1. ความหมายและความสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจ
การพัฒนาเศรษฐกิจ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจให้อยู่ในภาวะที่เหมาะสม เพื่อทำให้รายได้ที่แท้จริงเฉลี่ยต่อบุคคลเพิ่มขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง อันเป็นผลทำให้ประชากรของประเทศมีมาตรฐานการครองชีพสูงขึ้น
การพัฒนาเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ จะมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ เนื่องจากทรัพยากรการผลิต สภาพภูมิศาสตร์ ตลอดจนพื้นฐานทางวัฒนธรรมไม่เหมือน กัน แต่อย่างไรก็ตาม ในแต่ละประเทศ ยังคงมีจุดมุ่งหมายที่เหมือนกันประการหนึ่งคือ มุ่ง ให้เกิดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพ เพื่อให้ประชากรของประเทศอยู่ดี กินดีนั่นเอง
การพัฒนาเศรษฐกิจ หากทำได้ผลดีย่อมส่งผลให้ประเทศมีฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้น ประชาชนมีความเป็นอยู่สุขสภาพในทางตรงกันข้าม หากการพัฒนาเศรษฐกิจไม่ได้ผลหรือไม่ได้รับ การเอาใจใส่อย่างจริงจัง ฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศก็จะทรุดโทรมลงและประชาชนมีความ เป็นอยู่แร้นแค้นมากขึ้นสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยนั้นได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและให้ความสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจ โดยจะเห็นได้จากการกำหนดให้ มีหน่วยงานรับผิดชอบในการจัดทำแผน คือ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทั้งหมด 10 ฉบับ
2. ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจ
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจมี 4 ประการ คือ ปัจจัยทางเศรษฐกิจปัจจัยทางการเมือง ปัจจัยทางสังคม และปัจจัยทางเทคโนโลยี ซึ่งปัจจัยดังกล่าวมีรายละเอียดดังนี้
2.1 ปัจจัยทางเศรษฐกิจ ปัจจัยทางเศรษฐกิจที่มีผลให้เกิดการเพิ่มขึ้นของรายได้ต่อบุคคล มี 4 อย่าง คือ
1) การสะสมทุน การสะสมทุนจะเกิดขึ้นได้ในกรณีที่มีรายได้ประชาชาติสูงขึ้น ซึ่งทำให้เกิดเงินออมและเงินลงทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งเมื่อมีการสะสมทุนขึ้นแล้ว ก็จะมีผลต่อการเพิ่ม การผลิตและรายได้ต่อบุคคลตามมา
2) การเพิ่มจำนวนประชากร ในปัจจุบันนั้นการเพิ่มจำนวนประชากรก่อให้เกิดผลเสียทางเศรษฐกิจอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การผลิตจะมีประสิทธิภาพต่ำลงเนื่องจากมีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติกันมากขึ้น ซึ่งมีผลทำให้ทรัพยากรเสื่อมคุณภาพและทรัพยากรบางอย่าง ก็ไม่สามารถงอกเงยมาทดแทนได้ นอกจากนี้เมื่อมีประชากรเพิ่มขึ้นทำให้รัฐบาลต้องเสียค่าใช้จ่าย ด้านสวัสดิการเพิ่มขึ้น เช่น ค่าใช้จ่ายด้านการจัดการศึกษาการสาธารณสุขและการสาธารณูปโภคเป็นต้น นอกจากรัฐบาลจะต้องเสียค่าใช้จ่ายดังกล่าวแล้ว ยังมีปัญหาอย่างอื่นตามมาอีก เช่น ปัญหาด้านการจราจร ปัญหาด้านมลพิษ ฯลฯ
3) การค้นพบทรัพยากรใหม่ๆ ทำให้เกิดโอกาสใหม่ๆ ในการผลิต รวมทั้งมีผลทำให้มีการลงทุนเพิ่มขึ้น และส่งผลในการเพิ่มขึ้นของผลผลิตเพื่อให้ประชาชนได้บริโภคมากขึ้น
4) ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่ามีการนำเครื่องจักรมาใช้ในการผลิต ดังนั้นจึงทำให้มีความสามารถในการผลิตได้มาก ปริมาณผลผลิตก็เพิ่มขึ้นและเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ ประการที่สำคัญช่วยลดต้นทุนในการผลิตได้เป็นจำนวนมากอีกด้วย
2.2 ปัจจัยทางการเมือง
ปัจจัยทางการเมืองนับว่ามีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจมากด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะ ในด้านนโยบายและความมั่นคงการปกครอง การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อยๆ หรือการยึดอำนาจ โดยรัฐบาลเผด็จการ จะมีส่วนทำให้เกิดปัญหาด้านการผลิต ต่างชาติไม่สามารถเข้าไปลงทุนด้านการผลิตได้ นอกจากนี้องค์กรธุรกิจภายในประเทศเองก็อาจต้องหยุดซะงักตามไปด้วย
2.3 ปัจจัยทางสังคม
ปัจจัยทางสังคมมีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจไม่แพ้ปัจจัยอื่นๆ โดยเฉพาะประเทศ ที่กำลังพัฒนา ซึ่งพบว่าส่วนใหญ่ประชาชนมักขาดความกระตือรือร้นในการทำงานและมีนิสัยใช้ จ่ายเงินฟุ่มเฟือยการเก็บออมจึงมีน้อย และเมื่อมีรายได้เพิ่มมักใช้จ่ายในการซื้อเครื่องอุปโภค บริโภคที่อำนวยความสะดวกสบายมากกว่าที่จะไปลงทุนในการผลิตเพื่อให้รายได้งอกเงยขึ้น
2.4 ปัจจัยด้านเทคโนโลยี
ในประเทศอุตสาหกรรม การใช้เทคโนโลยีชั้นสูงช่วยทำให้เพิ่มผลผลิตได้มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็สามรถประหยัดการใช้แรงงาน ซึ่งมีอยู่อย่างจำกัด โดยการใช้เครื่องจักรทุ่นแรงต่างๆ แต่ในประเทศกำลังพัฒนาการใช้เทคโนโลยีมีขอบเขตจำกัดเนื่องจากยังขาดผู้มีความรู้ ความสามารถด้านการใช้เทคโนโลยี ขาดเงินทุนที่จะสนับสนุน การค้นคว้าวิจัยทางด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ และที่สำคัญการใช้เครื่องจักรทุ่นแรงในประเทศที่กำลังพัฒนาจะก่อให้เกิดปัญหาด้าน แรงงานส่วนเกิน แทนที่จะทำให้การว่างงานน้อยลง
3. แผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย
ประเทศไทยได้มีการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติตั้งแต่มี พ.ศ.2504 โดยเริ่มตั้งแต่ฉบับที่ 1 จนถึงปัจจุบัน คือฉบับที่ 10 มีการกำหนดวาระของแผน ฯดังนี้
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2504 – 2509
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2510 – 2514
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2515 – 2519
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2520 – 2524
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 5 พ.ศ. 2525 – 2529
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 6 พ.ศ. 2530 – 2534
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 พ.ศ. 2535 – 2539
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 พ.ศ. 2540 – 2544
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 พ.ศ. 2545 – 2549
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 พ.ศ. 2550 – 2554
สาระสำคัญและผลการใช้พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
วิเคราะห์สาระสำคัญจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10
จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 ได้สรุปสาระสำคัญเกี่ยวกับสถานะด้านเศรษฐกิจของประเทศไว้ คือ ประเทศไทยมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องอัตราเฉลี่ย 5.7 ต่อปี ช่วงปี 2545- 2548 และจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางโดยมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 20 จาก จำนวน 192 ประเทศของโลก มีบทบาททางการค้าระหว่างประเทศ และรักษาส่วนแบ่งการตลาดไว้ได้ในขณะที่การแข่งขันสูงขึ้นตลอดถึงการพัฒนาเศรษฐกิจฐานความรู้ของประเทศไทยปรับตัวสูงขึ้น โครงสร้างการผลิตมีจุดแข็งคือมีฐานการผลิตที่หลากหลาย ช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะผันผวนของวัฎจักรเศรษฐกิจสามารถเชื่อมโยงการผลิตเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากขึ้น แต่เศรษฐกิจไทยมีจุดอ่อนในเชิงโครงสร้างที่ต้องพึงพิงการนำเข้าวัตถุดิบ ชิ้นส่วน พลังงาน เงินทุนและเทคโนโลยีในสัดส่วนที่สูง การผลิตอาศัยฐานทรัพยากรมากกว่าองค์ความรู้ มีการใช้ทรัพยากรเพื่อการผลิตและบริโภคอย่างสิ้นเปลือง ทำให้เกิดปัญหาสภาพแวดล้อมและผลกระทบในด้านสังคมตามมา โดยไม่ได้มีการสร้างภูมิคุ้มกันอย่างเหมาะสม ภาคขนส่งมีสัดส่วนการใช้พลังงานเชิงพานิชย์สูงถึงร้อยละ 38 โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อสารรวมถึงน้ำเพื่อการบริโภคยังไม่กระจายไปสู่พื้นที่ชนบทอย่างเพียงพอและทั่วถึง โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมยังอยู่ในระดับต่ำและเป็นรองของประเทศที่เป็นคู่แข่งทางการค้า
ประเทศไทยยังมีจุดแข็งอยู่ที่มีเสถียรภาพเศรษฐกิจในระดับที่ดี จากการดำเนินนโยบายเพื่อฟื้นฟูเสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศและวิกฤตเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นและต่อเนื่องถึงปัจจุบัน ส่งผลให้ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลเพิ่มขึ้น สะท้อนถึงปัญหาความอ่อนแอในเชิง โครงสร้างที่พึ่งพิงภายนอกมากเกินไป ประเทศไทยยังมีการออมต่ำกว่าการลงทุน จึงต้องพึ่งเงินทุนจากต่างประเทศทำให้มีความเสี่ยงจากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และจากการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ จึงจำเป็นต้องพัฒนาระบบภูมิคุ้มกัดทางเศรษฐกิจภายใต้เงื่อนไขบริบทโลกที่มีการเคลื่อนย้ายอย่างเสรีของคนองค์ความรู้ เทคโนโลยี เงินทุน สินค้าและบริการ
การพัฒนาเพื่อเสริมสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและการแก้ไขปัญหาความยากจน มีส่วนช่วยให้ความยากจนลดลงตามลำดับและการกระจายรายได้ปรับตัวดีขึ้นอย่างช้าๆ
แนวคิดหลักและทิศทางการปรับตัวของประเทศไทย
จากสถานการณ์ดังกล่าวจำเป็นต้องปรับตัวหันมาปรับกระบวนทรรศน์การพัฒนาในทิศทางที่พึ่งตนเองและภูมิคุ้มกันมากขึ้น โดยยึดหลัก “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” เป็นแนวทางปฏิบัติควบคู่ไปกับการพัฒนาแบบบูรณาการเป็นองค์รวมที่ยึด “คนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา” เพื่อเกิดความเชื่อมโยงทั้งด้านตัวคน สังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมและการเมือง โดยมีการวิเคราะห์อย่างมี “เหตุผล”และใช้หลัก “ความพอประมาณ” ให้เกิดความสมดุลระหว่างความสามารถในการพึ่งตนเองกับความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก ความสมดุลระหว่างสังคมชนบทกับสังคมเมืองโดยมีการเตรียม “ภูมิคุ้นกัน” ด้วยการบริหารจัดการความเสี่ยงให้เพียงพอพร้อมรับผลกระทบจากการเปลี่ยนทั้งจากภายนอกและภายในประเทศ
การขับเคลื่อนการพัฒนาทุกขั้นตอนต้องใช้ “ความรอบรู้” ในการพัฒนาด้านต่างๆ ด้วยความรอบคอบ เป็นไปตามลำดับขั้นตอน รวมทั้งเสริมสร้างศีลธรรมและสำนึกใน “คุณธรรม” จริยธรรมในการปฏิบัติหน้าที่และการดำเนินชีวิตด้วยความเพียร อันเป็นภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งในระดับครอบครัว ชุมชน สังคมและประเทศชาติ และสอดคล้องกับวิถีชีวิตสังคมและสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550
เป้าหมายด้านเศรษฐกิจ ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีความสมดุลและยั่งยืนโดยให้สัดส่วนภาคเศรษฐกิจในประเทศต่อภาคการค้าระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น สัดส่วนภาคการผลิตเกษตรและ อุตหกรรมเพิ่มขึ้น กำหนดอัตราเงินเฟ้อ ลดการใช้พลังงานโดยเฉพาะภาคขนส่ง สัดส่วนผลผลิตของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมต่อผลิตภัณฑ์รวมในประเทศต่ำกว่าร้อยละ 40