ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นั้นได้มีการสำรวจทัศนคติของประชาชนพบว่า ปัญหาสำคัญ 5 ลำดับแรก มีดังนี้ ลำดับที่ 1 การสูญเสียทรัพยากรป่าไม้ ลำดับที่ 2 อุทกภัยและภัยแล้ง ลำดับที่ 3 ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรดินและการใช้ที่ดิน ลำดับที่ 4มลพิษจากขยะ และลำดับที่ 5 มลพิษทางอากาศ ดังตารางแสดง ผลการจัดลำดับความสำคัญ ดังต่อไปนี้
ความสำคัญของสิ่งแวดล้อมคือ เอื้อประโยชน์ให้สิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์อยู่รวมกันอย่างมีความสุข มีการพึ่งพากันอย่างสมดุล มนุษย์ดำรงชีพอยู่ได้ด้วยอาศัยปัจจัยพื้นฐานจากสิ่งแวดล้อม ซึ่งประกอบด้วยอาหาร อากาศ น้ำ ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค สิ่งแวดล้อมเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด แต่ “ทำไมสิ่งแวดล้อมจึงถูกทำลาย” และเกิดปัญหามากมายทั่วทุกมุมโลก เมื่อทำการศึกษาพบว่า “มนุษย์” เป็นผู้ทำลายสิ่งแวดล้อมมากที่สุด สาเหตุที่มนุษย์ทำลายสิ่งแวดล้อมเกิดจากความเห็นแก่ตัวของมนุษย์เอง โดยมุ่งเพื่อด้านวัตถุและเงินมาตอบสนองความต้องการของตนเอง
เมื่อสิ่งแวดล้อมถูกทำลายมากขึ้น ผลกระทบก็ย้อนกับมาทำลายตัวมนุษย์เอง เช่นเกิดการเปลี่ยนแปลงบรรยากาศของโลก เกิดสภาวะเรือนกระจก ภาวะโลกร้อนตลอดจนเกิดภัยธรรมชาติต่างๆ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินถล่ม ควันพิษ น้ำเน่าเสีย ขยะมูลฝอย และสิ่งปฏิกูล ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลโดยตรงและทางอ้อม และไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ผลกระทบจากการใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 4 ของไทยเกิดจากการโดยนำนโยบายการปลูกพืชเชิงเดี่ยวเข้ามาใช้เพื่อมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจเป็นหลัก ทำให้ประชาชนตื่นตัวในการทำไร่ปลูกพืชเชิงเดี่ยว เช่น มันสำปะหลัง อ้อย ปอ จึงเกิดการทำลายป่าและทรัพยากรธรรมชาติเพื่อหาพื้นที่ในการปลูกพืชเชิงเดี่ยวตามนโยบายรัฐบาล มีการใช้ปุ๋ยเคมี ใช้ยาปราบศัตรูพืช เกิดโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมาก แต่ภาครัฐยังขาดการควบคุมอย่างเป็นระบบและชัดเจน จึงทำให้เกิดผลกระทบมาจนถึงปัจจุบัน เช่นป่าไม้ถูกทำลาย ดินเสื่อมคุณภาพ น้ำเน่าเสีย เกิดสารเคมีสะสมในแหล่งน้ำและดิน เกิดมลพิษ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดผลกระทบโดยตรงและโดยอ้อม ต่อสุขภาพและการดำรงชีวิตของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศโดยรวม
จากการศึกษาของนักวิชาการ พบว่า การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมต้องแก้ที่ตัว “มนุษย์” นั่นคือจะต้องให้ความรู้ ความเข้าใจธรรมชาติ เจตคติ มีคุณธรรมจริยธรรม และสร้างจิตสำนึกให้เกิดความตระหนักต่อสิ่งแวดล้อม ต่อประชาชน โดยเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ใหม่ๆ สร้างความตระหนักในปัญหาที่เกิดขึ้น และสร้างการมีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ปัญหาสิ่งแวดล้อมสำคัญๆ ดังต่อไปนี้ คือ
“ป่าไม้” เป็นศูนย์รวมของสรรพชีวิต เป็นที่ก่อกำเนิดสายน้ำ ชีวิตพืชและสัตว์ที่หลากหลายอีกทั้งเป็นที่พึ่งพิงและให้ประโยชน์แก่มนุษย์มาแต่โบราณกาล เพราะป่าไม้ช่วยรักษาสมดุลของธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ควบคุมสภาพดินฟ้าอากาศ กำบังลมพายุ ป้องกันบรรเทาอุทกภัย ป้องกันการพังทลายของหน้าดิน เป็นเสมือนเขื่อนธรรมชาติที่ป้องกันการตื้นเขินของแม่น้ำลำคลอง เป็นแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และเป็นโรงงานผลิตออกซิเจนขนาดใหญ่ เป็นคลังอาหารและยาสมุนไพร และป่าไม้ยังเป็นแหล่งศึกษาวิจัยและเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของมนุษย์ นอกจากนี้ในผืนป่ายังมีสัตว์ป่านานาชนิด ซึ่งมีประโยชนต์ อ่ มนุษยแ์ ละสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในหลายลักษณะ ได้แก่ การรักษาสมดุลของระบบนิเวศ
เช่น การควบคุมปริมาณสัตว์ป่าให้อยู่ในภาวะสมดุล การช่วยแพร่พันธุ์พืช การควบคุมแมลงศัตรูพืช เป็นปุ๋ยให้กับดินในป่า เป็นต้น การเป็นแหล่งพันธุกรรมที่หลากหลาย การเป็นอาหารของมนุษย์และสัตว์อื่น และการสร้างรายได้ให้แก่มนุษย ์ เชน่ การคา้ จากชิ้นสว่ นต่างๆ ของสัตว์ป่า การจำหน่ายสัตว์ป่า และการเปิดให้บริการชมสวนสัตว์ เป็นต้น ดังนั้น จึงนับว่าป่าไม้ให้คุณประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมแก่มวลมนุษย์เป็นอย่างมากมาย หากป่าไม้เสื่อมโทรม ชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์และสัตว์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ประเภทของป่าไม้ในประเทศไทย
ประเภทของป่าไม้จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการกระจายของฝน ระยะเวลาที่ฝนตกรวมทั้งปริมาณน้ำฝนทำให้ป่าแต่ละแห่งมีความชุมชื้นต่างกัน สามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. ป่าประเภทที่ไม่ผลัดใบ (Evergreen)
2. ป่าประเภทที่ผลัดใบ (Deciduous)
ป่าประเภทที่ไม่ผลัดใบ (Evergreen)
ป่าประเภทนี้มองดูเขียวชอุ่มตลอดปี เนื่องจากต้นไม้แทบทั้งหมดที่ขึ้นอยู่เป็นประเภทที่ไม่ผลัดใบ ป่าชนิดสำคัญซึ่งจัดอยู่ในประเภท นี้ ได้แก่
1. ป่าดงดิบ (Tropical Evergreen Forest or Rain Forest) ป่าดงดิบที่มีอยู่ทั่วในทุกภาคของประเทศ แต่ที่มีมากที่สุด ได้แก่ ภาคใต้และภาคตะวันออก ในบริเวณนี้มีฝนตกมากและมีความชื้นมากในท้องที่ภาคอื่น ป่าดงดิบมักกระจายอยู่บริเวณที่มีความชุ่มชื้นมากๆ เช่น ตามหุบเขา ริมแม่น้ำลำธาร ห้วย แหล่งน้ำ และบนภูเขา ซึ่งสามารถแยกออกเป็นป่าดงดิบชนิดต่างๆ ดังนี้
1.1 ป่าดิบชื้น เป็นป่ารกทึบมองดูเขียวชอุ่มตลอดปีมีพันธุ์ไม้หลายร้อยชนิดขึ้นเบียดเสียดกันอยู่มักจะพบกระจัดกระจายตั้งแต่ความสูง 600 เมตร จากระดับน้ำทะเล ไม้ที่สำคัญก็คือ ไม้ตระกูลยางต่างๆ เช่น ยางนา ยางเสียน ส่วนไม้ชั้นรอง คือ พวกไม้กอ เช่น กอน้ำ กอเดือย
1.2 ป่าดิบแล้ง เป็นป่าที่อยู่ในพื้นที่ค่อนข้างราบมีความชุ่มชื้นน้อย เช่น ในแถบภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมักอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 300-600 เมตร ไม้ที่สำคัญ ได้แก่ มะค่าโมง ยางนา พะยอม ตะเคียนแดง กระเบากลัก และตาเสือ
1.3 ป่าดิบเขา ป่าชนิดนี้เกิดขึ้นในพื้นที่สูงๆ หรือบนภูเขาตั้ง 1,000-1,200เมตร ขึ้นไปจากระดับน้ำทะเล ไม้ส่วนมากเป็นพวก Gymnosperm ได้แก่ พวกไม้ขุนและสนสามพันปี นอกจากนี้ยังมีไม้ตระกูลกอขึ้นอยู่ พวกไม้ชั้นที่สองรองลงมา ได้แก่ สะเดาช้างและขมิ้นชัน
2. ป่าสนเขา (Pine-Forest) ป่าสนเขามักปรากฏอยู่ตามภูเขาสูงส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ซึ่งมีความสูงประมาณ 200-1,800 เมตร ขึ้นไปจากระดับน้ำทะเลในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือบางทีอาจปรากฏในพื้นที่สูง 200-300 เมตร จากระดับน้ำทะเลในภาคตะวันออกเฉียงใต้ ป่าสนเขามีลักษณะเป็นป่าโปร่ง ชนิดพันธุ์ไม้ที่สำคัญของป่าชนิดนี้คือ สนสองใบ และสนสามใบ ส่วนไม้ชนิดอื่นที่ขึ้นอยู่ด้วยได้แก่พันธุ์ไม้ป่าดิบเขา เช่น กอชนิดต่างๆ หรือพันธุ์ไม้ป่าแดงบางชนิด คือ เต็ง รัง เหียง พลวง เป็นต้น
3. ป่าชายเลน (Mangrove Forest)บางทีเรียกว่า “ป่าเลนนํ้าเค็ม” หรือป่าเลน มีต้นไมขึ้นหนาแน่น แต่ละชนิดมีรากคํ้ายันและรากหายใจ ป่าชนิดนี้ปรากฏอยู่ตามที่ดินและริมทะเลหรือบริเวณปากน้ำแม่น้ำใหญ่ๆ ซึ่งมีน้ำเค็มท่วมถึงในพื้นที่ภาคใต้มีอยู่ตามชายฝั่งทะเลทั้งสองด้าน ตามชายทะเลภาคตะวันออกมีอยู่ทุกจังหวัดแต่ที่มากที่สุดคือ บริเวณปากน้ำเวฬุ อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี
พันธุ์ไม้ที่ขึ้นอยู่ตามป่าชายเลน ส่วนมากเป็นพันธุ์ไม้ขนาดเล็กใช้ประโยชน์สำหรับการเผ่าถ่าน และทำฟืนไม้ชนิดที่สำคัญ คือ โกงกาง ถั่วขาว ถั่วขำ โปรง ตะบูน แสมทะเลลำพูนและลำแพน ฯลฯ ส่วนไม้พื้นล่างมักเป็นพวก ปรงทะเล เหงือกปลาหมอ และปอทะเลเป็นต้น
4. ป่าพรุหรือป่าบึงน้ำจืด (Swamp Forest) ป่าชนิดนี้มักปรากฏในบริเวณที่มีน้ำจืดท่วมมากๆ ดินระบายน้ำไม่ดี ป่าพรุในภาคกลาง มีลักษณะโปร่งและมีต้นไม้ขึ้นอยู่ห่างๆ เช่น สนุ่น จิก โมกบ้าน หวายน้ำ หวายโปร่ง ระกำ อ้อ และแขม ในภาคใต้ป่าพรุมีขึ้นอยู่ตามบริเวณที่มีน้ำขังตลอดปี ดินป่าพรุ ที่มีเนื้อที่มากที่สุดอยู่ในบริเวณจังหวัดนราธิวาส ดินป่า พรุเป็นซากพืชผุสลายทับถมกัน เป็นเวลานาน ป่าพรุแบ่งออกได้ 2 ลักษณะ คือ ตามบริเวณซึ่งเป็นพรุน้ำกร่อยใกล้ชายทะเลต้นเสม็ดจะขึ้นอยู่หนาแน่นพื้นที่มีต้นกกชนิดต่างๆ เรียก “ป่าพรุเสม็ด หรือ ป่าเสม็ด” อีกลักษณะเป็นป่าที่มีพันธุ์ไม้ต่างๆ มากชนิดขึ้นปะปนกันชนิดพันธุ์ไม้ที่สำคัญของป่าพรุ ได้แก่ อินทนิลน้ำ หว้าจิก โสกน้ำ กระทุ่มน้ำกันเกรา โงงงัน ไม้พื้นล่างประกอบด้วย หวาย ตะค้าทอง หมากแดง และหมากชนิดอื่นๆ
5. ป่าชายหาด (Beach Forest) เป็นป่าโปร่งไม่ผลัดใบขึ้นอยู่ตามบริเวณหาดชายทะเล น้ำไม่ท่วมตามฝั่งดินและชายเขาริมทะเล ต้นไม้สำคัญที่ขึ้นอยู่ตามหาดชายทะเล ต้องเป็นพืชทนเค็ม และมักมีลักษณะไม้เป็นพุ่มลักษณะต้นคองอ ใบหนาแข็ง ได้แก่ สนทะเล หูกวาง โพธิ์ทะเล กระทิงตีนเปด็ ทะเล หยีนํ้า มักมีตน้ เตยและหญา้ ตา่ งๆ ขึ้นอยูเ่ ปน็ ไมพ้ ื้นลา่ ง ตามฝงั่ ดินและชายเขามักพบ มะค้าแต้ กระบองเพชร เสมา และไม้หนามชนิดต่างๆ เช่น ซิงซี่ หนามหัน กำจายมะดันขอ เป็นต้น
ป่าประเภทที่ผลัดใบ
ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ในป่าประเภทนี้เป็นจำพวกผลัดใบแทบทั้งสิ้น ในฤดูฝนป่าประเภทนี้จะมองดูเขียวชอุ่มพอถึงฤดูแล้งต้นไม้ ส่วนใหญ่จะพากันผลัดใบทำให้ป่ามองดูโปร่งขึ้น และมักจะเกิดไฟป่าเผาไหม้ใบไม้และต้นไม้เล็กๆ ป่าสำคัญซึ่งอยู่ในประเภทนี้ ได้แก่
1. ป่าเบญจพรรณ ป่าผลัดใบผสมหรือป่าเบญจพรรณมีลักษณะเป็นป่าโปร่งและยังมีไม้ไผ่ชนิดต่างๆขื้นอยู่กระจัดกระจายทั่วไปพื้นที่ดินมักเป็นดินร่วนปนทราย ป่าเบญจพรรณ ในภาคเหนือมักจะมีไม้สักขึ้นปะปนอยู่ทั่วไปครอบคลุมลงมาถึงจังหวัดกาญจนบุรี ในภาคกลางในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก มีป่าเบญจพรรณน้อยมากและกระจัดกระจาย พันธุ์ไม้ชนิดสำคัญ ได้แก่ สัก ประดู่แดง มะค่าโมง ตะแบก เสลา อ้อยช้าง ล้าน ยมหอมยมหิน มะเกลือ เก็ดดำ เก็ดแดง ฯลฯ นอกจากนี้มีไม้ไผ่ที่สำคัญ เช่น ไผ่ป่า ไผ่บง ไผ่ซาง ไผ่รวก ไผ่ไร่ เป็นต้น
2. ป่าเต็งรัง หรือที่เรียกกันว่าป่าแดง ป่าแพะ ป่าโคก ลักษณะทั่วไปเป็นป่าโปร่ง ตามพื้นป่ามักจะพบต้นปรง และหญ้าเพ็ก พื้นที่แห้งแล้งดินร่วนปนทราย หรือกรวด ลูกรัง พบอยู่ทั่วไปในที่ราบและที่ภูเขา ในภาคเหนือส่วนนมากขึ้นอยูบ่นเขาที่มีดินตื้นและแห้งแล้งมาก ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีป่าแดงหรือป่าเต็งรังนี้มากที่สุด ตามเนินเขาหรือที่ราบดินทราย ชนิดของพันธุไม้ที่สำคัญในป่าแดง หรือป่าเต็งรัง ได้แก่ เต็ง รัง เหียง พลวง กราด พะยอม ติ้ว แต้ว มะค่า แตประดู่ แดง สมอไทย ตะแบก เลือดแสลงใจ รกฟ้า ฯลฯ ส่วนไม้พื้นล่างที่พบมาก ได้แก่มะพร้าวเต่า ปุ่มแป้ง หญ้าเพ็ก ปรงและหญ้าชนิดอื่นๆ
3. ป่าหญ้า (Savannas Forest) ป่าหญ้าที่อยู่ทุกภาคเกิดจากป่าที่ถูกแผ้วถางทำลายบริเวณพื้นดินที่ขาดความสมบูรณ์ และถูกทอดทิ้ง หญ้าชนิดต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นทดแทนและพอถึงหน้าแล้งก็เกิดไฟไหม้ทำให้ต้นไม้บริเวณข้างเคียงล้มตาย พื้นที่ป่าหญ้าจึงขยายมากขึ้นทุกปี พืชที่พบมากที่สุดในป่าหญ้าคือ หญ้าคา หญ้าขนตาช้าง หญ้าโขมง หญ้าเพ็กและปุ่มแป้ง บริเวณที่พอจะมีความชื้นอยู่บ้าง และการระบายน้ำได้ดีก็มักจะพบพงและแขมขึ้นอยู่ และอาจพบต้นไม้ทนไฟขึ้นอยู่ เช่น ตับเต่า รกฟ้า ตานเหลือ ติ้วและแต้ว
ประโยชน์ของทรัพยากรป่าไม้
ป่า ไม้นอกจากเป็นที่รวมของพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์จำนวนมาก ป่าไม้ยังมีประโยชน์มากมายต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนี้
ประโยชน์ทางตรง ได้แก่ ปัจจัย 4 ประการ
1. จากการนำไม้มาสร้างอาคารบ้านเรือนและผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น เฟอร์นิเจอร์ กระดาษ ไม้ขีดไฟ ฟืน เป็นต้น
2. ใช้เป็นอาหารจากส่วนต่างๆ ของพืชทะเล
3. ใชเ้ สน้ ใย ที่ไดจ้ ากเปลือกไมแ้ ละเถาวัลยม์ าถักทอ เปน็ เครื่องนุง่ หม่ เชือกและอื่นๆ
4. ใช้ทำยารักษาโรคต่างๆ
ประโยชน์ทางอ้อม
1. ป่าไม้เป็นเป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธารเพราะต้นไม้จำนวนมากในป่าจะทำให้น้ำฝนที่ตกลงมาค่อย ๆ ซึมซับลงในดินกลายเป็นน้ำใต้ดินที่ซึ่งจะไหลซึมมาหล่อเลี้ยงให้แม่น้ำลำธารมีน้ำไหลอยู่ตลอดปี
2. ป่าไม้ทำให้เกิดความชุ่มชื้น และควบคุมสภาวะอากาศ ไอน้ำซึ่งเกิดจากการหายใจของพืช ซึ่งเกิดขึ้นอยู่มากมายในป่าทำให้อากาศเหนือป่ามีความชื้นสูงเมื่ออุณหภูมิลดต่ำลงไอน้ำเหล่านั้นก็จะกลั่นตัวกลายเป็นเมฆแล้วกลายเป็นฝนตกลงมา ทำให้บริเวณที่มีพื้นป่าไม้มีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ ฝนตกต้องตามฤดูกาลและไม่เกิดความแห้งแล้ง
3. ป่าไม้เป็นแหล่งพักผ่อนและศึกษาความรู้ บริเวณป่าไม้จะมีภูมิประเทศที่สวยงามจากธรรมชาติรวมทั้งสัตว์ป่าจึงเป็นแหล่งพักผ่อนได้ศึกษาหาความรู้
4. ป่าไม้ช่วยบรรเทาความรุนแรงของลมพายุ และป้องกันอุทกภัย โดยช่วยลดความเร็วของลมพายุที่พัดผ่านได้ตั้งแต่ 11 – 44% ตามลักษณะของป่าไม้แต่ละชนิด จึงช่วยให้บ้านเมืองรอดพ้นจากวาตภัยได้ซึ่งเป็นการป้องกันและควบคุมน้ำตามแม่น้ำไม่ให้สูงขึ้นมารวดเร็วล้นฝั่งกลายเป็นอุทกภัย
5. ป่าไม้ช่วยป้องกันการกัดเซาะและพัดพาหน้าดิน จากน้ำฝนและลมพายุโดยลดแรงปะทะลงการหลุดเลื่อนของดินจึงเกิดขึ้นน้อย และยังเป็นการช่วยให้แม่น้ำลำธารต่างๆ ไม่ตื้นเขินอีกด้วย นอกจากนี้ป่าไม้จะเป็นเสมือนเครื่องกีดขวางตามธรรมชาติ จึงนับว่ามีประโยชน์ในทางยุทธศาสตร์ด้วยเช่นกัน
สาเหตุสำคัญของวิกฤตการณ์ป่าไม้ในประเทศไทย
1. การลักลอบตัดไม้ทำลายป่า ตัวการของปัญหานี้คือ นายทุนพ่อค้าไม้ เจ้าของโรงเลื่อย เจ้าของโรงงานแปรรูปไม้ ผู้รับสัมปทานทำไม้และชาวบ้านทั่วไป ซึ่งการตัดไม้เพื่อเอาประโยชน์จากเนื้อไม้ทั้งวิธีที่ถูกและผิดกฎหมาย ปริมาณป่าไม้ที่ถูกทำลายนี้นับวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามอัตราเพิ่มของจำนวนประชากร ยิ่งมีประชากรเพิ่มขึ้นเท่าใด ความต้องการในการใช้ไม้ก็เพิ่มมากขึ้น เช่น ใช้ไม้ในการปลูกสร้างบ้านเรือน เครื่องมือเครื่องใช้ในการเกษตรกรรม เครื่องเรือนและถ่านในการหุงต้ม เป็นต้น
2. การบุกรุกพื้นที่ป่าไม้เพื่อเข้าครอบครองที่ดิน เมื่อประชากรเพิ่มสูงขึ้น ความต้องการใช้ที่ดินเพื่อปลูกสร้างที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินก็อยู่สูงขึ้น เป็นผลผลักดันให้ราษฎรเข้าไปบุกรุกพื้นที่ป่าไม้ แผ้วถางป่า หรือเผาป่าทำไร่เลื่อนลอย นอกจากนี้ยังมีนายทุนที่ดินที่จ้างวานให้ราษฎรเข้าไปทำลายป่าเพื่อจับจองที่ดินไว้ขายต่อไป
3. การส่งเสริมการปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจเพื่อการส่งออก เช่น มันสำปะหลังปอ เป็นต้น โดยไม่ส่งเสริมการใช้ที่ดินอย่างเต็มประสิทธิภาพทั้งๆ ที่พื้นที่ป่าบางแห่งไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ในการเกษตร
4. การกำหนดแนวเขตพื้นที่ป่ากระทำไม่ชัดเจนหรือไม่กระทำเลยในหลาย ๆ พื้นที่ทำให้เกิดการพิพาทในเรื่องที่ดินทำกินของราษฎรและที่ดินป่าไม้อยู่ตลอดเวลา และเกิดปัญหาในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน
5. การจัดสร้างสาธารณูปโภคของรัฐ เช่น เขื่อน อ่างเก็บน้ำ เส้นทางคมนาคม การสร้างเขื่อนขวางลำน้ำจะทำให้พื้นที่เก็บน้ำหน้าเขื่อนที่อุดมสมบูรณ์ถูกตัดโค่นมาใช้ประโยชน์ส่วนต้นไม้ขนาดเล็กหรือที่ทำการย้ายออกมาไม่ทันจะถูกน้ำท่วมยืนต้นตาย เช่น การสร้างเขื่อนรัชประภาเพื่อกั้นคลองพระแสงอันเป็นสาขาของแม่น้ำพุมดวง แม่น้ำตาปี ทำให้น้ำท่วมบริเวณป่าดงดิบซึ่งมีพันธุ์ไม้หนาแน่น และสัตว์นานาชนิดเป็นบริเวณนับแสนไร่ ต่อมาจึงเกิดปัญหาน้ำเน่าไหลลงลำน้ำพุมดวง
6. ไฟไหม้ป่า มักจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งอากาศแห้งแล้งและร้อนจัด ทั้งโดยธรรมชาติและจากการกระทำของมนุษย์ที่อาจลักลอบเผาป่าหรือเผลอ จุดไฟทิ้งไว้
7. การทำเหมืองแร่ แหล่งแร่ที่พบในบริเวณที่มีป่าไม้ปกคลุมอยู่ มีความจำเป็นที่จะต้องเปิดหน้าดินก่อนจึงทำให้ป่าไม้ที่ขึ้นปกคลุมถูกทำลายลง เส้นทางขนย้ายแร่ในบางครั้งต้องทำลายป่าไม้ลงเป็นจำนวนมากเพื่อสร้างถนนหนทาง การระเบิดหน้าดิน เพื่อให้ได้มาซึ่งแร่ธาตุ ส่งผลถึงการทำลายป่า
การอนุรักษ์ป่าไม้
ป่าไม้ถูกทำลายไปจำนวนมาก จึงทำให้เกิดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศไปทั่วโลกรวมทั้งความสมดุลในแง่อื่นด้วย ดังนั้น การฟื้นฟูสภาพป่าไม้จึงต้องดำเนินการเร่งด่วน ทั้งภาครัฐภาคเอกชนและ ประชาชน ซึ่งมีแนวทางในการกำหนดแนวนโยบายด้านการจัดการป่าไม้ ดังนี้
1. นโยบายด้านการกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินป่าไม้
2. นโยบายด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้เกี่ยวกับงานป้องกันรักษาป่า การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
3. นโยบายด้านการจัดการที่ดินทำกินให้แก่ราษฎรผู้ยากไร้ในท้องถิ่น
4. นโยบายด้านการพัฒนาป่าไม้ เช่น การทำไม้และการเก็บหาของป่า การปลูกและการบำรุงป่าไม้ การค้นคว้าวิจัย และด้านการอุตสาหกรรม
5. นโยบายการบริหารทั่วไปจากนโนบายดังกล่าวข้างต้นเป็นแนวทางในการพัฒนาและการจัดการทรัพยากรป่าไม้ของชาติให้ได้รับผลประโยชน์ ทั้งทางด้านการอนุรักษ์และด้านเศรษฐกิจอย่างผสมผสาน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความสมดุลของธรรมชาติและมีทรัพยากรป่าไม้ไว้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต
สถานการณ์ทรัพยากรป่าไม้
การใชป้ ระโยชนจ์ ากพื้นที่ปา่ อยา่ งตอ่ เนื่องในชว่ งสี่ทศวรรษที่ผา่ นมาทำใหป้ ระเทศไทยสูญเสีย พื้นที่ป่าไม้แล้วประมาณ 67 ล้านไร่ หรือเฉลี่ยประมาณ 1.6 ล้านไร่ต่อปี กล่าวคือปี พ. ศ. 2504 ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าอยู่ถึงร้อยละ 53.3 ของพื้นที่ประเทศ หรือประมาณ 171 ล้านไร่ และลดลงมาโดยตลอดจนในปี พ.ศ. 2532 ประเทศไทยเหลือพื้นที่ป่าเพียงร้อยละ 27.95 ของพื้นที่ทั้งหมด หรือประมาณ 90 ล้านไร่ รัฐบาลในอดีตได้พยายามจะรักษาพื้นที่ปา่ โดยประกาศยกเลิกสัมปทานการทำไมใ้ นปา่ บกทั้งหมด ในป ี พ.ศ. 2532 แตห่ ลังจากยกเลิกสัมปทานป่าไม้ สถานการณ์ดีขึ้นในระยะแรกเท่านั้น ต่อมาการทำลายก็ยังคงเกิดขึ้นไม่แตกต่างจากสถานการณ์ก่อนยกเลิกสัมปทานป่าไม้เท่าใดนัก โดยพื้นที่ป่าที่ถูกบุกรุกก่อนการยกเลิกสัมปทาน (ปี พ.ศ. 2525-2532) เฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 1.2 ล้านไร่ และพื้นที่ป่าที่ถูกบุกรุกหลังการยกเลิกสัมปทาน (ปี พ.ศ. 2532-2541) เฉลี่ย 1.1 ล้านไร่ต่อปี (ตารางที่ 1)
ภูเขา เป็นแหล่งต้นกำเนิดของแร่ธาตุ ป่า และแหล่งน้ำที่สำคัญของประเทศไทยภาคเหนือเป็นภาคที่อุดมด้วยทรัพยากรแร่ธาตุภาคหนึ่งของประเทศไทย เพราะมีภูมิประเทศที่มีโครงสร้างเป็นภูเขา เนินเขาและแอ่งแผ่นดิน ในยุคกลางเก่า กลางใหม่ ที่บริเวณตอนกลางที่ผ่านการผุกร่อนและมีการเปลี่ยนแปลงของแผ่นดิน โดยเฉพาะภูเขาทางตะวันตกที่เป็นแนวของทิวเขา อุดมด้วยแร่โลหะ แร่อโลหะและแร่เชื้อเพลิง
แร่โลหะ ที่สำคัญที่พบตามภูเขาหินแกรนิตในภาคเหนือ ได้แก่
1. แร่ดีบุก แหล่งแร่ดีบุกที่พบในภาคเหนือ อยู่ในเขตภูเขาของจังหวัดที่อยู่ทางเหนือและทางภาคตะวันตกของภาค คือ จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดลำปางจังหวัดเชียงราย แต่มีปริมาณการผลิตไม่มากเท่ากับแหล่งดีบุกสำคัญทางภาคใต้
2. ทังสเตนหรือวุลแฟรม ที่พบมากในภาคเหนือ คือแหล่งแร่ซีไรท์ เป็นแร่ที่สำคัญทางเศรษฐกิจการค้า และยุทธปัจจัยสำคัญ มีการทำเหมืองที่ อำเภอดอยหมอก อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย และพบแถบภูเขาสูงในเขต จังหวัดแม่ฮ่องสอนมีเหมืองดำเนินการผลิตถึง 10 เหมือง ที่สำคัญคือเหมืองที่ อำเภอแม่ลาน้อย เหมืองห้วยหลวง และเหมืองแม่สะเรียง ทางด้านตะวันตกของลุ่มน้ำยม
3. ตะกั่วและสังกะสี แร่ตะกั่วและสังกะสีมักจะเกิดร่วมกันแต่ที่พบยังมีปริมาณน้อยไม่เพียงพอ ที่จะนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์เหมือนที่พบในภาคตะวันตก ภาคเหนือมีแหล่งแร่ตะกั่วและสังกะสีในแถบจังหวัดแมฮ่ อ่ งสอน จังหวัดเชียงใหม จังหวัดลำปางและ จังหวัดแพร่
4. ทองแดง แหล่งแร่ทองแดงมีอยู่หลายในแห่งประเทศ แต่เป็นแหล่งแร่ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจเพียงไม่กี่แห่ง บริเวณที่พบ ได้แก่ ในเขตจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือเช่น จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดเลย แต่ที่ภาคเหนือพบในเขต จังหวัดอุตรดิตถ์ จังหวัดแพร่จังหวัดน่าน และ จังหวัดลำปาง
5. เหล็ก แหล่งแร่เหล็กในประเทศไทยมีหลายแห่งเช่นกัน ทั้งที่กำลังมีการผลิตที่ผลิตหมดไปแล้ว แต่แหล่งที่น่าสนใจที่อาจมีค่าในอนาคต ได้แก่ที่ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค ์ ที่เขาทับควาย จังหวัดลพบุรี แหลง่ ภูยาง อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย แหลง่ อึมครึมจังหวัดกาญจนบุรี ในภาคเหนือพบที่ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ แหล่งเดิม อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง
6. แมงกานีส แหล่งแมงกานีสในภาคเหนือมีแหล่งผลิตที่สำคัญอยู่ใน จังหวัดลำพูนจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดลำปาง จังหวัดแพร่ จังหวัดเชียงราย และ จังหวัดน่าน
7. นิกเกิลและโครเมียม พบที่ บ้านห้วยยาง อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ นอกจากนี้ยังมีแร่โครไมต์ที่ให้โลหะโครเมียม ซึ่งเป็นแร่ผสมเหล็ก
แร่อโลหะ ที่สำคัญที่พบในภาคเหนือ ได้แก่
1. ฟลูออไรต์ แหล่งแร่ฟลูออไรต์ที่สำคัญของประเทศพบในภาคเหนือและภาคตะวันตก ได้แก่ ที่ อำเภอบ้านโฮ่ง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน อำเภอฝาง แม่แจ่ม อำเภอฮอดอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน นอกจากนี้ก็มีที่ภาคตะวันตก และภาคใต้ของไทยอีกด้วย
2. แบไรต์ แหล่งแร่แบไรต์ที่สำคัญ นอกจากจะมีมากในภาคใต้ที่บริเวณเขาหลวงจังหวัดนครศรีธรรมราชและใน จังหวัดสุราษฏร์ธานีแล้ว ยังมีแหล่งสำคัญในภาคเหนืออีกที่บริเวณภูไม้ตอง อำเภอดอยเต่า อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ นอกจากนี้ยังมีใน จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดลำพูน ลำปาง อุตรดิตถ์ เชียงราย และแพร่
3. ยิปซัม แหล่งยิปซัมที่สำคัญมีที่ จังหวัดนครสวรรค์และพิจิตร ในภาคเหนือได้แก่แหล่งแม่เมาะ อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง แหล่งแม่กั๊วะ อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปางและแหล่งสองห้อง อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์
4. ฟอสเฟต มีแหล่งเล็กๆ อยู่ที่ ต.นาแก้ว อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง
5. ดินขาวหรือเกาลิน ได้มีการพบและผลิตดินขาวในหลายบริเวณทั้งภาคเหนือ ภาคกลางและภาคใต้ ในภาคเหนือมีแหล่งดินขาวที่ อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง นอกจากนี้ยังมีแร่อโลหะอื่นๆ ที่พบในภาคเหนืออีกเช่น แร่หินม้าที่ จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน แร่ใยหินพบใน จังหวัดอุตรดิตถ์
แร่เชื้อเพลิง ที่สำคัญทางเศรษฐกิจ คือมีการนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำคัญในโรงงานไฟฟ้า เครื่องจักรกล โรงงานอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์และในกิจกรรมขนส่งต่าง ๆ เช่น ในเครื่องบิน รถยนต์ เรือยนต์ เป็นต้น
1. หินน้ำมัน พบที่ บ้านป่าค่า อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน แต่ยังไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ เนื่องจากการแยกน้ำมันออกจากหินน้ำมันต้องลงทุนสูง
2. ปิโตรเลี่ยม น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติเหลว พบที่ อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ นำมาใช้เป็นน้ำมันหล่อลื่น น้ำมันดีเซลหมุนเร็วปานกลางและน้ำมันเตา
3. ลิกไนต์ พบที่ อำเภอแม่เมาะ อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง ใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงงานบ่มยาโรงไฟฟ้า
3. แหล่งน้ำ
ปัญหาเกี่ยวกับทรัพยากรน้ำ
จากพฤติกรรมการบริโภคทรัพยากรธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งมีผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อมในโลก โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับทรัพยากรน้ำ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์ เพราะน้ำได้ใช้ในการบริโภคและผลิตเครื่องอุปโภคต่างๆ ปัจจุบันปัญหาทรัพยากรน้ำ มีดังนี้
1. ปัญหาทางด้านปริมาณ
1) การขาดแคลนน้ำหรือภัยแล้ง สาเหตุที่สำคัญได้แก่
1.1 ป่าไม้ถูกทำลายมากโดยเฉพาะป่าต้นน้ำลำธาร
1.2 ลักษณะพื้นที่ไม่เหมาะสม เช่นไม่มีแหล่งน้ำ ดินไม่ดูดซับน้ำ
1.3 ขาดการวางแผนการใช้และอนุรักษ์น้ำที่เหมาะสม
1.4 ฝนตกน้อยและฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน
2) การเกิดน้ำท่วม อาจเกิดจากสาเหตุหนึ่งหรือหลายสาเหตุร่วมกันดังต่อไปนี้
2.1 ฝนตกหนักติดต่อกันนานๆ
2.2 ป่าไม้ถูกทำลายมาก ทำให้ไม่มีสิ่งใดจะช่วยดูดซับน้ำไว้
2.3 ภูมิประเทศเป็นที่ลุ่มและการระบายน้ำไม่ดี
2.4 น้ำทะเลหนุนสูงกว่าปกติ ทำให้น้ำจากแผ่นดินระบายลงสู่ทะเลไม่ได้
2.5 แหล่งเก็บกักน้ำตื้นเขินหรือได้รับความเสียหาย จึงเก็บน้ำได้น้อยลง
2. ปัญหาด้านคุณภาพของน้ำไม่เหมาะสม สาเหตุที่พบบ่อยได้แก่
1) การทิ้งสิ่งของและการระบายน้ำทิ้งลงสู่แหล่งน้ำ ทำให้แหล่งน้ำสกปรกและเน่าเหม็นจนไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ มักเกิดตามชุมชนใหญ่ๆ ที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำ หรือท้องถิ่นที่มีโรงงานอุตสาหกรรม
2) สิ่งที่ปกคลุมผิวดินถูกชะล้างและไหลลงสู่แหล่งน้ำมากกว่าปกติ มีทั้งสารอินทรีย์ สารอนินทรีย์ และสารเคมีต่างๆ ที่ใช้ในกิจกรรมต่างๆ ซึ่งทำให้น้ำขุ่นได้ง่าย โดยเฉพาะในฤดูฝน
3) มีแร่ธาตุเจือปนอยู่มากจนไม่เหมาะแก่การใช้ประโยชน์ น้ำที่มีแร่ธาตุปนอยู่เกินกว่า 50 พีพีเอ็มนั้น เมื่อนำมาดื่มจะทำให้เกิดโรคนิ่วและโรคอื่นได้
4) การใช้สารเคมีที่มีพิษตกค้าง เช่น สารที่ใช้ป้องกันหรือกำจัดศัตรูพืชหรือสัตว์ซึ่งเมื่อถูกฝนชะล้างลงสู่แหล่งน้ำจะก่อให้เกิดอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต
3. ปัญหาการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างไม่เหมาะสม เช่น ใช้มากเกินความจำเป็น โดยเฉพาะเมื่อเกิดภาวะขาดแคลนน้ำ หรือการสูบน้ำใต้ดินขึ้นมาใช้มากจนดินทรุด เป็นต้น ปีพ.ศ. 2541 ธนาคารโลกพยากรณ์ว่า น้ำในโลกลดลง 1 ใน 3 ของปริมาณน้ำที่เคยมีเมื่อ 25 ปีก่อน และในปี ค. ศ. 2525 หรืออีก 25 ปีข้างหน้า การใช้น้ำจะเพิ่มอีกประมาณร้อยละ 65 เนื่องจากจำนวนประชากรโลกเพิ่มขึ้น การใช้น้ำอย่างไม่ถูกต้องและขาดการดูแลรักษาทรัพยากรน้ำ ซึ่งจะเป็นผลให้ประชากรโลกกว่า 3,000 ล้านคน ใน 52 ประเทศประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำ
4. ปัญหาความเปลี่ยนแปลงของฟ้า อากาศ เนื่องจากปรากฏการณ์ เอล นิโน (EI Nino ) และลา นินา (La Nina) โดยปรากฏการณ์ที่ผิดธรรมชาติจะเกิดขึ้นประมาณ 5 ปีต่อครั้ง ครั้งละ 8 -10 เดือน โดยกระแสน้ำอุ่นในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก บริเวณตะวันออกเคลื่อนลงไปถึงชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาใต้ (ประเทศเปรู เอกวาดอร์ และชิลีตอนเหนือ) ทำให้ผิวน้ำที่เคยเย็นกลับอุ่นขึ้นและที่เคยอุ่นกลับเย็นลง
เมื่ออุณหภูมิของผิวน้ำเปลี่ยนแปลงไปก็จะส่งผลทำให้อุณหภูมิเหนือน้ำเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน เป็นผลให้ความร้อนและความแห้งแล้งในบริเวณที่เคยมีฝนชุก และเกิดฝนตกหนักในบริเวณที่เคยแห้งแล้ง ลมและพายุเปลี่ยนทิศทาง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดเป็นบริเวณกว้าง จึงส่งผลกระทบต่อโลกอย่างกว้างขวาง สามารถทำลายระบบนิเวศในซีกโลกใต้ รวมทั้งพื้นที่บางส่วนเหนือเส้นศูนย์สูตรได้ สาหร่ายทะเลบางแห่งตายเพราะอุณหภูมิสูง ปลาที่เคยอาศัยน้ำอุ่นต้องว่ายหนีไปหาน้ำเย็นทำให้มีปลาแปลกชนิดเพิ่มขึ้นและหลังการเกิดปรากฎการณ์ เอล นิโน แล้ว ก็จะเกิดปรากฎการณ์ลา นินา ซึ่งมีลักษณะตรงกันข้ามตามมา โดยจะเกิดเมื่อกระแสน้ำอุ่นและคลื่นความร้อนในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้เคลื่อนย้อนไปทางตะวันตก ทำให้บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกที่อุณหภูมิเริ่มเย็น จะมีการรวมตัวของไอน้ำปริมาณมาก ทำให้อากาศเย็นลง เกิดพายุ และฝนตกหนักโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียน
เอล นิโน เคยก่อตัวครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2525 – 2526 ซึ่งผลทำให้อุณหภูมิผิวน้ำสูงกว่าปกติถึง 9 องศา ฟาเรนไฮต์ ทำลายชีวิตมนุษย์ทั่วโลกถึง 2,000 คน ค่าเสียหายประมาณ 481,000 ล้านบาท ปะการังในทะเลแคริบเบียนเสียความสมดุลไปร้อยละ 50 – 97 แต่ในปี พ.ศ. 2540 กลับก่อตัวกว้างกว่าเดิม ซึ่งคิดเป็นพื้นที่ได้กว้างใหญ่กว่าประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเขตน้ำอุ่นนอกชายฝั่งประเทศเปรูขยายออกไปไกลกว่า 6,000 ไมล์ หรือประมาณ 1 ใน 4 ของเส้นรอบโลก อุณหภูมิผิวน้ำวัดได้เท่ากันและมีความหนาของน้ำถึง 6 นิ้ว ส่งผลให้เกิดปรากฎการณ์ธรรมชาติที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 15 0 ปี โดยเริ่มแสดงผลตั้งแต่เดือนเมษายน 2541
นอกจากนี้ปรากฏการณ์เรือนกระจกและการลดลงของพื้นที่ป่ายังส่งเสริมความรุนแรงของปัญหาอีกด้วย ดังตัวอย่างต่อไปนี้
1) ประเทศไทย ประสบความร้อนและแห้งแล้งรุนแรงทั่วประเทศ ฝนตกน้อยหรือตกล่าช้ากว่าปกติ (ยกเว้นภาคใต้ที่กลางเดือนสิงหาคมเกิดฝนตกหนักจนน้ำท่วม) ปริมาณน้ำในแม่น้ำ อ่างเก็บน้ำและเขื่อนลดน้อยลงมาก รวมทั้งบางจังหวัดมีอุณหภูมิในฤดูร้อนสูงมาก และเกิดติดต่อกันหลายวัน เช่น จังหวัดตากมีอุณหภูมิในเดือนเมษายน พ.ศ. 2541 สูงถึง 43.7 องศาเซลเซียส ซึ่งนับว่าสูงที่สุดในรอบ 67 ปี นอกจากนี้ยังทำให้ผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะไม้ผลลดลง
2) ประเทศอินโดนีเซีย ประสบความแห้งแล้ง ทั้งที่อยู่ในเขตมรสุมและมีป่าฝน เมื่อฝนไม่ตกจึงทำให้ไฟไหม้ป่าที่เกิดขึ้นในเกาะสุมาตรา และบอร์เนียวเผาผลาญป่าไปประมาณ 14 ล้านไร่ พร้อมทั้งก่อปัญหามลพิษทางอากาศเป็นบริเวณกว้าง มีผู้คนป่วยไข้นับหมื่น ทัศนวิลัยไม่ดีจนทำให้เครื่องบินสายการบินการูดาตกและมีผู้เสียชีวิต 234 คน อีกทั้ง ยังทำให้ผลิตผลการเกษตรตกต่ำ โดยเฉพาะเมล็ดกาแฟโรบัสตาที่ส่งออกมากเป็นอันดับหนึ่งได้รับความเสียหายมากเป็นประวัติการณ์
3) ประเทศปาปัวนิวกินี ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีคนตายจากภัยแล้ง 80 คนและประสบปัญหาแล้งอีกประมาณ 1,000,000 คน
4) ประเทศออสเตรเลีย อากาศแห้งแล้งรุนแรงจนต้องฆ่าสัตว์เลี้ยงเพราะขาดแคลนน้ำ และอาหาร ซึ่งคาดว่า ผลผลิตการเกษตรจะเสียหายประมาณ 432 ล้านเหรียญ
5) ประเทศเกาหลีเหนือ ปัญหาความแห้งแล้งรุนแรงและอดอยากรุนแรงมาก พืชไร่เสียหายมาก
6) ประเทศสหรัฐอเมริกา เกิดพายุเฮอร์ริเคนทางด้านฝั่งตะวันตกมากขึ้น โดยเฉพาะภาคใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนียได้รับภัยพิบัติมากที่สุด สว่ นทางฝั่ง ตะวันออกซึ่งมีเฮอร์ริเคนค่อนข้างมาก คลื่นลมกับสงบกว่าปกติ
7) ประเทศเปรูและซิลี เกิดฝนตกหนักและจับปลาได้น้อยลง (เคยเกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมในทะเลทรายอะตาคามา ประเทศซิลี อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งๆ ที่บริเวณนี้แห้งแล้งมากจนประเทศสหรัฐอเมริกาขอใช้เป็นสถานที่ฝึกนักอวกาศ โดยสมมติว่าเป็นพื้นผิวดาวอังคาร)
8) ทวีปแอฟริกา แห้งแล้งรุนแรง พืชไร่อาจเสียหายประมาณครึ่งหนึ่ง
ปัญหาเกี่ยวกับทรัพยากรน้ำในประเทศไทย
1. การขาดแคลนน้ำหรือภัยแล้ง
ในหน้าแล้ง ประชากรไทยจะขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้จำนวน 13,000 – 24,000 หมู่บ้าน ประชากรประมาณ 6 -10 ล้านคน ซึ่งโดยส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง การขาดแคลนน้ำในระดับวิกฤตจะเกิดเป็นระยะๆ และรุนแรงขึ้น น้ำในเขื่อนสำคัญต่างๆ โดยเฉพาะเขื่อนภูมิพลมีปริมาณเหลือน้อยจนเกือบจะมีผลกระทบต่อการผลิตกระแสไฟฟ้า และการผลิตน้ำประปาสำหรับใช้ในหลายจังหวัด การลดปริมาณของฝนและน้ำที่ไหลลงสู่อ่างเก็บน้ำ และการเกิดฝนมีแนวโน้มลดลงทุกภาค ประมาณร้อยละ 0.42 ต่อปี เป็นสิ่งบอกเหตุสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มความรุนแรงของภัยแล้ง
สำหรับปริมาณน้ำที่ไหลลงสู่อ่างเก็บน้ำของเขื่อนและแม่น้ำสำคัญ เช่น เขื่อนภูมิพลเขื่อนสิริกิติ์และแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 เป็นต้นมา ก็มีปริมาณลดลงเช่นกันเนื่องจากต้นน้ำลำธารถูกทำลายทำให้ฝนและน้ำน้อย และขณะเดียวกันความต้องการใช้น้ำกลับมีมากและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่น การประปานครหลวงใช้ผลิตน้ำประปาประมาณ 1,300ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี การผลักดันน้ำเค็มบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำท่าจีนจะต้องใช้น้ำจืด ประมาณ 2,500 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี การทำนาปีใช้ประมาณ 4,000 ล้านลูกบาศก์เมตร และการทำนาปรังจะใช้ประมาณ 6,000 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยมีแนวโน้มของการใช้เพิ่มมากขึ้นทุกปี
2. ปัญหาน้ำท่วมหรืออุทกภัย
เกิดจากฝนตกหนักหรือตกติดต่อกันเป็นเวลานานๆ เนื่องจากการตัดไม้ทำลายป่าแหล่งน้ำตื้นเขินทำให้รองรับน้ำได้น้อยลง การก่อสร้างที่ทำให้น้ำไหลได้น้อยลง เช่น การก่อสร้างสะพาน นอกจากนี้น้ำท่วมอาจเกิดจากน้ำทะเลหนุนสูงขึ้น พื้นดินทรุดตัวเนื่องจากการสูบน้ำใต้ดินไปใช้มากเกินไป พื้นที่เป็นที่ต่ำและการระบายน้ำไม่ดี และการสูญเสียพื้นที่น้ำท่วมขัง ตัวอย่าง ได้แก่ การถมคลองเพื่อก่อสร้างที่อยู่อาศัย รวมทั้งการบุกรุกพื้นที่ชุ่มน้ำ เช่น กว๊านพะเยา บึงบอระเพ็ด ทะเลสาบสงขลา และหนองหาร จังหวัดสกลนครเพื่อใช้ประโยชน์อย่างอื่น
3. เกิดมลพิษทางน้ำและระบบนิเวศถูกทำลาย
โดยส่วนใหญ่แล้ว น้ำจะเกิดการเน่าเสียเพราะการเจือปนของอินทรียสาร สารพิษตะกอน สิ่งปฏิกูลและน้ำมันเชื้อเพลิงลงสู่แหล่งน้ำ ซึ่งมีผลให้พืชและสัตว์น้ำเป็นอันตราย เช่น การที่ปะการัง ตัวอ่อนของสัตว์น้ำ และปลาที่เลี้ยงตามชายฝั่งบริเวณเกาะภูเก็ตตายหรือเจริญเติบโตผิดปกติ เพราะถูกตะกอนจากการทำเหมืองแร่ทับถม ไปอุดตันช่องเหงือกทำให้ได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
4. แหล่งน้ำตื้นเขิน
ดินและตะกอนดินที่ถูกชะล้างลงสู่แหล่งน้ำนั้นทำให้แหล่งน้ำตื้นเขินและเกิดน้ำท่วมได้ง่าย ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเดินเรือ และยังเป็นผลเสียต่อการดำรงชีวิตของสัตว์น้ำ โดยเฉพาะบริเวณอ่าวไทยตอนบน โดยในแต่ละปีตะกอนดินถูกพัดพาไปทับถมกันมากถึงประมาณ 1.5 ล้านตัน การสูบน้ำใต้ดินไปใช้มากจนแผ่นดินทรุดตัวชาวกรุงเทพมหานครและปริมณฑลทั้ง 6 จังหวัดใช้น้ำบาดาลจำนวนมาก เมื่อปี 2538 พบว่า ใช้ประมาณวันละ 1.5 ล้านลูกบาศก์เมตร ภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจใช้ประมาณวันละ 1.2 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้ดินทรุดตัวลงทีละน้อย และทำให้เกิดน้ำท่วมขังได้ง่ายขึ้น
4. ทรัพยากรดิน
ปัญหาการใช้ที่ดินไม่เหมาะสม และไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ได้แก่
1. การใช้ที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมอย่างไม่ถูกหลักวิชาการ
2. ขาดการบำรุงรักษาดิน
3. การปล่อยให้ผิวดินปราศจากพืชปกคลุม ทำให้สูญเสียความชุ่มชื้นในดิน
4. การเพาะปลูกที่ทำให้ดินเสีย
5. การใช้ปุ๋ยเคมีและยากำจัดศัตรูพืชเพื่อเร่งผลิตผล ทำให้ดินเสื่อมคุณภาพและสารพิษตกค้างอยู่ในดิน
6. การบุกรุกเข้าไปใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตป่าไม้บนพื้นที่ที่มีความลาดชันสูง
7. รวมทั้งปัญหาการขยายตัวของเมืองที่รุกล้ำเข้าไปในพื้นที่เกษตรกรรม และการนำมาใช้เป็นที่อยู่อาศัย ที่ตั้งโรงงานอุตสาหกรรม
8. หรือการเก็บที่ดินไว้เพื่อการเก็งกำไร โดยมิได้มีการนำมาใช้ประโยชน์แต่อย่างใดนอกจากนี้
การเพิ่มขึ้นของประชากรประกอบกับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงขึ้น ทำให้ความต้องการใช้ที่ดินเพื่อการขยายเมือง และอุตสาหกรรมเพิ่มจำนวนตามไปด้วยอย่างรวดเร็ว โดยปราศจากการควบคุมการใช้ที่ดินภายในเมืองให้เหมาะสม เป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมภายในเมือง หลายประการ เช่น ปัญหาการตั้งถิ่นฐาน ปัญหาแหล่งเสื่อมโทรม ปัญหาการจราจร ปัญหาสาธารณสุข ปัญหาขยะมูลฝอย และการบริการสาธารณูปโภคไม่เพียงพอ
นอกจากนั้นปัญหาการพังทลายของดินและการสูญเสียหน้าดินโดยธรรมชาติ เช่นการชะล้าง การกัดเซาะของน้ำและลม เป็นต้น และที่สำคัญคือ ปัญหาจากการกระทำของมนุษย์ เช่น การทำลายป่า เผาป่า การเพาะปลูกผิดวิธี เป็นต้น ก่อให้เกิดการสูญเสียความอุดมสมบูรณ์ของดินทำให้ใช้ประโยชน์จากที่ดินได้ลดน้อยลง ความสามารถในการผลิตทางด้านเกษตรลดน้อยลงและยังทำให้เกิดการทับถมของตะกอนดินตามแม่น้ำ ลำคลอง เขื่อนอ่างเก็บน้ำ เป็นเหตุให้แหล่งน้ำดังกล่าวตื้นเขิน รวมทั้งการที่ตะกอนดินอาจจะทับถมอยู่ในแหล่งที่อยู่อาศัย และที่วางไข่ของสัตว์น้ำ อีกทั้งยังเป็นตัวกั้นแสงแดดที่จะส่องลงสู่พื้นน้ำสิ่งเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ นอกจากนี้ปัญหาความเสื่อมโทรมของดิน อันเนื่องมาจากสาเหตุดั้งเดิมตามธรรมชาติ คือ การที่มีสารเป็นพิษเกิดขึ้นมาพร้อมกับการเกิดดิน เช่น มีโลหะหนัก มีสารประกอบที่เป็นพิษ ซึ่งอาจทำให้ดินเค็ม ดินด่างดินเปรี้ยวได้ โดยเฉพาะปัญหาการแพร่กระจายของดินเค็มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือการดำเนินกิจกรรมเพื่อใช้ประโยชน์จากที่ดินอย่างไม่เหมาะสม และขาดการจัดการที่ดี เช่นการสร้างอ่างเก็บน้ำในบริเวณที่มีเกลือหินสะสมอยู่มาก น้ำในอ่างจะซึมลงไปละลายเกลือหินใต้ดิน แล้วไหลกลับขึ้นสู่ผิวดินบริเวณรอบๆ การผลิตเกลือสินเธาว์ในเชิงพาณิชย์ โดยการสูบน้ำเกลือใต้ดินขึ้นมาต้มหรือตาก ทำให้ปัญหาดินเค็มแพร่ขยายออกไปกว้างขวางยิ่งขึ้นยังมีสาเหตุที่เกิดจากสารพิษและสิ่งสกปรกจากภายนอกปะปนอยูใ่ นดิน เชน่ ขยะจากบา้ นเรือนของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม สารเคมีตกค้างจากการใช้ปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืช เป็นต้น ล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และก่อให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจ
5. สัตว์ป่า
สัตว์ป่า
สาเหตุปัญหาของทรัพยากรสัตว์ป่า สาเหตุของการสูญพันธุ์หรือลดจำนวนลงของสัตว์ป่า มีดังนี้
1. การทำลายที่อยู่อาศัย การขยายพื้นที่เพาะปลูก พื้นที่อยู่อาศัยเพื่อการดำรงชีพของมนุษย์ ได้ทำลายที่อยู่อาศัยและที่ดำรงชีพ ของสัตว์ป่าไปอย่างไม่รู้ตัว
2. สภาพธรรมชาติ การลดลงหรือสูญพันธุ์ไปตามธรรมชาติ ของสัตว์ป่า เนื่องจากการปรับตัวของสัตว์ป่าให้เข้ากับ การดำรงชีวิตในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สัตว์ป่าชนิดที่ปรับตัวได้ก็จะมีชีวิตรอด หากปรับตัวไม่ได้จะล้มตายไป ทำให้มีจำนวนลดลงและสูญพันธุ์ในที่สุด
3. การล่าโดยตรง โดยสัตว์ป่าด้วยกันเอง สัตว์ป่าจะไม่ลดลงหรือสูญพันธุ์อย่างรวดเร็ว เช่น เสือโคร่ง เสือดาว หมาไน หมาจิ้งจอกล่ากวางและเก้ง ซึ่งสัตว์ที่ถูกล่าสองชนิดนี้ อาจจะตายลงไปบ้างแต่จะไม่หมดไปเสียทีเดียว เพราะในธรรมชาติแล้วจะเกิดความ สมดุลอยู่เสมอระหว่างผู้ล่าและผู้ถูกล่า แต่ถ้าถูกล่าโดยมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นการล่าเพื่อเป็นอาหารเพื่อการกีฬา หรือเพื่ออาชีพ สัตว์ป่าจะลดลงจำนวนมาก
4. เนื่องจากสารพิษ เมื่อเกษตรกรใช้สารเคมีในการเพาะปลูก เช่น ยาปราบศัตรูพืชจะทำให้เกิดสารพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้การสาธารณสุขบางครั้งจำเป็นต้องกำจัดหนู และแมลงเช่นกัน สารเคมีที่ใช้ในกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ มีหลายชนิดที่มีพิษตกค้าง ซึ่งสัตว์ป่า จะได้รับพิษตามห่วงโซ่อาหาร ทำให้สารพิษไปสะสมในสัตว์ป่ามาก หากสารพิษมีจำนวนมากพออาจจะตายลงได้หรือมีผลต่อลูกหลาน เช่น ร่างกายไม่สมบูรณ์ ไม่สมประกอบประสิทธิภาพการให้กำเนิด หลานเหลนต่อไปมีจำกัดขึ้น ในที่สุดจะมีปริมาณลดลง และสูญพันธุ์ไป
5. การนำสัตว์จากถิ่นอื่นเข้ามา ตัวอย่างนี้ยังปรากฏไม่เด่นชัดในประเทศไทย แต่ในบางประเทศจะพบปัญหานี้ เช่น การนำพังพอนเข้าไปเพื่อกำจัดหนู ต่อมาเมื่อหนูมีจำนวนลดลงพังพอนกลับทำลายพืชผลที่ปลูกไว้แทน เป็นต้น
6. มลพิษทางอากาศ
“มลพิษทางอากาศ” มลพิษทางอากาศเป็นปัญหาสำคัญปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นในเขตเมือง โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร เนื่องจากมลพิษทางอากาศก่อให้เกิดผลกระทบด้านสุขภาพอนามัย ไม่ว่าจะเป็นด้านกลิ่น ความรำคาญ ตลอดจนผลกระทบต่อสุขภาพที่เกี่ยวกับระบบการหายใจ หัวใจและปอด ดังนั้นการติดตามเฝ้าระวังปริมาณมลพิษในบรรยากาศจึงเป็นภารกิจหนึ่งมี่มีความสำคัญ กรมควบคุมมลพิษเป็นหน่วยงานที่ทำการตรวจวัดคุณภาพอากาศมาอย่างต่อเนื่อง โดยทำการตรวจวัดมลพิษทางอากาศที่สำคัญ ได้แก่ ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน : PM-10) ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) สารตะกั่ว (Pb) ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) ไนไตรเจนไดออกไซด์ (NO2) และก๊าซโอโซน (O3)
สถานการณ์มลพิษทางอากาศ
ผลจากการตรวจวัดคุณภาพอากาศในช่วงเกือบ 20 ปีที่ผ่านมาก พบว่า คุณภาพทางอากาศในประเทศไทยมีคุณภาพดีขึ้น โดยพิจารณาได้จากค่าสูงสุดของความเข้มข้นของสารมลพิษส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ยกเว้นฝุ่นขนาดเล็ก และก๊าซโอโซน ทั้งนี้การที่คุณภาพอากาศของประเทศไทยมีคุณภาพดีขึ้น มีสาเหตุมาจากการลดลงของปริมาณการใช้เชื้อเพลิงในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ และอีกส่วนหนึ่งมาจากมาตรการของรัฐที่มีส่วนทำให้มลพิษทางอากาศลดลง (ธนาคารโลก 2002) ซึ่งได้แก่การรณรงค์ให้ใช้รถจักรยานยนต์ 4 จังหวะแทนรถจักรยานยนต์ 2 จังหวะ เนื่องจากรถจักรยานยนต์ 2 จังหวะเป็นแหล่งกำเนิดสำคัญของการปล่อยฝุ่นละออกสู่บรรยากาศ การปรับเปลี่ยนมาใช้รถจักรยานยนต์ 4 จังหวะ จึงจะช่วยให้มีการปล่อยฝุ่นละอองสู่บรรยากาศลดลง
การติดตั้งอุปกรณ์กำจัดสารซัลเฟอร์ (Desulfurization) ในโรงไฟฟ้าแม่เมาะในปีพ.ศ. 2535 เนื่องจากโรงไฟฟ้าแม่เมาะเป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินลิกไนต์เป็นเชื้อเพลิงเป็นแหล่งกำเนิดสำคัญของการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ดังนั้นการติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวทำให้ปริมาณก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในบรรยากาศลดลงอย่างต่อเนื่องจนอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามาตรฐาน ตั้งแต่มีการติดตั้งอุปกรณ์กำจัดสารซัลเฟอร์
การบังคับใช้อุปกรณ์ขจัดมลพิษในระบบไอเสียรถยนต์ประเภท Catalytic converterในรถยนต์ใหม่ในปี พ.ศ. 2536 เนื่องจากยานยนต์เป็นแหล่งกำเนิดก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ที่สำคัญ ส่งผลให้ระดับก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ลดลงจนอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามาตรฐาน
การลดปริมาณสารตะกั่วในน้ำมัน โดยในปี พ.ศ. 2532 รัฐบาลได้มีมาตรการเริ่มลดปริมาณตะกั่วในน้ำมันจาก 0.45 กรัมต่อลิตรให้เหลือ 0.4 กรัมต่อลิตร และในปี พ.ศ. 2535 ได้ลดลงมาเหลือ 0.15 กรัมต่อลิตร จนกระทั่งปลายปี พ.ศ. 2538 รัฐบาลได้ยกเลิกการใช้น้ำมันเบนซินที่มีสารตะกั่ว ทำให้ระดับสารตะกั่วลดลงอย่างรวดเร็วจนอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามาตรฐาน
ฝุ่นละอองขนาดเล็ก และก๊าซโอโซน ยังเป็นสารมลพิษที่เป็นปัญหา ซึ่งถึงแม้จะมีแนวโน้มลดลงเช่นกันแต่มลพิษทั้ง 2 ตัวก็ยังสูงเกินมาตรฐาน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะฝุ่นละอองมีแหล่งกำเนิดหลากหลาย ทำให้การออกมาตรการเพื่อลดฝุ่นละอองทำได้ยาก โดยแหล่งกำเนิดฝุ่นละอองที่สำคัญ ได้แก่ ยานพาหนะ ฝุ่นละอองแขวนลอยคงค้างในถนน ฝุ่นจากการก่อสร้าง และอุตสาหกรรม สำหรับในพื้นที่ชนบท แหล่งกำเนิดฝุ่นละอองที่สำคัญ คือการเผาไหม้ในภาคเกษตร ขณะที่ก๊าซโอโซนเป็นสารพิษทุติยภูมิที่เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (Volatile organic compound: VOC) และออกไซด์ของไนโตรเจน โดยมีความร้อนและแสงอาทิตย์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ทำให้ก๊าซโอโซนมีปริมาณสูงสุดในช่วงเที่ยงและบ่าย และถูกกระแสลมพัดพาไปสะสมในบริเวณต่างๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีปัจจัยหลายปัจจัยที่ยากต่อการควบคุมการเกิดของก๊าซโอโซน ทำให้มาตรการต่างๆ ที่กล่าวมาของภาครัฐ ยังไม่สามารถลดปริมาณก๊าซโอโซนลงให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานได้
มลพิษทางอากาศมีแหล่งกำเนิดมลพิษและผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยและสิ่งแวดล้อมแตกต่าง และรุนแรงต่างกันไป ทั้งนี้สามารถสรุปได้ดังตารางที่ 1
ตารางที่ 1 แหล่งกำเนิดที่สำคัญและผลกระทบของมลพิษทางอากาศ