1. จุดเริ่มต้นของระบอบประชาธิปไตย “ยุคโบราณ” มีหลายประเทศ เช่น
1.1 ประเทศกรีก
ระบอบประชาธิปไตย มีจุดเริ่มต้น เกิดขึ้น ณ นครรัฐกรีกโบราณ ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 ซึ่งเป็น “ยุคโบราณ” หรือบางที่ เรียกว่า “ยุคกรีซโบราณ” โดยในยุคนี้ถือว่าเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย “โดยทางตรง” ซึ่งแต่เดิมนั้น มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบ “เอเธนส์” กล่าวคือ
1. มีการคัดเลือกพลเมืองธรรมดาจำนวนมาก เข้าสู่ระบบรัฐบาล และศาล
2. มีการชุมนุมของพลเมืองทุกชนชั้น โดยชายชาวเอเธนส์ทุกคนจะได้รับอนุญาตให้อภิปรายและลงคะแนนเสียง ในสมัชชาได้ แต่คำว่า “พลเมือง” นั้นไม่รวมไปถึง “ผู้หญิง” และ “ทาส” ซึ่งจากจำนวนประชาชนผู้อยู่อาศัย กว่า 250,000 คน จะมีผู้ได้รับสถานการณ์เป็น “พลเมือง” เพียง 30,000 คนเท่านั้น และคนที่จะไปปรากฏตัวในสมัชชาประชาชนเพียง 5,000 คนเท่านั้น
1.2 ประเทศซีเรีย
ประเทศซีเรียในยุคโบราณเป็นเพียงเกาะชื่อ “เกาะอาร์วัด” ได้ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อ คริสต์สหัสวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาลโดยชาว “ฟินิเซียน” ซึ่งถูกนับว่า เป็นตัวอย่างของประชาชาธิปไตยที่พบในโลก เนื่องจาก ประชาชนจะถืออำนาจ “อธิปไตย” ของตนเอง
1.3 ประเทศอินเดีย
ประเทศอินเดีย เป็นอีกประเทศหนึ่งซึ่งมีการพิจารณาได้ว่ามีการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยการปกครองของ “เวสาลี” (ปัจจุบัน คือ รัฐพิหาร” นับเป็นรัฐบาลแรกของโลก แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีเสียงคัดค้านว่า “เวสาลี” น่าจะเป็นการปกครอง แบบ“คณาธิปไตย” มากกว่า
1.4 สาธารณรัฐโรมัน
ส่วนสาธารณรัฐโรมันนั้น ก็มีการสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยเช่นมีการออกกฎหมาย แต่ก็ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ เนื่องจาก ชาวโรมันมีการเลือกผู้แทนเข้าสู่สภาก็จริง แต่ไม่รวมถึงสตรี ทาสและคนต่างด้าวที่มีมากจำนวนมหาศาล
2. ยุคกลาง
ในช่วงยุคกลาง ได้มีรูปแบบหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งหรือสมัชชาถึงแม้ว่าบ่อยครั้ง จะเปิดโอกาสให้กับประชาชนเพียงส่วนน้อยเท่านั้น อย่างเช่น เครือจักรภพโปแลนด์ – ลิทัวเนีย ในนครรัฐเวนิช ช่วงอิตาลียุคกลาง รัฐในไทรอลเยอรมัน และสวิตเซอร์แลนด์ รวมไปถึงนครพ่อค้าอิสระซะไก ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ในญี่ปุ่น เนื่องจากการปกครองรูปแบบต่างๆ ที่กล่าวมานั้นประชาชนมีส่วนร่วมเพียงส่วนน้อยเท่านั้น จึงมักจะถูกจัดว่าเป็นคณาธิปไตยมากกว่า และดินแดนยุโรปในสมัยนั้นยังคงปกครองภายใต้นักบวชและขุนนางในยุคศักดินาเป็นส่วนมาก
อย่างไรก็ตามในช่วง “ยุคกลาง” รูปแบบการปกครองของหลายประเทศก็มีลักษณะใกล้เคียงกัน “ระบอบประชาธิปไตย” แต่ก็ยังเป็นประชาธิปไตยที่ไม่สมบูรณ์ เช่น
2.1 ระบบกลุ่มสาธารณรัฐคอสแซ็คในยูเครน (คริสต์ศักราช 16 – 17) มีการเปิดโอกาสให้ผู้แทนจากตำบลต่างๆ เลือกตำแหน่งสูงสุด ซึ่งเรียกว่า “เฮ็ดมัน”(Hetman) แต่เนื่องจากสาธารณรัฐคอสแซ็คเป็นรัฐทางการทหารอย่างเต็มตัว จึงทำให้การเลือก “เฮ็ดมัน” จำกัดอยู่เฉพาะผู้รับราชการทหารคอสแท็คเท่านั้น
2.2 ประเทศอังกฤษ (ค.ศ. 1265) แม้จะมีการจัดตั้งรัฐสภาพที่มาจากการเลือกตั้งก็จริง แต่ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของกษัตริย์ มากกว่าเสียงของประชาชน ดังนั้นภายหลังจากมีการปฏิบัติ ในปี ค.ศ. 1688 และมีการบังคับใช้พระราชบัญญัติสิทธิในปี ค.ศ.1689 ทำให้ประชาชนมีสิทธิในการเลือกสมาชิกรัฐสภาเพิ่มมากขึ้นทีละน้อย จนกระทั่ง
กษัตริย์เป็นประมุขแต่เพียงในนามเท่านั้น
2.3 สหพันธ์ไอโรโควอิส (Inqeeois Confederacy) รูปแบบประชาธิปไตยของสหพันธ์ไอโรโควอิส ปรากฏ ในแบบการปกครอง “ระบบชนเผ่า” ซึ่งผู้ที่จะสามารถเป็นผู้นำได้ต้องมาจาก สมาชิกเพศชายของ “ชนเผ่า” เท่านั้น
3. คริสต์ศตวรรษที่ 18 – 19
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1 8 -19 ก็ได้เห็นพัฒนาการของระบอบประชาธิปไตยชัดเจนขึ้น สมบูรณ์ขึ้นกว่ายุคกลาง หลายประเทศ ถึงแม้ว่าจะเป็นประชาธิปไตยที่เคารพเสียงส่วนน้อยก็ตาม เช่น
3.1 ประเทศสหรัฐอเมริกา (ค.ศ. 1788) แม้ว่าจะไม่มีคำจำกัดความของคำว่าประชาธิปไตย แต่ว่าเหล่าผู้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกาได้กำหนดรากฐานของแนวปฏิบัติของอเมริกันเกี่ยวกับเสรีภาพและความเท่าเทียมให้กับบุรุษเจ้าจองที่ดินผิวขาว รัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1788 เป็นต้นมา ได้กำหนดให้มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง รวมไปถึงการปกป้องสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
3.2 ประเทศฝรั่งเศส (ค.ศ. 1789) ในปี ค.ศ. 1789 ภายหลังจากการปฏิวัติฝรั่งเศส ได้มีการประกาศใช้คำประกาศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและสิทธิพลเมือง และมีการเลือกตั้งสมัชชาแห่งชาติฝรั่งเศส โดยบุรุษทุกคน แต่ก็มีอายุไม่ยืนยาวนัก
3.3 ประเทศนิวซีแลนด์ (ค.ศ. 1867) แนวซีแลนด์ได้ให้สิทธิการเลือกตั้งกับชาวเมารีพื้นเมืองในปี ค.ศ. 1867 ชายผิวขาวในปี พ.๕. 1876 และผู้หญิงในปี ค.ศ.1893 ซึ่งนับเป็นประเทศแรกที่ให้สิทธิการเลือกตั้งกับพลเมืองทั้งหมด แต่สตรียังไม่ได้รับอนุญาตให้สมัครรับเลือกตั้งได้จนกระทั่งปี ค.ศ. 1910
สรุป
ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ประชาธิปไตยที่เคารพเสียงข้างน้อยยังคงมีอายุสั้น และหลายประเทศมักจะกล่าวอ้างว่าตนได้ให้สิทธิการเลือกตั้งกับพลเมืองทั้งหมดแล้ว
4. ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20
4.1 ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยที่เคารพสิทธิของเสียงข้างน้อยจำนวนมาก จนทำให้เกิด “กระแสประชาธิปไตย” ซึ่งประสบความสำเร็จในหลายพื้นที่ของโลก ซี่ง มักเป็นผลมาจากสงครามการปฏิวัติ การปลดปล่อยอาณานิคม และสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและศาสนา
ภายหลังจากการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และการลม่ สลายของจักรวรรดิออสเตรีย – ฮังการี และจักวรรดิออตโตมัน ทำให้เกิดรัฐชาติจำนวนมากในทวีปยุโรป ซึ่งส่วนใหญ่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1920 ระบอบประชาธิปไตยได้มีการเจริญขึ้น แต่ผลของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ได้ทำให้ความเจริญดังกล่าวหยุดชะงักลง และประเทศในแถบยุโรป ละตินอเมริกา และเอเชีย ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปสู่การปกครองในระบอบเผด็จการมากขึ้น ทำให้เกิดเป็นสิทธิฟาสซิสต์ ในนาซีเยอรมนี อิตาลี สเปนและโปรตุเกส รวมไปถึงรัฐเผด็จการในแถบคาบสมุทรบอลติกคาบสมุทรบอลข่าน บราซิล คิวบา สาธารณรัฐจีนและญี่ปุ่น เป็นต้น
ภายหลังจากการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้เกิดผลกระทบในด้านตรงกันข้ามในทวีปยุโรปตะวันตก ความสำเร็จในการสร้างระบอบประชาธิปไตยในออสเตรียอิตาลี และญี่ปุ่นสมัยยึดครอง ซึ่งได้เป็นต้นแบบของทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง อย่างไรก็ตาม กลุ่มประเทศในยุโรปตะวันออก รวมไปถึงเขตยึดครองของโซเวียตในเยอรมันนี ซึ่งถูกบังคับให้มีการเปลี่ยนแปลงไปสู่การปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ตามค่ายตะวันออก หลังจากการสิ้นสุดของสงครามโลกครังที่สองยังส่งผลให้เกิดการปลดปล่อยอาณานิคม และประเทศเอกราชใหม่ส่วนใหญ่จะสนับสนุนให้มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และอินเดียได้กลายมาเป็นประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก และดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ในช่วงหนึ่งทศวรรษภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ชาติตะวันตกที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยส่วนใหญ่ได้มีระบบเศรษฐกิจแบบผสม และดำเนินการตามรูปแบบรัฐสวัสดิการ สะท้อนให้เห็นถึงความสอดคล้องกันระหว่างราษฎรกับพรรคการเมืองในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1950 และ 1960เศรษฐกิจทั้งในกลุ่มประเทศตะวันตกและกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ ในภายหลังเศรษฐกิจที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลได้ลดลง เมื่อถึงปี ค.ศ.1960 รัฐชาติส่วนใหญ่ได้มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ถึงแม้ว่าประชากรส่วนใหญ่ของโลกจะยังคงมีการจัดการเลือกตั้งแบบตบตา และการปกครองในรูปแบบอื่นๆ อยู่
กระแสของการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบประชาธิปไตย นำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าของรูปแบบ ประชาธิปไตยที่เคารพสิทธิของเสียงข้างน้อยในหลายรัฐชาติ เริ่มจากสเปนโปรตุเกส ในปี ค.ศ. 1974 รวมไปถึงอีกหลายประเทศในทวีปอเมริกาใต้ เมื่อถึงปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 และต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงมาจากระบอบเผด็จการทหาร มาเป็นรัฐบาลพลเรือน ตามด้วยประเทศในเอเชียตะวันออกและเอเชียใต้ ระหว่างช่วงต้นถึงกลางคริสต์ทศวรรษ 1980 และเนื่องจากความเสื่อมถอยทางเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียต รวมไปถึงความขัดแย้งภายในทำให้สหภาพโซเวียตล่มสลาย และนำไปสู่จุดสิ้นสุดของสงครามเย็น ตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองภายในกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกในค่ายตะวันออกเดิม
นอกเหนือจากนั้น กระแสของระบอบประชาธิปไตย ได้แพร่ขยายไปถึงบางส่วนของทวีปแอฟริกา ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแอฟริกาใต้ ความพยายามบางประการในการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองยังพบเห็นอยู่ในอินโดนีเซียยูโกสลาเวีย ยูเครน เลบานอนและคีร์กีซสถาน
4.2 ระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย
ประเทศไทยได้เข้าสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ.2475 สมัยรัชกาลที่ 7 โดยมีเหตุการณ์สำคัญที่แสดงถึงความพยายามที่จะพัฒนาประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ดังนี้
1) เหตุการณ์สมัยประชาธิปไตย พ.ศ. 2475 – 2535 (สมัยรัชกาลที่7 – ก่อน 14 ตุลาคม 2516) รูปแบบการปกครองสมัยรัชกาลที่ 6 -7 ยังคงยึดรูปแบบการปกครองสมัยรัชกาลที่ 5 มีการปรับปรุงแก้ไขบ้างเพียงเล็กน้อย ทั้ง 2 พระองค์ได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่คงจะมีขึ้นในภายข้างหน้า สมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการจัดตั้ง“ดุสิตธานี” ให้เป็นนครจำลองในการปกครองแบบประชาธิปไตย จนเมื่อวันที่ 24 มิถุนายนพ.ศ. 2475 หลังจากที่รัชกาลที่ 7 ทรงครองราชย์ได้ 7 ปี คณะผู้ก่อการซึ่งเรียกตัวเองว่า“คณะราษฎร์” ประกอบด้วยทหารบก ทหารเรือและพลเรือน จำนวน 99 คน ได้ทำการยึดอำนาจ และเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราช หรือ “ราชาธิปไตย”มาเป็นระบบการปกครองแบบ “ประชาธิปไตย” และได้อัญเชิญรัชกาลที่ 7 ขึ้น เป็นกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ นับได้ว่ารัชกาลที่ 7 ทรงเป็นกษัตริย์องค์แรกในระบอบประชาธิปไตย
2) มูลเหตุของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
1. ภาวะเศรษฐกิจตกตํ่าทั่วโลก หลังสงครามโลก รัฐบาลตอ้ งการลดรายจา่ ยโดยปลดข้าราชการบางส่วนออก ผู้ถูกปลดไม่พอใจ
2. ผู้ที่ไปเรียนจากต่างประเทศเมื่อกลับมาแล้วต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศให้ทันสมัยเหมือนประเทศที่เจริญแล้ว
3. ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงระหว่างข้าราชการและประชาชน จึงต้องการสิทธิเสมอภาคกัน
4. ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชยไ์ มส่ ามารถแกป้ ญั หาพื้นฐานชีวิตของราษฎรได้
3) ลักษณะการปกครองหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
1. พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ
2. รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ
3. อำนาจอธิปไตย เป็นของปวงชนชาวไทยและเป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ
4. ประชาชนใช้อำนาจอธิปไตยผ่านทางรัฐสภา รัฐบาลและศาล
5. ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน
6. ประชาชนเลือกตัวแทนในการบริหารประเทศ ซึ่งเรียกว่า รัฐบาล หรือคณะรัฐมนตรี
7. ในการบริหารราชการแผ่นดิน แบ่งเป็น 3 ส่วนคือ
1) การปกครองส่วนกลาง แบ่งเป็น กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ
2) การปกครองส่วนภูมิภาค แบ่งเป็น จังหวัด และอำเภอ
3) การปกครองส่วนท้องถิ่นแบ่งเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัดเทศบาล สุขาภิบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล
การเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยเป็นไปอย่างสงบไม่รุนแรงเหมือนบางประเทศอย่างไรก็ตามลักษณะการเมืองการปกครองมิได้เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ อำนาจบางส่วนตกอยู่กับผู้นำทางการเมือง หรือผู้บริหารประเทศ มีการขัดแย้งกันในด้านนโยบายมีการแย่งชิงผลประโยชน์ เป็นเหตุให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหารขึ้นหลายครั้งระบบการปกครองของไทย จึงมีลักษณะกลับไปกลับมาระหว่างประชาธิปไตยกับคณาธิปไตย (การปกครองโดยคณะปฏิวัติ)
4) ประชาธิปไตย หลัง 14 ตุลาคม 2516
จอมพลถนอม กิตติขจร ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2511 หลังมีการประกาศใช้รัฐธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 ซึ่งใช้เวลาร่างถึง 10 ปี แต่หลังจากบริหารประเทศมาเพียง 3 ปีเศษ จอมพลถนอม กิตติขจร และคณะได้ทำการปฏิวัติตนเองและล้มเลิก รัฐธรรมนูญฉบับนี้ เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 และได้เข้าควบคุมการบริหารประเทศ ในฐานะหัวหน้าคณะปฏิวัติ การบริหารประเทศโดยคณะปฏิวัติ ซึ่งนำโดย จอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร และ พ.อ.ณรงค์ กิตติขจรหรือกลุ่ม ถนอม ประภาส – ณรงค์ ถูกมองว่าเป็นการทำการปฏิวัติเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและกลุ่ม มีการคอร์รัปชั่นเกิดขึ้นมากมายในที่สุด นิสิต นักศึกษา และประชาชนได้ร่วมกันเรียกร้องรัฐธรรมนูญและขับไล่รัฐบาล จนนำไปสู่เหตุการณ์นองเลือดในวันที่ 14ตุลาคม 2516 ซึ่งเรียกเป็น “วันมหาวิปโยค” และในที่สุดจอมพลถนอม กิตติขจร และคณะต้องลาออกจากตำแหน่งและเดินทางออกนอกประเทศภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีระยะหนึ่งในระยะนี้ถือว่าเป็นการตื่นตัวในทางประชาธิปไตยอย่างมาก มีการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพมากขึ้น มีการจัดหยุดงาน (Strife) มีการแสดงออกในทางเสรีภาพด้านการพูด การเขียน จำนวนหนังสือพิมพ์ได้มีออกจำหน่ายมากขึ้น มีกลุ่มพลังทางการเมืองเกิดขึ้นมากมาย มีการเดินขบวน เพื่อเรียกร้องสิทธิและผลประโยชนห์ ลายครั้งเหตุการณเ์ หลา่ นี้ไดส้ รา้ งความเบื่อหนา่ ยใหกั้บประชาชนเรื่อยมาอีกทั้งคุณภาพของผู้แทนราษฎรไม่ดีไปกว่าเดิม นิสิตนักศึกษาได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวในเหตุการณ์วุ่นวายต่างๆ
จนในที่สุดเกิดวิกฤติการณ์นองเลือด 6 ตุลาคม 2519 ทหารในนาม “คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน” ได้เข้ายึดอำนาจจากรัฐบาล ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช และคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินได้แต่งตั้งนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี นายธานินทร์กรัยวิเชียร บริหารประเทศมาได้เพียง 1 ปีคณะปฏิรูปฯ ได้ยึดอำนาจอีกครั้งหนึ่ง และครั้งหลังนี้ได้แต่งตั้งพลเอก เกรียงศักดิ์ชมะนันท์ เป็นนายกรัฐมนตรี พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เป็นนายกรัฐมนตรีถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2523 จึงได้ลาออกจากตำแหน่ง
พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจาก พลเอกเกรียงศักดิ์ชมะนันท์ ดำรงตำแหน่งมาจนถึงวันที่ 4 สิงหาคม 2531 รวมระยะเวลา 8 ปีเศษ ได้มีการปรับปรุงคณะรัฐบาลหลายครั้ง ในระหว่างดำรงตำแหน่ง มีผู้พยายามทำการรัฐประหารถึง 2 ครั้ง แต่ไม่สำเร็จ สมัย พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้ชื่อว่าเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญทางด้านการเมืองการปกครองมีการพัฒนาโครงสร้างทางการเมือง ให้เข้มแข็งรวมถึงการพัฒนาโครงสร้างทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้ก้าวหน้าด้วย
พลเอกชาติชาย ชุณหะวัน ไดข้ ึ้นเปน็ นายกรัฐมนตรี ตอ่ จากพอเอกเปรม ติณสูลานนท ์เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2531 และถือได้ว่าเป็นคณะรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นความชอบธรรมในกระบวนการบริหารตามระบอบประชาธิปไตย
รัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ได้ถูกคณะทหารซึ่งเรียกตนเองว่า คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติทำการยึดอำนาจ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 และได้แต่งตั้งให้ นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี
คณะรัฐบาลของนายอนันท์ ปันยารชุน ทำการบริหารประเทศมาได้ปีเศษจึงพ้นจากตำแหน่งไปเมื่อมีรัฐบาลชุดใหม่นำโดย พลเอกสุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรีรัฐบาลโดยพลเอก สุจินดา คราประยูร ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งจึงถูกต่อต้านจากพรรคการเมืองบางพรรค นิสิตนักศึกษาและประชาชนบางกลุ่ม จนนำไปสู่เหตุการณ์“พฤษภาทมิฬ” เมื่อวันที่ 15 – 17 พฤษภาคม 2535 ในที่สุด พลเอกสุจินดา คราประยูรได้ลาออกจากตำแหน่ง
นายอานันท์ ปันยารชุน ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง โดยมีเป้าหมายสำคัญที่การยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่และเมื่ออยู่ในตำแหน่งได้ประมาณ 3 เดือนเศษ จึงได้ทำการยุบสภา เมื่อมีการเลือกตั้งใหม นายชวน หลีกภัย ไดเ้ ปน็ นายกรัฐมนตรี ตั้งแตวั่นที่ 23 กันยายน 2535 เป็นต้นมา
บทสรุป
จนถึงปัจจุบันนี้ ทั่วโลกได้มีประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย จำนวน 123 ประเทศ (ค.ศ. 2007) และกำลังมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งไดมี้การคาดเดากันวา่กระแสดังกล่าวจะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ที่ซึ่งประชาธิปไตยที่เคารพสิทธิของเสียงข้างน้อยจะกลายเป็นมาตรฐานสากลสำหรับสังคมมนุษยชาติ สมมุติฐานดังกล่าวเป็นหัวใจหลักของทฤษฎี “จุดสิ้นสุดของประวัติศาสตร์” โดยฟรานซิส ฟุกุยะมะ ซึ่งทฤษฎีดังกล่าวเป็นการวิพากษ์วิจารณ์บรรดาผู้ที่เกรงกลัวว่าจะมีวิวัฒนาการของประชาธิปไตยที่เคารพสิทธิของเสียงข้างน้อยไปยังยุคหลังประชาธิปไตย และผู้ที่ชี้ให้เห็นถึงประชาธิปไตยไม่เสรี