1. ความหมายของการปกครองระบอบเผด็จการ
การปกครองระบอบเผด็จการ หมายถึง การปกครองที่ให้ความสำคัญแก่อำนาจรัฐและผู้ปกครองอำนาจรัฐจะอยู่เหนือเสรีภาพของบุคคล คณะบุคคลเดี่ยว หรือพรรคการเมืองเดี่ยว โดยจะถือประโยชน์ของรัฐมากกว่าของประชาชนการปกครองระบอบเผด็จการมีลักษณะแตกต่างจากประชาธิปไตย เพราะระบอบเผด็จการมุ่งให้ประชาชนมีส่วนร่วม “น้อยที่สุด” หรือ “ไม่มี” เลย อีกทั้งยังไม่ต้องการให้มีฝ่ายค้านแต่ต้องการให้มีการปฏิบัติตามอย่างเต็มที่ เพราะถือว่าฝ่ายค้านเป็นศัตรูหรืออุปสรรคของชาติ ระบอบเผด็จการเป็นระบอบการเมืองการปกครองที่มีมาช้านานแล้ว และได้วิวัฒนาการไปตามกาลเวลา ซึ่งผู้นำประเทศต่างๆ มีการนำระบอบเผด็จการมาปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทันสมัยและน่าเลื่อมใส เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของประชาชน
2. หลักการปกครองระบอบเผด็จการ
2.1 ยึดหลักรวมอำนาจการปกครองไว้ที่ส่วนกลางของประเทศ ให้อำนาจอยู่ในมือผู้นำเต็มที่
2.2 ยึดหลักการใช้กำลัง การบังคับและความรุนแรงเพื่อควบคุมประชาชนให้ปฏิบัติตามความต้องการของผู้นำ
2.3 ประชาชนต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามผู้นำอย่างเคร่งครัด ไม่มีสิทธิโต้แย้งในนโยบายหลักการของรัฐได้
2.4 สร้างความรู้สึกไม่มั่นคงในชีวิตให้แก่ประชาชน จนประชาชนเกิดความหวั่นวิตกเกรงกลัวอันทำให้อำนาจรัฐเข็มเข็ง
2.5 ไม่สนับสนุนให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองการปกครองของประเทศ
2.6 จำกัดสิทธิภาพของประชาชนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง
2.7 ยึดหลักความมั่นคง ปลอดภัยของรัฐเป็นสำคัญ ยกย่องอำนาจและความสำคัญของรัฐเหนือเสรีภาพของประชาชน
2.8 การให้ความสำคัญต่อการศึกษาความมั่นคงของอำนาจรัฐ ชาติและผู้นำ
2.9 ผู้นำหรือคณะผู้นำมักจะดำรงตำแหน่งอยู่นาน อาจนานตลอดชีวิต
2.10 ระบอบเผด็จการอาจอนุญาตให้มีการเลือกตั้งหรือมีรัฐธรรมนูญ โดยรัฐสภาจะต้องออกกฎหมายที่รัฐบาลเผด็จการเห็นสมควรเท่านั้น รัฐสภาไม่มีสิทธิลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลอำนาจของศาลมีจำกัด ไม่มีสิทธิที่จะพิจารณาคดีทางการเมือง หรือพิจารณาได้แต่ต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลเผด็จการ
3. ประเภทของการปกครองระบอบเผด็จการ
การปกครองระบอบเผด็จการแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
3.1 ระบอบเผด็จการอำนาจนิยม (Authoritarianism)
ลักษณะสำคัญของระบอบเผด็จการอำนาจนิยมคือ อำนาจการปกครองจะผูกขาดอยู่ในมือของคนกลุ่มเดียว คือ รัฐบาลและจะจำกัดสิทธิเสรีภาพทางการเมืองของประชาชน เช่น ห้ามประชาชนวิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ห้ามแสดงความคิดเห็นที่เป็นปรปักษ์กับรัฐบาล ห้ามเผยแพร่บทความด้านประชาธิปไตย ห้ามชุมชนประท้วงรัฐบาลสรุปก็คือห้ามทำกิจกรรมการเมืองทุกกิจกรรม
แต่สิ่งที่ระบอบเผด็จการอำนาจนิยมยังสามารถให้เสรีภาพกับประชาชน คือ ด้านเศรษฐกิจและสังคม ได้แก่
1) ประชาชนมีเสรีภาพที่จะเลือกนับถือศาสนา
2) มีเสรีภาพในการดำรงชีวิตส่วนตัว
3) มีสิทธิในครอบครัว
4) สามารถก่อตั้งกลุ่มเศรษฐกิจและสังคมได้ เช่น จัดตั้งสมาพันธ์ และสมาคมต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง
5) มีเสรีภาพในทางเศรษฐกิจ เช่น เศรษฐกิจ เช่น สามารถเลือกประกอบอาชีพได้ เป็นต้น หากกิจกรรมใดคุมคามต่อเสถียรภาพของรัฐบาลก็จะถูกห้าม
ระบอบเผด็จการอำนาจนิยมแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ เผด็จการอำนาจนิยมทหารและระบอบเผด็จการฟาสซิสต์
3.1.1 ระบอบเผด็จการทหาร
ระบอบเผด็จการทหาร เป็นระบอบที่ผู้นำฝ่ายทหารเป็นผู้ใช้อำนาจเผด็จการปกครองประเทศโดยตรง โดยใช้กฎอัยการศึกหรือรัฐธรรมนูญเผด็จการที่รัฐบาลหรือคณะของคนสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือการลิดรอนสิทธิเสรีภาพทางการเมืองของประชาชนและเป็นเครื่องมือในการปกครองของประเทศ
รัฐบาลเผด็จการทหารของทุกประเทศมักจะใช้วิธีเดียวกันในการคุมอำนาจกล่าวคือ ในช่วงที่ประเทศได้รับภัยคุมคามจากคอมมิวนิสต์ หรือมีภัยคุมคามด้านความมั่นคง หรือเกิดความระส่ำระสายภายในประเทศ หรืออยู่ในภาวะสงคราม ฯลฯ ผู้นำฝ่ายทหารจะใช้ช่วงจังหวะดังกล่าวทำการยึดอำนาจ โดยฝ่ายผู้นำทหารมักจะให้คำสัญญาว่าเมื่อประเทศคืนสู่ภาวะปกติก็จะคืนอำนาจการปกครองหรืออำนาจอธิปไตยให้ประชาชนดังเดิมแต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปก็จะยังคงอยู่ในอำนาจโดยอ้างว่าสถานการณ์ด้านความมั่นคงยังไม่เป็นที่ไว้วางใจ จนกระทั่งประชาชนหมดความอดทนต่อระบอบเผด็จการ จึงทำการเรียกร้องเดินขบวน ในที่สุดก็สามารถโค่นล้มระบอบเผด็จการทหารได้ ตัวอย่างการเรียกร้องประชาธิปไตยของประชาชนเช่น ในประเทศไทย คือเหตุการณ์วันมหาวิปโยคหรือวันที่14 – 16 ตุลาคม 2516 เหตุการณน์ องเลือดวันที่ 6 ตุลาคม 2519 เหตุการณน์ องเลือด 17 พฤษภาคม 2535 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศฟิลิปปินส์เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยจากประธานาธิบดีมาร์กอส จนประธานาธิบดีมาร์กอสต้องหนีไปต่างประเทศ เป็นต้น
3.1.2 ระบอบเผด็จการฟาสซิสต์
ระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ เป็นระบอบเผด็จการที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มนักธุรกิจและกองทัพ มีชื่อสิทธิทางการเมืองว่า “ลิทธิฟาสซิสม์” เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศอิตาลีชว่ งหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยมีผูน้ ำคือมุสโสลินีในสมัยป ี พ.ศ. 2473 – 2486ต่อมาได้ประสานสอดคล้องกับขบวนการทางการเมืองของเยอรมัน นั่นคือ “ขบวนการนาซี” ซึ่งมีฮิตเลอร์ เป็นผู้นำในสมัยปี พ.ศ. 2476 – 2488
แม้ว่าเผด็จการนาซีจะมีหลักการคล้ายคลึงกับฟาสซิสต์ แต่หลักการชาตินิยมของเผด็จการนาซีจะรุนแรงกว่าเผด็จการฟาสซิสต์ กล่าวคือ เผด็จการนาซีมีความเชื่อว่า มนุษย์แต่ละชาติพันธุ์มีความสามารถต่างกัน ชนชาติเยอรมันเป็นชาติพันธุ์ที่เข็มแข็งฉลาดที่สุด จึงสมควรที่จะเป็นปกครองโลก รวมทั้งการโยนความผิดของทุกปัญหา เช่นปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ตัวการสำคัญที่กัดกร่อนเศรษฐกิจของเยอรมัน ฯลฯ ไปให้ชาวยิวเป็นแพะรับบาป ชาวยิวนับพันนับหมื่นคนจึงต้องสูญเสียชีวิตเพราะลัทธิชาตินิยมของนาซี
ระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ จะมีนโยบายการขยายอาณาเขตเป็นจักรวรรดินิยมดังจะเห็นได้จากหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีการประชุมของสหประชาชาติซึ่งทุกชาติที่ประชุมต่างเห็นต้องต้องกันว่า ลัทธิจักรวรรดินิยมเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดสงครามโลกทั้ง 2 ครั้งดังนั้น ประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์และสเปน จึงปลดปล่อยประเทศในอาณานิคมของตน เช่น มาเลเซีย อินเดีย พม่า เวียดนาม กัมพูชา ลาวอินโดนีเซีย ฯลฯ พร้อมกันนี้ประเทศเยอรมันก็ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือเยอรมันตะวันออกมีรัสเซียเป็นผู้ควบคุม และเยอรมันตะวันตกมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ควบคุม ญี่ปุ่นถูกสหรัฐอเมริกาเปน็ ผูค้ วบคุม ทำใหลั้ทธิเผด็จการฟาสซิสตซ์ ึ่งเปน็ ลัทธิจักรวรรดินิยมสูญสิ้นไป
3.2 ระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จนิยม (Totalitarianism)
ประชาชนถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพทุกด้าน คือ ทั้งด้านการเมืองการปกครองเศรษฐกิจ และสังคม รวมทั้งถูกควบคุมในด้านวิถีชีวิตความเป็นอยู่ การศึกษา มีการลงโทษผู้แสดงตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลอย่างรุนแรง
กล่าวคือ ระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จนิยม ไม่เพียงควบคุมประชาชนในด้านการเมือง เช่น ห้ามการแสดงความคิดเห็น การรวมกลุ่ม การชุมชนที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลยังควบคุมทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมอีกด้วย เช่น ศาสนา (สอนว่าศาสนาเป็นสิ่งงมงาย)วัฒนธรรมและการศึกษา (รัฐหรือคอมมูนจะทำหน้าที่ช่วยพ่อแม่ในการเลี้ยงดูเด็กในช่วงที่พ่อแม่ไปทำงานและจะสอนให้เด็กรับใช้สังคม ซึ่งหมายถึงชนชั้นกรรมาชีพหรือชนชั้นกรรมกร การศึกษาในระดับสูงก็ยังคงเน้นการรับใช้ชนชั้นกรรมาชีพ) หรือแม้แต่การประกอบอาชีพ การพักผ่อนหย่อนใจ ทุกอย่างทำเพื่อชนชั้นกรรมาชีพทั้งสิ้น ระบอบเผด็จการประเภทนี้เข้าไปควบคุมทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจสังคม รวมทั้งความคิดจิตสำนึกของคนในสังคม
4. ความเชื่อของระบอบเผด็จการ
การปกครองระบอบเผด็จการไม่ว่าจะเป็นประเภทใด มีความเชื่อดังนี้
4.1 รัฐหรือพรรคที่ปกครองรัฐเป็นผู้ที่สามารถนำความผาสุกมาสู่ประชาชนอย่างแท้จริง ฉะนั้น ประชาชนจึงต้องเห็นคุณค่าของรัฐและต้องให้ความช่วยเหลือกิจการของรัฐทุกประการ
4.2 จุดหมายของรัฐ ความต้องการของพรรคถือเป็นวัตถุประสงค์สำคัญประการแรกสิทธิเสรีภาพของประชาชนไม่มีความสำคัญเท่ากับความต้องการของพรรคหรือรัฐ
4.3 เชื่อว่ารัฐหรือพรรคมีอำนาจ มีฐานะเหนือประชาชนทั่วไป
4.4 ประชาชนย่อมเกิดมาเพื่อเป็นเครื่องมือรัฐ และมีหน้าที่ประการเดียว คือให้ความร่วมมือต่อรัฐ เชื่อฟังรัฐ เพื่อให้รัฐได้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
4.5 รัฐหรือพรรคที่ปกครองรัฐ ควรจะอำนาจ มีสิทธิ ประชาชนมีหน้าที่เพียงอย่างเดียว
5. ข้อดีและข้อเสียของการปกครองระบอบเผด็จการ
5.1 ข้อดีของการปกครองระบอบเผด็จการ
1) สามารถตัดสินปัญหาต่างๆ ได้รวดเร็วว่าระบออบประชาธิปไตย เพราะไม่ต้องรอผลประชุม
2) การแก้ปัญหาบางอย่าง สามารถทำได้ดีกว่าระบอบประชาธิปไตย เช่นการปราบการจลาจล การก่อการร้ายหรือปัญหาที่เป็นภัยต่อสังคม เพราะสามารถใช้วิธีการที่รุนแรงและเฉียบขาดกว่า
3) สามารถแก้ปัญหาวิกฤตหรือเหตุการณ์ฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว
4) มีกำลังกองพันและอาวุธเข้มแข็ง เป็นที่ยำเกรงของประเทศเพื่อนบ้าน
5) มีส่วนให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในการพัฒนาประเทศด้านต่าๆ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ
6) มีส่วนก่อให้เกิดการปกครองที่มีประสิทธิภาพเพราะมีการใช้อำนาจบังคับโดยเด็ดขาดและรวดเร็วทันทีทันใด ทำให้ข้าราชการของรัฐมีความกระตือรือร้น
5.2 ข้อเสียของการปกครองระบอบเผด็จการ
1) เป็นการลิดรอนสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของการเมืองการปกครอง
2) เป็นการปกครองของคนกลุ่มน้อย จึงทำให้เกิดคงวามผิดพลาดในการทำงานได้ง่าย
3) มุ่งผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มหรือพรรคพวกของตน
4) จำกัดและขัดขวางสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
5) สกัดกั้นมิให้ผู้มีความสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าของประเทศ
6) บ้านเมืองไม่สงบสุขมีผู้ต่อต้านด้านใช้กำลังอาวุธเข้าต่อสู้กับรัฐบาล
7) ผู้ปกครองอาจเหลิงอำนาจหรือปล่อยให้พรรคพวกบริวารเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่สุจริต
8) เปิดช่องให้มหาอำนาจเข้ามาแทรกแซงได้
9) ก่อให้เกิดการนองเลือดติดตามมาในภายหลัง เพราะประชาชนย่อมต้องเรียกร้องอำนาจอธิปไตยกลับคืน
10) นำประเทศไปสู่ความหายะ เช่น ฮิตเลอร์ มุสโสลินี และนายพลโตโจ นำประเทศเยอรมัน อิตาลีและญี่ปุ่นเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 และแพ้สงครามในที่สุด