความสำคัญแก่การตรวจราชการเป็นอย่างมาก เพราะต้องการเห็นสภาพเป็นอยู่ที่แท้จริงของราษฎร ดูการทำงานของข้าราชการ และเป็นขวัญกำลังใจแก่ข้าราชการหัวเมืองด้วย
งานพระนิพนธ์
ทรงนิพนธ์งานด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี และศิลปวัฒนธรรมไว้เป็นจำนวนมากทรงใช้วิธีสมัยใหม่ในการศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์และโบราณคดี จนได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ไทย สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยเมื่อ พ.ศ. 2458 ในสมัยรัชกาลที่ 6 เนื่องจากมีปัญหาด้านสุขภาพ แต่ต่อมาเสด็จกลับเข้ารับราชการอีกครั้ง ในตำแหน่งเสนาบดีมุรธาธรและเมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 7 ทรงดำรงดำแหน่งอภิรัฐมนตรี งานสำคัญอื่นๆ ที่ทรงวางรากฐานไว้ ได้แก่ หอสมุดสำหรับพระนคร และงานด้านพิพิธภัณฑ์และหอจดหมายเหตุ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพสิ้นพระชนมเ์ มื่อ พ.ศ. 2486 ทรงเปน็ ตน้ ราชสกุล ดิศกุล ใน พ.ศ. 2505 ยูเนสโกประกาศยกย่องพระองค์ให้เป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมระดับโลก นับเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับเกียรติ
4.5 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นเจ้าฟ้าผู้ทรงพระปรีชาสามารถในวิชาการหลายแขนง ทรงเป็นปราชญ์ทางอักษรศาสตร์ ประวัติศาสตร์ดนตรี และงานช่าง พระองค์มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าจิตรเจริญ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับหม่อมเจ้าหญิงพรรณราย ประสูติที่ตำหนักในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2406 ทรงไดรั้บการศึกษาขั้นตน้ ที่โรงเรียนเตรียมทหาร จากนั้นผนวชเปน็ สามเณรอยูท่ ี่วัดบวรนิเวศวิหาร หลังจากนั้นทรงศึกษาวิชาการต่างๆ และราชประเพณี ครั้นลาผนวชแล้ว ทรงรับราชการในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระสติปัญญารอบรู้ เป็นที่วางพระราชหฤทัยจนได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เลื่อนพระอิสริยยศเป็น พระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมขุนนริศรานุวัดติวงศ์ ทรงรับราชการในตำแหน่งสำคัญ อยู่หลายหน่วยงานเพื่อวางรากฐานในการบริหารราชการให้มั่นคง ทั้งกระทรวงโยธาธิการ กระทรวงพระคลัง และกระทรวงวัง
ใน พ.ศ. 2452 ทรงกราบบังคมลาออกจากราชการ เนื่องจากประชวร ด้วยโรคพระหทัยโต ทรงปลูกตำหนักอยู่ที่คลองเตย และเรียกตำหนักนี้ว่า บ้านปลายเนิน ครั้นเมื่อรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ และโปรดเกล้าฯให้ทรงกลับเข้ารับราชการอีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงทรงพ้นจากตำแหน่ง
ถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เลื่อนกรมขึ้นเป็น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ในบั้นปลายพระชนม์ทรงประทับที่บ้านปลายเนินจนสิ้นพระชนม์ลงเมื่อวันที่ 10 มีนาคมพ.ศ. 2490 พระชันษา 83 ปี ทรงเป็นต้นราชสกุล จิตรพงศ์
สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงมีพระปรีชาสามารถในงานช่างหลายแขนง ได้ทรงงานออกแบบไว้เป็นจำนวนมาก ทั้งงานภาพเขียนในวรรณคดี ภาพประดับผนัง พระราชลัญจกรและตราสัญลักษณ์ต่างๆ ตาลปัตร ตลอดจนสถาปัตยกรรม ซึ่งเป็นที่รู้จักแพร่หลาย เช่น พระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม พระอุโบสถวัดราชาธิวาส พระอุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์ ฯลฯ ด้วยพระปรีชาสามารถทางด้านงานช่างนี้เอง ทำให้ทรงได้รับพระสมัญญานามว่า นายช่างใหญ่แห่งกรุงสยาม
นอกจากนี้ยังทรงพระปรีชาสามารถทางด้านดนตรี ทรงพระนิพนธ์เพลงเขมรไทรโยคเพลงตับนิทราชาคริต เพลงตับจูล่ง ฯลฯ ส่วนด้านวรรณกรรมทรงมีลายพระหัตถ์โต้ตอบกับสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งภายหลังได้กลายเป็นเอกสารที่มีคุณค่าด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี ศิลปวัฒนธรรมประเพณีและอักษรศาสตร์ ที่รู้จักกันทั่วไปในนามสาส์นสมเด็จ ความที่สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงพระปรีชาสามารถในวิชาการหลายแขนง จึงมิได้เป็นบุคคลสำคัญของชาติไทยเท่านั้น หากแต่ทรงเป็นบุคคลที่ชาวโลกพึงรู้จัก โดยใน พ.ศ. 2506 อันเป็นวาระครบร้อยปีแห่งวันประสูติ ยูเนสโกได้ประกาศให้พระองค์เป็นบุคคลสำคัญของโลกพระองค์หนึ่ง
4.6 ขรัวอินโข่ง
ขรัวอินโข่ง เป็นชื่อเรียกพระอาจารย์อิน ซึ่งเป็นจิตรกรในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขรัวอินโข่งเป็นชาวบางจาน จังหวัดเพชรบุรี บวชอยู่จนตลอดชีวิตที่วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) กรุงเทพฯ การที่ท่านบวชมานานจึงเรียกว่า ขรัว ส่วนคำว่า โข่งนั้นเกิดจากท่านบวชเป็นเณรอยู่นานจนใครๆ พากันเรียกว่า อินโข่ง ซึ่งคำว่า โข่ง หรือ โค่งหมายถึง ใหญ่หรือโตเกินวัยนั้นเอง
ขรัวอินโข่ง เป็นช่างเขียนไทยคนแรกที่มีความรู้ในการเขียนภาพทั้งแบบไทยที่นิยมเขียนกันมาแต่โบราณ และทั้งแบบตะวันตกด้วย นับเป็นจิตรกรคนแรกของไทยที่มีพัฒนาการเขียนรูปจิตรกรรมฝาผนัง โดยการนำทฤษฎีการเขียนภาพแบบสามมิติแบบตะวันตกเข้ามาเผยแพรใ่ นงานจิตรกรรมของไทยยุคนั้น ภาพตา่ งๆ ที่ขรัวอินโขง่ เขียนจึงมีแสง เงา มีความลึกและเหมือนจริง
ผลงานของขรัวอินโข่งเป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาก เคยโปรดเกล้าฯ ให้เขียนรูปต่างๆ ตามแนวตะวันตกไว้ที่พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหารซึ่งเป็นภาพเขียนแรกๆ ของขรัวอินโข่ง นอกจากนั้นมีภาพเหมือนพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาที่หอพระราชกรมานุสรณ์
ภาพของขรัวอินโข่งเท่าที่มีปรากฏหลักฐานและมีการกล่าวอ้างถึง อาทิ ภาพเขียนชาดก เรื่องพระยาช้างเผือก ที่ผนังพระอุโบสถ และภาพสุภาษิตที่หน้าต่างพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ภาพพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ในหอพระราชพงศานุสรณ์ในพระบรมมหาราชวัง ภาพปริศนาธรรมที่ผนังพระอุโบสถวัดบรมนิวาส ภาพพระบรมรูปรัชกาลที่ 4 ฯลฯ
ภาพเขียนจากฝีมือขรัวอินโข่งเหล่านี้ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดดเด่น แปลกตา ใช้สีเข้มและสีอ่อนแตกต่างจากงานจิตรกรรมที่เคยเขียนกันมาในยุคนั้น ทำให้เกิดรูปแบบใหม่ของงานจิตรกรรมในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่เรียกกันว่า จิตรกรรมสกุลช่างขรัวอินโข่งที่เป็นต้นกำเนิดของงานจิตรกรรมไทยในยุคต่อๆ มา
4.7 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนชี ทรงมีพระนามเดิมว่า สังวาล ตะละภัฏพระราชราชสมภพเมื่อ วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2443 ทรงเป็นบุตรคนที่ 3 ในพระชนกชู และพระชนนีคำ ทรงมีพระภคินี และพระเชษฐา 2 คนซึ่งได้ถึงแก่กรรมตั้งแต่เยาว์วัยคงเหลือแต่พระอนุชาอ่อนกว่าพระองค์ 2 ปี คือ คุณถมยา
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีอภิเษกสมรสกับสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสงขลา
นครินทร์ได้ประสูติพระโอรสและพระธิดา ดังนี้
1. หม่อมเจ้ากัลยาณิวัฒนามหิดล ภายหลังทรงได้รับการสถาปนาพระอิสริยศักดิ์เป็นสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
2. หม่อมเจ้าอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8)
3. พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9)
พระราชกรณียกิจที่สำคัญ
การแพทย์ พยาบาล การสาธารณสุข และการศึกษาสมเด็จย่าทรงจัดตั้งหน่วยและมูลนิธิที่สำคัญขึ้น ดังนี้
1. หน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) เป็นหน่วยแพทย์อาสาเคลื่อนที่ที่เดินไปในถิ่นทุรกันดาร ประกอบด้วย แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกรพยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และสมาชิกสมทบอีกคณะหนึ่ง ซึ่งไม่ได้รับสิ่งตอบแทนและเบี้ยเลี้ยง เงินเดือน
2. มูลนิธิขาเทียม จัดตั้งเมื่อ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2535
3. มูลนิธิถันยรักษ์ ที่โรงพยาบาลศิริราช จัดตั้งเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2538 เพื่อใช้เป็นสถานที่ตรวจวินิจฉัยเต้านม
4. ทรงบริจาคเงินเพื่อสร้างโรงเรียนกว่า 185 โรงเรียน และทรงรับเอาโครงการของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนไว้ในพระราชูปถัมภ์
การอนุรักษ์ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเป็นพระราชวงศ์ที่โปรดธรรมชาติมากทรงสร้างพระตำหนักดอยตุง ขึ้นบริเวณดอยตุง เนื้อที่ 29 ไร่ 3 งาน ที่บ้านอีก้อป่ากล้วยอำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เอง ในพื้นที่เช่าของกรมป่าไม้เป็นเวลานาน 30 ปี มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1,000 เมตร โดยทรงเรียกพระตำหนักนี้ว่า บ้านที่ดอยตุง ทรงพัฒนาดอยตุง และส่งเสริมงานให้ชาวเขาอีกด้วย ดังนี้
1. โครงการพัฒนาดอยตุง เมื่อปี พ.ศ. 2531
2. ทรงพระราชทานกล้าไม้แก่ผู้ตามเสด็จ และทรงปลูกป่าด้วยพระองค์เอง
3. ทรงนำเมล็ดกาแฟพันธุ์อาราบิกา และไม้ดอกมาปลูก
4. โครงการขยายพันธุ์โดยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อหน่อไม้ฝรั่ง กล้วย กล้วยไม้ เห็ดหลินจือ สตรอเบอร์รี่
5. จัดตั้งศูนย์บำบัด และฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ที่บ้านผาหมี ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
จากพระราชอุตสาหะดังกลา่ ว และโครงการที่ยังมิไดน้ ำเสนอขึ้นมาขา้ งตน้ นี้ ยอดดอยที่เคยหัวโล้นด้วยการถางป่า ทำไร่เลื่อนลอยปลูกฝิ่น จึงได้กลับกลายมาเป็นดอยที่เต็มไปด้วยป่าไม้ตามเดิม ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงได้รับขนานนามว่า สมเด็จย่าแม่ฟ้าหลวงของชาวไทย
ในวันอังคารที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงได้เสด็จสวรรคต แต่พระเกียรติคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงปรารถนาให้ชาวไทยมีความสุข ยังคงสถิตถาวรอยู่ในความทรงจำของพสกนิกรทั่วไทยตลอดกาล และในวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2543 เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพครบรอบ 100 ปี องค์การวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ได้เฉลิมพระเกียรติยกย่องให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเป็น “บุคคลสำคัญของโลก”
4.8 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9)
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช พระราชโอรสพระองค์เล็กในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ และหม่อมสังวาล ประสูติ ณโรงพยาบาลเมานท์ออเบร์น เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสสาซูเสตต์ ประเทศสหรัฐอเมริกา วันที่ 5 ธันวาคม 2570 ตรงกับวันจันทร์ เดือนอ้าย ขึ้น 12 ค่ำ ปีเถาะ เหตุที่ประสูติที่อเมริกาเพราะขณะนั้นพระบรมราชนกเสด็จทรงศึกษาและปฏิบัติหน้าที่ราชการในต่างประเทศทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี เสด็จขึ้นครองราชย์ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนาย พ.ศ. 2489 จนถึงปัจจุบัน ทรงพระสถานะเป็นประมุขแห่งรัฐตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พระองค์ทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญาว่า “สมเด็จพระภัทรมหาราช” ซึ่งมีความหมายว่า “พระมหากษัตริย์ผู้ประเสริฐยิ่ง” ต่อมาได้มีการถวายพระราชสมัญญาใหม่ว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช” เมื่อ พ.ศ. 2530 และ“พระภูมิพลมหาราช” อนุโลมตามธรรมเนียมเช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ที่ทรงได้รับพระราชสมัญญาว่า “พระปิยมหาราช” อนึ่ง ประชาชนทั่วไปนิยมเรียกพระองคว์ า่ “ในหลวง” คำดังกลา่ วคาดวา่ ยอ่ มาจาก “ใน (พระบรมมหาราชวัง)หลวง” บ้างก็ว่าเพี้ยนมาจากคำว่า “นายหลวง” ซึ่งแปลว่าเจ้านายผู้เป็นใหญ่
ทั้งนี้ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระชนม์ชีพอยู่และทรงอยู่ในตำแหน่งยาวนานที่สุดในโลก และเสวยราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยด้วยเช่นกัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว. สิริกิติ์เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2492 เสด็จพระราชดำเนินนิวัตพระนครในปีถัดมา โดยประทับ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ต่อมาวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2493 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ณ พระตำหนักสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ในวังสระปทุม ซึ่งในการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสนี้ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ กิติยากร ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้ากระหม่อมให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามแบบอย่างโบราณราชประเพณีขึ้น ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณเฉลิมพระปรมาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏ ว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิวาส บรมนาถบพิตร พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” และในโอกาสนี้ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระนามาภิไธย สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ เป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถมีพระราชโอรส และพระราชธิดาด้วยกันสี่พระองค์ตามลำดับดังต่อไปนี้
1. ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี (พระนามเดิม : สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ประสูติ 5 เมษายน 2494สถานพยาบาล มงต์ชัวชี เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์) สมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์นี้ได้ทรงลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ โดยมีพระโอรสหนึ่งองค์และพระธิดาสององค์ ทั้งนี้ คำว่า “ทูลกระหม่อมหญิง” เป็นคำเรียกพระราชวงศ์ที่มีพระชนนีเป็นสมเด็จพระบรมราชินี
2. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกฎราชกุมาร (พระนามเดิม : สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ บรมจักรยาดิศรสันตติวงศเทเวศรธำรงสุบริบาล อภิคุณูประการมหิตตลาดุลเดช ภูมิพลนเรสวรางกูร กิตติสิริสมบูรณ์สวางควัฒน์ บรมขัตติยราชกุมาร; ประสูติ: 28 กรกฎาคม 2495, พระที่นั่งอัมพรสถาน)
3. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติสยามบรมราชกุมารี (พระนามเดิม: สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์; ประสูติ: 2 เมษายน 2498, พระที่นั่งอัมพรสถาน)
4. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี (ประสูติ: 4 กรกฎาคม 2500, พระที่นั่งอัมพรสถาน)
พระราชกรณียกิจ พระราชนิพนธ์ และผลงานอื่นโดยสังเขป
ทรงประกอบพระราชกรณียกิจที่ถึงพร้อมทั้งความบริสุทธิ์บริบูรณ์ จึงเป็นช่วงเวลา 60 ปี ที่พสกนิกรชาวไทยอยู่ได้อย่างร่มเย็นเป็นสุขภายใต้ร่มพระบารมี พระราชกรณียกิจทั้งหลายที่พระองค์ทรงบำเพ็ญ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ที่พระองค์ทรงมีต่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทย ดังพระราชกรณียกิจและพระราชนิพนธ์ ดังนี้
1. มูลนิธิชัยพัฒนา
2. มูลนิธิโครงการหลวง
3. โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา
4. โครงการหลวงอ่างขาง
5. โครงการปลูกป่าถาวร
6. โครงการแก้มลิง
7. โครงการฝนหลวง
8. โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน
9. โครงการแกล้งดิน
10. กังหันชัยพัฒนา
11. แนวพระราชดำริ ผลิตแก๊สโซออล์ในโครงการส่วนพระองค์ (พ.ศ. 2528)
12. แนวพระราชดำริ เศรษฐกิจพอเพียง
13. เพลงพระราชนิพนธ์
14. พระสมเด็จจิตรลดา
พระเกียรติยศ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลและเกียรติยศต่างๆ มากมาย ทั้งจากบุคคลและคุณบุคคลในประเทศและต่างประเทศอันเนื่องมาจากพระราชกรณียกิจและพระราชอัธยาศัยในการแสวงหาความรู ้ ที่สำคัญเป็นต้นว่า
1. ประธานรัฐสภายุโรปและสมาชิกร่วมกันทูลเกล้าฯ ถวาย “เหรียญรัฐสภายุโรป”(19 กรกฎาคม พ.ศ. 2519)
2. ประธานคณะกรรมมาธิการเพื่อสันติภาพของสมาคมอธิการบดีระหว่างประเทศทูลเกล้าฯ ถวาย “รางวัลสันติภาพ” (9 กันยายน พ.ศ. 2529)
3. สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ทูลเกล้าฯ ถวาย “เหรียญทองเฉลิมพระเกียรติคุณในการนำชนบทให้พัฒนา” (21 กรกฎาคม พ.ศ. 2530)
4. ผู้อำนวยการใหญ่โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ทูลเกล้าฯถวาย “เหรียญทองประกาศพระเกียรติคุณด้านสิ่งแวดล้อม” (4 พฤจิกายน พ.ศ. 2535)
5. ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO) ทูลเกล้าฯ ถวาย “เหรียญทองสาธารณสุขเพื่อมวลชน” (24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2535)
6. คณะกรรมการสมาคมนิเวศวิทยาเชิงเคมีสากล (International Society of Chemical Ecology) ทูลเกล้าฯ ถวาย “เหรียญรางวัลเทิดพระเกียรติในการสงวนรักษาความหลายหลายทางชีวภาพ” (26 มกราคม พ.ศ. 2536)
7. หัวหน้าสาขาเกษตร ฝ่ายวิชาการภูมิภาคเอเชียของธนาคารโลก ทูลเกล้าฯ ถวาย“รางวัลหญ้าแฝกชุบสำริด” สดุดีพระเกียรติคุณในฐานะที่ทรงเป็นนักอนุรักษ์ดินและน้ำ (30 ตุลาคม พ.ศ. 2536)
8. ผู้อำนวยการบริหารของยูเอ็นดีซีพี (UNDCP) แห่งสหประชาชาติ ทูลเกล้าฯถวาย “เหรียญทองคำสดุดีพระเกียรติคุณด้านการป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติด”(12 ธันวาคม พ.ศ. 2537)
9. องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ทูลเกล้าฯ ถวาย “เหรียญสดุดีพระเกียรติคุณในด้านการพัฒนาการเกษตร” (6 ธันวาคม พ.ศ. 2539)
10. สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ทูลเกล้าฯ ถวาย “รางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์” จากการที่ได้ทรงอุทิศกำลังพระวรกายและทรงพระวิริยะอุตสาหะในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่นานัปการเพื่อยังประโยชน์และความเจริญอย่างยั่งยืนมาสู่ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศมาโดยตลอด (26 พฤษภาคม พ.ศ. 2549)
11. ในปี พ.ศ. 2550 องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property Organization-WIPO) แถลงข่าวการทูลเกล้าฯ ถวาย “เหรียญรางวัลผู้นำโลกด้านทรัพย์สินทางปัญญา” (Global Leaders Award) โดยนายฟรานซิส เกอร์รี่ ผู้อำนวยการใหญ่เป็นผู้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ณ พระราชวังไกลกังวล ในวันที่ 14 มกราคม 2552 เพื่อเทิดพระเกียรติที่ทรงมีบทบาทและผลด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่โดดเด่น ทั้งนี้พระองค์ทรงเป็นผู้นำโลกคนแรกที่ได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญรางวัลดังกล่าว
4.9 พระยากัลยาณไมตรี (ดร.ฟรานซิส บี แซร์) Dr. Francis Bowes Sayre
ดร.ฟรานซิส บี.แซร์ เป็นชาวตะวันตกคนที่ 2 ที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยากัลยาณไมตรีชาวตะวันตก คนแรกที่เป็นพระยากัลยาณไมตรี มีนามเดิมว่า เจนส์ไอเวอร์สันเวสเตนการ์ด (Jens Iverson Westengard) เกิดเมื่อ พ.ศ. 2428 ที่มลรัฐเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกาสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เข้ามารับราชการในประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ 5-6 โดยใน พ.ศ. 2446-2451 เป็นผู้ช่วยที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน หลังจากนั้นเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดินจนถึง พ.ศ. 2458 จึงกราบถวายบังคมลาออกกลับไปสหรัฐอเมริกา เวสเตนการ์ดได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยากัลยาณไมตรีเมื่อ พ.ศ. 2454
ดร.แซร์ มีบทบาทสำคัญในการปลดเปลื้องข้อผูกพันตามสนธิสัญญาเบาว์ริงที่ไทยทำไว้กับประเทศอังกฤษในสมัยรัชกาลที่ 4 และสนธิสัญญาลักษณะเดียวกันที่ไทยทำไว้กับประเทศอื่น ซึ่งฝ่ายไทยเสียเปรียบมากในเรื่องที่คนในบังคับต่างชาติไม่ต้องขึ้นศาลไทย และไทยจะเก็บภาษีจากต่างประเทศเกินร้อยละ 3 ไม่ได้ ประเทศไทยพยายามหาทางแก้ไขสนธิสัญญาเสียเปรียบนี้มาโดยตลอด ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 มาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 6 ปรากฏว่ามีเพียง 2 ประเทศที่ยอมแก้ไขให้ โดยมีข้อแม้บางประการ ได้แก่ สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศแรกที่ยอมแก้ไขใน พ.ศ. 2436 และญี่ปุ่นยอมแก้ไขใน พ.ศ. 2466
เมื่อ ดร.แซร์ เข้ามาประเทศไทยแล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งให้เป็นผู้แทนประเทศไทยไปเจรจาขอแก้ไขสนธิสัญญากับประเทศในยุโรป ดร.แซร์เริ่มออกเดินทางไปปฏิบัติงานใน พ.ศ. 2467 การเจรจาเป็นไปอย่างยากลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเจรจากับอังกฤษ และฝรั่งเศสซึ่งต่างก็พยายามรักษาผลประโยชน์ของตนเต็มที่แต่เนื่องจาก ดร.แซร์ เป็นผู้มีวิริยะอุตสาหะ มีความสามารถทางการทูต และมีความตั้งใจดีต่อประเทศไทย ประกอบกับสถานภาพส่วนตัวของ ดร.แซร์ ที่เป็นบุตรเขยของประธานาธิบดีวูดโรว์ วิสสัน แห่งสหรัฐอเมริกา จึงทำให้การเจรจาประสพความสำเร็จ ประเทศในยุโรปที่ทำสนธิสัญญากับไทย ได้แก่ ประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ สเปน โปรตุเกสเดนมาร์ก สวีเดน อิตาลี และเบลเยี่ยม ยินยอมแก้สนธิสัญญาให้เป็นแบบเดียวกับที่สหรัฐอเมริกายอมแก้ให้
ดร.แซร์ ถวายบังคมลาออกจากหน้าที่กลับไปสหรัฐอเมริกาใน พ.ศ. 2468 แต่ก็ยังยินดีที่จะช่วยเหลือประเทศไทย ดังเช่นใน พ.ศ. 2469 หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ดร.แซร์ได้ถวายคำแนะนำเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมือง และแนวทางแก้ปัญหาต่างๆ ตามที่ทรงถามไป และยังได้ร่างรัฐธรรมนูญถวายให้ทรงพิจารณาด้วย
จากคุณงามความดีที่ ดร.แซร์ มีต่อประเทศไทย จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยากัลยาณไมตรี เมื่อ พ.ศ. 2470 และต่อมาใน พ.ศ. 2511 รัฐบาลไทยได้ตั้งชื่อถนนข้าง กระทรวงต่างประเทศ (วังสราญรมย์) ว่าถนนกัลยาณไมตรี พระยากัลยาณไมตรีถึงแก่อนิจกรรมที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อ พ.ศ. 2515
4.10 หมอบรัดเลย์ (Dr. Dan Beach Bradley)
ดร.แดน บีช แบรดเลย์ ชาวไทยเรียกกันว่า หมอบรัดเลย์ หรือ ปลัดเล เป็นชาวนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เกิดเมื่อ พ.ศ. 2345 หมอบรัดเลย์เดินทางเข้ามายังสยามเมื่อ พ.ศ. 2378 โดยพักอาศัยอยู่กับมิชชันนารี ชื่อ จอห์นสัน ที่วัดเกาะ เมื่อเข้ามาอยู่เมืองไทย ในตอนแรกหมอบรัดเลย์เปิดโอสถศาลาขึ้นที่ข้างใต้วัดเกาะ รับรักษาโรคให้แก่ชาวบ้านแถวนั้น พร้อมทั้งสอนศาสนาคริสต์ให้แก่ชาวจีนที่อยู่ในเมืองไทย ส่วนซาราห์ภรรยาของหมอเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ
ต่อมาหมอบรัดเลย์ย้ายไปอยู่แถวโบสถ์วัดซางตาครูส ขยายกิจการจากรับรักษาโรคเป็นโรงพิมพ์ โดยรับพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ แจกและพิมพ์ประกาศของทางราชการ เรื่อง ห้ามนำฝิ่นเข้ามาในประเทศสยามเป็นฉบับแรก จำนวน 9,000 แผ่น เมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2382 อีกด้วย กิจการโรงพิมพ์นี้นับเป็นประโยชนสำหรับคนไทยมาก เอกสารทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญซึ่งคนรุ่นหลังได้ศึกษาส่วนหนึ่งก็มาจากโรงพิมพ์ของหมอบรัดเลย ์ นอกจากนี้ทา่ นไดอ้ อกหนังสือพิมพร์ ายปฉี บับหนึ่ง ชื่อวา่ บางกอกคาเลนเดอร์(Bangkok Galender) ต่อมาได้ออกหนังสือพิมพ์รายปักษ์อีกฉบับหนึ่งเมื่อ พ.ศ. 2387 ชื่อว่า บางกอกรีคอร์เดอร์ (Bangkok Recorder) นอกจากหนังสือพิมพ์แล้วยังได้พิมพ์หนังสือเล่มจำหน่ายอีกด้วย เช่น ไคเก็ก ไซ่ฮั่น สามก๊ก เลียดก๊ก ห้องสิน ฯลฯ หนังสือของหมอบรัดเลย์นั้นเป็นที่รู้จักแพร่หลายในหมู่ขุนนางและราชสำนัก โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ที่ลงบทความแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง
นอกจากงานด้านโรงพิมพ์ที่หมอบรัดเลย์เข้ามาบุกเบิกและพัฒนาให้วงการสิ่งพิมพ์ไทยแล้ว งานด้านการแพทย์และด้านสาธารณสุขที่ท่านทำไว้ก็มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันหมอบรัดเลย์ นับเป็นหมอฝรั่งคนแรกที่ได้นำเอาหลักวิชาการแพทย์สมัยใหม่เข้ามาเผยแพร่ในเมืองไทย มีการผ่าตัดและช่วยรักษาโรคต่างๆ โดยใช้ยาแผนใหม่ ซึ่งช่วยให้คนไข้หายป่วยอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญที่สุด คือ การปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ
ด้วยคุณงานความดีที่หมอบรัดเลย์มีต่อแผ่นดินไทย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พวกมิชชันนารี และหมอบรัดเลย์เช่าที่หลังป้อมวิไชยประสิทธิ์อยู่จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงพระราชทานให้อยู่โดยไม่ต้องเสียค่าเช่าจนกระทั่งหมอบรัดเลย์ถึงแก่กรรมเมื่อพ.ศ. 2416 รวมอายุได้ 71 ปี
หมอบรัตเลย์ (Dr. Dan Beach Bradley)
บุคคลสำคัญของประเทศไทยที่องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ยกย่อง