ความเป็นมาและองค์ประกอบ
การค้าระหว่างประเทศเกิดขึ้นเนื่องจากการที่โลกได้ถูกแบ่งออกเป็นประเทศ แต่ละประเทศต่างผลิตสินค้าหรือบริการแตกต่างกัน เมื่อแต่ละประเทศต่างเกิดความต้องการที่จะแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการที่ตนผลิต ได้เป็นจำนวนมากสินค้าและบริการที่ตนผลิตได้น้อยหรือผลิตไม่ได้เลยกับประเทศอื่น ประกอบกับการคมนาคมไปมาหาสู่กันสะดวก การค้าระหว่างประเทศจึงเกิดขึ้น
การที่แต่ละประเทศผลิตสินค้าหรือบริการได้แตกต่างกันเป็นเพราะสาเหตุต่อไปนี้
1. แต่ละประเทศต่างมีลักษณะที่ตั้งต่างกัน ลักษณะที่ตั้งของบางประเทศเอื้ออำนวยให้เกิดการผลิตสินค้าหรือบริการ เช่น ประเทศที่มีชายฝั่งทะเลก็จะมีอุตสาหกรรมต่อเรือเพื่อขนส่งเสริมหรือการให้การบริการขนถ่ายสินค้าโดนใช้ท่าเรือน้ำลึกบางประเทศมีภูมิประเทศงดงาม
2. จะมีอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเกิดขึ้น แต่ละประเทศมีแร่ธาตุซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติมากน้อยต่างกัน เช่น สวีเดนมีเหล็ก เยอรมันมีถ่านหิน เวเนซูเอลาและตะวันออกกลางมีน้ำมัน แอฟริกาใต้มีทองคำและยูเรเนียม ประเทศเหล่านี้ก็จะนำแร่ธาตุขึ้นมาใช้และส่งเป็นสินค้าออก
3. แต่ละประเทศมีลักษณะดินฟ้าอากาศที่แตกต่างกัน เช่น สหรัฐอเมริกาและแคนาดาประเทศที่อยู่ในเขตอบอุ่นสามารถปลูกข้าวสาลีได้ ไทยอยู่ในเขตมรสุมสามารถปลูกข้าวได้ บราซิลเป็นประเทศในเขตศูนย์สูตรสามารถปลูกกาแฟได้ จากการที่พืชผลสามารถขึ้นได้ดี ตามสภาพดินฟ้าอากาศแต่ละชนิดดังกล่าวทำให้แต่ละประเทศสามารถผลิตพืชผลชนิดนั้นได้เป็นจำนวนมากเมื่อมีเหลือก็สามารถส่งเป็นสินค้าออก
นอกจากนี้ยังมีทฤษฎียืนยันวา่ “ถา้ ทุกประเทศแบง่ งานผลิตสินคา้ และบริการตามที่ตนถนัดหรือเมื่อเปรียบเทียบแลว้ ไดเ้ ปรียบจะทำใหมี้ผลผลิตเกิดขึ้นมากกวา่ ตา่ งคนตา่ งผลิต”
ดุลการค้าและดุลการชำระเงิน
ในการทำการค้าระหว่างประเทศนั้น ประเทศหนึ่งๆ ย่อมต้องบันทึกรายการที่เกิดขึ้น เพราะจะทำให้ได้ทราบผลการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ รายการค้ากับต่างประเทศนี้อาจบันทึกอยู่ใน 2 รูปแบบ ด้วยกัน คือดุลการค้าและดุลการชำระเงิน
ดุลการค้า (Balance of Trade) ได้แก่ การเปรียบเทียบมูลค่าของสินค้าที่ประเทศหนึ่งส่งออกขาย (Export) ให้ประเทศอื่นๆ กับมูลค่าของสินค้าที่ประเทศนั้นสั่งซื้อเข้ามาจำหน่ายว่ามากน้อยต่างกันเท่าไรในระยะ 1 ปี เพื่อเปรียบเทียบว่าตนได้เปรียบหรือเสียเปรียบตัวอย่างเช่น ประเทศไทยส่งสินค้าออกหลายประเภทไปขายส่งประเทศญี่ปุ่นสิงคโปร์ และอีกหลายประเทศ มีมูลค่ารวมกัน 589,813 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2533 และในปีเดียวกันก็ได้สั่งสินค้าเข้าจากประเทศต่างๆ มีมูลค่า 844,448 ล้านบาท เมื่อนำมาเปรียบเทียบกันจะทำให้ทราบได้ว่าได้เปรียบหรือเสียเปรียบดุลการค้า ในการเปรียบเทียบนี้อาจแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. ดุลการค้าได้เปรียบ หรือเกินดุล ได้แก่การที่ประเทศหนึ่งส่งสินค้าไปขายยังต่างประเทศมีมูลค่ามากกว่าสั่งสินค้าเข้ามาอุปโภคบริโภค
2. ดุลการค้าเสียเปรียบ หรือขาดดุล ได้แก่ การที่ประเทศหนึ่งส่งสินค้าไปขายยังต่างประเทศ มีมูลค่าน้อยกว่าที่สั่งสินค้าเข้ามาอุปโภคบริโภค
3. ดุลการค้าสมดุล ไม่ได้เปรียบเสียเทียบกัน หรือเท่ากันมีผลลบเป็นศูนย์กล่าวคือมูลค่าสินค้าเข้าเท่ากับมูลค่าสินค้าส่งออก
โดยทั่วไปการใช้ดุลการเพียงอย่างเดียวอาจไม่ทำให้ทราบฐานะที่แท้จริงของประเทศได้กล่าวคือดุลการค้าที่เสียเปรียบนั้น อาจไม่เป็นผลเสียใดๆ ต่อประเทศก็ได้ เนื่องจากบันทึกเที่ยวกับดุลการค้านั้นจะไม่รวมถึงการนำเข้าสินค้าบางชนิด ที่ไม่ต้องชำระเป็นเงินตราต่างประเทศก็ได้เนื่องมาจากสินค้าชนิดนั้นจะมาจากการบริจาคช่วยเหลือ ถ้านำเอารายการนี้มาหักออกอาจทำให้ดุลการค้าลดลงหรือการคิดราคาสินค้าเข้าและสินค้าออกต่างกัน กล่าวคือขณะที่สินค้าเข้ารวมมูลค่าขนส่งและการประกันภัยแต่สินค้าออกไม่ได้รวมไว้ หรือการสั่งสินค้าประเภททุน เช่น เครื่องจักรกลเข้ามาทำการผลิตสินค้า ดูเหมือนว่าจะทำให้เสียเปรียบดุลการค้าก็จริง แต่ในระยะยาวแล้วเมื่อมีการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก โดยสินค้านั้นอาจทำให้ได้เปรียบดุลการค้าในระยะยาว
ประเทศที่ดุลการค้าได้เปรียบถือว่าภาวะเศรษฐกิจของประเทศนั้นเจริญ แต่อาจจะไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจเสมอไป เช่น เมื่อได้รับเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกลางสามารถเพิ่มปริมาณเงินในท้องตลาดได้มาก พ่อค้าสามารถ แลกเงินตรา ต่างประเทศมาเป็นเงินในประเทศไดม้ าก เมื่อปริมาณเงินในทอ้ งตลาดมากอาจเกิดภาวะเงินเฟอ้ หรือการที่ประเทศใดประเทศหนึ่งได้เปรียบดุลการค้ากับประเทศอื่นติดต่อกันหลายปีจะทำให้ประเทศคู่ค้าไม่สามารถมีเงินมาซื้อสินค้าหรือชำระเงินได้ ย่อมเป็นผลเสียต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศดังนั้นนักคิดทางเศรษฐศาสตร์จึงเห็นว่าไม่ควรเปรียบเทียบเฉพาะราย การสินค้า เท่านั้นจึงจะทำให้ทราบสภาวะเศรษฐกิจที่แท้จริงของประเทศ แต่ควรมีรายการอื่นๆ เข้ามาแสดงเปรียบเทียบด้วยและรายการอื่นๆ ที่แสดงเปรียบเทียบนั้นแต่ละประเทศจะแสดงไว้ในรูปของดุลชำระเงินระหว่างประเทศ
ดุลการชำระเงินระหว่างประเทศ คือสถิติในรูปบัญชีแสดงรายรับ (หรือ credit = +)ที่ประเทศหนึ่งได้รับจากต่างประเทศ และรายจ่าย (หรือ debit = - ) ที่ประเทศนั้นจ่ายแก่ต่างประเทศในรอบ 1 ปี นำมาเปรียบเทียบกัน เพื่อทราบตนได้เปรียบหรือเสียเปรียบ โดยปกติดุลการชำระเงินจะประกอบไปด้วย
1. บัญชีดุลการค้า
2. บัญชีดุลบริการ
4. บัญชีทุนหรือบัญชีเงินทุน
5. บัญชีการเคลื่อนย้ายเงินทุนของระบบการเงิน
6. จำนวนไม่ประจักษ์หรือค่าคลาดเคลื่อนสุทธิ
จากบัญชีดุลชำระเงินทั้ง 6 ชนิดนี้ บัญชีดุลการค้า บัญชีดุลบริการ และบัญชีดุลบริจาค เรียกรวมกันว่า บัญชีเดินสะพัด (Current Account) เป็นบัญชีแสดงถึงการแลกเปลี่ยนเงินระหว่างประเทศเฉพาะส่วนที่เป็นผลิตภัณฑ์ (สินค้าและบริการ) เท่านั้น แต่ไม่มีรายการแสดงการเคลื่อนย้ายทรัพย์สินหรือทุน ซึ่งดุลการชำระเงินจะพิจารณาจาก
ดุลการชำระเงิน = ดุลบัญชีเดินสะพัด + ดุลบัญชีทุน + จำนวนไม่ประจักษ์
ซึ่งจะแสดงผลอยู่ใน 3 ลักษณะ คือ ถ้ายอดรายรับมากว่ารายจ่าย เรียกว่า ดุลการชำระเงินเกินดุล ถ้ายอดรายรับน้อยกว่ายอดรายจ่ายเรียกว่าดุลการชำระเงินขาดดุลและถ้ายอดรายรับหรือรายจ่ายเท่ากันหรือเป็นศูนย์เรียนกว่าดุลการชำระเงินสมดุล
อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
เงินตราต่างประเทศ หมายถึง เงินตราของประเทศอื่นซึ่งอยู่ในความครอบครองของรัฐบาลหรือเอกชนของประเทศใดประเทศหนึ่ง ตัวอย่างเช่น เงินตราต่างประเทศในทัศนะของเอกชนและรัฐบาลไทยก็คือเงิน ดอลลาร์ มาร์ค เยน ปอนด์ เป็นต้น ส่วนเงินบาทเป็นเงินที่ออกโดยรัฐบาลไทย ถือเป็นเงินตราต่างประเทศทัศนะของรัฐบาลและเอกชนของประเทศอื่นนอกจากประเทศไทย เงินตราของประเทศต่างๆ แต่ละหน่วยจะมีอำนาจซื้อแตกต่างกันไปตามค่าของเงินในแต่ละประเทศ ซึ่งค่าของเงินแต่ละประเทศจะถูกกำหนดไว้ในรูปของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ
อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการค้าระหว่างประเทศ เพราะอัตราแลกเปลี่ยน หมายถึง ราคาของเงินตราสกุลหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับเงินตราของสกุลอื่นๆ อัตราแลกเปลี่ยนเป็นราคาที่สำคัญเมื่อเทียบกับราคาสินค้าโดยทั่วไป ทั้งนี้ เพราะอัตราแลกเปลี่ยนจะเป็นตัวเชื่อมโยงของราคาสินค้าของประเทศต่างๆหากเราไม่ทราบอัตราแลกเปลี่ยนจะทำให้เราไม่สามารพเปรียบเทียบราคาสินค้าระหว่างประเทศได้ และเมื่ออัตราแลกเปลี่ยน ราคาสินค้าทุกชนิดในต่างประเทศ ซึ่งคิดเป็นเงินตราของประเทศใดประเทศหนึ่งจะเปลี่ยนไปด้วย ตัวอย่างเช่น อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างปอนด์กับบาทเป็น 1 ปอนด์ต่อ 45 บาท เสื้อขนสัตว์ตัวหนึ่งมีราคา 20 ปอนด์ในประเทศอังกฤษจะมี ราคา 900 บาทในประเทศไทย แต่ถ้าประเทศอังกฤษลดค่าเงินปอนด์เป็น 1 ปอนด์เท่ากับ 35 บาท เสื้อขนสัตว์ตัวเดิมจะมีราคาในประเทศไทยเพียง 700 บาท เท่านั้น โดยตั้งข้อสมมติในชั้นนี้ว่าราคาเสื้อขนสัตว์?ในอังกฤษไม่เปลี่ยนแต่ในทางปฏิบัติจริง เมื่ออังกฤษลดค่าเงินปอนด์ ราคาสินค้าในอังกฤษจะเปลี่ยนจากระดับเดิมและราคาเปรียบเทียบระหว่างเงินบาทกับเงินปอนด์จะเปลี่ยนไป ดังนั้นราคาสินค้าที่สั่งจากประเทศไทยไปประเทศอังกฤษจะเปลี่ยนไปเช่นกัน กล่าวคือ ที่อัตราแลกเปลี่ยนเดิมทีเงิน 1 ปอนด์มีค่าเท่ากับ 45 บาท นั้น ถ้าประเทศอังกฤษต้องการซื้อรองเท้าซึ่งมีราคา 450 บาทจากประเทศไทย อังกฤษจะต้องจ่ายเงิน 10 ปอนด์ แต่เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนเงินตราเปลี่ยนไปเป็น 1 ปอนด์มีค่าเท่ากับ 35 บาท จะทำให้อังกฤษต้องจ่ายค่ารองเท่าคู่เดียวกันถึง 12.8 ปอนด์ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าอัตราแลกเปลี่ยนเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อสินค้าเข้าและสินค้าออกของประเทศ ตลอดจนการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย ฉะนั้นประเทศต่างๆ จึงพยายามหาวิธีร่วมกันในการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนที่เหมาะสม
ผลจากการร่วมกลุ่มทางเศรษฐกิจ
การรวมกลุ่มเศรษฐกิจ (Regional Economic integration) หมายถึง การที่ประเทศมากว่า 1 ประเทศขึ้นไปมารวมกันอย่างเป็นทางการ (Offi cial integration) เพื่อเชื่อมเศรษฐกิจของภูมิภาคเดียวกัน
การที่ประเทศในภูมิภาคเดียวกันมารวมตัวกันนั้น เพราะประสบปัญหาทางการค้านานาประการ โดยเฉพาะปัญหาการขาดดุลการค้า ซึ่งมีสาเหตุมาจากการไร้ประสิทธิภาพในการผลิตและความไม่มั่นคงในสินค้าที่เป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต จึงเกิดมีการรวมกลุ่มกันเพื่อการผลิตและขยายตลาดและมีการทำสัญญาต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะเรื่อง
การรวมกลุ่มเศรษฐกิจมีหลายประเภท แต่มีลักษณะเหมือนกันอยู่ประการหนึ่งคือ “การใช้กำแพงภาษีกีดกันสินค้าจากประเทศนอกกลุ่มสมาชิก และให้มีสิทธิพิเศษในการนำเข้าสินค้าจากประเทศสมาชิกในกลุ่ม” การรวมกลุ่มจึงมีลักษณะของการค้าแบบเสรี และการค้าคุ้มกันอยู่ในตัวซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นประเภทได้ดังนี้
1. เขตปลอดภาษี (Free Trade) เป็นการวมกลุ่มประเทศที่ง่ายที่สุดคือประเทศสมาชิกจะยกเว้นการเก็บภาษีขาเข้าระหว่างกันเอง โดยที่แต่จะประเทศสมาชิกมีอิสระเต็มที่ในการตั้งอัตราภาษีเรียกเก็บจากประเทศนอกกลุ่ม เช่น เขตการค้าเสรีแปซิฟิค (Pacific Free Trade Area : PAFTA) เขตการค้าเสรีลาตินอเมริกา (Latin Amereac Free Trade: LAFTA) การรวมกลุ่มประเทศในลักษณะนี้มักจะมีปัญหาเนื่องมาจากการที่แต่ละประเทศสมาชิกมีระดับการพัฒนาที่แตกต่างกัน และการตั้งอัตราภาษีสำหรับประเทศนอกกลุ่มมีความแตกต่างกัน ทำให้ประเทศคู่ค่าสามารถเลือกค้ากับประเทศสมาชิกที่ตั้งอัตราภาษีไว้ต่ำ
2. สหภาพศุลกากร (Custom Union) เป็นการรวมกลุ่มเหมือนเขตปลอดภาษีแต่มีข้อตกลงเรื่องการตั้งกำแพงภาษีร่วมกันเพื่อเก็บจากประเทศนอกกลุ่ม แต่มักจะมีปัญหาคืออัตราภาษีที่ร่วมกันตั้งใหม่ถ้าแตกต่างจากเดิมมากจะมีผลกระทบต่ออัตราภาษีเดิมที่เก็บภายในประเทศและส่งผลกระทบถึงราคาสินค้าในประเทศ
3. ตลาดร่วม (Common Market) มีลักษณะเหมือนสหภาพศุลกากรทุกประการแต่เพิ่มเงื่อนไขว่า ไม่เพียงแต่สินค้าเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนย้ายได้โดยเสรีระหว่างประเทศสมาชิกแต่ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนย้ายทุน แรงงาน สามารถทำได้โดยเสรี การตั้งตลาดร่วมจำเป็นต้องมีนโยบายหลายๆ ด้านที่ประสานกัน เช่น การเก็บภาษีรายได้ นโยบายการเงินภายใน นโยบายการค้า ตลอดจนกฎหมายต่างๆ
4. สหภาพเศรษฐกิจ (Economic Union) เป็นการรวมกลุ่มกันอย่างสมบูรณ์แบบสมาชิกอยู่ภายใต้นโยบายเดียวกัน ใช้เงินตราสกุลเดียวกัน และอยู่ภายใต้อาณาจักรเศรษฐกิจเดียวกัน
กลุ่มทางเศรษฐกิจที่สำคัญมีดังนี้
1. กลุ่มประชาคมยุโรป (European Community : EC) เกิดจากการรวมตัวกันของประเทศสมาชิกในยุโรป 12 ประเทศ ได้แก่ อังกฤษ เดนมาร์ก ไอร์แลนด์ กรีซสเปน โปรตุเกส ฝรั่งเศส เยอรมันนี อิตาลี เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ และลักแซมเบิร์กปัจจุบันประชาคมยุโรปมีสภาพเป็นสภาพศุลกากร กล่าวคือมีข้อกำหนดให้ประเทศสมาชิกยกเลิกการเก็บภาษีขาเข้า การควบคุมสินค้าเข้าและสินค้าออกระหว่างประเทศสมาชิก และได้มีการดำเนินนโยบายและมาตรการทางการค้ากับประเทศนอกประชาคมร่วมกัน โดยใช้ระบบประกันคาราผลิตผลเกษตรแบบเดียวกัน และใช้งบประมาณส่วนกลางของประชาคมยุโรปเข้าสู่การเป็นตลาดร่วมตั้งแต่ปี 2535 และคาดว่าในปี 2539 จะรวมตัวกันเป็นสหภาพเศรษฐกิจและการเงิน (Economic and Monetary Union) ซึ่งจะมีการใช้เงินตราในสกุลเดียวกัน
2. สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Association) มีสมาชิกในปัจจุบัน 7 ประเทศ คือ นอรเวย์ สวีเดน ออสเตรีย สวีเดน ออสเตรีย สวิซเซอร์แลนด์ ไอแลนด์ ฟินแลนด์ และลิกเตนสไตน์ มีวัตถุประสงค์การก่อตั้งเป็นเขตการค้าเสรีมากกว่าเป็นสหภาพศุลกากร ในปี 2527 กลุ่ม ประเทศนี้ได้เคยแถลงการณ์ ร่วมมือกันจัดตั้งเป็นเขตเศรษฐกิจยุโรป (European Economic Area : EEA) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขยายความร่วมมือระหว่างกลุ่มประเทศทั้งสองส่วน ขั้นตอนในการจัดตั้งยังไม่ได้กำหนดไว้ชัดเจน จนกระทั่งปี 2532 กลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียวิตกว่าการเป็นตลาดเดียวของประเทศสมาชิกประชาคมยุโรปอาจส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศของตน จึงไม่มีความประสงค์จะก่อตั้งเขตเศรษฐกิจยุโรป แต่ประชาชนยุโรปยังให้การสนับสนุน เนื่องจากสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรปเป็นตลาดสินค้าที่สำคัญ และใหญ่ที่สุดของประชาคมยุโปจังได้มีการจัดตั้งอย่างเป็นทางการและมีการให้สัตยาบันร่วมกัน โดยมีผลบังคับตั้งแต่ วันที่มกราคม 2536 เป็นต้นไป
3. ข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (North American Free Trade Agreement : NAFTA) มีประเทศสมาชิกในปัจจุบัน 3 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดาและเม็กซิโก มีวัตถุประสงค์เพื่อยกเลิกการกีดกันทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศสมาชิกทั้งสามและเพื่อสร้างเขตการค้าเสรีที่ยอมรับการคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา
4. กลุ่มประเทศอาเซียน ประกอบไปด้วยประเทศสมาชิก 10 ประเทศ คือ ไทยสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน เวียดนาม ลาว กัมพูชา และเมียนมาร์มีวัตถุประสงค์ในการวมตัวกันในครั้งแรก คือการแบ่งงานกันผลิตสินค้า เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการผลิต และสร้างอำนาจต่อรองทางการค้าภายหลังได้มีข้อเสนอให้จัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน (Asean Free Trade Agreement : AFTA) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศสมาชิกค่อยๆ ยกเลิกหรือลดภาษีศุลกากร สำหรับสินค้าส่วนใหญ่ที่ค้าขายกันอยู่ให้เหลือร้อยละ 5 ภายในระยะเวลา 15 ปี เชื่อว่าจะทำให้การค้าและการลงทุนของกลุ่มอาเซียนขยายตัวมากขึ้น
ประเทศไทยได้ร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศอื่นๆ อย่างกว้างขวาง และได้เข้าร่วมเป็น สมาชิก ขององค์กรระหว่างประเทศ หลายองค์กรดังนี้
กลุ่มอาเซียน หรือสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of Southeast Asian Nations : ASEAN) ประกอบด้วย 6 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไน และไทย สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองจาการ์ตา
ประเทศอินโดนีเซีย องค์กรนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ วิทยศาสตร์ และเทคโนโลยี สังคม และวัฒนธรรม ตลอดจน การเมืองระหว่างประเทศสมาชิกจากการก่อตั้งกลุ่มอาเซียน มาตั้งแต่ พ.ศ. 2510 มาถึงปัจจุบัน ประเทศสมาชิกอาเซียน มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว โครงสร้างทางเศรษฐกิจก็เปลี่ยนแปลงจากภาคเกษตร ไปสู่ภาค อุตสาหรรมมากขึ้น ส่งผลให้ประเทศสมาชิกประสบปัญหาทั้งทางด้าน การขาดดุลการค้า การเพิ่มอัตราค่าจ้างแรงงาน และการขาดแคลน การบริการพื้นฐาน
กลุ่มเอเปค (Asia – Pacifi c Economic Cooperation : APEC) ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2532 มี สมาชิก 12 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ นิวซีแลนด์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย แคนาดา บรูไน ออสเตรเลีย และไทย
องค์กรนี้วัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการแก้ปัญหาร่วมกัน ส่งเสริม การค้าเสรีตลอดจนการปรับปรุงแบบแผนการติดต่อการค้าระหว่างกัน และเพื่อตั้งรับการรวมตัวเป็น ตลาดเดียวกันระหว่างประเทศสมาชิก
คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ และสังคมสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (Economic and Social Commission for Asia and Pacifi c : ESCAP)
องค์กรนี้เป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นโดยองค์การสหประชาชาติ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศสมาชิกที่อยู่ในเอเชีย และแปซิฟิก รวมทั้งประเทศไทยด้วย ESCAP เป็นองค์กรที่ขยายมาจากคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจแห่งเอเชีย และตะวันออกไกล (Economic Commission for Asia and the Far East : ECAFE) ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2490 และ ใน พ.ศ. 2517 ได้ขยายมาเป็น ESCAP ทั้งนี้เพื่อให้ครอบคลุมประเทศในพื้นที่เอเชีย และแปซิฟิกทั้งหมด ประเทศที่เป็นสมาชิกจะได้รับความช่วยเหลือในการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคม สำนักงานตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
ข้อตกลงทั่วไปด้วยภาษีศุลกากรและการค้า (General Agreement on Tariff sand Trade : GATT) ก่อตั้งเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2409 มีประเทศสมาชิกเกือบทั่วโลก ประเทศไทย เข้าเป็นสมาชิกเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2525 องค์กรนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมระบบการค้าเสรี แบะส่งเสริมสัมพันธภาพ ทางการค้า และเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยทุกประเทศสมาชิกต้อง ปฏิบัติตามกฎระเบียบของ GATT ประเทศไทยได้รับการส่งเสริมด้านการขยายตัวทางการค้า ความเสียเปรียบด้านการเจรจาการค้าระหว่างประเทศกับมหาอำนาจทางเศรษฐกิจลดลงไปมาก
ความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจของไทยกับกลุ่มเศรษฐกิจโลก
ประเทศไทยเป็นประเทศที่เป็นประเทศสมาชิกในข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียนซึ่งมีวัตถุประสงค์ของการรวมกลุ่มคล้ายกับการรวมกลุ่มของประเทศในภูมิภาคอื่นๆ คือการยกเลิกกำแพงภาษีที่มีระหว่างประเทศสมาชิก และกำหนดมาตรการทางเศรษฐกิจอื่นๆร่วมกัน เช่น การผลิตสินค้าบริการ การกำหนดอัตราภาษีศุลกากร ในขณะเดียวกันก็สร้างกำแพงภาษีเพื่อสกัดสินค้าทีมาจากนอกเขต ในขณะเดียวกันประเทศไทยก็สังกัดอยู่ในกลุ่ม“ข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและสินค้า (General Agreement on Tariff and Trade : GATT) ซึ่งเป็นองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติทางการค้าของโลก ซึ่งประเทศไทยมีพันธะสัญญาที่จะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงเหล่านั้น เช่น การส่งเริมการค้าแบบเสรีการลดอัตราภาษีนำเข้า การถือหลักการที่ไม่ให้มีการกีดกันทางการค้าแตกต่างกันตามประเทศคู่ค้า การคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น ซึ่งมีข้อตกลงบางอย่างก็เป็นสิ่งที่ขัดกับการค้าภายในประเทศ เช่น การยอมรับในข้อตกลงว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิทางปัญญา แต่การประกอบธุรกิจในประเทศไทยหลายประเภทมีลักษณะละเมิดสิทธิทางปัญญา
เนื่องจากการที่แต่ละประเทศต่างรวมตัวกันเป็นเขตเศรษฐกิจในลักษณะต่างๆ กันประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะดำเนินการเฉพาะภายในกลุ่ม ในขณะเดียวกันก็มีนโยบายกีดกันสินค้าจากภายนอกกลุ่ม ทำให้เป็นการยากที่ประเทศไทยจะหาตลาดทางการค้าประเทศไทยจึงต้องดำเนินนโยบายทางการค้าโดยการเจรจาทางการค้ากับประเทศคู่ค้าโดยตรงเพื่อรักษาตลาดทางการค้า ในขณะเดียวกันก็พยายามหาทางขยายตลาดไปสู่ภูมิภาคที่ยังมีการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยเข้มแข็งนัก เช่น ตลาดยุโรปตะวันออก