1. การผลิต (Production)
1. ความหมายของการผลิต
การผลิต หมายถึง การสร้างเศรษฐทรัพย์เพื่อบำบัดความต้องการของมนุษย์หรือการนำเอาปัจจัยการผลิตต่างๆ ได้แก่ ที่ดิน แรงงาน ทุน ผู้ประกอบการไปผ่านกระบวนการผลิต หรือกรรมวิธีต่างๆ จนเกิดเป็นสินค้าและการบริการเพื่อบำบัดความต้องการของมนุษย์ในลักษณะที่เน้น การสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจขึ้นมาใหม่ได้แก่
1) ประโยชน์ที่เกิดจากการเปลี่ยนรูป (Form Utility) เป็นประโยชน์ที่เกิดจากการนำสินค้ามาแปรรูปเพื่อเพิ่มประโยชน์ใช้สอยมากขึ้น เกิดความหลากหลายในการผลิตมากขึ้น ราคาของสินค้าสูงขึ้นกว่าวัตถุดิบเดิมที่นำมาผลิต เช่น การเปลี่ยนเหล็กเป็นมีด เปลี่ยนไม้เป็นโต๊ะ เก้าอี้ เปลี่ยนไม้ไผ่เป็นเครื่องจักสานต่างๆ เป็นต้น
2) ประโยชน์ที่เกิดจากการเปลี่ยนสถานที่ (Place Utility) เป็นประโยชน์ที่เกิดจากการขนย้ายสินค้าจากแห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่งเพื่อให้เกิดประโยชน์ใช้สอยมากขึ้นเช่น การขนถ่าย สินค้าจากโรงงานไปยังร้านค้าปลีก เป็นต้น
3) ประโยชน์ที่เกิดจากการเปลี่ยนเวลา (Time Utility) หมายถึงการเลื่อนเวลาในการบริโภคสินค้าออกไป เนื่องจากสินค้าบางอย่างอาจมีข้อจำกัดในเรื่องของฤดูกาล ได้แก่ ผลไม้ต่างๆ ผัก เป็นต้น ซึ่งถ้านำมาผลิตเป็นผลไม้หรือผักกระป๋อง จะสามารถนำมาถนอมไว้บริโภคนอกฤดูกาลได้ หรือสินค้าบางอย่างที่ผู้บริโภคต้องการสะสมไว้ก็เป็นการสร้างประโยชน์ที่เกิดจากการเลื่อนเวลาเช่นเดียวกัน เช่น การเก็บสุราไว้นานๆการสะสมเครื่องลายคราม พระเครื่อง หรือของเก่าต่างๆ
4) ประโยชน์ที่เกิดจากการเปลี่ยนโอนกรรมสิทธิ์ (Possession Utility)เป็นประโยชน์ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์หรือเจ้าของ ซึ่งสินค้าแต่ละชนิดจะมีการเปลี่ยนกรรมสิทธิ์หลายทอดกว่าจะถึงผู้บริโภค กล่าวคือ กรรมสิทธิ์จะเปลี่ยนจากผู้บริโภคไปยังพ่อค้าขายส่ง พ่อค้าขายปลีก หรือไปยังนายหน้าจนถึงผู้บริโภค เช่น การจัดสรรบ้านที่ดิน หรือการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ เป็นต้น
5) ประโยชน์ที่เกิดจากการให้บริการต่างๆ (Service Utility) เป็นประโยชน์ที่เกิดจากผู้ให้บริการในสาขาวิชาชีพต่างๆ เช่น ไปหาหมอ ไปดูคอนเสิร์ตหรือให้บริการในด้านการคมนาคมขนส่งต่างๆ เป็นต้น
2. สินค้าและบริการ (Goods and Services)
สินค้าและบริการ คือ สิ่งที่ได้จากการทำงานร่วมกันของปัจจัยการผลิตต่างๆสามารถสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ไม่ว่าความต้องการนั้นจะขัดต่อสุขภาพอนามัยหรือศีลธรรมอันดีงามหรือไม่ก็ตาม เช่น บุหรี่ ยารักษาโรค อาหาร เครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น
สินค้า (Goods) ที่มนุษย์บริโภคอยู่ทุกงวันนี้อาจแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ
1) เปน็ สิ่งผลิตที่มนุษยผ์ ลิตขึ้น อาจเปน็ สิ่งที่ดี (Good) เชน่ อาหาร เครื่องนุง่ หม่ยารักษาโรคหรือสิ่งที่ไม่ดี (Bad) เช่น ยาเสพติด ขยะ วัตถุระเบิด เป็นต้น
2) เป็นสิ่งที่ได้จากธรรมชาติซึ่งมนุษย์จัดหามาสนองความต้องการโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เช่น น้ำ อากาศ บรรยากาศ ทิวทัศน์ แสงแดด เป็นต้น
ดังนั้น สินค้าในทางเศรษฐศาสตร์สามารถจำแนกได้ ดังนี้
1. สินค้าไร้ราคา (Free Goods) เป็นสินค้าที่ไม่มีต้นทุนหรือมีการบริโภคแต่ไม่มีค่าใช้จ่ายเป็นสินค้าที่มีอยู่มากมายเกินความต้องการของมนุษย์หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง เป็นสินค้าที่อุปทานมากกว่าอุปสงค์ ณ ราคาศูนย์ เช่น อากาศ หรือขยะ น้ำทะเล ดังนั้นถ้าสินค้าในโลกทุกชนิดเป็นสินค้าไร้ราคาวิชาเศรษฐศาสตร์ก็คงจะไร้ความหมาย
2. สินค้าเศรษฐกิจทรัพย์ (Economic Goods) คือ สินค้าที่มีต้นทุน โดยปกติผู้บริโภคจะเป็นผู้จ่ายค่าสินค้าโดยตรง แต่ในบางกรณีผู้บริโภคกับผู้จ่ายค่าสินค้าอาจเป็นคนละคน ซึ่งได้แก่ เศรษฐทรัพย์ที่ได้จากการบริจาคหรือจากการให้ รัฐบาลจัดหามาให้เรียกว่า “สินค้าให้เปล่า” สินค้าเศรษฐทรัพย์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
2.1 สินค้าเอกชน (Private Goods) คือ สินค้าที่แยกการบริโภคออกจากกันได้ (Rival Consumption) เช่น อาหาร ซึ่งแต่ละคนแยกกันบริโภคได้ เครื่องนุ่งห่มรถยนต์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นสินค้าที่เจ้าของสามารถกีดกันผู้บริโภครายอื่นได้ (Exclousion Principle) เช่น การบริโภครถยนต์คันหนึ่ง ของนายแดงสามารถกีดกันไม่ให้นายดำบริโภครถยนต์คันนั้นได้
2.2 สินค้าสาธารณะ (Public goods) คือ เป็นสินค้าที่บริโภคร่วมกัน (Joint Consumption) เช่น ถนนที่เราใช้อยู่ก็เป็นถนนที่คนอื่นๆ ใช้สัญจรไปมา เช่นเดียวกันนอกจากนี้ยังเป็นสินค้าที่ไม่สามารถกีดกันบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดให้พ้นจากการบริโภคได้ (Non Exclusion Principle) เพราะมีผู้บริโภคจำนวนมากจนทำให้การกีดกันเป็นไปได้ยาก เช่น โรงพยาบาล น้ำประปา การศึกษาของรัฐ เป็นต้น หรืออาจเป็นเพราะการบริโภคของบุคคลกลุ่มหนึ่งจะไม่เป็นเหตุให้คนกลุ่มอื่นต้องบริโภคลดลงหรือขาดโอกาสในการบริโภค เช่น การป้องกันประเทศ รายการโทรทัศน์ เป็นต้น
3. ปัจจัยการผลิต
ในการผลิตสินค้าและบริการจะต้องอาศัยปัจจัยการผลิตต่อไปนี้
1) ที่ดิน (Land) มิได้หมายถึงเนื้อที่ดินที่ใช้ประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ เช่นทำ การเพาะปลูกสร้างโรงงานอุตสาหกรรมหรืออยู่อาศัยเท่านั้น แต่หมายรวมถึงทรัพยากรธรรมชาติที่อยู่ใต้ดิน บนดินและเหนือพื้นดินทุกชนิด เช่น ป่าไม้ แร่ธาตุ สัตว์น้ำ ความอุดมสมบูรณ์ของดิน ปริมาณ น้ำฝนและสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติต่างๆ สิ่งเหล่านี้มีอยู่โดยธรรมชาติ มนุษย์สร้างขึ้นไม่ได้ แต่สามารถปรับปรุงคุณภาพของทรัพยากรธรรมชาติได้บ้าง เช่น ปรับปรุงที่ดิน ให้อุดมสมบูรณ์ขึ้น ผลตอบแทนของที่ดินเรียกว่า ค่าเช่า (Rent)
2) แรงงาน (Labour) หรือทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource) หมายถึงความมานะพยายามของมนุษย์ทั้งทางกาย ทางใจ และทางสมอง คือ สติปัญญาความรู้ความคิดที่มนุษย์ทุ่มให้กับการผลิตสินค้าและบริการเพื่อก่อให้เกิดรายได้ในการดำรงชีวิตซึ่งมีผลตอบแทนเป็นค่าจ้างและเงินเดือน (Wages and Salary)
3) ทุน (Capital) คือ สิ่งที่มนุษย์ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ร่วมกับปัจจัยการผลิตอื่นๆในการผลิตสินค้าและบริการ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสินค้าทุน (Capital Goods) ทุนเป็นสิ่งที่ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ในการผลิตต่อไปไม่ใช่เพื่อการบริโภค เช่น ข้าวเปลือก หากถูกนำไปเป็นเมล็ดพันธุ์เพื่อเพาะปลูกข้าวเปลือกก็เป็นสินค้าทุน หากถูกใช้เพื่อการบริโภคจะไม่นับเป็นสินค้าทุน ทุนอาจแยกได้เป็น 3 ประเภท ประเภทแรกที่เป็นสินค้าสำหรับใช้ในการผลิต (Capital Goods) เช่น เครื่องจักร โรงงาน เป็นต้น ประเภทที่สองทุนที่เป็นเงิน (Monetary Capital) หมายถึง เงินที่จัดไว้เพื่อจ้างคนงานหรือเช่าที่ดิน หรือเงินซึ่งจ่ายเพื่อจัดหาเครื่องจักร เครื่องมือ และที่ดินเพื่อขยายโรงงาน ประเภทที่สามคือ ความรู้ทางเทคนิค (Technical Knowledge) หมายถึง ความรู้ต่างๆ สำหรับที่ใช้ในการผลิต
ทุนที่แท้จริงจึงไม่ได้หมายถึงเงินอย่างเดียว เงินเป็นเพียงรูปหนึ่งของทุน เรียกว่าเงินทุน (Money Capital) ซึ่งเป็นเพียงสื่อกลางให้เกิดสินทรัพย์ประเภททุน ทุนที่แท้จริงจึงรวมถึงเครื่องมือที่ใชผ้ ลิตสินคา้ และเจา้ ของทุนจะไดรั้บผลตอบแทนเปน็ ดอกเบี้ย (Interest)
4) ผู้ประกอบการ (Enterpreneur) หมายถึง การจัดตั้งองค์การเพื่อผลิตสินค้าและบริการโดยอาศัยทรัพยากร แรงงาน ทุน มาดำเนินการโดยผู้ดำเนินการเรียกว่าผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นผู้รวบรวมปัจจัยการผลิตต่างๆ เข้าสู่กระบวนการผลิตสินค้าและบริการตอบสนองความต้องการของตลาด ผู้ประกอบการจึงเป็นผู้ที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงของความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาวะตลาด ซึ่งต่างจากในกรณีของแรงงานที่ไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงแม้ว่าจะเป็นทรัพยากรมนุษย์เหมือนกันก็ตาม ผลตอบแทนของผู้ประกอบการ คือกำไร (Profit)
ปัจจัยการผลิตทั้งหมดนี้เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นมากในการประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จะขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปไม่ได้ ถ้าขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปจะมีผลทำให้การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจนั้นหยุดชะงัก หรือไม่ได้ผลตามเป้าหมายที่วางไว้
4. ลำดับขั้นการผลิต
ในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในแต่ละครัวเรือนแบ่งออกเป็น 3 ขั้นคือ
1) การผลิตขั้นตน้ หรือการผลิตขั้นปฐมภูมิ (Primary Production) หมายถึงการผลิตที่อาศัยธรรมชาติ หรือได้จากธรรมชาติ เป็นการผลิตแบบดั้งเดิมของมนุษย์ ได้แก่การเก็บของป่า ล่าสัตว์ จับปลา จนพัฒนาเป็นอาชีพเกษตรกรกรรมในปัจจุบัน เช่นการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ประมง ทำป่าไม้ที่อาศัยทั้งธรรมชาติ และเทคโนโลยีเข้ามาช่วย
2) การผลิตขั้นทุติยภูมิ (Secondary Production) หมายถึง การแปรสภาพวัตถุดิบเป็นวัตถุสำเร็จรูป หรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้แก่ อาชีพหัตถกรรม และอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ
3) การผลิตขั้นตติยภูมิ (Tertitary Production) หมายถึง การจำหน่ายจ่ายแจกสินค้าและการบริการต่างๆ ได้แก่ อาชีพพาณิชยกรรมและการบริการ เช่น การค้าขายการคมนาคมขนส่ง การสื่อสารการโฆษณา การธนาคาร ข้าราชการ เป็นต้น
5. การกำหนดปริมาณการผลิต
ในการผลิตสินค้าและบริการนั้น ผู้ผลิตควรตัดสินใจว่าจะผลิตอะไรในปริมาณเท่าใดจึงจะได้กำไรสูงสุด ดังนั้น สิ่งที่กำหนดปริมาณการผลิตในตลาดที่มีการแข่งขันสมบูรณ์ได้แก่
1) อุปสงค์ (Demand) คือ ปริมาณความต้องการของผู้บริโภคในการบริโภคสินค้าอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยเงินที่เขามีอยู่ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง ซึ่งพร้อมที่จะซื้อสินค้านั้นอุปสงค์แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1.1) อุปสงค์ส่วนบุคคล (Individual Demand) หมายถึง อุปสงค์ของบุคคลแต่ละคนหรือผู้ซื้อแต่ละราย เช่น อุปสงค์เสื้อกันหนาวของนายชัยยุทธ์ เป็นต้น
1.2) อุปสงคต์ ลาด (Market Demand) หมายถึง ผลรวมของผูซ้ ื้อทุกคนที่ซื้อสินค้าชนิดหนึ่งในตลาดแห่งหนึ่ง เช่น อุปสงค์ต่อเสื้อกันหนาวในฤดูหนาวของประชากรในจังหวัดแพร่ เป็นต้น
คำว่าอุปสงค์ในทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึง อุปสงค์ที่มีประสิทธิผล (Eff ecive Demand) กล่าวคือ อุปสงค์จะประกอบด้วยความเต็มใจที่จะซื้อ (Willingness to buy) กับอำนาจซื้อ (Purchasing Power) ณ แตล่ ะระดับราคาของสินคา้ ตา่ งๆ (สุขุม อัตวาวุฒิชัย,2539 : 20)
2) อุปทาน (Supply) คือ ปริมาณสินคา้ ที่ผูข้ ายสามารถนำมาสนองความตอ้ งการของผู้ซื้อได้เป็นสภาพการตัดสินใจของผู้ขายว่าจะขายสินค้าจำนวนเท่าใดและในราคาเท่าใด ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง อุปทาน แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
2.1) อุปทานส่วนบุคคล (Individual supply) หมายถึง ปริมาณสินค้าหรือบริการที่ผู้ผลิตหรือผู้ขายแต่ละรายนำออกมาเสนอขาย
2.2) อุปทานตลาด (Market Supply) หมายถึง ปริมาณสินค้าหรือบริการของผู้ผลิตหรือผู้ขายทุกคนรวมกันนำออกมาเสนอขาย
6. ราคาดุลยภาพและปริมาณดุลยภาพ
เมื่อผู้ซื้อและผู้ขายพบกันในตลาดเพื่อตกลงซื้อขายสินค้าและบริการ ปรากฏว่ามีราคาอยู่ราคาหนึ่งที่ปริมาณการเสนอซื้อ และปริมาณการเสนอขายเท่ากันพอดี ซึ่งเรียกว่าราคาดุลยภาพ (Equilibrium Price) และปริมาณสินค้าและบริการที่ซื้อขายกัน ณ ราคาดุลยภาพนั้นเรียกว่า ปริมาณดุลยภาพ (Eauilibrium Quantity)
ในระบบเศรษฐกิจที่อาศัยตลาดเป็นเครื่องมือในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจหรือให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจดำเนินไปโดยผ่านกลไกราคา เช่น ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมปริมาณการผลิตจะขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทาน ส่วนในระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมปริมาณการผลิตจะขึ้นอยู่กับการวางแผนของรัฐ
จากตารางที่ 2 แสดงให้เห็นว่าปริมาณเสนอซื้อส้มของตลาดจะเท่ากับปริมาณเสนอขายส้มของตลาด ณ ราคากิโลกรัมละ 6 บาท ซึ่งแสดงให้เห็นว่าราคาดุลยภาพเท่ากับ 6 บาท และปริมาณดุลยภาพเท่ากับ 9 กิโลกรัม
ดังนั้น เราสามารถสรุปกฎของอุปสงค์ (Demand) ได้ว่า “ปริมาณสินค้าที่มีผู้ต้องการซื้อในขณะใดขณะหนึ่ง จะมีความสัมพันธ์ในทางตรงกันข้ามกับราคาสินค้าชนิดนั้น” (รัตนา สายคณิต และชลลดา จามรกุล, 2537 : 34) แสดงว่า ถ้าราคาสินค้าสูงขึ้นอุปสงค์จะลดลงและถ้าราคาสินค้าลดลงอุปสงค์จะเพิ่มขึ้น ในขณะที่กฎของอุปทาน (Supply) กล่าวว่า “ปริมาณสินค้าที่ผู้ผลิตเต็มใจจะนำออกขายในขณะใดขณะหนึ่งจะมีความสัมพันธใ์ นทางเดียวกันกับราคาสินคา้ ชนิดนั้น” (รัตนา สายคณิต และชลลดา จามรกุง,2537 : 81) หมายความว่า ถ้าราคาสินค้าสูงผู้ผลิตจะเต็มใจนำสินค้าออกขายมาก แต่ถ้าสินค้าราคาต่ำผู้ผลิตจะเต็มใจนำสินค้าออกขายน้อย ทั้งนี้อยู่ภายใต้ข้อสมมติว่าปัจจัยอื่นๆที่มีอิทธิพลต่ออุปทานคงที่
สุขุม อัตวาวุฒิชัย (2541 : 37 – 40) ได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างอุปสงค์อุปทานและราคาว่า ราคาตลาดหรือราคาดุลยภาพ (Equilibrium Price)จะถูกกำหนดโดยจุดตัดของเส้นอุปสงค์และอุปทานตาดนั่นเอง ณ ระดับราคาอื่นๆ จะไม่ทำให้ตลาดอยู่ในภาวะดุลยภาพ ถ้ามีผู้เสนอขายสินค้าในราคาที่สูงกว่าราคาดุลยภาพจะก่อให้เกิดอุปทานส่วนเกิน (Excess Supply) สินค้าจะล้นตลาดหรือเมื่อใดที่มีผู้เสนอขายสินค้าต่ำกว่าราคาดุลยภาพ จะเกิดอุปสงค์ส่วนเกิน (Excess Demand) สินค้า จะขาดตลาด และกลไกตลาดจะมีการปรับตัวโดยอัตโนมัติเพื่อกลับเข้าสู่ภาวะดุลยภาพ
7. ประเภทของการผลิต
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้แบ่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยอาศัยแนวทางการจำแนกขององค์การสหประชาชาติ แบ่งการผลิตออกเป็น 11 ประเภท ดังนี้
1) การเกษตร ไดแ้ ก การเพาะปลูก การปศุสัตว การประมง การทำปา่ ไม และอื่นๆ
2) การทำเหมืองแร่และย่อยหิน
3) หัตถอุตสาหกรรม
4) การก่อสร้าง
5) การผลิตไฟฟ้าและน้ำประปา
6) การขนส่งและการสื่อสาร
7) การขายส่งและการขายปลีก
8) การธนาคาร ประกันภัย และอสังหาริมทรัพย์
9) การเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย
10) การบริหารงานสาธารณะและป้องกันประเทศ
11) การบริการ (โกเมน จิรัญกุล และเสรี ลีลาลัย, 2535 : 9)
8. การสะสมทุน (Capital Aceumulation) หมายถึง การเพิ่มพูนสินค้าประเภททุนหรือการเก็บสะสมเงินทุนให้มากขึ้น เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการขยายความสามารถในการผลิต การสะสมทุนส่วนหนึ่งได้จากการลงทุนในสิ่งก่อสร้าง การซื้อเครื่องจักรเครื่องมือและส่วนเปลี่ยนสินค้าคงเหลือ ในการสะสมทุนนั้นส่วนหนึ่งได้จากการออมในประเทศ ซึ่งเป็นการนำเงินออมที่กันไว้จากรายได้ส่วนหนึ่งไม่นำไปใช้จ่ายเพื่อการบริโภคมาลงทุนเพื่อหาผลประโยชน์ตอบแทน การสะสมทุนอีกทางหนึ่งได้จากเงินทุนจากต่างประเทศ ซึ่งอาจเป็นการระดมทุนจากต่างประเทศด้วยการกู้เงินจากต่างประเทศหรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศ การลงทุนในหลักทรัพย์ เป็นต้น
9. ประเภทของหน่วยธุรกิจ
หน่วยธุรกิจ หมายถึง องค์กรที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในด้านการผลิตสินค้าและบริการ ได้แก่
1) กิจกรรมที่มีเจ้าของคนเดียว (Single Proprietorship) เป็นกิจกรรมที่การตัดสินใจขึ้นอยู่กับคนๆ เดียว เมื่อได้ผลกำไรมาเป็นของเจ้าของเพียงคนเดียว
2) ห้างหุ้นส่วน (Partnership) เป็นธุรกิจที่ประกอบกันขึ้นจากคน 2 คนขึ้นไป มีการตกลงกันว่าหุ้นส่วนใดจะรับผิดชอบในส่วนใด ห้างหุ้นส่วนแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
2.1) ห้างหุ้นส่วนจำกัด จะมีหุ้นส่วนพวกหนึ่งจำกัดความรับผิดชอบตามจำนวนเงินที่ระบุไว้เมื่อกิจกรรมขาดทุน
2.2) ห้างหุ้นส่วนสามัญ ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนต้องรับผิดชอบต่อการขาดทุนไม่จำกัดจำนวน
กิจการที่มีเจ้าของคนเดียวและห้างหุ้นส่วนจะมีข้อเสียคือกิจการทั้งสองประเภทต้องรับผิดชอบหนี้สินอย่างไม่จำกัดจำนวนเมื่อกิจการขาดทุนการดำเนินงานไม่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกรณีที่เจ้าของกิจกรรมเน้นเสียชีวิตกิจการเจ้าของคนเดียวมักมีปัญหาในด้านการขยายเงินลงทุน
3) บริษัทจำกัด (Corparation) เป็นหน่วยธุรกิจที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล
โดยมีหลายคนร่วมกันจัดตั้งจะมีขนาดใหญ่หรือเล็กขึ้นอยู่กับจำนวนหุ้น (Stock) ผู้ถือหุ้น
เป็นเจ้าของบริษัทร่วมกันมีความรับผิดชอบจำกัดตามจำนวนหุ้นที่ถือ
4) สหกรณ์ (Cooperative) เป็นหน่วยธุรกิจที่จัดตั้งโดยคนตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป จดทะเบียนโดยถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยเหลือสมาชิกหรือผู้ถือหุ้นซึ่งต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของสหกรณ์
5) รัฐวิสาหกิจ (Public Enterprise) คือ กิจการที่รัฐเป็นเจ้าของ หรือมีหุ้นส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของหุ้นส่วนทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจด้านสาธารณูปโภคหรือกิจการที่ต้องลงทุนสูง ให้ผลตอบแทนช้าและเอกชนไม่ต้องการลงทุน การดำเนินงานตามระบบราชการจึงมักก่อให้เกิดความล่าช้าและไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
ธุรกิจทั้ง 5 ประเภท 3 ประเภทแรกเป็นธุรกิจที่มุ่งแสวงกำไรและ 2 ประเภทหลังเป็นธุรกิจที่ไม่ได้มุ่งแสวงหาผลกำไร
สรุป
การผลิต หมายถึง การสร้างเศรษฐทรัพย์เพื่อบำบัดความต้องการของมนุษย์หรือการสร้างอรรถประโยชน์ด้วยการเปลี่ยนรูป เปลี่ยนสถานที่ เลื่อนเวลาใช้สอยเปลี่ยนโอนกรรมสิทธิ์ และการให้บริการต่างๆ สิ่งผลิตของมนุษย์เรียกว่าสินค้า แบ่งออกเป็นสินค้าเศรษฐทรัพย์และสินค้าไร้ราคา ในการผลิตจะต้องอาศัยปัจจัยการผลิต 4 อย่าง ได้แก่ ที่ดิน แรงงาน ทุน และผู้ประกอบการ มีลำดับขั้นการผลิต 3 ขั้นคือ การผลิตขั้นปฐมภูมิ ทุติยภูมิและตติยภูมิ การจะผลิตอะไรมากน้อยเท่าใดเป็นไปตามหลักของอุปสงค์และอุปทานของตลาดสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้แบ่งประเภทของการผลิตในประเทศไทย
2. การบริโภค
1. ความหมายของการบริโภค
การบริโภคในเชิงเศรษฐศาสตร์มหภาคหรือการบริโภคมวลรวม (Aggregate Consumption) คือการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคสินค้าทั้งประเภทสิ้นเปลืองและคงทนถาวรรวมทั้งบริการต่างๆ ทุกชนิดรวมกันของทั้งระบบเศรษฐกิจ เช่น การศึกษา การรักษาพยาบาลเป็นต้น
2. ประเภทของสินค้าเพื่อการบริโภค
การบริโภคของมนุษย์นั้นต้องอาศัยทรัพยากรมาแปรสภาพเป็นสินค้าและบริการซึ่งอาจจำแนกได้ดังนี้
1) สินค้าเพื่อการผลิตและสินค้าเพื่อการบริโภค สินค้าบางอย่างเป็นสินค้าของผู้ผลิตในขณะที่สินค้าบางอย่างเป็นสินค้าของผู้บริโภค เช่น จักรเย็บผ้า เป็นสินค้าของผู้ผลิต และเสื้อผ้าเป็นสินค้าของผู้บริโภคเป็นต้น
2) สินค้าคงทน และสินค้าไม่คงทน
สินค้าคงทน คือ สินค้าที่เก็บไว้ใช้ได้นานเป็นปี เช่น ปากกา นาฬิกากระเป๋า บ้าน ยานพาหนะต่างๆ เป็นต้น
สินค้าที่ไม่คงทน คือ สินค้าที่ใช้แล้วหมดสิ้นไปภายใน 1 ปี เช่น อาหารน้ำดื่ม เครื่องสำอาง เป็นต้น (อเนก เธียรถาวร, 2535 : 18)
3. ปัจจัยที่กำหนดการบริโภค
ในบางครั้งเราจะพบว่าความสามารถของคนเราในการบริโภคหรือปริมาณการเสนอซื้อสินค้า และบริการในชีวิตประจำวันจะแตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง ได้แก่
1) รายได้ (Income) นับเป็นปัจจัยสำคัญอันดับแรกของมนุษย์ในการตัดสินใจบริโภค สิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยปกติผู้มีรายได้น้อยจะมีอัตราการบริโภคต่ำกว่าผู้มีรายได้มากแต่ทั้งนี้อาจจะขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ด้วย การที่รายได้ของผู้ชื้อเปลี่ยนแปลงไป จะมีผลต่อปริมาณการเสนอซื้อด้วย กล่าวคือ หากรายได้ของ ผู้ซื้อเพิ่มสูงขึ้น สิ่งอื่นๆ คงที่ ปริมาณการเสนอซื้อ ณ แต่ละระดับราคาจะมากขึ้น เป็นต้น
2) ราคาสินค้าอื่นๆ (Price of other Goods) เป็นสิ่งที่จูงใจในการตัดสินใจของผู้บริโภคให้เลือกซื้อสินค้าได้ตามความเหมาะสมแก่ฐานะของตนเอง การที่ปริมาณการเสนอซื้อสินค้าชนิดหนึ่งเปลี่ยนแปลงไป ไม่เพียงเพราะราคาสินค้านั้นเปลี่ยนแปลงเท่านั้นแต่อาจจะขึ้นอยู่กับราคาสินค้าอื่นๆ เปลี่ยนแปลงไปด้วย
2.1) ราคาสินค้าที่ทดแทนได้ (Price of Substitute) เช่น สมมติว่าขนุนสามารถบริโภคแทนทุเรียนหมอนทองได้ หากราคาต่อหน่วยของขนุนลดลงในขณะที่ราคาทุเรียนหมอนทองไม่เปลี่ยนแปลงราคาเปรียบเทียบของขนุนต่อทุเรียนจะถูกลง ผู้บริโภคจะลดการบริโภคเรียนหมอนทองลง และหันไปบริโภคขนุนมากขึ้น ดังนั้น ปริมาณการเสนอซื้อของทุเรียนหมอนทอง ณ ทุกระดับราคาจะลดลง ในทางตรงกันข้ามหากราคาขนุนเพิ่มสูงขึ้นผู้บริโภคจะหันมาบริโภคทุเรียนหมอนทองมากขึ้น ณ ทุกระดับราคา และบริโภคขนุนน้อยลง
2.2) ราคาสินค้าที่ใช้ควบคู่กัน (Price of Complement) สินค้าบางอย่างต้องใช้ควบคู่กัน เช่น โต๊ะและเก้าอี้ ปากกากับหมึก เป็นต้น ถ้าราคาหมึกต่อขวดแพงขึ้นขณะที่สินค้าอื่นๆ อยู่คงที่ปริมาณความต้องการซื้อปากกาจะลดลง ณ ทุกระดับราคา ในทางตรงกันข้ามถ้าราคาหมึกลดลงปริมาณการเสนอซื้อปากกาจะสูงขึ้น ณ ทุกระดับราคา
3) รสนิยม (Taste) คือ ความนิยมชมชอบของผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าแต่ละชนิดซึ่งแตกต่างกันตามลักษณะของผู้บริโภคแต่ละท้องถิ่นหรือตามฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงไป
4) การให้เครดิต (Credit) หรือยุทธวิธีการขาย เช่น การขายสินค้าด้วยระบบเงินผ่อนเป็นสิ่งหนึ่งที่จูงใจให้คนหันมาซื้อสินค้ามากขึ้น เช่น ยานพาหนะต่างๆ เป็นต้น
5) สภาวะอากาศ มีผลกระทบต่อปริมาณความต้องการบริโภคสินค้าบางอย่างเช่น ปริมาณ ความต้องการซื้อเสื้อกันหนาวในฤดูหนาวของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะเพิ่มสูงขึ้น มีผลกำไรราคาเสื้อกันหนาวสูงขึ้นในช่วงฤดูหนาว เป็นต้น
ในกรณีของอุปสงค์ตลาดหรือการบริโภคมวลรวมตัวกำหนดจะมีมากกว่ากำหนดข้างต้น เช่น
1) ปริมาณซื้อขึ้นอยู่กับจำนวนประชากร ตามปกติเมื่อประชากรมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นความต้องการสินค้าและบริการจะเพิ่มตาม แต่การเพิ่มประชากรยังไม่เป็นการเพียงพอประชากรเหล่านี้จะต้องมีอำนาจซื้อด้วยจึงจะสามารถซื้อสินค้าได้มากขึ้น
2) ปริมาณซื้อขึ้นอยู่กับสภาพการกระจายรายได้ในระบบเศรษฐกิจ เช่น ประเทศที่มีบ่อน้ำมันบางประเทศปรากฏว่ารายได้ส่วนใหญ่ตกอยู่ในมือของคนกลุ่มน้อย ส่วนคนกลุ่มใหญ่จะมีรายได้ต่ำมาก ในสังคมของประเทศลักษณะนี้การบริโภคจะแตกต่างจากสังคมที่มีการกระจายรายได้ค่อนข้างทัดเทียมกัน ถึงแม้ว่ารายได้เฉลี่ยของทั้งสองประเทศจะอยู่ในลักษณะใกล้เคียงกันก็ตาม
4. การบริโภคและการออม
ในการบริโภคของคนเรานั้นจะต้องอาศัยเงินที่มาจากรายได้เป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้าเรานำรายไดท้ ั้งหมดมาใชใ้ นการบริโภค เมื่อถึงเวลาจำเปน็ หรือในยามเดือดรอ้ นจะกอ่ ใหเ้ กิดปัญหายุ่งยาก เช่น เกิดภาวะทั้งหมดมาใช้ในการบริโภค เมื่อถึงเวลาจำเป็นหรือในยามเดือดร้อนจะก่อให้เกิดปัญหายุ่งยาก เช่น เกิดภาวการณ์เจ็บป่วยในครอบครัว การศึกษาของบุตรที่ต้องใช้เงินมาก สงเคราะห์ญาติที่เดือดร้อน เป็นต้น คนเราจึงจำเป็นต้องเหลือรายได้ส่วนหนึ่งไว้เพื่อรองรับความจำเป็นดังกล่าว เงินส่วนนี้คือ เงินออม ซึ่งเป็นเงินที่เหลือจากการใช้จ่ายด้วยการประหยัดหรือเก็บออมไว้ในสถาบันการเงินซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์หลายประการคือ
1) เพื่อเก็บไว้ใช้จ่ายในยามจำเป็น คือ เงินรายได้ที่เก็บไว้สำหรับรับรองความจำเป็นในครอบครัว เช่น สมาชิกในครอบครัวเจ็บป่วย เป็นค้น
2) เพื่อใช้จ่ายในอนาคต เป็นเงินรายได้ที่เก็บไว้สำหรับสิ่งที่ยังไม่เกิดในปัจจุบันแต่จะเกิดในอนาคต เช่น เมื่อยามแก่จะต้องมีเงินส่วนหนึ่งไว้สำหรับใช้จ่าย หรือเพื่อการศึกษาของบุตร เป็นต้น
3) เพื่อให้เกิดดอกผลงอกเงย คือการนำเงินไปฝากกับสถาบันการเงิน การซื้อหุ้น การซื้อพันธบัตรรัฐบาล การนำเงินไปลงทุน ซึ่งได้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยหรือกำไร
4) เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจส่วนรวม คือ เงินออมของประชาชนในสถาบันการเงิน รัฐบาลสามารถกู้เงินมาลงทุนขยายการผลิตมากขึ้น มีผลต่อการจ้างงานในประเทศมากขึ้นทำให้ประชาชนมีเศรษฐกิจดีขึ้น (อเนก เธียรถาวร, 2542 : 25)
สรุป
การบริโภค หมายถึง การใช้จ่ายเพื่อการบริโภคสินค้าและบริการต่างๆ ในระบบเศรษฐกิจการบริโภคจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง และส่วนหนึ่งที่เหลือจากการบริโภคก็คือเงินออม
3. การแบ่งสรรหรือการกระจาย (Distribution)
1. ความหมายของการแบ่งสรรหรือการกระจาย
การแบ่งสรร หมายถึง การแบ่งสรรผลผลิตจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคและแบ่งปันรายได้ไปยังผู้เกี่ยวข้องกับการผลิต การแบ่งสรรจำแนกออกเป็น 2 ประเภท คือ
1) การแบ่งสรรสินค้าและบริการ ที่ผลิตมาได้ไปยังผู้บริโภค เช่น ชาวสวนขายผลไม้ให้กับผู้บริโภค หรือ ช่างตัดผมบริการตัดผมแก่ลูกค้า เป็นต้น
2) การแบ่งสรรให้เจ้าของปัจจัยการผลิต ดังนี้
2. ความไม่เท่าเทียมกันของรายได้
การแบ่งสรรรายได้ไปยังกลุ่มคนต่างๆ ในสังคมมักก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันของรายได้ มีสาเหตุมาจาก
1) ความไม่เท่าเทียมกันในกำเนิดและทรัพย์สินเกิดจากพื้นฐานและฐานทางเศรษฐกิจของครอบครัวแตกต่างกัน เช่น คนที่เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวยย่อมมีฐานะทางเศรษฐกิจสูงกว่าคนที่เกิดในครอบครัวที่ยากจน เป็นต้น
2) ความไม่เท่าเทียมกันในการทำงาน เกิดจากการมีหน้าที่ความรับผิดชอบในการทำงานแตกต่างกัน เช่น ผู้อำนวยการโรงเรียนมีรายได้สูงกว่านักการภารโรง เป็นต้น
3) ความไม่เท่าเทียมกันในความรู้ คือ บุคคลที่มีความรู้เฉพาะด้าน ซึ่งไม่อาจทดแทนกันได้ เช่น อาชีพแพทย์ วิศวกร ช่างเจียระไนเพชรพลอย จะมีรายได้สูงเป็นต้น
4) ลักษณะของอุปสงค์อุปทาน คือ ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณความต้องการและปริมาณเสนอขายไม่สมดุลกัน เช่น อุปสงค์ของแรงงานในกลุ่มประเทศแถบ
สูงมากในขณะที่อุปทานของแรงงานมีน้อยกว่าจึงทำให้ค่าจ้างแรงงานในประเทศเหล่านี้สูง เป็นต้น
5) การกระจายการบริการของรัฐ ในด้านสาธารณูประโภค และความเจริญในด้านต่างๆ ไม่ทั่วถึง เช่น ถนนหนทาง ระบบการสื่อสารโทรคมนาคมสาธารณูปโภคต่างๆทำให้บริเวณนั้นมีความเจริญทางเศรษฐกิจ ประชาชนมีรายได้สูงเป็นต้น
ดังนั้น รัฐบาลของประเทศต่างๆ จึงหาวิธีการจัดระบบเศรษฐกิจเพื่อให้มีการกระจายรายได้ไปสู่ประชาชนอย่างเป็นธรรมและทั่วถึงกัน กล่าวคือ ประเทศที่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เอกชนมีเสรีภาพในการผลิตและการบริโภคอย่างเต็มที่ก่อให้เกิดรายได้ในทรัพย์สินมาก รัฐจะเรียกเก็บภาษีในอัตราสูง ประเทศที่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมรัฐจะควบคุมการใช้ปัจจัยการผลิตและกระจายรายได้ไปยังประชาชนอย่างเป็นธรรม ส่วนประเทศที่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบผสม เช่น ประเทศไทยจะมีมาตรการในการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรมด้วยการใช้มาตรการทางภาษี การจัดสวัสดิการแก่ผู้มีรายได้น้อย การควบคุมราคาสินค้าเป็นต้น
สรุป
การแบ่งสรรหรือการกระจาย หมายถึง การแบ่งสรรผลผลิตจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคและการแบ่งปันรายได้ไปยังเจ้าของปัจจัยการผลิตในรูปของ ค่าเช่า ค่าจ้างดอกเบี้ย กำไร ในการแบ่งสรรอาจจะเกิดความไม่เท่าเทียมกันของรายได้ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องดูแลการกระจายรายได้ไปสู่กลุ่มคนต่างๆ อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
4. การแลกเปลี่ยน (Exchange)
1. ความหมายของการแลกเปลี่ยน
การแลกเปลี่ยน หมายถึง การเปลี่ยนความเป็นเจ้าของในสินค้าและบริการโดยการโอนหรือการย้ายกรรมสิทธิ์ หรือความเป็นเจ้าของ (Ownership) ระหว่างบุคคลหรือธุรกิจ
2. วิวัฒนาการของการแลกเปลี่ยน
การแลกเปลี่ยนมีวิวัฒนาการ 3 ระยะคือ
1) การแลกเปลี่ยนสิ่งของกับสิ่งของ มักเกิดขึ้นในสังคมที่มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด เช่น ในสังคมสมัยโบราณหรือในสังคมชนบท โดยการนำเอาสินค้าและบริการมาแลกเปลี่ยนกันโดยตรงไม่ต้องมีสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน เช่น ชาวนาเอาข้าวมาแลกกับปลาชาวประมง เป็นต้นระบบการแลกเปลี่ยนสินค้าต่อสินค้าจะมีข้อเสียในเรื่องความต้องการไม่ตรงกันทำให้เกิดความไม่คล่องตัวในการแลกเปลี่ยน เช่น ชาวนาอาจจะไม่ต้องการปลา แต่ต้องการนำข้าวไปแลกผ้าจึงต้องไปหาบุคคลที่มีความต้องการตรงกันการแลกเปลี่ยนจึงจะเกิดขึ้นได้อีกประการหนึ่งคือมูลค่าสิ่งของที่นำมาแลกเปลี่ยนกันอาจจะมีมูลค่า หรือสัดส่วนไม่เท่ากันทำให้เกิดความไม่ยุติธรรมในการแลกเปลี่ยน
2) การใช้เงินเป็นสื่อกลาง เนื่องจากความไม่สะดวกและคล่องตัวในการแลกเปลี่ยนสินค้ากับสินค้าและความต้องการไม่ตรงกันทำให้มนุษย์คิดสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างสิ่งของและเงิน ได้แก่ การแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าและบริการในสังคมปัจจุบัน เงินในยุคแรกๆ ที่ มนุษย์นำมาใช้ในการแลกเปลี่ยนอาจอยู่ในรูปของเปลือกหอย โลหะ แร่ธาตุ หรือสิ่งของต่างๆ ที่สังคมนั้นยอมรับ ทำให้การแลกเปลี่ยนนั้นมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
3) การใช้ตราสารอย่างอื่นแทนเงินหรือการใช้เครดิต เนื่องจากตลาดในระบบเศรษฐกิจมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น การซื้อขายแลกเปลี่ยนจึงได้พัฒนาจากระบบการใช้เงินเป็นสื่อกลางมาเป็นระบบการใช้ตราสารอย่างอื่นแทนเงิน หรือการซื้อขายแลกเปลี่ยนโดยผ่านระบบเครดิต โดยการใช้เช็ค ใช้ตั๋วแลกเงินหรือบัตรเครดิตต่างๆ ระบบเครดิตช่วยในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างผู้ผลิต (Producers) หรือ หน่วยธุรกิจ (Business)กับผู้บริโภคหรือครัวเรือน (Households) เป็นไปอย่างรวดเร็ว
3. สถาบันที่เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยน ได้แก่
1) คนกลาง (Middleman) หมายถึง ผู้ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค เช่น พ่อค้าขายปลีก พ่อค้าเร่ต่างๆ คนกลางมีประโยชน์ทำให้ผู้บริโภคได้ใช้สินค้าและบริการตามความต้องการแต่ถ้าคนกลางเป็นผู้เอาเปรียบผู้บริโภคมากเกินไปจะทำให้ประชาชนเดือดร้อน
2) ธนาคาร (Bank) คือ สถาบันการเงินที่ให้ความสะดวกในด้านการแลกเปลี่ยนธนาคารทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ออมและผู้ลงทุน
3) ตลาด (Market) ในทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึง กระบวนการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าและบริการ มิได้หมายถึงสถานที่ทำการซื้อขายสินค้าแต่เป็นสถานที่ใดๆ ที่สามารถติดต่อซื้อขายกันได้ อาจจะมีหลายรูปแบบ เช่น ตลาดข้าว ตลาดหุ้น ตลาดโคกระบือ เป็นต้น หน้าที่สำคัญของตลาด ได้แก่
3.1) การจัดหาสินค้า (Assembling) คือ จัดหา รวบรวมสินค้าและบริการมาไว้เพื่อจำหน่ายแก่ผู้ต้องการซื้อ
3.2) การเก็บรักษาสินค้า (Storage) คือ การเก็บรักษาสินค้าที่รอการจำหน่ายแก่ผู้ต้องการซื้อหรือเก็บเพื่อการเก็งกำไรของผู้ขาย เช่น โกดัง หรือไซโลเก็บพืชผลต่างๆ เป็นต้น
3.3) การขายสินค้าและบริการ (Selling) ทำหน้าที่ขายสินค้าและบริการแก่ผู้ต้องการซื้อ เช่น ร้านค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า ตลาดสด เป็นต้น
3.4) การกำหนดมาตรฐานของสินค้า (Standardization) ทำหน้าที่กำหนดมาตรฐานของสินค้าที่นำมาเสนอขายในด้านของน้ำหนัก ปริมาณและคุณภาพ เพื่อให้ผู้ซื้อเกิดความไว้วางใจในสินค้าที่นำมาเสนอขาย
3.5) การขนส่ง (Transportation) ระบบการขนส่งทำหน้าที่ส่งสินค้าที่นำมาแลกเปลี่ยนซื้อขายกัน การขนส่งมีความสำคัญเพราะทุกขั้นตอนของการผลิตจะต้องผ่านกระบวนการขนส่งทั้งสิ้น
3.6) การยอมรับการเสี่ยงภัย (Assumtion of Risk) ตลาดจะยอมรับการเสี่ยงภัยต่างๆ อันอาจเกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนซื้อขาย เช่น ความเสี่ยงภัยเกี่ยวกับสินค้าสูญหายหรือเสื่อมภาพ เช่น สินค้าการเกษตร ยารักษาโรค อาหาร เป็นต้น
3.7) การเงิน (Financing) ตลาดทำหน้าที่รับจ่ายเงินในขั้นตอนต่างๆของการซื้อขายตลอดจนการจัดหาทุนหมุนเวียนและสินเชื่อต่างๆ เพื่อการดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนซื้อขาย
ในการแข่งขัน ตลาดแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ
1) ตลาดที่มีการแข่งขันที่ไม่สมบูรณ์ (Imperfect Competitive Market)เป็นตลาดที่พบอยู่โดยทั่วไปในประเทศต่างๆ ลักษณะสำคัญของตลาดชนิดนี้คือมักมีการจำกัดอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้ขายหรือผู้ซื้อมีอิทธิพลต่อการกำหนดราคาหรือปริมาณได้ตลาดที่มีการแข่งขันไม่สมบูรณ์แบ่งออกเป็น 3 แบบ ได้แก่
1.1) ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด (Monopolistic Comtetition) คือตลาดที่มีผู้ซื้อขายจำนวนมาก สินค้าของผู้ขายแต่ละรายจะมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยแต่ไม่เหมือนกันทุกประการ สามารถที่จะทดแทนกันได้แต่ไม่อาจทดแทนกันได้อย่างสมบูรณ์ ส่วนใหญ่จะแตกต่างกันในเรื่องของการบรรจุหีบห่อและเครื่องหมายการค้า ในตลาดชนิดนี้ผู้ขายสามารถกำหนดราคาได้บ้างแต่ต้องคำนึงถึงราคาของผู้ขายรายอื่นๆ ด้วยตัวอย่างของสินค้าในตลาด กึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด ได้แก่ ผงซักฟอก ยาสีฟัน สบู่ ยาสระผม แป้งเด็ก เป็นต้น
1.2) ตลาดผู้ขายน้อยราย (Oligopoly) หมายถึง ตลาดที่มีผู้ขายไม่มากนัก ผู้ขายแต่ละรายจะมีส่วนแบ่งในตลาด (Market Share) มาก สินค้าที่ซื้อขายในตลาดจะมีลักษณะคล้ายคลึงกันแต่ไม่เหมือนกันทุกประการ เช่น การผลิตน้ำอัดลมในประเทศไทยมีเพียงไม่กี่ราย ถ้าหากผู้ผลิตน้ำอัดลมรายใดลดราคาสินค้าลงจะทำให้ปริมาณขายของผู้ผลิตรายนั้นเพิ่มขึ้นและปริมาณขายของผู้อื่นจะลดลง แต่อย่างไรก็ตามผู้ขายในตลาดชนิดนี้มักจะไม่ลดราคาแข่งขันกัน เพราะการลดราคาเพื่อแย่งลูกค้าซึ่งกันและกันในที่สุดจะทำให้รายได้ของผู้ขายทุกรายลดลงโดยที่ไม่ได้ลูกค้าเพิ่ม ดังนั้น ผู้ขายมักจะแข่งขันกันด้วยวิธีอื่น เช่น การโฆษณา และการปรับปรุงคุณภาพของสินค้า เป็นต้น ตัวอย่างสินค้าในตลาดชนิดนี้ ได้แก่ น้ำดื่ม น้ำอัดลม น้ำมัน รถยนต์ เป็นต้น
1.3) ตลาดผูกขาด (Monopoly) หมายถึง ตลาดที่มีผู้ขายเพียงรายเดียวสินค้าที่ซื้อขายในตลาดมีคุณลักษณะพิเศษไม่เหมือนใคร ไม่สามารถหาสินค้าอื่นมาทดแทนได้อย่างใกล้เคียง เป็นการผูกขาดตามนโยบายของรัฐบาล เช่น การผลิตบุหรี่ การออกสลากกินแบ่ง เป็นต้น หรือขนาดของกิจการต้องใหญ่มาก เช่น กิจการรถไฟใต้ดิน โทรศัพท์การผลิตไฟฟ้า เป็นต้น
2) ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ (Prefect Competitive Market) มีลักษณะดังนี้
2.1) ผู้ขายและผู้ซื้อมีจำนวนมากราย การซื้อขายของแต่ละรายเป็นปริมาณสินค้าเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนซื้อขายทั้งตลาด ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงปริมาณซื้อขายของผู้ซื้อและผู้ขายรายใดรายหนึ่งจึงไม่ทำให้อุปสงค์ของตลาดเปลี่ยนแปลงและไม่ส่งผลกระทบต่อราคาตลาด
2.2) สินค้ามีคุณลักษณะและคุณภาพใกล้เคียงกันมาก (Homogeneous Product) หมายความว่า ในสายตาของผู้ซื้อเห็นว่าสินค้าดังกล่าวของผู้ขายแต่ละรายไม่แตกต่างกันจะซื้อจากผู้ขายรายใดก็ได้ตราบเท่าที่ขายในราคาตลาด
2.3) ผู้ผลิตรายใหม่สามารถเข้าสู่ตลาดได้โดยง่าย ขณะเดียวกันการเลิกกิจการก็สามารถทำได้โดยไม่มีอุปสรรคในการเข้าและออกจากตลาด (Free Entry and Exit) กิจการใดที่มีกำไรสูงจะมีผู้เข้ามาแข่งขันมากเพื่อจะได้มีส่วนแบ่งในกำไรนั้น แต่กิจการใดขาดทุนผู้ประกอบกิจการจะเลิกไปเพื่อไปประกอบกิจการอย่างอื่นที่ทำกำไรมากกว่า
2.4) ปจั จัยการผลิตสามารถเคลื่อนยา้ ยไดโ้ ดยสมบูรณ (Perfect Mobility of factors of Production) ปจั จัยการผลิตสามารถเคลื่อนยา้ ยจากกิจกรรมที่มีผลตอบแทนตํ่าไปยังกิจกรรมที่มีผลตอบแทนสูงกวา่ ทันทีโดยไมต่ อ้ งเสียตน้ ทุนการเคลื่อนยา้ ยแตอ่ ยา่ งใด
2.5) ผู้ซื้อผู้ขายมีข้อมูลข่าวสารสมบูรณ์ (Perfect information หรือ Perfect Knowledge) กล่าวคือ ผู้ซื้อผู้ขายสามารถเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับตลาด เช่น ราคาสินค้าในแต่ละพื้นที่ได้สะดวกและเสมอภาคกันในตลาดแข่งขันสมบูรณ์ดังกล่าว การจัดสรรและการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดรวมทั้งสินค้าและบริการต่างๆ จะถูกกำหนดโดยกลไกตลาด (Price Mechanism) หรือโดยปฏิสัมพันธข์ องผูซื้อและผูข้ ายจำนวนมากในตลาดซึ่งในทางเศรษฐศาสตร ก็คืออุปสงค์และอุปทานตลาดนั่นเอง การซื้อขายเป็นไปตามความพอใจของผู้ซื้อและผู้ขายอย่างแท้จริง
4. การแทรกแซงราคาในตลาดของรัฐบาล
ราคาสินค้าและบริการในตลาดบางครั้งอาจถูกแทรกแซงโดยรัฐบาลก็ได้ซึ่งสามารถทำได้ใน 3 กรณี คือ
1) การกำหนดราคาสูงสุด (Fixing of Maximum Prices) ในกรณีที่รัฐบาลเห็นว่าสินค้าที่จำหน่ายจำเป็นต่อการครองชีพในท้องตลาดเกิดการขาดแคลนและราคาสินค้าสูงขึ้นทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน รัฐบาลจะเข้าควบคุมโดยกำหนดราคาสูงสุดของสินค้านั้นๆ เช่น เนื้อสัตว์ น้ำตาลทราย เป็นต้น
2) การประกันราคาขั้นต่ำ (Guaranteed Minimum Prices) ในกรณีที่รัฐบาลเห็นว่าราคาสินค้าบางอย่างลดต่ำลงจนอาจเกิดผลเสียแก่ผู้ผลิต เช่น สินค้า การเกษตรบางประเภทรัฐบาลจะเข้าควบคุม โดยกำหนดราคาขั้นต่ำ หรือถ้าไม่มีพ่อค้ารับซื้อรัฐบาลจะเข้ารับซื้อเอง
3) การพยุงราคา (Price Support) เป็นมาตรการที่รัฐบาลช่วยให้ราคาสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งเพิ่มสูงขึ้นเพื่อประโยชน์ของผู้ผลิตหรือผู้ขาย อาจกระทำโดยการเข้าแทรกแซงตลาดของรัฐบาลด้วยการเข้าแข่งขันการซื้อกับเอกชนเพื่อขยายอุปสงค์หรือการให้เงินอุดหนุนแก่ผู้ผลิตที่ลดการผลิตลงเพื่อลดอุปทานให้มีน้อยลงก็ได้
กล่าวได้ว่า การแลกเปลี่ยนเป็นกิจกรรมที่สำคัญต่อการกระจายสินค้าและรายได้ไปยังบุคคลต่างๆ ซึ่งต้องอาศัยสถาบันที่เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนหลายสถาบัน เช่นคนกลาง ตลาด ธนาคาร และสถาบันอื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้งบทบาทของรัฐบาลที่จะเข้ามาอำนวยความสะดวกให้การแลกเปลี่ยนดำเนินไปด้วยดี
สรุป
การแลกเปลี่ยน หมายถึง การเปลี่ยนความเป็นเจ้าของในสินค้าและบริการโดยการโอนหรือย้ายกรรมสิทธิ์หรือความเป็นเจ้าของระหว่างบุคคลหรือธุรกิจ การแลกเปลี่ยนมีวิวัฒนาการมายาวนานตั้งแต่การแลกสิ่งของกับสิ่งของจนถึงปัจจุบันที่ใช้ระบบเงินและเครดิตและอาศัยสถาบันต่างๆ เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน