ประเทศไทยแม้จะมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าสูงสุดของรัฐบาลมาตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2475 แล้วก็ตาม ยังพบว่ามีเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองการปกครองของประเทศไทยต่อมา โดยมีทั้งการกบฎปฏิวัติและรัฐประหาร ซึ่งล้วนแต่เป็นการใช้กำลังอำนาจที่ไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญเข้ายึดอำนาจทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังพบว่าการใช้กำลังอำนาจมีความหมายแตกต่างกันออกไปกล่าวคือ บางครั้งเป็น “การปฏิวัติ” เพื่อไล่นักการเมืองที่คดโกงออกไปเท่านั้น หรือบางครั้งหากกลุ่มที่ต้องการยึดอำนาจทางการเมืองแต่ทำไม่สำเร็จก็จะถูกเรียกว่า “กบฏ” แต่ถ้าสามารถยึดอำนาจทางการเมืองสำเร็จ มีการเปลี่ยนแปลง แต่ยังคงใช้รัฐธรรมนูญฉบับเก่าหรือใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อให้มีการเลือกตั้งในระยะเวลาที่ไม่นานนักก็จะเรียกการกระทำครั้งนี้ว่า “รัฐประหาร” ซึ่งบางครั้งก็มีการให้ความหมายผิดจากการกระทำครั้งนี้ว่าเป็น“การปฏิวัติ” ก็คือ การใช้อำนาจ การยึดอำนาจทางการเมือง แล้วทำการเปลี่ยนแปลงผู้นำการปกครอง ซึ่งแท้จริงแล้วการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อยครั้งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยมาจาก“การแย่งชิงอำนาจ” ของกลุ่มที่มีอำนาจอย่างไรก็ตามเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองการปกครองของประเทศไทยภายหลังปีพุทธศักราช 2475 มีดังนี้
1. กบฏบวรเดช พ.ศ. 2476
ผู้นำการเปลี่ยนแปลง คือ พลเอกพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดชและพระยาศรีสิทธิสงคราม (ถิ่น ท่าราม)
สาเหตุของการเปลี่ยนแปลง คือ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยและนำประเทศกลับสู่การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช
ผลการของการเปลี่ยนแปลง คือ การปฏิวัติครั้งนี้ล้มเหลว ฝ่ายกบฏถูกฝ่ายรัฐบาลปราบปรามได้สำเร็จ
2. การรัฐประหาร พ.ศ. 2490
ผู้นำการเปลี่ยนแปลง คือ พันเอกหลวงกาจสงครามและพลโทผิน ชุณหะวัน
สาเหตุของการเปลี่ยนแปลง กรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 และปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวง
ผลของการเปลี่ยนแปลง ทำให้จอมพล ป.พิบูลสงครามกลับมามีบทบาททางการเมืองอีกครั้ง และกลุ่มซอยราชครูมีบทบาทสำคัญทางการเมืองมากขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาแน่นแฟ้นมาก
3. การรัฐประหาร พ.ศ. 2501
ผู้นำการเปลี่ยนแปลง คือ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
สาเหตุของการเปลี่ยนแปลง อ้างสาเหตุจากภัยคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์
ผลของการเปลี่ยนแปลง ทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ระบอบเผด็จการอำนาจนิยม
4. วันมหาวิปโยค 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516
ผู้นำการเปลี่ยนแปลง คือ ประชาชน นิสิต นักศึกษา
สาเหตุของการเปลี่ยนแปลง เพื่อต่อต้านเผด็จการทหารที่ครอบงำและลิดรอนสิทธิ์เสรีภาพทางการเมืองของประชาชน
ผลของการเปลี่ยนแปลง ประเทศไทยเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ประชาชนมีเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองอย่างกว้างขวาง และมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 (ที่ถือว่ามีความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดฉบับหนึ่ง)
5. เหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519
ผู้นำการเปลี่ยนแปลง คือ พลเรือเอกสงัด ชะลออยู่
สาเหตุของการเปลี่ยนแปลง อ้างว่านิสิตนักศึกษาที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในวันที่ 14 ต.ค. 2516 ได้รับการสนับสนุนจากคอมมิวนิสต์
ผลของการเปลี่ยนแปลง ระบอบประชาธิปไตยถูกล้มล้างและกลับไปสู่การปกครองแบบเผด็จการอำนาจนิยมอีกครั้ง สภาพการเมืองขาดเสถียรภาพและเกิดความแตกแยกอย่างรุนแรง
6. การรัฐประหาร พ.ศ. 2520
ผู้นำการเปลี่ยนแปลง คือ พลเรือเอกสงัด ชะลออยู่
สาเหตุการเปลี่ยนแปลง การคัดคา้ นนโยบายแบบขวาจัดของนายธานินทร ์ กรัยวิเชียร (เผด็จการโดยพลเรือน)
ผลของการเปลี่ยนแปลง มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2521 พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์และพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อมา
7. การรัฐประหาร พ.ศ. 2534 (รสช.)
ผู้นำการเปลี่ยนแปลง คือ พลเอกสุนทร คงสมพงษ์, พลเอกสุจินดา คราประยูร,พลอากาศ เอกเกษตร โรจนนิล
สาเหตุของการเปลี่ยนแปลง การฉ้อราษฎร์บังหลวงของคณะรัฐบาลที่มีพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณเป็นนายกรัฐมนตรี
ผลของการเปลี่ยนแปลง นายอานันท์ ปันยารชุน ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี
8. เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ (17 – 19 พ.ค. 2535)
ผู้นำการเปลี่ยนแปลง คือ ประชาชนทั่วไป นักเรียน นักศึกษา
สาเหตุของการเปลี่ยนแปลง นักศึกษา ประชาชน และนักการเมืองบางกลุ่มร่วมกันต่อต้านการเข้าดำรงตำแหน่งผู้นำของพลเอกสุจินดา คราประยูร
ผลของการเปลี่ยนแปลง เกิดเหตุการณ์นองเลือดอีกครั้ง และนายอานันท์ ปันยารชุนกลับเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกฯ อีกวาระหนึ่ง
กบฏ 12 ครั้ง – ปฏิวัติ 1 ครั้ง – รัฐประหาร 8 ครั้ง
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไม่วาจะเป็นการเปลี่ยนรัฐบาลหรือคณะผู้ปกครองหรือการเปลี่ยนกติกาการปกครองหรือรัฐธรรมนูญย่อมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในทุกประเทศปกติรัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศย่อมกำหนดวิธีการเปลี่ยนแปลงไว ้ เช่นให้มีการเลือกตั้งทั่วไปทุก 4 ปี หรือ 5 ปี หรือเลือกประธานาธิบดีทุก 4 ปี หรือ 6 ปี เพื่อให้โอกาสประชาชนตัดสินใจว่าจะให้บุคคลใดหรือกลุ่มพรรคการเมืองใดได้เป็นผู้ปกครอง และกำหนดวิธีการเปลี่ยนแปลงหลักการหรือสาระของรัฐธรรมนูญหรือแม้กระทั่งสร้างรัฐธรรมนูญใหม่แทนฉบับเดิม
การเปลี่ยนแปลงตามกระบวนการดังกล่าวข้างต้นถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงโดยสันติวิธีและเป็นวิถีทางที่ถูกต้องตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงอีกวิธีหนึ่งที่ถือว่าเป็นวิธีการรุนแรงและไม่ถูกต้องตามกฎหมาย นั่นก็คือการใช้กำลังเข้าข่มขู่ เช่นใช้กองกำลังติดอาวุธเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลเดิมไล่คณะรัฐมนตรีออกไปและตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่ โดยกลุ่มของคนที่ยึดอำนาจเข้ามาแทนที่หรือยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับเดิมแล้วร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ วางกฎและกติกาตามที่กลุ่ม ผู้มีอำนาจปรารถนา โดยปกติคณะหรือกลุ่มบุคคลที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงด้วยวิธีนี้ จะต้องมีกองกำลังติดอาวุธเข้าปฏิบัติการ มิฉะนั้นแล้วก็ยากที่จะสำเร็จและถึงมีกำลังก็ไม่อาจไม่สำเร็จเสมอไปเพราะมีองค์ประกอบการสนับสนุนหรือต่อต้านจากประชาชนเข้ามาเป็นปัจจัยประกอบด้วย
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับประเทศที่ไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองก็คือว่า การเปลี่ยนรัฐบาลหรือผู้ปกครองประเทศมักไม่เป็นไปตามกติกา หรือระเบียบแบบแผนโดยสันติวิธี ตรงกันข้ามมักเกิดการแย่งชิงอำนาจด้วยการใช้กำลังอยู่เนืองๆ ไม่ว่าจะเป็นไปในรูปของการจลาจลกบฏ ปฏิวัติหรือรัฐประหารความหมายของคำเหล่านี้เหมือนกันในแง่ที่ว่าเป็นการใช้กำลังอาวุธยึดอำนาจทางการเมือง แต่มีความหมายต่างกันในด้านผลของการใช้กำลังความรุนแรงนั้น หากทำการไม่สำเร็จจะถูก เรียกว่า กบฏจลาจล (rebellion) ถ้าการยึดอำนาจนั้นสัมฤทธิผล และเปลี่ยนเพียงรัฐบาลเรียกว่า รัฐประหาร (coupd etat) แต่ถ้ารัฐบาลใหม่ได้ทำการเปลี่ยนแปลงมูลฐานะระบอบการปกครอง ก็นับว่าเป็นการปฏิวัติ
ในการเมืองไทยคำว่า ปฏิวัติ กับรัฐประหารมักใช้ปะปนกัน แล้วแต่ผู้ยึดอำนาจได้นั้นจะเรียกตัวเองว่าอะไร เท่าที่ผ่านมามักนิยมใช้คำว่า ปฏิวัติเพราะเป็นคำที่ดูขึงขังน่าเกรงขามเพื่อความสะดวกในการธำรงไว้ซึ่งอำนาจที่ได้มานั้น ทั้งที่โดยเนื้อแท้แล้ว นับแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นการปฏิวัติที่แท้จริงครั้งเดียวที่เกิดขึ้นในประเทศไทย การยึดอำนาจโดยวิธีการใช้กำลังครั้งต่อๆ มาในทางรัฐศาสตร์ถือว่าเป็นเพียงการรัฐประหารเท่านั้น เพราะผู้ยึดอำนาจได้นั้นไม่ได้ทำการเปลี่ยนแปลงหลักการมูลฐานของระบอบการปกครองเลย
ดังนั้น เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมทางการเมืองและมิให้สับสนกับการใช้ชื่อเรียกตัวเองของคณะที่ทำการยึดอำนาจทั้งหลาย อาจสรุปความหมายแคบ ๆ โดยเฉพาะเจาะจงสำหรับคำว่า ปฏิวัติ และรัฐประหารในบรรยากาศการเมืองไทย เป็นดังนี้ คือ
“ปฏิวัติ” หมายถึง การยึดอำนาจโดยวิธีการที่ไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ยกเลิกรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ อาจมีหรือไม่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และรัฐบาลใหม่ได้ทำการเปลี่ยนแปลงฐานะระบอบการปกครอง เช่น เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตยหรือคอมมิวนิสต์ ฯลฯ
ส่วน “รัฐประหาร” หมายถึง การยึดอำนาจโดยวิธีการที่ไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญแต่ยังคงใช้รัฐธรรมนูญฉบับเก่าต่อไป หรือประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในระยะเวลาไม่นานนัก
ในประเทศไทย ถือได้ว่า มีการปฏิวัติเกิดขึ้นครั้งแรกและครั้งเดียว คือ การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2547 โดยคณะราษฎร จากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย และมีการกบฏเกิดขึ้น 12 ครั้ง และรัฐประหาร 8 ครั้ง ดังนี้
กบฏ 12 ครั้ง
1. กบฏ ร.ศ. 130
2. กบฏบวรเดช (11 ตุลาคม 2476)
3. กบฏนายสิบ (3 สิงหาคม 2478)
4. กบฏพระยาทรงสุรเดช หรือกบฏ 18 ศพ (29 มกราคม 2482)
5. กบฏเสนาธิการ (1 ตุลาคม 2491)
6. กบฏแบ่งแยกดินแดน (พ.ย. 2491)
7. กบฏวังหลวง (26 กุมภาพันธ์ 2492)
8. กบฏแมนฮัตตัน (29 มิถุนายน 2494)
9. กบฏสันติภาพ (8 พฤศจิกายน 2497)
10. กบฏ 26 มีนาคม 2520
11. กบฏยังเตอร์ก (1- 3 เมษายน 2524)
12. กบฏทหารนอกราชการ (9 กันยายน 2528)
รัฐประหาร 8 ครั้ง
1. พ.อ.พระยาพหลฯ ทำการรัฐประหาร (20 มิ.ย. 2476)
2. พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ และคณะนายทหารบก ทำการรัฐประหาร (8 พ.ย.2490)
3. จอมพล ป.พิบูลสงคราม ทำการรัฐประหาร (29 พ.ย. 2494)
4. จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำการรัฐประหาร (16 กันยายน 2500)
5. จอมพลถนอม กิตติขจร ทำการรัฐประหาร (20 ตุลาคม 2501)
6. จอมพลถนอม กิตติขจร ทำการรัฐประหาร (17 พฤศจิกายน 2514)
7. พล.ร.อ. สงัด ชะลออยู่ ทำการรัฐประหาร (20 ตุลาคม 2520)
8. พล.อ. สุนทร คงสมพงษ์ ทำการรัฐประหาร (23 กุมภาพันธ์ 2534)
9. คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริยเป็นประมุขทำการรัฐประหาร (19 กันยายน 2549)