ความหมายและความสำคัญของเงิน
เงิน (Money) หมายถึง อะไรก็ได้ที่มนุษย์นำมาใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนแต่ต้องเป็นสิ่งที่สังคมนั้นยอมรับในการชำระหนี้ เช่น คนไทยสมัยสุโขทัย ใช้เบี้ยหรือเปลือกหอย เป็นต้น เงินอาจจะอยู่ในรูปของโลหะ กระดาษ หนังสัตว์ ใบไม้ก็ได้ เงินที่ดีจะต้องมีลักษณะดังนี้
1. เป็นของมีค่าและหายาก เงินจะต้องเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ และมีค่าในตัวของมันเอง เช่น ทองคำและโลหะเงิน
2. เป็นของที่ดูออกง่าย สามารถรู้ได้ว่าเป็นเงินปลอมหรือเงินจริง โดยไม่ต้องอาศัยวิธีการที่ซับซ้อนในการตรวจสอบ
3. เป็นของที่มีมูลค่าคงตัว ไม่เปลี่ยนแปลงมากนักแม้เวลาจะผ่านไป
4. เป็นของที่แบ่งออกเป็นส่วนย่อยได้ และมูลค่าของส่วนที่แบ่งย่อยๆ นั้น ไม่เปลี่ยนแปลงและใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนได้
5. เป็นของที่ขนย้ายสะดวก สามารถพกพาติดตัวไปได้ง่าย
6. เป็นของที่คงทนถาวร เงินสามารถจะเก็บไว้ได้นาน ไม่แตกหักง่าย
คำว่า “เงิน” ในสมัยก่อนใช้โลหะทองคำและเงิน ต่อมามีการปลอมแปลงกันมากจึงมีการประทับตรา เพื่อรับรองน้ำหนักและความบริสุทธิ์ของเงิน เงินที่ได้รับการประทับตรานี้จึงเรียกว่า “เงินตรา”
ความสำคัญของเงิน
เงินเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนที่มีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์มากเงินช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่มนุษย์ 3 ประการ คือ
1. ความสะดวกในการซื้อขาย ในสมัยโบราณมนุษย์นำสิ่งของมาแลกเปลี่ยนกันทำให้เกิดความยุ่งยากในการแลกเปลี่ยนเพราะความต้องการไม่ตรงกัน หรือไม่ยุติธรรมเพราะมูลค่าของสิ่งของไม่เท่าเทียมกันการนำเงินเป็นสื่อกลางทำให้เกิดความสะดวกในการซื้อขายมากขึ้น
2. ความสะดวกในการวัดมูลค่า เงินจะช่วยกำหนดมูลค่าของสิ่งของต่างๆ ซึ่งสามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้
3. ความสะดวกในการสะสมทรัพย์สิน สินค้าที่มนุษย์ผลิตได้บางอย่างไม่สามารถเก็บไว้ได้นานๆ แต่เมื่อแลกเปลี่ยนเป็นเงิน สามารถที่จะเก็บไว้และสะสมให้เพิ่มขึ้นได้
สรุป
เงิน หมายถึง อะไรก็ได้ที่มนุษย์นำมาใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนและเป็นสิ่งที่สังคมนั้นยอมรับ เงินนอกจะมีความสำคัญในแง่ของสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนแล้วยังช่วยอำนวยความสะดวกในการซื้อขายการวัดมูลค่าและการสะสมทรัพย์สิน
ประเภท และหน้าที่ของเงิน
ประเภทของเงิน
เงินในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1. เหรียญกษาปณ์ (Coinage) เป็นเงินโลหะที่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ในประเทศไทยผลิตโดยกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง
2. เงินกระดาษหรือธนบัตร (Paper Currency) เป็นเงินที่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ในประเทศไทยผลิตโดยธนาคารแห่งประเทศไทย
3. เงินเครดิต (Credit Money) ได้แก่ เงินฝากกระแสรายวัน หรือเงินฝากที่สั่งจ่ายโอนโดยใช้เช็ครวมทั้งบัตรเดรดิตที่ใช้แทนเงินได้
การที่สังคมยอมรับว่าทั้ง 3 ประเภทเป็นเงิน (Money) เพราะว่ามีสภาพคล่อง (Liquidity)สูงกว่าสินทรัพย์อื่นๆ กล่าวคือ สามารถเปลี่ยนเป็นสินค้าและบริการได้ทันที ส่วนสินทรัพย์อื่นๆ เช่น เงินฝากประจำเงินฝากออมทรัพย์ ตั๋วแลกเงิน พันธบัตรรัฐบาล มีสภาพคล่องน้อยกว่าจึงเรียกว่า เป็นสินทรัพย์ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับเงิน (Near Money)
หน้าที่ของเงิน
เงินมีหน้าที่สำคัญ 4 ประการ คือ
1. เป็นมาตรฐานในการเทียบเท่า (Standard of Value) มนุษย์ใช้เงินในการเทียบค่าสินค้าและบริการต่างๆ ทำให้การซื้อขายแลกเปลี่ยนสะดวกนั้น
2. เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน (Medium of Exchange) เงินทำหน้าที่สื่อกลางในการซื้อขายสินค้าต่างๆ เพราะว่าเงินมีอำนาจซื้อ (Purchasing Power) ที่จะทำให้การซื้อขายเกิดขึ้นได้ทุกเวลา
3. เป็นมาตรฐานในการชำระหนี้ภายหน้า การซื้อแลกเปลี่ยนสินค้าภายในประเทศและระหว่างประเทศย่อมเกิดหนี้สินที่จะต้องชำระ เงินเข้ามามีบทบาทในการเป็นสัญญาที่จะต้องชำระหนี้นั้น
4. เป็นเครื่องรักษามูลค่า (Store of Value) เงินที่เก็บไว้จะยังคงมูลค่าของสินค้าและบริการไว้ได้อย่างครบถ้วนมากกว่าการเก็บเป็นตัวของสินค้าซึ่งอาจจะอยู่ได้ไม่นาน
สรุป
เงินแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ เหรียญกษาปณ์ ธนบัตร และเงินเครดิตเงินมีหน้าที่สำคัญในด้านเป็นมาตรฐานในการเทียบค่า เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเป็นมาตรฐานในการชำระหนี้ภายหน้า และเป็นเครื่องรักษามูลค่า
วิวัฒนาการของเงิน
วิวัฒนาการในด้านการแลกเปลี่ยนของมนุษย์มีดังนี้
1. ระบบเศรษฐกิจที่ไม่ใช้เงินตรา เป็นการแลกเปลี่ยนโดยใช้สิ่งของกับสิ่งของซึ่งมีข้อยุ่งยากและไม่สะดวกหลายประการ ได้แก่
1.1 ความต้องการไม่ตรงกันทั้งชนิดและจำนวนของสินค้า
1.2 ขาดมาตรฐานในการเทียบค่า เพราะสิ่งของนำที่นำมาแลกเปลี่ยนมีมูลค่าไม่เท่ากัน
1.3 ยุ่งยากในการเก็บรักษา การเก็บเป็นสินค้าเปลืองเนื้อที่มาก
2. ระบบเศรษฐกิจที่ใช้เงินตรา มีวิวัฒนาการดังนี้
2.1 เงินที่เป็นสิ่งของหรือสินค้า คือ การนำสิ่งของหรือสินค้าบางอย่างมาเป็นสื่อกลาง เช่น ลูกปัด ผ้าขนสัตว์ เปลือกหอย เป็นต้น ซึ่งเงินชนิดนี้อาจจะไม่เหมาะสมในด้านความไม่คงทน มีมาตรฐานและคุณภาพไม่เหมือนกัน ทำให้ค่าไม่มั่นคง ยุ่งยากในการพกพาและแบ่งย่อยได้ยาก
2.2 เงินกษาปณ์ (Coinage) การนำโลหะมาเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนแต่เดิมใช้ไปตามสภาพเดิมของแร่นั้นๆ ยังไม่รู้จักการหลอม ต่อมาได้มีวิวัฒนาการดีขึ้นเรื่อยๆมีการหลอม การตรวจสอบน้ำหนักและความบริสุทธิ์ หรือผสมโลหะหลายชนิดเข้าด้วยกัน
2.3 เงินกระดาษ (Paper Money) นิยมใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเพราะมีน้ำหนักเบาพกพาสะดวก ประเทศแรกที่รู้จักการใช้เงินกระดาษคือ ประเทศจีน
2.4 เงินเครดิต (Credit Money) เป็นเงินที่เกิดขึ้นในสังคมเศรษฐกิจสมัยใหม่ที่มีระบบธนาคารแพร่หลายเร็ว การใช้เงินชนิดนี้ก่อให้เกิดความรวดเร็วและปลอดภัยในการแลกเปลี่ยน
สำหรับประเทศไทยมีวิวัฒนาการของเงินประเภทต่างๆ ดังนี้
1. เหรียญกษาปณ์ ประเทศไทยใช้เงินเบี้ยเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยและใช้มาถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเกิดการขาดแคลนเบี้ย จึงนำดินเผามาปั้นและตีตราประทับ เรียกกว่า “ประกับ” ต่อมาได้มีการทำเงินพดด้วงขึ้นซึ่งได้ใช้ต่อมาถึงสมัยรัชกาลที่ 4 แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ เมืองไทยเราทำการค้ากับต่างประเทศมากขึ้นทำให้เกิดความขาดแคลนเงินพดด้วง จึงได้จัดทำเงินเหรียญขึ้นแทน ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้จัดทำเหรียญสตางค์ขึ้นเพื่อสะดวกในการทำบัญชี
2. ธนบัตร รัชกาลที่ 4 ได้มีพระราชดำริให้ผลิตธนบัตรขึ้นเรียกว่า “หมาย” แต่ไม่แพร่หลายมากนักในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติธนบัตร เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2445 ดำเนินการออกธนบัตรโดยรัฐบาล ธนบัตรจึงแพร่หลายตั้งแต่นั้นมา
สรุป
การแลกเปลี่ยนของมนุษย์มีวิวัฒนาการจากระบบเศรษฐกิจที่ไม่ใช้เงินตรามาเป็นระบบเศรษฐกิจที่ใช้เงินตรา สำหรับประเทศไทยใช้เงินเบี้ยเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย มาจนถึงการใช้เหรียญสตางค์ในสมัยรัชกาลที่ 5 ส่วนธนบัตรมีการผลิตและประกาศใชพ้ ระราชบัญญัติธนบัตรเปน็ ครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 5
ปริมาณและการหมุนเวียนของเงิน
1. ปริมาณเงิน
ปริมาณเงินในความหมายอย่างแคบ หมายถึง ปริมาณของเหรียญกษาปณ์ ธนบัตรและเงินฝากกระแสรายวัน รวมกันทั้งหมดนำออกใช้หมุนเวียนอยู่ในมือประชาชนขณะใดขณะหนึ่งปริมาณเงิน ในความหมายอย่างกว้าง หมายถึง ปริมาณของเหรียญกษาปณ์ ธนบัตรและเงินฝาก กระแสรายวัน รวมทั้งเงินฝากประจำและเงินฝากออมทรัพย์ในสถาบันการเงินทุกประเภท
2. การวัดปริมาณเงิน ปริมาณเงินจะเป็นเครื่องชี้บอกภาวะเศรษฐกิจของประเทศในขณะใด ถ้าปริมาณเงินสูงขึ้น อำนาจซื้อของประชาชนก็จะสูงขึ้น ถ้าปริมาณสินค้าและบริการไม่เพียงพอประชาชนจะแย่งกันซื้อและกักตุนสินค้า ถ้าปริมาณเงินน้อยลง อำนาจซื้อของประชาชนก็จะลดลง สินค้าจะล้นตลาด ผู้ผลิตอาจจะลดการผลิตสินค้าลง หรืออาจจะเกิดการว่างงานได้
3. การหมุนเวียนของเงินกับกฎของเกรแชม การหมุนวียนของเงิน หมายถึงเงินที่เราจับจ่ายใช้สอย เปลี่ยนมือไปเรื่อยๆ เซอร์โทมัส เกรแชม ได้ตั้งกฎที่เรียกว่า กฎของเกรแชม (Greshan’s Law) กล่าวว่า ถ้าประชาชนให้ความสำคัญแก่เงินทุกชนิดเท่าเทียมกันการหมุนเวียนของเงินก็จะไม่ติดขัด ถ้าขณะใดประชาชนเห็นว่าเงินชนิดหนึ่งสูงกว่าเงินอีกชนิดหนึ่ง ประชาชนจะเก็บเงินที่มีค่าสูงไว้ไม่นำออกมาใช้จ่ายแต่จะรีบนำเงินที่มีค่าต่ำมาใช้
4. ค่าของเงิน หมายถึง ความสามารถหรืออำนาจซื้อของเงินแต่ละชนิดที่จะซื้อสินค้าหรือบริการได้การวัดค่าของเงินจะวัดด้วยระดับราคาทั่วไปซึ่งเป็นราคาถัวเฉลี่ยของสินค้าและบริการ ค่าของเงินจะเปลี่ยนแปลงในทางเพิ่มขึ้นหรือลดลง ย่อมมีผลกระทบต่อบุคคลกลุ่มต่างๆ
สรุป
ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจมีทั้งปริมาณเงินในความหมายอย่างแคบและปริมาณเงินในความหมายอย่างกว้าง ปริมาณเงินจะเป็นเครื่องชี้บอกภาวะเศรษฐกิจของประเทศ การวัดว่าเงินจะมีค่าหรือไม่วัดด้วยระดับราคาทั่วไป หรือดัชนีราคา
สถาบันการเงิน
1. ความหมายของสถาบันการเงิน
สถาบันการเงินเป็นตลาดเงิน (Financial Market) หรือแหล่งเงินทุนให้ผู้ที่ต้องการลงทุนกู้ยืม เพื่อนำไปดำเนินธุรกิจ ตลาดการเงินมีทั้งตลาดการเงินในระบบ ได้แก่แหล่งการเงินของสถาบันการเงินต่างๆ กับตลาดการเงินนอกระบบ ซึ่งเป็นแหล่งการกู้ยืมเงินระหว่างบุคคล เช่น การจำนำ จำนอง เป็นต้น
2. ประเภทของสถาบันการเงิน สถาบันการเงินที่สำคัญในประเทศไทย ได้แก่
2.1 ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นสถาบันการเงินที่จัดตั้งขึ้นเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินและเศรษฐกิจของประเทศ
2.2 ธนาคารพาณิชย์ เป็นสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ เพราะมีปริมาณเงินฝากและเงินกู้มากที่สุดเมื่อเทียบกับสถาบันอื่นๆ
2.3 ธนาคารออมสิน เป็นสถาบันการเงินของรัฐ ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการระดมเงินออมจากประชาชนสู่รัฐบาล เพื่อให้หน่วยงานของรัฐและวิสาหกิจกู้ไปใช้ในการพัฒนาประเทศ
2.4 บริษัทเงินทุนและบริษัทหลักทรัพย์
บริษัทเงินทุน หมายถึง บริษัทจำกัดที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ประกอบกิจการกู้ยืมหรือรับเงินจากประชาชน การให้กู้มีทั้งระยะสั้นและระยะยาว
บริษัทหลักทรัพย์ หมายถึง บริษัทจำกัดที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่งหรือหลายประเภทก็ได้ในด้านการเป็นนายหน้า การค้า การให้คำปรึกษาด้านการลงทุน เป็นต้น
2.5 สถาบันการเงินเฉพาะอย่าง
1. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นธนาคารของรัฐบาลจัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะให้ความช่วยเหลือทางการเงิน เพื่อส่งเสริมอาชีพหรือการดำเนินงานของเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร หรือสหกรณ์การเกษตร โดยให้เงินกู้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว
2. บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะจัดหาทุน เพื่อให้กู้ระยะยาวแก่กิจการอุตสาหกรรม เพื่อสร้างสินทรัพย์ถาวร เช่น โรงงาน เครื่องจักร เครื่องมือ เป็นต้น และรับประกันเงินกู้ลูกค้าที่กู้จากสถาบันการเงินภายในและภายนอกประเทศด้วย
3. ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เป็นธนาคารของรัฐบาล จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินการส่งเสริมให้ประชาชนมีอาคารและที่ดินเป็นที่อยู่อาศัย ทั้งการซื้อ ขาย ไถ่ถอน จำนอง รับจำนำ
4. บริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันภัย เป็นสถาบันการเงินที่ดำเนินการรับประกันภัยให้กับผู้อื่นโดยได้รับเบี้ยประกันตอบแทน ถ้าเป็นการประกันภัยอันเกิดกับทรัพย์สินเรียกว่า การประกันวินาศภัย
5. สหกรณก์ ารเกษตร เปน็ สถาบันการเงินที่ตั้งขึ้นเพื่อใหเ้ กษตรกรรว่ มมือกันช่วยเหลือในการประกอบอาชีพของเกษตรกร
6. สหกรณ์ออมทรัพย์ เป็นสถาบันที่รับฝากเงินและให้สมาชิกกู้ยืมโดยคิดดอกเบี้ยมีผู้ถือหุ้นเป็นสมาชิก
7. บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ เป็นสถาบันที่ระดมเงินทุนด้วยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินและนำมาให้ประชาชนกู้ยืมเพื่อซื้อที่ดินและสร้างที่อยู่อาศัย
8. โรงรับจำนำ เป็นสถาบันการเงินที่เล็กที่สุด มีจุดมุ่งหมายที่จะให้ประชาชนกู้ยืมโดยการรับจำนำสิ่งของ
3. การวัดความสำคัญของสถาบันการเงิน
สถาบันการเงินแต่ละประเภททำหน้าที่ระดมเงินออมจากประชาชนให้ผู้ต้องการเงินทุนกู้ยืมมากน้อยแตกต่างกันไป สถาบันการเงินมีความสำคัญ วัดได้มาก
1. ความสามารถในการระดมเงินออม การระดมเงินออมโดยวิธีรับฝากเงินของสถาบันการเงินแต่ละแห่งจะแตกต่างกันไป ในประเทศไทยธนาคารพาณิชย์สามารถระดมเงินออมได้มากที่สุด
2. ความสามารถในการให้กู้ยืมเงิน ธนาคารพาณิชย์เป็นสถาบันการเงินที่ให้กู้เงินแก่ประชาชนมากที่สุด รองลงมาคือบริษัทเงินทุน และทั้งสองสถาบันยังมีอัตราการขยายตัวของการให้กู้ในแต่ละปีสูงด้วย
3. ยอดรวมของสินทรัพย์ ธนาคารพาณิชย์ เป็นสถาบันที่มียอดรวมของสินทรัพย์มากที่สุดรองลงมาคือธนาคารออมสิน และบริษัทเงินทุน
4. ความสำคัญด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ สถาบันการเงินประเภทธนาคารและบริษัทเงินทุนเป็นสถาบันที่เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจไทย เพราะทำหน้าที่ระดมเงินออม ให้กู้แก่ผู้ลงทุนและเป็นแหล่งเงินกู้ของรัฐบาล
การคลัง
ความหมายและความสำคัญของเศรษฐกิจภาครัฐบาล
หรือคลังรัฐบาล (Public Economy)
ความหมายของเศรษฐกิจภาครัฐบาล
เศรษฐกิจภาครัฐบาล (Public Economy) หมายถึง การศึกษากิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาครัฐบาลในด้านรายได้ รายจ่าย นโยบายที่รัฐกำหนดโครงสร้างของรายได้รายจ่ายและการก่อหนี้สาธารณะตลอดจนผลกระทบจากการจัดเก็บรายได้และการใช้จ่ายเงินของรัฐ เพื่อดำเนินกิจกรรมทางด้านเศรษฐกิจที่มีผลต่อเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ด้านเศรษฐกิจของประเทศ ได้แก่ การมีงานทำการมีรายได้ การรักษาเสถียรภาพของราคาและดุลการชำระเงิน การผลักดันให้ระบบเศรษฐกิจมีความมั่นคง เป็นต้น
ริชาร์ด อาร์ มัสเกรฟ กล่าวว่า การศึกษาเศรษฐกิจภาครัฐบาลเพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจ 4 ประการ คือ
1. เพื่อจัดสรรทรัพยากรให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของสังคม
2. เพื่อการกระจายรายได้ในสังคมที่มีความแตกต่างกัน ลดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน
3. เพื่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ประชาชนมีงานทำและมีรายได้
4. เพื่อรักษาเสถียรภาพด้านเศรษฐกิจ แก้ปัญหาการว่างงาน รักษาระดับดุลการชำระเงินไม่ให้ขาดดุลและรักษาระดับราคาสินค้าไม่ให้สูงขึ้น
เศรษฐกิจภาครัฐบาล ก็คือ คลังรัฐบาล ซึ่งหมายถึง การแสวงหารายได้และการใช้จ่ายเงินของรัฐบาลตามงบประมาณแผ่นดินประจำปี
ความสำคัญของเศรษฐกิจภาครัฐบาล
นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา นักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่ออย่างแพร่หลายว่ารัฐบาลไม่ควรแทรกแซงกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แต่ควรมีหน้าที่ 3 ประการคือ หน้าที่ในการป้องกันประเทศ หน้าที่รักษาความสงบและความยุติธรรมในประเทศ และให้บริการสาธารณะบางอย่าง เช่น การศึกษา สาธารณสุข เส้นทางคมนาคม เป็นต้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะนักเศรษฐศาสตร์เหล่านั้นมีความเชื่อว่าถ้าบุคคลแต่ละคนสามารถจะตัดสินใจทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ตนเอง ย่อมจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคมด้วยแต่นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา นักเศรษฐศาสตร์บางกลุ่มเริ่มมองเห็นว่าการปล่อยให้ระบบเศรษฐกิจดำเนินไปอย่างเสรีโดยรัฐบาลไม่แทรกแซงนั้นก่อให้เกิดปัญหาบางประการ เช่น ปัญหาการว่างงาน ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ จึงเกิดความคิดว่ารัฐบาลน่าจะเข้ามามีบทบาทในกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ขจัดการเอารัดเอาเปรียบระหว่างกลุ่มเศรษฐกิจต่างๆ ส่งเสริมการผลิตสินค้าและบริการที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมควบคุมการผลิตสินค้าและบริการที่ก่อให้เกิดโทษต่อสังคม การแทรกแซงของรัฐบาลจะช่วยรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไม่ให้เกิดภาวะเงินเฟ้อหรือเงินฝืด และการว่างงาน เครื่องมือสำคัญในการดำเนินงานของรัฐบาล คือ นโยบายการคลัง (Fiscal Policy)
เศรษฐกิจภาครัฐบาลไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดเก็บรายได้ การก่อหนี้สาธารณะ การใช้จ่ายเงินจากภาครัฐสู่ภาคเอกชนล้วนมีผลกระทบต่อการผลิต การบริโภค และการจ้างงานโดยเฉพาะในประเทศด้อยพัฒนาเศรษฐกิจภาครัฐบาลมีความสำคัญมากเพราะ
1. รัฐบาลประเทศต่างๆ มีภาระหน้าที่ไม่เพียงแต่การบริหารประเทศเท่านั้น รัฐยังต้องพัฒนาเศรษฐกิจในทุกๆ ด้าน ซึ่งต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมาก
2. การหารายได้จากภาษีอากร การใช้จ่ายเงินและการกู้เงินของรัฐบาลผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในด้านการผลิต การบริโภค การแลกเปลี่ยน และการกระจายรายได้
ดังนั้น การคลังจึงมีความสำคัญในการดำเนินงานของรัฐบาลเพราะรัฐบาลจะใช้การคลังควบคุมภาวะเศรษฐกิจของประเทศด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
1. ส่งเสริมการจัดสรรทรัพยากรของสังคม (Allocation Function) ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากทุกประเทศประสบปัญหาทรัพยากรมีจำกัด จึงเกิดปัญหาว่าจะจัดสรรทรัพยากรของสังคมอย่างไรจึงจะสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ดี นโยบายการคลังจึงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดการจัดสรรทรัพยากรระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนให้เป็นไปในสัดส่วนที่ทำให้สังคมได้รับประโยชน์สูงสุด
2. ส่งเสริมการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม (Distribution Function) นโยบายการคลังของรัฐบาลจึงมีวัตถุประสงค์ที่จะให้เกิดความเป็นธรรมในการได้รับประโยชน์และรับภาระรายจ่ายของรัฐบาล
3. การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของสังคม (Stabilization Function)รัฐบาลจะต้องควบคุมและดูแลให้เศรษฐกิจของสังคมเป็นไปด้วยความราบรื่นด้วยการรักษาระดับการจ้างงานให้อยู่ในอัตราสูงระดับราคาสินค้าและบริการมีเสถียรภาพ รวมทั้งอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (Economic Growth) อยู่ในระดับที่น่าพอใจ
รัฐบาลจึงใช้นโยบายการคลังในการควบคุมดูแลตลอดจนแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจเพื่อให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศคงไว้ซึ่งเสถียรภาพ
สรุป
เศรษฐกิจภาครัฐบาล หมายถึง การศึกษากิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาครัฐบาลในด้านรายได้ รายจ่ายนโยบายที่รัฐกำหนดโครงสร้างของรายได้ รายจ่าย และการก่อหนี้สาธารณะ ตลอดจนผลกระทบจากการจัดเก็บรายได้และการใช้จ่ายเงินของรัฐ เศรษฐกิจภาครัฐบาลมีความสำคัญในการดำเนินงานของรัฐบาล เพราะการคลังช่วยควบคุมภาวะเศรษฐกิจของประเทศ
งบประมาณแผ่นดิน (Budget)
งบประมาณแผ่นดิน เป็นแผนการเกี่ยวกับการหารายได้ และการใช้จ่ายเงินของรัฐบาลตามโครงการต่างๆ ซึ่งกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ เป็นผู้จัดทำและเสนอไปยังสำนักงบประมาณเพื่ เสนอต่อไปยังคณะรัฐมนตรี จัดทำเป็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี เสนอของอนุมัติจากรัฐสภาเพราะเงินงบประมาณแผ่นดินคือเงินของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยการใช้เงินงบประมาณแผ่นดินต้องได้รับอนุมัติจากรัฐสภาก่อน
งบประมาณแผ่นดินแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ
1. งบประมาณสมดุล (Balanced Budget) คือ รายได้และรายจ่ายของรัฐบาลมีจำนวนเท่ากัน
2. งบประมาณขาดดุล (Difi cit Budget) คือ รายได้ของรัฐบาลต่ำกว่ารายจ่าย
3. งบประมาณเกินดุล (Surplus Budget) คือ รายได้ของรัฐบาลสูงกว่ารายจ่ายงบประมาณแผ่นดินจึงเป็นการเปรียบเทียบรายได้และรายจ่ายจริงของรัฐบาลในช่วงเวลา 1 ปี
ดุลแห่งงบประมาณในระบบเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจของประเทศในขณะนั้น โดยทั่วไปในขณะที่ระบบเศรษฐกิจรุ่งเรือง ดุลแห่งงบประมาณมักจะเกิดดุลและจะขาดดุลในขณะที่เศรษฐกิจซบเซา ในกรณีที่งบประมาณขาดดุลรัฐบาลอาจชดเชยการขาดดุลโดยการก่อหนี้สาธารณะ (Public Debit) หนี้ที่มีกำหนดระยะเวลาชำระคืนไม่เกิน 1 ปี ถือเป็นหนี้ระยะสั้น ส่วนหนี้ระยะยาวมีกำหนดเวลาชำระคืน 5 ปี ขึ้นไป ซึ่งอาจจะมาจากแหล่งเงินกู้ภายในประเทศหรือภายนอกประเทศก็ได้
สรุป
งบประมาณแผ่นดินเป็นแผนการเกี่ยวกับการหารายได้และการใช้จ่ายเงินของรัฐบาลตามโครงการต่างๆ ในระยะเวลา 1 ปี งบประมาณแผ่นดินมี 3 ลักษณะคือ งบประมาณสมดุล งบประมาณขาดดุลงบประมาณเกินดุล
รายได้ของรัฐบาล (Public Revenue)
รายได้ของรัฐบาล หมายถึง เงินภาษีอากร (Tax Revenue) ที่รัฐจัดเก็บจากราษฎรและรายได้อื่นที่มิใช่ภาษีอากร (Non – tax Revenue) เช่น กำไรจากรัฐวิสาหกิจค่าธรรมเนียมและรายได้เบ็ดเตล็ดอื่นๆ
รายได้ของรัฐบาล จำแนกออกได้เป็น 4 ประเภท คือ
1. รายได้จากภาษีอากร เป็นรายได้ส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 88 ของรายได้ทั้งหมด
2. รายได้จากการขายสิ่งของและบริการ หมายถึง ค่าบริการและค่าธรรมเนียม เช่นค่าเช่าทรัพย์สินของรัฐ ค่าขายอสังหาริมทรัพย์ ค่าขายผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ค่าขายหนังสือราชการ ค่าขายของกลางจากคดีอาญา รายได้ส่วนนี้คิดเป็นร้อยละ 2 ของรายได้ทั้งหมด
3. รายได้จากรัฐพาณิชย์ หมายถึง รายได้ของรัฐบาลที่มาจากผลกำไร และเงินปันผลจากองค์การต่างๆ ของรัฐ เงินส่วนแบ่งจากธนาคารแห่งประเทศไทย รายได้ส่วนนี้คิดเป็นร้อยละ 6 ของรายได้ทั้งหมด
4. รายได้อื่นๆ เป็นรายได้นอกเหนือจากรายได้ 3 ประเภทข้างต้น ได้แก่ ค่าปรับค่าธรรมเนียมใบอนุญาตต่างๆ ค่าสัมปทานแร่และปิโตรเลียม ค่าอาชญาบัตรสำหรับฆ่าสัตว์ค่าภาคกลางแร่และปิโตรเลียม ค่าภาคหลวงไม้ การผลิตเหรียญกษาปณ์ รายได้ส่วนนี้คิดเป็นร้อยละ 4 ของรายได้ทั้งหมด
สรุปได้ว่ารายได้ส่วนใหญ่ของรัฐบาลคือรายได้ จากภาษีอากรเป็นเงินที่รัฐบาลเก็บจากประชาชนผู้มีเงินได้เพื่อใช้จ่ายในกิจการของรัฐบาลโดยไม่ต้องให้การตอบแทนอย่างใดอย่างหนึ่งแก่ผู้เสียภาษีอากร ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการจัดเก็บ ดังนี้
1. เพื่อเป็นรายได้ของรัฐสำหรับใช้จ่ายในโครงการต่างๆ ที่จำเป็น
2. เพื่อการควบคุม เช่น เพื่อจำกัดการบริโภคของประชาชนในสินค้าฟุ่มเฟือย หรือสินค้าที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
3. เพื่อการจัดสรรและการกระจายรายได้ โดยการเก็บภาษีจากผู้มีรายได้มาก ในอัตราสูงเพื่อให้รัฐนำไปใช้จ่ายให้เป็นประโยชน์แกส่วนรวมและผู้มีรายได้น้อย
4. เพื่อการชำระหนี้สินของรัฐโดยการเก็บภาษีอากรจากผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาของรัฐเพื่อนำไปชำระหนี้เงินกู้ที่รัฐกู้ยืมมา
5. เพื่อเป็นเครื่องมือในนโยบายทางธุรกิจ โดยใช้ภาษีอากรเป็นเครื่องมือสนับสนุนหรือจำกัดการลงทุนการธุรกิจเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจ
6. เพื่อเป็นเครื่องมือในนโยบายการคลัง เช่น เพิ่มอัตราภาษีให้สูงขึ้นในภาวะเงินเฟ้อ และลดอัตราภาษีลงในภาวะเงินฝืด เป็นต้น
สรุป
รายได้ของรัฐบาลประกอบด้วยรายได้ที่เป็นภาษีอากรและรายได้ที่ไม่ใช่ภาษีอากร เพื่อนำมาใช้จ่ายในกิจการของรัฐบาลโดยไม่ต้องให้การตอบแทนแก่ผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะ
ประเภทของภาษีอากร
การแบ่งประเภทของภาษีอากรขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่งซึ่งมี 4 เกณฑ์ ดังนี้
1. แยกตามหลักการผลักภาระภาษี แบ่งได้เป็น 2 ชนิดคือ
1.1 ภาษีทางตรง คือ ภาษีที่เก็บแล้วผู้เสียภาษีไม่สามารถผลักภาระไปให้ผู้ใดได้อีก ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีทรัพย์สิน เป็นต้น
1.2 ภาษีทางอ้อม คือ ภาษีที่ผู้เสียภาษาไม่จำเป็นต้องรับภาษีไว้เอง สามารถผลักภาระให้ผู้อื่นได้ เช่น ภาษีสรรพสามิต ภาษีศุลกากร เป็นต้น
2. แยกตามการใช้ภาษี แบ่งได้เป็น 2 ชนิด
2.1 ภาษีทั่วไป (General Tax) หมายถึง ภาษีที่จัดเก็บเพื่อนำรายได้ไปเข้างบประมาณแผ่นดิน สำหรับใช้ในกิจการทั่วไป ไม่มีการระบุว่าจะต้องนำเงินภาษีไปใช้เพื่อการใดโดยเฉพาะ
2.2 ภาษีเพื่อการเฉพาะอย่าง (Ear – Marked Tax) หมายถึง ภาษีที่จัดเก็บเพื่อนำเงินไปใช้ในกิจการใดกิจการหนึ่งโดยเฉพาะจะนำไปใช้ผิดกิจกรรมมิได้ เช่น ภาษีการป้องกันประเทศ เป็นต้น
3. แยกตามฐานภาษี แยกเป็นชนิดต่างๆ ตามฐานภาษี ดังนี้
3.1 ภาษีที่เก็บจากเงินได้ เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือภาษีเงินได้นิติบุคคล
3.2 ภาษีที่เก็บจากฐานการใช้จ่าย เช่น ภาษีการใช้จ่าย
3.3 ภาษีที่เก็บจากทุน เช่น ภาษีมรดก ภาษีรถยนต์
3.4 ภาษีที่เก็บจากการเปลี่ยนมือ เช่น ภาษีขาย ภาษีสรรพสามิต เป็นต้น
4. แยกตามเกณฑ์การประเมิน ได้แก่
4.1 ภาษีตามมูลค่า (Ad Valorem Tax) คือ ภาษีที่ถือมูลค่าของสินค้าหรือบริการที่ซื้อขายกันเป็นฐาน โดยมากกำหนดร้อยละของมูลค่าโดยไม่คำนึงจึงจำนวนที่ซื้อขายกันว่าเป็นอย่างไร
4.2 ภาษีตามสภาพ (Specifi c Tax) คือ ภาษีที่เก็บตามสภาพของสินค้าเช่น กำหนดเก็บภาษีน้ำมันว่าเก็บลิตรละ 2 บาท ไม่ว่าราคาน้ำมันจะเป็นเท่าใด เป็นต้น
โครงสร้างอัตราภาษีอากร (Tax Rate Structure) แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
1. โครงสรา้ งอัตราภาษีแบบกา้ วหนา้ คือ ภาษีที่อัตราภาษีเพิ่มขึ้นเมื่อฐานภาษีสูงขึ้นถ้าภาณีเงินได้เป็นภาษีแบบก้าวหน้าเมื่อเงินได้เพิ่มขึ้นอัตราภาษีจะสูงขึ้นด้วย
2. โครงสรา้ งภาษีแบบคงที่ คือ ภาษีที่มีอัตราคงที่ไมว่ า่ ฐานภาษีจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง
3. โครงสร้างอัตราภาษีแบบถดถอย คือ ภาษีที่อัตราภาษีจะลดลงเมื่อฐานภาษีมีค่าสูงขึ้น
การจัดเก็บภาษีอากรในประเทศไทย
ภาษีอากรซึ่งเป็นรายได้ส่วนใหญ่ของประเทศไทย มีหน่วยงานที่จัดเก็บ ได้แก่
1. ประเภทภาษีอากรที่กรมสรรพากรที่หน้าที่จัดเก็บ ได้แก่
1.1 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
1.2 ภาษีเงินได้นิติบุคคล
1.3 ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม
1.4 ภาษีการค้า
1.5 ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax) รัฐบาลนำเข้ามาใช้แทนภาษีการค้าเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2535
1.6 ภาษีธุรกิจเฉพาะ
1.7 อากรแสตมป์
1.8 อากรมหรสพ (ค้างเก่า) ได้ยกเลิกการจัดเก็บแล้ว
1.9 อากรรังนกนางแอ่น
การธนาคาร
ความหมายของการตลาดเงินและตลาดทุน
ตลาดเงิน คือ ตลาดที่มีการระดมเงินทุนและการใหสิ้นเชื่อในระยะสั้นไมเ่ กิน 1 ปีการโอนเงิน การซื้อขายหลักทรัพย์ทางการเงินที่มีอายุการไถ่ถอนระยะสั้น เช่น ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน และตั๋วเงินคลัง เป็นต้น เป็นที่รวมกลไกทั้งหลายที่ทำให้การหมุนเวียนของเงินทุนระยะสั้นเป็นไปด้วยดี ได้แก่ การให้สินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจ และการจัดหาทุนระยะสั้นแก่ภาครัฐบาล แบ่งออกเป็น ตลาดเงินในระบบ ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์ ธนาคารกลาง เป็นต้น และ ตลาดเงินนอกระบบ เป็นการกู้ยืมระหว่างบุคคล
ตลาดทุน คือ ตลาดที่มีการระดมเงินออมระยะยาวและให้สินเชื่อระยะยาว ตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ได้แก่ เงินฝากประจำตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป หุ้นกู้ หุ้นสามัญ และพันธบัตรรัฐบาลหรือเอกชน
ในปัจจุบันการแบ่งปันตลาดเงินและตลาดทุนค่อนข้างยุ่งยากเพราะสถาบันการเงินจะทำหน้าที่ทั้งสองอย่าง จึงรวมเรียกว่า ตลาดการเงิน
สรุป
ตลาดเงินคือตลาดที่ระดมเงินทุนและการให้สินเชื่อในระยะสั้นไม่เกิน 1 ปีส่วนการระดมเงินออมมากกว่า 1 ปีขึ้นไป เรียกว่าตลาดทุน ตลาดเงินและตลาดทุนมีทั้งในระบบและนอกระบบ และมีส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
ธนาคารกลาง
1. ความหมายของธนาคารกลาง
ธนาคารกลางเป็นสถาบันการเงินซึ่งส่วนมากเป็นของรัฐ ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางควบคุมการเครดิต และระบบการเงินของประเทศ ในประเทศไทยคือ ธนาคารแห่งประเทศไทย
ธนาคารกลางมีลักษณะแตกต่างจากธนาคารพาณิชย์ คือ
1. ธนาคารกลางดำเนินงานเพื่อเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ ไม่ใช่เพื่อรายได้หรือผลกำไรอย่างธนาคารพาณิชย์
2. ธนาคารกลาง เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหาร
3. ลูกค้าส่วนใหญ่ของธนาคาร ได้แก่ หน่วยงานของรัฐบาล ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินบางประเภท ธนาคารกลางจะไม่ทำธุรกิจติดต่อพ่อค้าหรือประชาชนโดยตรง
2. หน้าที่ของธนาคารกลาง
2.1 เป็นผู้ออกธนบัตร เพื่อควบคุมปริมาณธนบัตรที่ใช้หมุนเวียนให้พอดีกับความต้องการของธุรกิจและประชาชนทั่วไป
2.2 เป็นผู้ควบคุมเงินสดของธนาคารพาณิชย์ โดยมีอำนาจกำหนดเพิ่มหรือลดจำนวนเงินสดสำรองเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ เพื่อให้ธนาคารกลางสามารถกำหนดปริมาณเงินฝากและการสร้างเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ได้
2.3 เป็นธนาคารของธนาคารพาณิชย์ ธนาคารกลางจะรับฝากเงินจากธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ให้ธนาคารพาณิชย์กู้ยืมแหล่งสุดท้าย และรับหักบัญชีระหว่างธนาคาร
2.4 เป็นนายธนาคารของรัฐบาล ธนาคารกลางจะถือบัญชีเงินฝากของรัฐบาลให้รัฐบาลกู้ยืมเละเป็นตัวแทนทางการเงินของรัฐบาล
3. ธนาคารแห่งประเทศไทย
3.1 ประวัติความเป็นมา
ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นธนาคารกลางของประเทศไทยเริ่มต้นจากรัฐบาลไทยได้ริเริ่มจัดตั้งสำนักงานธนาคารชาติไทยขึ้นเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2483 สำนักงานนี้ประกอบธุรกิจของธนาคารกลางเฉพาะบางประเภทเท่านั้นเพราะยังไม่มีฐานะเป็นธนาคาร
กลางโดยสมบูรณ์ ต่อมาเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2548 รัฐบาลได้จัดตั้งธนาคารกลางขึ้นตามพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศ พ.ศ. 2548 โดยได้รับทุนดำเนินงานจากรัฐบาล 20 ล้านบาท รวมทรัพย์สินที่โอนมาจากสำนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย 13.5 ล้านบาท
3.2 หน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย
1) ออกและพิมพ์ธนบัตร ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจตามกฎหมายที่จะออกธนบัตรรัฐบาลภายใต้เงื่อนไข 2 ประการ คือ ออกธนบัตรใหม่แทนธนบัตรเท่าที่ชำรุดเสียหาย และเมื่อได้รับทุนสำรองเงินตราเพิ่มขึ้น
2) เก็บรักษาทุนสำรองเงินตรา ในการออกธนบัตรใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทยกฎหมายกำหนดให้มีทุนสำรองเงินตรา ประกอบด้วย ทองคำ หลักทรัพย์และเงินตราต่างประเทศไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 ของจำนวนธนบัตรที่พิมพ์ออกใช้
3) เป็นธนาคารของธนาคารพาณิชย์ และคอยกำกับดูแล ธนาคารแห่งประเทศไทยให้บริการแก่ธนาคารพาณิชย์ในลักษณะเดียวกับที่ธนาคารพาณิชย์ดูแลลูกค้าคือ
3.1 รักษาบัญชีเงินฝากของธนาคารพาณิชย์
3.2 เป็นสำนักงานกลางในการหักบัญชีระหว่างธนาคาร
3.3 เป็นผู้ให้กู้แหล่งสุดท้าย
3.4 เป็นศูนย์กลางการโอนเงิน
4) เป็นธนาคารของรัฐบาล ธนาคารแห่งประเทศไทยรักษาบัญชีเงินฝากของหน่วยงานรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ ซื้อขายเงินตราต่างประเทศให้รัฐบาล และให้รัฐบาลรัฐวิสาหกิจ กู้ยืมโดนมีหลักทรัพย์
5) รักษาเสถียรภาพของเงินตรา เป็นบทบาทหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของธนาคารแห่งประเทศไทยในการรักษาเสถียรภาพของเงินตราโดยการใช้มาตรการต่างๆ ควบคุมเปริมาณเงินของประเทศให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม
สรุป
ธนาคารกลางเป็นสถาบันการเงินที่ส่วนใหญ่เป็นของรัฐทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางควบคุมการเครดิตและระบบการเงินประเทศไทยคือ ธนาคารแห่งประเทศไทย
ธนาคารพาณิชย์
1. ความหมายของธนาคารพาณิชย์
ธนาคารพาณิชย์ หมายถึง ธนาคารที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ และหมายรวมตลอดถึงสาจาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ โดยการประกอบธุรกิจประเภทรับฝากเงินที่ต้องจ่ายเมื่อทวงถามหรือเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้ และใช้ประโยชน์เงินนั้นในทางหนังสือหลายทาง เช่น
1. ให้กู้ยืม
2. ซื้อขายหรือเก็บเงินตามตั๋วแลกเงินหรือตราสารเปลี่ยนมืออื่นใด
3. ซื้อหรือขายเงินปริวรรตต่างประเทศ
2. หน้าที่ของธนาคารพาณิชย์ มีดังนี้
2.1 หน้าที่ในด้านการให้บริการทางการเงิน ได้แก่
1) การรับฝากเงิน เงินที่รับฝากจะมีประเภทเงินฝากกระแสรายวัน เงินฝากประจำ และเงินฝากออมทรัพย์
2) การโอน หมายถึง การส่งเงินภายในท้องถิ่น ระหว่างเมืองหรือระหว่างประเทศโดยการใช้ดร๊าฟ หรือผ่านระบบออนไลน์
3) การเรียกเก็บเงิน หมายถึง การเรียกเก็บเงินตามเช็ค ตั๋วแลกเงินที่ครบกำหนดเวลา
4) การให้เช่าหีบนิรภัย คือ การให้เช่าห้องที่มีความมั่นคงปลอดภัย เพื่อเก็บทรัพย์สิน
5) การเป็นทรัสตี หมายถึง การทำหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์สิน และผลประโยชน์ของบุคคลอื่นหรือรับจัดการผลประโยชน์ของผู้ที่มีทรัพย์สินมาก และไม่มีเวลาดูแลทรัพย์สินของตนเองได้
6) การซื้อขายเงินตราต่างประเทศ หมายถึง การซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
2.2 หน้าที่เกี่ยวกับการให้กู้ยืมและสร้างเงินฝาก
1) การให้กู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ ธนาคารพาณิชย์รับฝากเงินจากประชาชนแล้วนำมาให้กู้ยืม 3 วิธีด้วยกัน คือ
1.1) ให้กู้ยืมเป็นตัวเงินโดยตรง
1.2) ให้เบิกเงินเกินบัญชี
1.3) รับซื้อตั๋วแลกเงิน
2) การสร้างเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ เมื่อมีลูกค้านำเงินมาฝากเรียกว่าเงินฝากขั้นที่ 1 ธนาคารจะเอาไปให้ผู้อื่นกู้ยืม โดยเปิดบัญชีเงินฝากในนามของผู้กู้ เรียกว่า เงินฝากขั้นที่ 2 โดยมอบเช็คให้เพื่อไปเขียนสั่งจ่ายตามวงเงินที่กู้ เงินฝากของธนาคารจึงเพิ่มขึ้นโดยธนาคารไม่จำเป็นต้องมีลูกค้านำเงินสดเข้ามาใหม่เสมอ เป็นเงินฝากที่เกิดจากการแปลงหนี้ของผู้กู้ให้อยู่ในรูปบัญชีเงินฝาก
สรุป
ธนาคารพาณิชย์ คือ สถาบันการเงินที่ได้รับอนุญาตให้รับฝากเงิน ให้กู้ยืมซื้อขายหรือเรียกเก็บเงินตามตั๋วแลกเงิน ซื้อหรือขายเงินปริวรรตต่างประเทศ เป็นสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย