ระบบเศรษฐกิจ หมายถึง สถาบันทางเศรษฐกิจ ที่ประกอบด้วยหน่วยเศรษฐกิจหลายๆ หน่วยมารวมกัน มีกฎเกณฑ์ ระเบียบแบบแผน และแนวปฏิบัติอย่างเดียวกันมีรูปแบบการจัดระบบสังคม เพื่อนำทรัพยากรมาใช้ในการผลิตสินค้า และบริการรวมถึงการจำแนกแจกจ่ายสินค้าและบริการนั้นให้กับคนในสังคม ระบบเศรษฐกิจยังรวมถึงการจัดระบบการครอบครองปัจจัย การผลิต การควบคุมราคาและค่าจ้างหรือระบบตลาด ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดชนิด ปริมาณ และวิธีการผลิต โดยใช้เป็นเกณฑ์ในการแบ่งปันส่วนสินค้าและบริการให้กับคนในสังคมด้วย
ความหมายระบบเศรษฐกิจ
ระบบเศรษฐกิจ หมายถึง กลุ่มบุคคลของสังคมที่รวมตัวกันเป็น กลุ่มของสถาบันทางเศรษฐกิจซึ่งยืดถือแนวปฏิบัติแนวทางเดียวกันในการประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อให้สามารถบำบัดความต้องการแก่บุคคลต่างๆ ที่อยู่ร่วมกันในสังคมนั้นให้ได้รับประโยชน์มากที่สุด เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ความสำคัญของระบบเศรษฐกิจ
ระบบเศรษฐกิจ มีความสำคัญในฐานะเป็นผู้ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสังคมซึ่งจะพอสรุปได้ดังนี้
1. ความสำคัญในการจัดหาสินค้าและบริการ เพื่อสนองความต้องการของสมาชิกในสังคมนับตั้งแต่ความต้องการขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิต จนถึงความต้องการในสิ่งอำนวยความสะดวก ระบบเศรษฐกิจจึงกำหนดการแกไ้ ขปญั หาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ทำใหท้ ราบวา่จะผลิตอะไร ผลิตอย่างไร ผลิตเพื่อใคร และจะแลกเปลี่ยนหรือกระจายสินค้าอย่างไร
2. ความสำคัญในการผลิตสินค้าและบริการ โดยการจัดแบ่งงานให้สมาชิกในสังคมมีการทำงานในอาชีพที่ตนถนัดเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีมีประสิทธิภาพ เป็นการใช้ทรัพยากรอย่างประหยัดและเกิดประโยชน์สูงสุด
3. ความสำคัญในการกำหนดระเบียบแผนการผลิต ระบบเศรษฐกิจจะกำหนดระเบียบการเป็นเจ้าของทรัพย์สินหรือปัจจัยการผลิต และควบคุมสถาบันทางเศรษฐกิจให้มีระเบียบแบบแผน เช่น ตลาด คนกลาง ธนาคาร ฯลฯ
4. ความสำคัญในการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจจะเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศ และดำเนินการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญก้าวหน้า
5. ความสำคัญในการกระจายรายได้ไปยังส่วนต่างๆ ของสังคม เพื่อลดช่องว่างทางเศรษฐกิจระหว่างผู้ที่มีความเข้มแข็งและอ่อนแอทางเศรษฐกิจของสังคม เพื่อมาตรฐานการครองชีพที่ดีและการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขของสมาชิกในสังคม
ระบบเศรษฐกิจจึงมีความสำคัญต่อสมาชิกของสังคมและผู้บริหารประเทศ ในการเลือกใช้ระบบเศรษฐกิจให้เหมาะสมกับการเมืองการปกครอง จารีต ประเพณี วัฒนธรรมและชีวิตความเป็นอยู่ของสมาชิกในสังคม เพื่อให้ได้มาตรฐานการดำรงชีวิตที่ดี และมีประสิทธิภาพ
ระบบเศรษฐกิจในปัจจุบัน
การแบ่งระบบเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยพิจารณาจากสภาพความเป็นจริงและสถาบันทางเศรษฐกิจประกอบกัน เราอาจแบ่งระบบเศรษฐกิจออกเป็นระบบใหญ่ๆ ได้ 3 ระบบ คือ
1. ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
1.1 ลักษณะสำคัญของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
1) เอกชนเป็นเจ้าของทรัพย์สินและปัจจัยการผลิต บุคคลมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินส่วนตัวมีสิทธิที่จะใช้ แสวงหา หรือจำแนกแจกจ่ายอย่างใดก็ได้
2) เอกชนมีเสรีภาพในการประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งในดา้ นการผลิตสินค้าการจำแนกแจกจ่ายหรือการกระจายสินค้า การบริโภค ซึ่งจะทำให้เกิดการผลิตสินค้าใหม่ๆ มากขึ้นและส่งผลให้สังคมนั้นเจริญก้าวหน้า
3) มีการแข่งขันระหว่างเอกชนในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างกว้างขวางเนื่องจากทุกคนมีอิสระในการผลิต การบริโภค การค้า การแข่งขันจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การแข่งขันจึงทำให้มีการเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจ
4) การผลิตขึ้นอยู่กับกลไกราคา ในระบบนี้ราคาและตลาดจะทำหน้าที่ตัดสินปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ กล่าวคือ การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในเรื่องการผลิต กรรมวิธีในการผลิต การจัดสรรผลผลิต จะถูกจัดสรรโดยผ่านตลาด ผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจในเรื่องนี้ ได้แก่ ผู้ผลิตและผู้บริโภคโดยทั้งสองฝ่ายจะมีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจผ่านกระบวนการปรับตัวของราคาผ่านกลไกราคา
5) มีกำไรเป็นแรงจูงใจในการผลิต จุดมุ่งหมายสูงสุดของการประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ คือ การพยายามแสวงหาผลประโยชน์ในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ให้ได้มากที่สุด โดยผู้ผลิตมีจุดมุ่งหมายเพื่อแสวงหากำไรสูงสุด ในขณะที่ผู้บริโภค ก็จะพยายามให้ตนเองได้รับความพอใจสูงสุดจากการซื้อสินค้าและการบริการมาบริโภคในแต่ละครั้ง
6) มีการใช้ทุนและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า จากการที่เอกชนมีการแข่งขันกันอย่างกว้างขวางผู้ผลิตแต่ละรายต่างเน้นการผลิตสินค้าที่ดีมีคุณภาพเหนือคู่แข่งขัน จึงนำทุนและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามาใช้ในการผลิต ส่งผลให้ประเทศชาติเจริญก้าวหน้ามากขึ้น
7) รัฐไม่เข้าแทรกแซงการผลิต รัฐบาลไม่เข้าควบคุมหรือแทรกแซงใดๆปล่อยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจดำเนินไปอย่างเสรี
1.2 ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
1) เกิดประโยชน์ต่อผู้บริโภค เพราะมีการแข่งขัน ทำให้มีสินค้าที่มีคุณภาพและราคาไม่สูงมาก
2) เกิดประโยชน์ต่อผู้ผลิต เพราะมีเสรีภาพในการผลิตทำให้เอกชนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ที่จะผลิตสินค้าใหม่ๆ และมีคุณภาพที่ดีเพื่อสนองความต้องการผู้บริโภค
3) ลดภาระของรัฐบาลในการเข้าไปดำเนินธุรกิจด้วยตนเอง
4) การมีเสรีภาพในการประกอบธุรกิจอย่างเต็มที่ ก่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรี ทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการผลิต
5) ทำให้เกิดการสะสมความมั่งคั่งในรูปทุนต่างๆ ซึ่งเป็นแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการขยายความมั่งคั่งออกไปและพัฒนาความสามารถในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีต่างๆ ต่อไป
1.3 ข้อเสียของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
1) ก่อ ให้ เกิด ปัญหา ความเหลื่อมล้ำอันเนื่องจาก ความ สามารถ ที่แตกต่างกัน ใน แต่ละ บุคคล โดยพื้นฐาน ทำให้ ความ สามารถ ในการ หาราย ได้ ไม่เท่ากัน ผู้ที่มี ความสามารถ สูง กว่า จะเป็นผู้ได้ เปรียบ ผู้ที่ อ่อนแอ กว่า ใน ทางเศรษฐกิจ
2) สินค้า และ บริการ ที่มี ลักษณะ ของการ ผูกขาด โดย ธรรมชาติ หรือ สินค้าและ บริการ สารธาณะ ซึ่งได้แก่ บริการ ด้าน สาธารณูปโภค (น้ำประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ ฯ ลฯ)โครงสร้าง พื้นฐาน (ถนน เขื่อน สะพาน ฯ ลฯ) จะเห็น ได้ ว่า สินค้า และ บริการ ดัง กล่าว ส่วน ใหญ่จะ ต้องใช้เงิน ลงทุน มาก เทคโนโลยี ที่ทันสมัย เสี่ยง กับ ภาวะ การขาดทุน เนื่องจากมีระยะการคืนทุนนานไม่คุ้มค่าในเชิงเศรษฐกิจทำให้เอกชนไม่ค่อยกล้าลงทุนที่จะผลิตส่งผ ลให้รัฐบาลต้อง เข้ามาดำเนินการแทน
3) การ ใช้ ระบบการแข่งขันหรือกลไกลราคาอาจทำให้ เกิดการ ใช้ ทรัพยากรทางเศรษฐกิจอย่างสิ้นเปลือง เช่นการแข่งขันกันสร้าง ศูนย์การค้า เพราะคิดว่าเป็นกิจการที่ให้ผลตอบแทนหรือกำไรดี ศูนย์การค้าเหล่านี้เมื่อสร้างขึ้นมามากเกินไปก็อาจไม่มีผู้ซื้อมากพอทำให้ประสบกับการขาดทุน
2. ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม เป็นระบบเศรษฐกิจที่ให้เสรีภาพเอกชนในการดำเนินธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง รัฐเข้าควบคุมการผลิตและเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตที่เป็นทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อลดช่องว่างทางเศรษฐกิจและจัดสวัสดิการให้สังคม
2.1 ระบบเศรษ ฐกิจแบบสังคมนิยม มีลักษณะดังนี้
1) เอกชนมีสิทธิ์ในทรัพย์สินหรือธุรกิจขนาดย่อมได้
2) รัฐเป็นผู้ดำเนินการในเรื่องการให้บริการสาธารณูปโภคต่างๆ เช่นประปา ไฟฟ้าอุตสาหกรรมที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติเป็นวัตถุดิบ กิจการธนาคาร
3) มีการใช้ระบบภาษีเพื่อกระจายทรัพย์สินและรายได้
4) รัฐให้บริการทางสังคมอย่างกว้างขวาง
5) เอกชนดำเนินการธุรกิจในรูปของสหกรณ์
6) กลไกราคามีบทบาทแต่ไม่ใช่ส่วนสำคัญของระบบ
การที่รัฐเข้าไปควบคุมและดำเนินการใช้ทรัพยากรธรรมชาติทำให้ผลประโยชน์เกิดกับประชาชนเต็มที่ ทั้งยังเป็นการลดช่องว่างทางเศรษฐกิจของบุคคลในสังคมลง ประชาชนมีเสรีภาพทางการเมืองและได้รับสวัสดิการจากรัฐ ในทางธุรกิจเอกชนที่เป็นผู้ผลิตขาดแรงจูงใจในการประกอบธุรกิจ
2.2 ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
จุดเด่น ของระบบ เศรษฐกิจ แบบสังคมนิยม ก็คือ เป็นระบบเศรษฐกิจที่ช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางฐานะและรายได้ของบุคคลใน สังคมภายใต้ระบบเศรษฐกิจนี้เอกชนจะทำการผลิต และบริโภคตามคำสั่งของรัฐ ผลผลิตที่ผลิตขึ้นมาจะถูกนำส่งเข้าส่วนกลาง และรัฐจะเป็นผู้จัดสรร หรือแบ่งปันสินค้าและบริการดังกล่าวให้ประชาชนแต่ละคนอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่มีการได้เปรียบเสียเปรียบ
2.3 ข้อเสียของระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
ภายใต้ร ะบบเ ศรษฐกิจแบบสังคมนิยม เนื่องจากปัจจัยการผลิตพื้นฐานอยู่ในการควบคุม ของรัฐบาล ทำให้ขาดความคล่องตัว การผลิต ถูกจำกัด เพราะต้องผลิตตามที่รัฐกำหนดโอกาสที่จะขยายการผลิตหรือพัฒนาคุณภาพการผลิตเป็นไปค่อนข้างลำบากทำให้การใช้ ทรัพยากร ทางเศรษฐกิจอาจเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพขาดการแข่งขันการผลิตทำให้สินค้าไม่มีคุณภาพเพราะเป็นการ ผลิตผูกขาดบริการจัดการผลิต โดยรัฐบาล
3. ระบบเศรษฐกิจแบบผสม เป็นระบบเศรษฐกิจที่ให้เสรีภาพเอกชนในการดำเนินธุรกิจเป็นส่วนใหญ่ รัฐบาลเข้าแทรกแซงกิจกรรมบางอย่างเช่น เข้าแทรกแซงการผลิตและการตลาดเฉพาะที่จำเป็น เพื่อการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม
3.1 ลักษณะสำคัญของระบบเศรษฐกิจแบบผสม
1) เอกชนมีสิทธิ์ในทรัพย์สินและปัจจัยการผลิต
2) รัฐมีบทบาทเพื่อดำเนินการผลิตบางอย่างที่จำเป็น เช่น การรถไฟ ขนส่งมวลชน ไฟฟ้า โทรศัพท์ ในรูปของรัฐวิสาหกิจ
3) เอกชนเป็นผู้วางแผนและดำเนินการผลิต
4) การผลิตมีการแข่งขันโดยผ่านกลไกราคาแต่รัฐแทรกแซงได้เมื่อเกิดปัญหา ระบบเศรษฐกิจแบบผสมช่วยแก้ไขปัญหาการผูกขาด การแทรกแซงเศรษฐกิจของรัฐเฉพาะที่จำเป็น ประชาชนมีเสรีภาพทางการเมือง กิจกรรมบางอย่างที่รัฐดำเนินการเองอาจขาดทุนและขาดประสิทธิภาพได้
ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบผสม
เป็นระบบเศรษฐกิจที่ค่อนข้างมีความคล่องตัว กล่าวคือมีการใช้กลไกรัฐร่วมกับกลไกราคาในการจัดสรรทรัพยากรของระบบ กิจการใดที่ กลไกราคาสามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธภาพรัฐก็จะให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการโดยการแข่งขันแต่ถ้ากิจการใดที่กลไกราคาไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธภาพรัฐก็จะเข้ามาดำเนินการแทนจะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจแบบผสมเป็นระบบเศรษฐกิจที่ผสมผสาน กล่าวคือ รวมข้อดีของ ทั้งระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและสังคมนิยมเข้าไว้ด้วยกัน อย่างไรก็ตามระบบเศรษฐกิจดังกล่าวก็มีข้อเสียด้วยเช่นกัน
ข้อเสียของระบบเศรษฐกิจแบบผสม
1) การแก้ไขปัญหาช่องว่างทางสังคมและปัญหาความเหลื่อมล้ำทางรายได้ มักไม่มีประสิทธิภาพ
2) นายทุนมีอิทธิพลเข้มแข็งทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง โดยเป็นผู้สนับสนุนพรรคการเมือง ตลอดจนได้รับผลประโยชน์จากพรรคการเมืองที่ตนสนับสนุน
3) การกำหนดนโยบายและการใช้อำนาจต่างๆ ขึ้นอยู่กับรัฐบาล จึงทำให้นักธุรกิจขาดความมั่นใจในการลงทุน
ระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบัน
ระบบเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบัน เป็นระบบผสมที่เน้นทุนนิยม โดยมีรัฐบาลเป็นผู้วางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต และเป็นผู้ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เฉพาะที่เปน็ พื้นฐานทางเศรษฐกิจ สำหรับเอกชนมีเสรีภาพในการผลิตและการประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นส่วนใหญ่มีสิทธิเป็นเจ้าของทรัพย์สินและปัจจัยการผลิต มีการแข่งขัน และมีกลไกตลาดเป็นเครื่องมือในการจัดสรรทรัพยากร โดยรัฐบาลจะแทรกแซงการผลิตและการตลาดเมื่อจำเป็น เช่นควบคุมราคาสินค้าเมื่อเกิดภาวะขาดแคลนหรือประกันราคาข้าวเปลือกเพื่อช่วยเหลือกเกษตรกรในกรณีราคาข้าวตกต่ำ เป็นต้นการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของรัฐบาลจะเข้ามามีบทบาทเฉพาะเท่าที่จำเป็นเท่านั้นเช่น
1) ดำเนินการเกี่ยวกับการป้องกันประเทศ ความสงบภายใน และการให้ความยุติธรรม เช่น กิจการด้านการทหาร ตำรวจ และศาล เป็นต้น
2) ดำเนินการด้านเศรษฐกิจพื้นฐาน โดยการสร้างถนน สะพาน เขื่อน การสำรวจเพื่อหาทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น
3) ควบคุมและดำเนินการด้านการศึกษา และสาธารณสุข โดยให้การศึกษาแก่เยาวชนควบคุมการจัดการศึกษาของเอกชน จัดการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลแก่ประชาชน
4) ดำเนินกิจการสาธารณูปโภคที่สำคัญ เช่น การรถไฟ การไฟฟ้า การประปาการสื่อสารไปรษณีย์ การจัดเก็บขยะมูลฝอย เพราะเป็นกิจการที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องใช้ร่วมกัน ส่วนกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่นๆ นอกเหนือจากรัฐดำเนินการ เอกชนมีสิทธิที่ดำเนินการอย่างเสรี โดยมีกลไกแห่ง ราคาเป็นเครื่องชี้นำ
นอกจากนี้รัฐบาลยังใช้ระบบภาษีในอัตราก้าวหน้า เพื่อกระจายรายได้และลดความเหลื่อมล้ำในรายได้ ตลอดจนจัดให้มีการสวัสดิการแก่ประชาชน ผู้มีรายได้น้อย เช่นการประกันสังคม กองทุนเลี้ยงชีพ 30 บาทรักษาทุกโรค การกำหนดค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำเพื่อป้องกันการเอาเปรียบผู้ใช้แรงงาน การสร้างงานในชนบท การสงเคราะห์คนชรา คนพิการเป็นต้น
ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
นักเศรษฐศาสตร์จะใช้รายได้ประชาชาติเป็นเครื่องมือในการวัดและวิเคราะห์กิจกรรมทางเศรษฐกิจว่ามีความเจริญเติบโต หรือตกต่ำ ปัญหาที่เกิดขึ้นและแนวทางแก้ไข รายได้ประชาชาติจึงเป็นตัวเลขที่แสดงถึงฐานะเศรษฐกิจของประเทศ การศึกษาการเปลี่ยนแปลงของรายได้ประชาชาติจะทำให้ทราบถึงความเคลื่อนไหวในทางเศรษฐกิจ องค์การสหประชาชาติ สนับสนุนให้ประเทศทั่วโลกจัดทำรายได้ประชาชาติเพื่อเป็นมาตรฐานทางเศรษฐกิจใช้วิเคราะห์และเปรียบเทียบกับประเทศต่างๆ
1. ความหมายของรายได้ประชาชาติ
รายได้ประชาชาติ หมายถึง มูลค่าที่เป็นตัวเงินของสินค้าและบริการขั้นสุดท้าย ที่ประชาชาติของประเทศผลิตได้ใน 1 ปี
รายได้ประชาชาติของไทย หมายถึง ผลรวมของค่าเช่า ค่าจ้าง เงินเดือน ดอกเบี้ยและกำไรที่ประชาชนคนไทยผลิตสินค้าและบริการในรอบ 1 ปี
รายได้ประชาชาติของไทย เริ่มจัดทำในปี พ.ศ. 2493 โดยกองบัญชีรายได้ประชาชาติสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี โดยนำเอารายได้ทั้งหมดที่เกิดจาก ค่าเช่า ค่าจ้าง ดอกเบี้ย และกำไร ของประชาชนที่ผลิตสินค้าและบริการในรอบ 1 ปี มารวมกัน
2. ความสำคัญของรายได้ประชาชาติ
รายได้ประชาชาติเป็นตัวเลขที่ชี้ให้เห็นว่าในปีนี้นั้นระบบเศรษฐกิจสามารถผลิตสินค้าและบริการรวมได้มากน้อยเพียงใด อย่างไร บัญชีรายได้ประชาชาติจึงมีความสำคัญและเป็นประโยชน์ดังนี้
1) รายได้ประชาชาติ เป็นเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจของประเทศ เป็นตัวบอกระดับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน เช่น ถ้ารายได้ประชาชาติสูงขึ้นแสดงว่าเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศเจริญรุ่งเรืองขึ้น ในทางตรงข้ามถ้ารายได้ประชาชาติลดลงแสดงว่าเศรษฐกิจถดถอยเข้าสู่ภาวะตกต่ำ
2) รายได้ประชาชาติบอกให้ทราบการผลิตในแต่ละสาขามีมูลค่าเท่าใด ผลผลิตส่วนใหญ่มาจากสาขาใด ทำให้ทราบถึงโครงสร้างการผลิตของประเทศนั้นว่าเป็นเกษตรกรรมหรืออุตสาหกรรมนอกจากนี้ทำให้ทราบรายได้ส่วนใหญ่ว่าอยู่ในประเภทใดระหว่าง ค่าเช่าค่าจ้าง ดอกเบี้ยและกำไร ตลอดจนรู้ข้อมูลการใช้จ่ายส่วนใหญ่ของประชาชน เป็นการใช้จ่ายในลักษณะใด เพื่อการอุปโภค บริโภค หรือการลงทุน
3) ตัวเลขรายได้ประชาชาติสามารถใช้เปรียบเทียบฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบันกับระยะเวลาที่ผ่านมา ขณะเดียวกันสามารถใช้เปรียบเทียบฐานะทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศได้อีกด้วย
4) ตัวเลขรายได้ประชาชาติสามารถใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดนโยบายและการวางแผนเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต
3. ประเภทของรายได้ประชาชาติ
รายได้ประชาชาติ แบ่งออกได้ ดังนี้
3.1 ผลิตภัณฑ์ในประเทศเบื้องต้น (GDP) คือ มูลค่ารวมของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตได้ภายในประเทศ ในระยะเวลาหนึ่ง โดย GDP จะคิดจากรายได้ของประชาชนทุกคนที่ทำรายได้ในประเทศและรวมถึงรายได้ของชาวต่างชาติที่ทำรายได้ในประเทศนั้นด้วย เช่น GDP ของประเทศไทยคิดจากรายได้ของคนไทยทั้งหมดที่ทำได้ในประเทศบวกกับรายได้ที่ชาวต่างประเทศทำได้ในประเทศไทยรวมทั้งการลงทุนและผลผลิตต่างๆ ของชาวต่างประเทศที่ทำการผลิตในประเทศไทยด้วย เป็นต้น
3.2 ผลิตภัณฑ์ประชาชาติเบื้องต้น (GDP) คือ มูลค่ารวมของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ประชาชนผลิตได้ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในระยะเวลาหนึ่ง เช่น GDP ของไทยเกิดจากรายได้ของประชาชนไทยในประเทศทั้งหมดรวมทั้งรายได้จากคนไทยที่ไปทำงานหรือลงทุนในต่างประเทศ แล้วส่งรายได้กลับประเทศไทย เป็น
3.3 ผลิตภัณฑ์ประชาชาติสุทธิ (NNP) คือ มูลค่ารวมของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายทั้งหมดหักด้วยค่าเสื่อมราคาของการใช้ทุน ผลิตภัณฑ์ประชาชาติสุทธิ (NNP) จึงเป็นผลิตภัณฑ์รวมตามราคา ตลาด จึงรวมถึง ค่าเช่า ค่าจ้าง ดอกเบี้ย และกำไร รวมทั้งภาษีทางอ้อมในทางธุรกิจด้วย
3.4 รายได้ประชาชาติ (NI) คือ ผลิตภัณฑ์ประชาชาติสุทธิ ที่คิดตามราคาปัจจัยการผลิต ได้แก่ ค่าใช้จ่ายโดยตรงในการผลิต คือ ค่าจ้าง ค่าเช่า ดอกเบี้ย และกำไร โดยหักภาษีทางอ้อมทางธุรกิจออก
3.5 รายได้ต่อหัว คือ รายได้ที่เกิดจากมูลค่าของสินค้าและบริการในราคาตลาดหารด้วยจำนวนประชากรของประเทศทั้งหมด
4. ประโยชน์ของการศึกษาเกี่ยวกับรายได้ประชาชาติ
4.1 ใช้ในการวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ระดับรายได้ประชาชาติเป็นเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ว่าเจริญก้าวหน้าหรือตกต่ำ และสามารถเปรียบเทียบอัตราความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ ว่ามีอัตราการเพิ่มของผลผลิตมากกว่าอัตราการเพิ่มของประชากรหรือไม่
4.2 ใช้ในการเปรียบเทียบมาตรฐานกาครองชีพของประชาชน ถ้ารายได้เฉลี่ยต่อบุคคลเพิ่มสูงขึ้นย่อมหมายถึง ประชาชนมีการกินดีอยู่ดีมากขึ้น หรือมีมาตรฐานการครองชีพสูงขึ้น
4.3 เป็นเครื่องมือในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ ตัวเลขรายได้ประชาชาติช่วยให้ทราบภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน และยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดนโยบายหรือการวางแผนเศรษฐกิจของประเทศไทยในอนาคต
การกำหนดค่าจ้างและราคาในระบบเศรษฐกิจ
1. การกำหนดค่าจ้าง
ค่าจ้าง คือ ค่าที่จ่ายให้แก่ผู้ใช้แรงงาน เนื่องจากการทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งค่าจ้างที่ได้รับจึงเป็นที่มาของรายได้ และเมื่อนำมารวมกันทั้งหมด ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของรายได้ประชาชาติ ค่าจ้างแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
1. ค่าจ้างที่เป็นตัวเงิน (Money Wage) คือ ค่าจ้างที่ได้รับจากนายจ้างที่จ่ายให้อาจเป็นรายวัน รายสัปดาห์หรือรายเดือน
2. ค่าจ้างที่แท้จริง (Real Wage) คือ การนำค่าจ้างที่เป็นตัวจริงลบด้วยอัตราเงินเฟ้อต่อปีซึ่งอัตราเงินเฟ้อสามารถคำนวณได้จากดัชนีราคาผู้บริโภคการกำหนดอัตราค่าจ้างจะขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานของแรงงาน คือ ถ้าอุปสงค์ของแรงงานมีมาก ความต้องการจ้างแรงงานมาก อัตราค่าจ้างจะสูงขึ้น แต่ถ้าอุปทานของแรงงานมีมาก จะทำให้ค่าจ้างลดลง
2. การกำหนดราคา
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดราคาของสินค้าและบริการ คือ กลไกของตลาดหรือปริมาณความต้องการในการซื้อและปริมาณความต้องการในการขายสินค้าชนิดนั้นนอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับต้นทุนการผลิต กล่าวคือ ถ้าต้นทุนการผลิตสูงขึ้นจะทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นตามไปด้วย
กล่าวโดยสรุป การกำหนดค่าจ้างและราคาจะแตกต่างกันตามระบบเศรษฐกิจ ถ้าเป็นระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม การกำหนดค่าจ้างและราคาเป็นไปตามกลไกตลาด ส่วนระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม และระบบเศรษฐกิจแบบผสม รัฐบาลสามารถเข้าแทรกแซงการกำหนดค่าจ้างและราคา เพื่อสร้างความเป็นธรรมในระบบเศรษฐกิจ เช่น รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงการการกำหนดค่าจ้างและราคา เพื่อสร้างความเป็นธรรมในระบบเศรษฐกิจ ได้แก่การประกาศปรับค่าแรงขั้นต่ำ ตามดัชนีราคาผู้บริโภค เพื่อดึงค่าจ้างแรงงานให้สูงขึ้น การที่รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงการกำหนดราคาสินค้าโดยการกำหนดราคาขั้นต่ำ และการกำหนดราคาขั้นสูง เป็นต้น
ราคาขั้นต่ำ
ราคาขั้นต่ำ หมายถึง ราคาต่ำสุดที่ถูกกำหนดขึ้นมาในระดับที่สูงกวา่ ราคาดุลยภาพอันเกิดจากการทำงานของกลไกตลาดที่รัฐบาลเข้าไปแทรกแซง ซึ่งมักจะใช้กับสินค้าในสาขาเกษตรกรรม เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร ทำให้เกษตรกรนำผลผลิตออกขายในตลาดได้มากขึ้น
ราคาขั้นสูง
ราคาขั้นสูง หมายถึง ราคาสูงสุดที่ถูกกำหนดขึ้นมาในระดับที่ต่ำกว่าราคาดุลยภาพอันเกิดจากการทำงานของกลไกตลาดที่รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงโดยการควบคุมราคาสินค้าบางชนิด เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ราคาสินค้าชนิดนั้น สูงเกินไป
ปัญหาของระบบเศรษฐกิจไทยและแนวทางแก้ไข
เนื่องจากระบบเศรษฐกิจไทยเปิดโอกาสให้เอกชนสามารถเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตและสามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างเสรี การผลิตสินค้าและบริการต่างๆ จึงมีขึ้นอย่างมากมาย ก่อให้เกิดการแข่งขันส่งผลให้ผู้ผลิตมีแรงกระตุ้นในการที่จะปรับปรุงเทคนิคการผลิตเพื่อให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพสูงและต้นทุนต่ำ ผู้ผลิตรายใดที่ไม่สามารถผลิตสินค้าที่มีราคาต่ำแต่คุณภาพสูงได้ก็จะขาดทุนและออกจากระบบการผลิตสินค้านั้นๆ ไปคงเหลือแต่ผู้ผลิตที่มีคุณภาพ ทำให้ผู้บริโภคได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากการแข่งขันดังกล่าวแต่สิ่งที่เป็นผลเสียตามมาก็คือเกิดการผูกขาดและกอบโกยผลประโยชน์ใส่ตัวมากขึ้น ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำและเกิดช่องว่างขึ้นในสังคม นั่นคือคนที่มีฐานะร่ำรวยก็จะรวยมากขึ้นส่วนคนที่มีฐานะยากจนก็ไม่ได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม ซึ่งรัฐบาลก็ได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวจะเห็นได้จากรายละเอียดของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้เน้นวัตถุประสงค์ในการกระจายรายได้ให้มีความเท่าเทียมกันมากขึ้น โดยการใช้มาตรการและนโยบายด้านการเงิน – การคลัง เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว เช่น การกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ การเพิ่มอัตราภาษีสำหรับสินค้าฟุ่มเฟือย การปรับอัตราภาษีเงินได้ ภาษีทรัพย์สิน กฎหมายป้องกันการผูกขาด เป็นต้น โดยเฉพาะมาตรการทางด้านภาษีนั้น รัฐบาลสามารถนำเงินที่ได้จากการเก็บจากผู้ที่มีฐานะร่ำรวยมากระจายให้กับผู้ที่มีรายได้น้อยในรูปของสวัสดิการต่างๆ เช่น การจัดตั้งโรงเรียนของรัฐบาล การสร้างที่อยู่อาศัยและการให้การรักษาพยาบาลฟรีแก่ผู้ที่มีรายได้น้อย การจัดให้มีการประกันสังคมกับแรงงาน การลดดอกเบี้ยสินเชื่อเพื่อการเกษตร เป็นต้น
สรุป
ระบบเศรษฐกิจแบ่งออกเป็น 3 ระบบ ใหญ่ๆ คือ ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม และระบบเศรษฐกิจแบบผสม ประเทศไทยใช้ระบบผสมที่เน้นทุนนิยม โดยรัฐบาลผลิตสินค้าและบริการเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานหรือสาธารณูปโภค ส่วนตัวเลขรายได้ประชาชาติ แสดงให้เห็นถึงความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ