ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ มนุษย์จะไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง มีที่พักชั่วคราวตามถ้ำต้นไม้ใหญ่เพื่อกันแดดกันฝนและป้องกันสัตว์ร้าย การอพยพย้ายที่อยู่ขึ้นอยู่กับแหล่งอาหารคือ ฝูงสัตว์ เมื่อสัตว์อพยพไปตามฤดูกาลต่างๆ มนุษย์ก็อพยพตามไปด้วย ต่อมาในยุคหินมีการคิดค้นการเพาะปลูก มนุษย์ต้องรอการเก็บเกี่ยวพืชผล ทำให้มนุษย์ต้องอยู่เป็นหลักแหล่งและพัฒนาเป็นชุมชน ในยุคต่อมามนุษย์ประดิษฐ์ตัวอักษรใช้ในการบันทึกเรื่องราว เมื่อมนุษย์เริ่มรวมตัวกันหนาแน่นตามแหล่งอุดมสมบูรณ์ ลุ่มแม่น้ำต่างๆ ของโลกจึงเกิดการจัดระเบียบในสังคม มีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบร่วมกัน จึงทำให้เกิดความชำนาญเฉพาะอย่างขึ้น อันเป็นจุดกำเนิดของอารยธรรม ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Civilization” มีความหมายว่า สภาพที่พ้นจากความป่าเถื่อน
อารยธรรมของมนุษย์ยุคประวัติศาสตร์
พัฒนาการของมนุษย์นั้น มิใช่เฉพาะลักษณะที่เห็นจากภายนอกเท่านั้น พัฒนาการทางด้านความคิด ได้มีการปรับเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์และสังคมที่เปลี่ยนไปด้วย พัฒนาการทางด้านภาษา การสร้างสรรค์งานศิลปะ และการพัฒนาวิถีการดำเนินชีวิตในด้านต่างๆ นำไปสู่การเกิดอารยธรรม ซึ่งต้องใช้เวลาอันยาวนานและความเจริญทั้งหลายในปัจจุบันล้วนสืบสายมาจากอารยธรรมโบราณ อารยธรรมของมนุษย์ในภูมิภาคต่างๆ ของโลก แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1 อารยธรรมของโลกตะวันออก ส่วนใหญ่มีรากฐานมาจากแหล่งอารยธรรมที่เก่าแก่ของโลก คือ จีนและอินเดีย
ส่วนที่ 2 อารยธรรมของโลกตะวันตก หมายถึง ดินแดนแถบตะวันตกของทวีปเอเชีย รวมเอเชียไมเนอร์และทวีปแอฟริกา อียิปต์ เมโสโปเตเมีย กรีกและโรมัน
ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีอารยธรรมยาวนานที่สุดประเทศหนึ่ง โดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สามารถค้นคว้าได้บ่งชี้ว่า อารยธรรมจีนมีอายุถึง 5,000 ปี รากฐานที่สำคัญของอารยธรรมจีน คือ การสร้างระบบภาษาเขียนและการพัฒนาแนวคิดลัทธิขงจื้อ เมื่อประมาณศตวรรษที่ 2 ก่อน ค.ศ. ประวัติศาสตร์จีนมีทั้งช่วงที่เป็นปึกแผ่นและแตกเป็นหลายอาณาจักรสลับกันไป ในบางครั้งก็ถูกปกครองโดยชนชาติอื่น วัฒนธรรมของอารยธรรมจีนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ มีแหล่งอารยธรรมที่สำคัญ 2 แหล่ง คือ
ลุ่มแม่น้ำฮวงโห พบความเจริญที่เรียกว่า วัฒนธรรมหยางเซา (Yang Shao Culture) พบหลักฐานที่เป็นเครื่องปั้นดินเผามีลักษณะสำคัญคือ เครื่องปั้นดินเผาเป็นลายเขียนสี มักเป็นลายเรขาคณิต พืช นก สัตว์ต่างๆ และพบใบหน้ามนุษย์ สีที่ใช้เป็นสีดำหรือสีม่วงเข้มนอกจากนี้ยังมีการพิมพ์ลายหรือขูดสลักลายเป็นรูปลายจักสาน ลายเชือกทาบ
ลุ่มน้ำแยงซี (Yangtze) บริเวณมณฑลซานตุงพบ วัฒนธรรมหลงซาน (Long Shan Culture) พบหลักฐานที่เป็นเครื่องปั้นดินเผามีลักษณะสำคัญคือ เครื่องปั้นดินเผามีเนื้อละเอียดสีดำขัดมันเงา คุณภาพดี เนื้อบางและแกร่ง เป็นภาชนะ 3 ขา
สมัยประวัติศาสตร์ของจีนแบ่งได้ 4 ยุค
ประวัติศาสตร์สมัยโบราณ เริ่มตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซาง สิ้นสุดสมัยราชวงศ์โจว
ประวัติศาสตรส์ มัยจักรวรรดิ เริ่มตั้งแตส่ มัยราชวงศจ์ ิ๋น จนถึงปลายราชวงศ์ซิงหรือเช็ง
ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เริ่มปลายราชวงศ์เช็งจนถึงการปฏิวัติเข้าสู่ระบอบสังคมนิยม
ประวัติศาสตร์ร่วมสมัย เริ่มตั้งแต่จีนปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าสู่ระบอบสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์จนถึงปัจจุบัน
อารยธรรมจีนได้รับอิทธิพลของศาสนาเต๋าหรือขงจื้อ สถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก คือ “กำแพงเมืองจีน” กวีที่สำคัญคือ ซือหม่าเชียน ผลงานที่สำคัญคือ การบันทึกประวัติศาสตร์และวรรณกรรมที่สำคัญ คือ สามก๊กและความรักในหอแดง
การถ่ายทอดอารยธรรมจีนสู่ดินแดนต่างๆ
อารยธรรมจีนแผ่ขยายขอบข่ายออกไปอย่างกว้างขวาง ทั้งในเอเชียและยุโรปอันเป็นผลมาจากการติดต่อทางการฑูต การค้า การศึกษา ตลอดจนการเผยแพร่ศาสนาอย่างไรก็ตามลักษณะการถ่ายทอดแตกต่างกันออกไป ดินแดนที่เคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของจีนเป็นเวลานาน เช่น เกาหลีและเวียดนาม จะได้รับอารยธรรมจีนอย่างสมบูรณ์ทั้งในด้านวัฒนธรรม การเมือง ขนมธรรมเนียมประเพณี การสร้างสรรค์และการแสดงออกทางศิลปะทั้งนี้เพราะราชสำนักจีนจะเป็นผู้กำหนดนโยบายและบังคับให้ประเทศทั้งสองรับวัฒนธรรมจีนโดยตรง
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อารยธรรมจีนได้รับการยอมรับในขอบเขตจำกัดมากที่เห็นอย่างชัดเจน คือ การยอมรับระบบบรรณาการของจีน
ในเอเชียใต้ ประเทศที่แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับจีนอย่างใกล้ชิด คือ อินเดีย พระพุทธศาสนา มหายานของอินเดียแพร่หลายเข้ามาในจีนจนกระทั่งเป็นศาสนาสำคัญที่ชาวจีนนับถือนอกจากนี้ศิลปะอินเดียยังมีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ศิลปะบางอย่างของจีน เช่นประติมากรรมที่เป็นพระพุทธรูป
ส่วนภูมิภาคเอเชียกลางและตะวันออกกลางนั้น เนื่องจากบริเวณที่เส้นทางการค้าสานแพรไหมผ่านจึงทำหน้าที่เป็นสื่อกลางนำอารยธรรมตะวันตกและจีนมาพบกัน อารยธรรมจีนที่เผยแพร่ไป เช่น การแพทย์ การเลี้ยงไหม กระดาษ การพิมพ์และดินปืน เป็นต้น ซึ่งชาวอาหรับจะนำไปเผยแพร่แก่ชาวยุโรปอีกต่อหนึ่ง
อินเดียเป็นแหล่งอารยธรรมที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก บางทีเรียกว่า แหล่งอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ อาจแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ของอินเดียได้ดังนี้
สมัยก่อนประวัติศาสตร์ พบหลักฐานเป็นซากเมืองโบราณ 2 แห่ง ในบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุ คือ เมืองโมเฮนโจดาโร ทางตอนใต้ของประเทศปากีสถานเมืองอารับปา ในแคว้นปันจาป ประเทศปากีสถานในปัจจุบัน
สมัยประวัติศาสตร์ เริ่มเมื่อมีการประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้ โดยชนเผ่าอินโด – อารยันซึ่งตั้งถิ่นฐานบริเวณแม่น้ำคงคา แบ่งได้ 3 ยุค
1. ประวัติศาสตร์สมัยโบราณ เริ่มตั้งแต่กำเนิดตัวอักษร บรามิ ลิปิ สิ้นสุดสมัยราชวงศ์คุปตะ เป็นยุคที่ศาสนาพราหมณ์ ฮินดูและพุทธศาสนา ได้ถือกำเนิดแล้ว
2. ประวัติศาสตร์สมัยกลาง เริ่มตั้งแต่ราชวงศ์คุปตะสิ้นสุดลง จนถึงราชวงศ์โมกุลเข้าปกครองอินเดีย
3. ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เริ่มตั้งแต่ราชวงศ์โมกุลจนถึงการได้รับเอกราชจากอังกฤษอารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ ชาวอารยันได้สร้างปรัชญาโบราณ เริ่มจากคัมภีร์พระเวทอันเป็นแม่แบบของปรัชญาเอเชีย โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วรรณกรรมที่สำคัญ ได้แก่พระเวทอุปนิษัท มหากาพย์ มหาภารตะ มหากาพย์ รามายยะ ปุราณะ เป็นต้น กวีที่มีชื่อเสียงที่สุดมี กาลิทาสจากงานศกุณตลา ชัยเทพ (กวีราช) จากผลงานเรื่อง คีตโควินท์และรพินทรนาถ ฐากูร กวีสมัยใหม่จากวรรณกรรมเรื่อง “คีตาญชลี” ซึ่งได้รับรางวัลโนเบล สาขาวรรณคดี
การแพร่ขยายและการถ่ายทอดอารยธรรมอินเดีย
อารยธรรมอินเดีย แพร่ขยายออกไปสู่ภูมิภาคต่างๆ ทั่วทวีปเอเชียโดยผ่านทางการค้า ศาสนา การเมือง การทหารและได้ผสมผสานเข้ากับอารยธรรมของแต่ละประเทศจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมสังคมนั้นๆ
ในเอเชียตะวันออก พระพุทธศาสนามหายานของอินเดียมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อชาวจีนทั้งในฐานะศาสนาสำคัญและในฐานะที่มีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ศิลปะของจีน
ภูมิภาคเอเชียกลาง อารยธรรมอินเดียที่ถ่ายทอดให้เริ่มตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7 เมื่อพวกมุสลิมอาหรับ ซึ่งมีอำนาจในตะวันออกกลาง นำวิทยาการหลายอย่างของอินเดียไปใช้ได้แก่ การแพทย์ คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ เป็นต้น ขณะเดียวกันอินเดียก็รับอารยธรรมบางอย่างทั้งของเปอร์เซียและกรีก โดยเฉพาะด้านศิลปกรรม ประติมากรรม เช่น พระพุทธ รูปศิลปะคันธาระซึ่งเป็นอิทธิพลจากกรีก ส่วนอิทธิพลของเปอร์เซีย ปรากฏในรูปการปกครองสถาปัตยกรรม เช่น พระราชวัง การเจาะภูเขาเป็นถ้ำเพื่อสร้างศาสนสถาน
ภูมิภาคที่ปรากฏอิทธิพลของอินเดียมากที่สุด คือ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พ่อค้าพราหมณ์และภิกษุสงฆ์ชาวอินเดียเดินทางมาและนำอารยธรรมมาเผยแพร่ อารยธรรมที่ปรากฏอยู่มีแทบทุกด้าน โดยเฉพาะในด้านศาสนา ความเชื่อ การปกครอง ศาสนาพราหมณ์ฮินดูและพุทธ ได้หล่อหลอมจนกลายเป็นรากฐานสำคัญที่สุดของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้
อียิปต์โบราณหรือไอยคุปต์ เป็นหนึ่งในอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา มีพื้นที่ตั้งแต่ตอนกลางจนถึงปากแม่น้ำไนล์ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประเทศอียิปต์ อารยธรรมอียิปต์โบราณเริ่มขึ้นประมาณ 3150 ปี ก่อนคริสตศักราช โดยการรวมอำนาจทางการเมืองของอียิปต์ตอนเหนือและตอนใต้ ภายใต้ฟาโรห์องค์แรกแห่งอียิปต์ และมีการพัฒนาอารยธรรมเรื่อยมากว่า 3000 ปี ประวัติของอียิปต์โบราณปรากฏขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่งหรือที่รู้จักกันว่า “ราชอาณาจักร” มีการแบ่งยุคสมัยของอียิปต์โบราณเป็นราชอาณาจักร ส่วนมากแบ่งตามราชวงศ์ที่ขึ้นมาปกครองจนกระทั่งราชอาณาจักรสุดท้ายหรือที่รู้จักกันในชื่อว่า “ราชอาณาจักรใหม่” อารยธรรมอียิปต์อยู่ในช่วงที่มีการพัฒนาที่น้อยมากและส่วนมากลดลง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันที่อียิปต์พ่ายแพ้ต่อการทำสงครามจากอำนาจของชาติอื่น จนกระทั่งเมื่อก่อนคริสต์ศักราชก็เป็นการสิ้นสุดอารยธรรมอียิปต์โบราณลง เมื่อจักรวรรดิโรมันสามารถเอาชนะอียิปต์และจัดอียิปต์เป็นเพียงจังหวัดหนึ่งในจักรวรรดิโรมัน
อารยธรรมอียิปต์พัฒนาการมาจากสภาพของลุ่มแม่น้ำไนล์ การควบคุมระบบชลประทาน การควบคุมการผลิตพืชผลทางการเกษตร พร้อมกับพัฒนาอารยธรรมทางสังคมและวัฒนธรรม พื้นที่ของอียิปต์นั้นล้อมรอบด้วยทะเลทรายเสมือนปราการป้องกันการรุกรานจากศัตรูภายนอก นอกจากนี้ยังมีการทำเหมืองแร่และอียิปต์ยังเป็นชนชาติแรกๆ ที่มีการพัฒนาการด้วยการเขียน ประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้ การบริหารอียิปต์เน้นไปทางสิ่งปลูกสร้างและการเกษตรกรรม พร้อมกันนั้นก็มีการพัฒนาการทางทหาร
อียิปต์ที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่ราชอาณาจักร โดยประชาชนจะให้ความเคารพกษัตริย์หรือฟาโรห์เสมือนหนึ่งเทพเจ้า ทำให้การบริหารราชการบ้านเมืองและการควบคุมอำนาจนั้นทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ชาวอียิปต์โบราณไม่ได้เป็นเพียงแต่นักเกษตรกรรมและนักสร้างสรรค์อารยธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นนักคิด นักปรัชญา ได้มาซึ่งความรู้ในศาสตร์ต่างๆ มากมาย พัฒนาอารยธรรมกว่า 3000ปี ทั้งในด้านคณิตศาสตร์ เทคนิคการสร้างพีระมิด วัด โอเบลิสก์ตัวอักษรและเทคโนโลยีด้านกระจก นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาประสิทธิภาพทางดา้ นการแพทย ์ระบบชลประทานและการเกษตรกรรม อียิปต์ทิ้งมรดกสุดท้ายแก่อนุชนรุ่นหลังไว้คือ ศิลปะและสถาปัตยกรรม ซึ่งถูกคัดลอกนำไปใช้ทั่วโลก อนุสรณ์ สถานที่ต่างๆ ในอียิปต์ต่างดึงดูดนักท่องเที่ยว กว่าหลายศตวรรษที่ผ่านมา ปัจจุบันมีการค้นพบวัตถุใหม่ๆ ในอียิปต์มากมายซึ่งกำลังตรวจสอบถึงประวัติความเป็นมาเพื่อเป็นหลักฐานให้แก่อารยธรรมอียิปต์ การสร้างสรรค์อารยธรรมของชาวอียิปต์โบราณ เช่น อักษรภาพ “เฮียโรกริฟฟิค” ถือว่าเป็นหลักฐานข้อมูลของแหล่งอารยธรรมอื่นๆ “พีรามิด” ใช้เป็นสุสานเก็บพระศพของฟาโรห์ซึ่งใช้น้ำยาอาบศพในรูปของมัมมี่ ประติมากรรมรูปคนตัวเป็นสิงห์หมอบเฝ้าหน้าพีรามิดถือว่าเป็นประติมากรรมที่ยิ่งใหญ่
กำเนิดขึ้นในบริเวณลุ่มแม่น้ำ 2 สาย คือ แม่น้ำไทกรีสและแม่น้ำยูเฟรตีส ปัจจุบันอยู่ในประเทศอิรัก เป็นแหล่งอารยธรรมแห่งแรกของโลก มนุษย์ในอารยธรรมนี้มักมองโลกในแง่ร้าย เพราะสภาพภูมิประเทศไม่เอื้อต่อการดำรงชีวิต ทำให้เกรงกลัวเทพเจ้า คิดว่าตนเองเป็นทาสรับใช้เทพเจ้า จึงสร้างเทวสถานให้ใหญ่โตน่าเกรงขาม เป็นสัญลักษณ์ที่ประทับของเทพเจ้าต่างๆ มีชุมชนหลายเผ่าตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้ที่สำคัญได้แก่ สุเมเรียน อะมอไรต์อัสซีเรียน คาลเดียและชนชาติอื่นๆ
คนกลุ่มแรกที่สร้างอารยธรรมเมโสโปเตเมียขึ้น คือ สุเมเรีย ผู้คิดประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก อารยธรรมที่ชาวสุเมเรียนสร้างขึ้นเป็นพื้นฐานสำคัญของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย สถาปัตยกรรม ซักกูเร็ต ประดิษฐ์คันไถใช้ไถนา ตัวอักษร ศิลปกรรมอื่นๆตลอดจนทัศนคติต่อชีวิตและเทพเจ้าเของชาวสุเมเรียน ได้ดำรงอยู่และมีอิทธิพลอยู่ในลุ่มแม่น้ำทั้งสองตลอดช่วงสมัยโบราณ ชนชาติอะบอไรต์แห่งอาณาจักรบาบิโลเนีย ได้ประมวลกฎหมายขึ้นเป็นครั้งแรกคือ ประมวลกฎหมาย “ฮัมบูราบี” ชนชาติอัสซีเรียนสร้างภาพสลักนูนและชนชาติเปอร์เซียเป็นต้นแบบสร้างถนนมาตรฐาน
อารยธรรมกรีกโบราณ ได้แก่ อารยธรรมนครรัฐกรีก คำว่า กรีก เป็นคำที่พวกโรมันใช้เป็นครั้งแรก โดยใช้เรียกอารยธรรมเก่าตอนใต้ของแหลมอีตาลี ซึ่งเจริญขึ้นบนแผ่นดินกรีกในทวีปยุโรป และบริเวณชายฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ด้านเอเชียไมเนอร์ซึ่งในสมัยโบราณเรียกว่า ไอโอเนีย (lonia) อารยธรรมที่เจริญขึ้นในนครรัฐกรีกมีศูนย์กลางสำคัญที่นครรัฐเอเธนส์และนครรัฐสปาร์ต้า นครรัฐเอเธนส ์ เป็นแหล่ง ความเจริญในด้านต่างๆ ทั้งด้านการปกรอง เศรษฐกิจ สังคม ศิลปะ วิทยาการด้านต่างๆ รวมทั้งปรัชญา ส่วนนครรัฐสปาร์ตาเจริญในลักษณะที่เป็นรัฐทหารในรูปเผด็จการ มีความแข็งแกร่งและเกรียงไกร เป็นผู้นำของรัฐอื่นๆ ในแง่ของความมีระเบียบวินัย กล้าหาญและเด็ดเดี่ยว การศึกษาเกี่ยวกับอารยธรรมกรีกโบราณ จึงเป็นการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับนครรัฐเอเธนส์และนครรัฐสปาร์ตา
ชาวกรีกเรียกตัวเองว่า เฮลีนส์ (Hellenes) เรียกบ้านเมืองของตนว่า เฮลัส(Hellas) และเรียกอารยธรรมของตนว่า อารยธรรมเฮเลนิค (Hellenic Civilization) (1) ชาวกรีกโบราณเป็นชาวอินโตยูโรเปียนชาวกรีกตั้งบ้านเรือนของตนเองอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ตรงปลายสุดของทวีปยุโรปตรงตำแหน่งที่มาบรรจบกันของทวีปยุโรป เอเชีย และแอฟริกาเป็นต้นเหตุให้กรีกโบราณได้รับอิทธิพลความเจริญโดยตรงจากทั้งอียิปต์และเอเชีย กรีกได้อาศัยอิทธิพลดังกล่าวพัฒนาอารยธรรมของตนขึ้น โดยคงไว้ ซึ่งลักษณะที่เป็นของตนเองชาวกรีกสมัยโบราณถือว่าตนเองมีคุณลักษณะพิเศษบางอย่างที่ผิดกับชนชาติอื่นและมักจะเรียกชนชาติอื่นว่า บาเบเรียน ซึ่งหมายความว่าผู้ที่ใช้ภาษาผิดไปจากภาษาของพวกกรีก
อารยธรรมกรีกรู้จักกันในนามของอารยธรรมคลาสสิก สถาปัตยกรรมที่เด่นคือ วิหารพาเธนอน ประติมากรรมที่เด่นที่สุด คือ รูปปั้นเทพซีอุส วรรณกรรมดีเด่น คือ อีเลียดและโอดิสต์ (I liad and Oelyssay) ของโอเมอร์
อารยธรรมโรมันเป็นอารยธรรมที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากกรีก เพราะชาวโรมันได้รวมอาณาจักรกรีกและนำอารยธรรมกรีกมาเป็นแบบแผนในการสร้างสรรค์ให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นอยู่ของสังคมโรมัน สถาปัตยกรรมที่เด่น ได้แก่ วิหารพาเธนอน หลังคารูปโมในกรุงโรม โคลอสเซียม อัฒจันทร์สำหรับดูกีฬาซึ่งจุผู้ดูได้ถึง 4,500 คน วรรณกรรมที่เด่นที่สุดคือเรื่อง อีเนียด (Aeneid) ของเวอร์วิล