1. ระบอบประชาธิปไตย
คำว่า “ประชาธิปไตย” เป็นคำไทยที่บัญญัติขึ้น ให้มีความหมายตรงกับคำภาษา อังกฤษว่า Democracy หมายถึง อำนาจของประชาชน
คำว่า “ประชา” แปลว่า ประชาชน
คำว่า “อธิปไตย” แปลว่า ความเป็นใหญ่
สรุปว่าคำว่า “ประชาธิปไตย” หมายถึง การปกครองที่ประชาชนมีอำนาจ สูงสุดในการปกครองประเทศ
ดังนั้น “การปกครองระบอบประชาธิปไตย” จึงหมายถึง ระบอบการปกครองซึ่งประชาชนมีอำนาจสูงสุด โดยจะเห็นว่า การปกครองระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบันนั้นจะแยกออกเป็น 2 แบบ คือ ระบอบประชาธิปไตยแบบมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข กับระบอบประชาธิปไตยแบบมีประธานาธิบดีเป็นประมุข
ระบอบประชาธิปไตยมีความเชื่อว่า มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ มีความคิด ความเฉลี่ยวฉลาดและสติปัญญาที่จะปกครองตนเองได้ สามารถใช้เหตุผลในการแก้ไขปัญหาของตนเอง และสังคมได้ ดังนั้นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยจึงเป็นวิธีการที่ประชาชนมีโอกาสได้เลือกสรรคนที่เหมาะสมเข้าไปทำหน้าที่ในการบริหารประเทศแทนตน อันเป็นหนทางที่ดีที่สุด การปฏิวัติรัฐประหาร การใช้วิธีรุนแรง การปราบปรามเข่นฆ่า เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองถือเป็นวิธีการที่ดูหมิ่นเหยียดหยามและทำความทำลายความเป็นมนุษย์ของประชาชนอย่างยิ่ง
2. หลักการของระบอบประชาธิปไตย
ระบอบประชาธิปไตยจะมั่นคงหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับรัฐบาลและประชาชนว่าจะยึดมั่นในหลักการของระบอบประชาธิปไตยมากน้อยเพียงใด ซึ่งหลักการของระบอบประชาธิปไตยมีดังนี้
2.1 หลักความเสมอภาค
หลักความเสมอภาค หมายถึง ทุกคนไม่ว่าฐานะจะเป็นอย่างไร มีสติปัญญาหรือความสามารถมากน้อยแตกต่างกัน หรือแม้มีผิวพรรณแตกต่างกัน แต่ทุกคนมีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งหลักความเสมอภาคแบ่งเป็น 4 ลักษณะ ดังนี้
1) ความเสมอภาคทางกฎหมาย หมายความว่า ทุกคนมีความเท่าเทียมกันทางกฎหมาย รัฐบาลจะออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้ เมื่อมีใครกระทำผิดก็จะต้องถูกกฎหมายลงโทษเท่าเทียมกัน
2) ความเสมอภาคทางการเมือง หมายความว่า ทุกคนมีความเท่าเทียมกันในทางการเมืองการปกครอง เช่น ทุกคนมีสิทธิในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเท่ากันคือ คนละ 1 เสียง มีสิทธิตั้งพรรคทางการเมือง มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง มีสิทธิ์ตั้งกลุ่มทางการเมือง มีสิทธิแสดงความคิดเห็นทางการเมือง เป็นต้น
3) ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ หมายความว่า ประชาชนมีสิทธิในการประกอบอาชีพทางเศรษฐกิจ และสามารถครอบครองหรือได้รับประโยชน์จากกิจการที่ตนทำไปอย่างเต็มที่ รัฐบาลจะต้องเป็นผู้นำทรัพยากรภายในประเทศมาใช้และจัดสรรผลประโยชน์เหล่านั้นสู่ประชาชนอย่างทั่วถึง โดยการกระจายความเจริญไปสู่ส่วนต่างๆ ของประเทศ
4) ความเสมอภาคในด้านโอกาส หมายความว่า ความเท่าเทียมกันที่จะได้รับโอกาสในการพัฒนาตนเอง เช่น โอกาสทางการศึกษา (ความเท่าเทียมกันในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย) การประกอบอาชีพ การสร้างฐานะทางเศรษฐกิจ
2.2 หลักสิทธิเสรีภาพและหน้าที่
สิทธิ หมายถึง อำนาจหรือผลประโยชน์ของบุคคลที่กฎหมายให้ความคุ้มครอง
บุคคลอื่นและละเมิด ล่วงเกิน หรือกระทำการใดๆ ที่กระทบกระเทือนต่อสิทธิของบุคคล
อื่นไม่ได้
เสรีภาพ หมายถึง ความมีอิสระในการกระทำของบุคคล การกระทำนั้นต้องไม่ขัดต่อกฎหมายหรือไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น เช่น มีเสรีภาพในการเขียนแสดงความคิดเห็นแต่ถ้าไปละเมิดสิทธิของผู้อื่น โดยการเขียนโจมตีซึ่งขาดพยานหลักฐาน เช่นนี้ผู้ที่ได้รับความเสียหายก็มีสิทธิที่จะปกป้องชื่อเสียงของตนเอง ด้วยการฟ้องร้องได้หรือเรามีเสรีภาพที่จะเปิดวิทยุภายในบ้านเรือน แต่ถ้าเปิดเสียงดังเกินไปจนรบกวนผู้อื่น เช่นนี้ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น เป็นต้น
หน้าที่ หมายถึง ภาระหรือความรับผิดชอบที่บุคคลจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายสิทธิและเสรีภาพเป็นรากฐานที่สำคัญในการปกครองประชาธิปไตย ประเทศใดให้สิทธิและเสรีภาพกับประชาชนมาก ประเทศนั้นก็มีประชาธิปไตยมาก ในทางกลับกันถ้าประเทศใดจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน แสดงว่าประเทศนั้นไม่เป็นประชาธิปไตย
สิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนที่รัฐบาลจะต้องให้การรับรองได้แก่
1) สิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล เป็นสิทธิเสรีภาพที่ทุกคนพึงมีในฐานะที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้แก่ สิทธิและเสรีภาพในการได้รับการคุ้มครองทั้งทางร่างกายและทรัพย์สินจากรัฐ สิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพสุจริต สิทธิและเสรีภาพในการเลือกที่อยู่ หากรัฐบาลหรือบุคคลใดกระทำการละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ถือว่าเป็นความผิด
2) สิทธิและเสรีภาพทางการเมือง เป็นสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองการปกครอง และกิจการต่างๆ ของรัฐ เช่น สิทธิทางการเมืองระหว่างเพศหญิงและชายมีเท่าเทียมกัน ประชาชนมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง รับเลือกตั้งตั้งพรรคการเมือง แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและระเบียบอันดีงามของประเทศ
3) สิทธิและเสรีภาพทางเศรษฐกิจ ประชาชนมีเสรีภาพในการเลือกประกอบอาชีพมีสิทธิเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่หามาด้วยความสุจริต มีสิทธิที่จะได้รับค่าจ้างแรงงานที่เป็นธรรม เป็นต้น
รัฐบาลจะต้องไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ยกเว้นในกรณีสงครามหรือเพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ การรักษาความสงบเรียบร้อย การคุ้มครองผลประโยชน์ของส่วนรวม การรักษาศีลธรรมอันดีงามของประชาชนและการสร้างสรรค์ความเป็นธรรมให้กับสังคมเท่านั้น
2.3 หลักมิติธรรม
กฎหมายเป็นกฎเกณฑ์กติกาที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติตน ดังนั้น สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาคใดๆ จะเป็นจริงไม่ได้หากขาดกฎหมายที่เป็นหลักประกันคุ้มครองประชาชนเพราะเมื่อไม่มีกฎหมาย แต่ละคนก็อาจทำตามความพอใจของตน ทำให้เกิดการละเมิดสิทธิและเสรีภาพขึ้นได้
2.4 หลักการยอมรับเสียงส่วนมาก
การอยู่รวมกันของคนหมู่มาก ย่อมมีความขัดแย้งหรือความเห็นไม่ตรงกันติดตามมา ปัญหาความขัดแย้งบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับความถูกผิด สามารกใช้กฎหมายระเบียบของสังคมหรือกฎศีลธรรมมาตัดสินได้ แต่ความขัดแย้งบางอย่างไม่เกี่ยวข้องกับความถูกผิด เป็นความขัดแย้งของส่วนรวมที่ต้องการทำสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น ดังนั้นจึงต้องอภิปรายถกเถียงกัน แต่ละฝ่ายชี้แจงเหตุผล จากนั้นจึงลงมติเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ข้อเสนอใดที่เป็นเสียงข้างมาก ก็คือว่าเป็นมติของคนส่วนใหญ่ ซึ่งทุกคนต้องนำมตินี้ไปปฏิบัติ
3. ประเภทของประชาธิปไตย
การปกครองระบอบประชาธิปไตย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
3.1 ประชาธิปไตยโดยทางตรง เป็นวิธีการที่ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมในการปกครองโดยตรง เหมาะกับรัฐที่มีประชากรไม่มาก เช่น นครรัฐกรีกโบราณ ให้ประชาชนทุกคนร่วมกันพิจารณาตัดสินปัญหา แต่วิธีการนี้ไม่เหมาะสมกับรัฐที่มีประชากรเป็นจำนวนมาก ประชาธิปไตย โดยทางอ้อมจึงถูกนำมาใช้กับรัฐที่มีประชากรเป็นจำนวนมาก
3.2 ประชาธิปไตยโดยทางอ้อม เนื่องจากจำนวนประชากรของแต่ละประเทศมีจำนวนมหาศาล ดังนั้นการให้ประชาธิปไตยทางตรง จึงไม่สามารถกระทำได้ ประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้ใช้วิธีประชาธิปไตยทางอ้อม ซึ่งก็คือการเลือกตัวแทนเข้าไปทำหน้าที่แทนประชาชน การใช้อำนาจอธิปไตยของประชาชนจะใช้ผ่านตัวแทน ซึ่งได้แก่ อำนาจนิติกับบัญญัติคือรัฐสภา อำนาจบริหารคือรัฐบาล อำนาจตุลาการคือศาล
4. ข้อดีและข้อเสียของระบอบประชาธิปไตย
4.1 ข้อดีของระบอบประชาธิปไตย
1) ทำให้ประชาชนยึดหลักการที่ถูกต้อง ชอบธรรม มีระเบียบวินัย รู้จักประสานผลประโยชน์ร่วมกันของคนภายในชาติ เสริมสร้างจริยธรรม คุณธรรม ความถูกต้องดีงามก่อให้เกิดความเรียบร้อยสงบสุข ความเจริญงอกงาม ขวัญ กำลังใจ ศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจในการเป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริง
2) การปกครองระบอบประชาธิปไตย เป็นการปกครองที่ประชาชนทุกคนมีส่วนในการปกครองตนเอง เป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดของประเทศคืออำนาจอธิปไตย จึงทำให้การปกครองมีเสถียรภาพ
3) ประชาชนมีสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคเท่าเทียมกัน
4) เป็นการปกครองที่ปฏิบัติตามมติของเสียงส่วนมาก ขณะเดียวกันก็เคารพเสียงส่วนน้อย โดยตั้งอยู่บนหลักการของประโยชน์ส่วนร่วม ความถูกต้อง และต้องไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น
5) ช่วยแก้ไขปัญหาความขัดแย้งภายในหมู่ประชาชน ระหว่างรัฐกับประชาชน หรือระหว่างรัฐกับรัฐ โดยอาศัยกฎหมายที่กำหนดขึ้นเป็นกติกา หรือใช้การอภิปรายลงมติเพื่อหาข้อสรุป
4.2 ข้อเสียของระบอบประชาธิปไตย
1) ประชาชนสร้างความวุ่นวาย เพราะไม่เข้าใจสิทธิ เสรีภาพและหน้าที่ของตนเองมักใช้สิทธิเสรีภาพเกินขอบเขต เช่น ประชาชนปิดถนนเพราะไม่พอใจราคาพืชผลตกต่ำ
2) ผู้แทนราษฎรสร้างผลงานในเฉพาะท้องถิ่นของตน แต่ไม่สนใจปัญหาประเทศชาติเท่าที่ควร
3) ประชาชนไม่เข้าใจระบอบประชาธิปไตย ขาดสำนึกของประชาธิปไตยจึงเกิดการขายเสียง
4) รัฐบาลที่มีเสียงข้างมากในรัฐสภา อาจใช้ความได้เปรียบนี้จนกลายเป็นระบอบคณาธิปไตยได้
5) ประชาชนเกิดความเบื่อหน่าย เพราะเมื่อเลือกตั้งไปแล้วผู้แทนขาดความจริงใจต่อประเทศชาติ
6) ในระหว่างการหาเสียง อาจเกิดการสาดโคลนทำให้ประชาชนเกิดความเบื่อหน่ายได้เช่นกัน
7) ค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากระบอบประชาธิปไตยจะต้องทำการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรทั่วประเทศ ซึ่งการเลือกตั้งแต่ละครั้งจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก และเมื่อได้ผู้แทนเหล่านี้มาแล้วก็ต้องมีค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนด้วย
8) ก่อให้เกิดความล่าช้าในการตัดสินใจ การปกครองระบอบประชาธิปไตยจำเป็นต้องใช้การอภิปราย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ปรึกษาหารือ ถกเถียงปัญหาและลงมติซึ่งแต่ละขั้นตอนจะต้องใช้เวลานาน
9) การปกครองระบอบประชาธิปไตย เป็นการปกครองที่ประชาชนปกครองตนเองเป็นระบอบการปกครองที่ดีแต่ใช้ยาก เพราะประชาชนจะต้องมีความรู้ความเข้าใจถึงระบอบประชาธิปไตย ดังนั้น ในทางปฏิบัติประเทศที่สามารถใช้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างได้ผล จึงเป็นประเทศที่ประชาชนมีการศึกษาสูงหรือได้มีการปูพื้นฐานการศึกษา