มาตรฐานการเรียนรู้
ส ๑.๑ รู้ และเข้าใจประวัติ ความสำคัญ ศาสดา หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือและศาสนาอื่น มีศรัทธาที่ถูกต้อง ยึดมั่น และปฏิบัติตามหลักธรรม เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
ตัวชี้วัด
ส ๑.๑ ม. ๔-๖ /๒ วิเคราะห์พระพุทธเจ้าในฐานะเป็น มนุษย์ผู้ฝึกตนได้อย่างสูงสุด ในการตรัสรู้ การก่อตั้ง วิธีการสอนและการเผยแผ่พระพุทธศาสนา หรือวิเคราะห์ประวัติศาสดาที่ตนนับถือ ตามที่กำหนด
ส ๑.๑ ม.๔-๖ / ๓ วิเคราะห์พุทธประวัติด้านการบริหาร และการธำรงรักษาศาสนาหรือวิเคราะห์ประวัติศาสดาที่ตนนับถือ ตามที่กำหนด
พุทธประวัติ คือ ประวัติของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นศาสดาของพระพุทธศาสนา การศึกษาพุทธประวัติในเรื่องราวต่างๆ ทำให้มีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง รวมทั้งทำให้ได้ข้อคิด คุณธรรม และแบบอย่างที่สามารถนำไปแนวทางในการประพฤติปฏิบัติตนได้
พระพุทธเจ้า มีพระนามเดิมว่า เจ้าชายสิทธัตถะ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์แห่งกรุงกบิลพัสด์ุกับพระนางสิริมหามายาแห่งโลกิยวงศ์ เมืองเทวทหะ พระนาม สิทธัตถะ มีความหมายว่า ต้องการสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้นสมปรารถนา
เมื่อพระชนมายุได้ ๗ วัน พระราชมารดาก็สิ้นพระชนม์ ทรงได้รับการเลิ้ยงดูจากพระนางมหาปชาบดีโคตมี พระขนิษฐาของพระราชมารดา พระชนมายุ ๘ พรรษา ทรงเข้ารับการศึกษาในสำนักของครูวิศวามิตร และทรงจบการศึกษาในเวลาอันรวดเร็ว และทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงยโสธรา(พิมพา) เจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จออกผนวชเมื่อชนมายุได้ ๒๙ พรรษา ด้วยทรงมีพระราชประสงค์ที่จะแสวงหาหนทางในการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง โดยทรงปลงผมและถือครองเพศเป็นนักบวช ที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมานที ซึ่งเป็นแนวกั้นแบ่งเขตแดนแคว้นทั้ง ๓ ได้แก่ แคว้นสักกะ แคว้นโกศล และแคว้นวัชชี วันที่สด็จออกผนวชนั้นเป็นวันเดียวกับที่พระมเหสียโสธรา ก็ได้ประสูติพระราชโอรส นามว่า ราหุล
การศึกษาเพื่อแสวงหาแนวทางหลุดจากความทุกข์
เมื่อทรงผนวชแล้วพระองค์ก็พบกับพระเจ้าพิมพิสาร ผู้ปกครองแคว้นมคธ และได้ศึกษาหาความรู้กับคณาจารย์ ๒ สำนัก คือ อาฬารดาบสและอุททกดาบส จนสำเร็จ ฌาน ๘ ขั้น หรือสมาบัติ ๘ คือ ภาวะจิตสงบประณีต ซึ่งมีสมาธิเป็นองค์ธรรมหลัก เป็นภาวะจิตที่มีสมาธิถึงขั้นอัปปนาสมาธิ (สมาธิแน่วแน่) แล้ว เมื่อทรงเห็นว่ายังมิใช่แนวทางหลุดพ้นจากความทุกข์ จึงได้หาแนวทางศึกษาและบำเพ็ญเพียรเพื่อแสวงหาความรู้ด้วยพระองค์เอง จนปีที่ ๖ แห่งการบำเพ็ญเพียร พระสิทธัตถะก็ได้สำเร็จความเป็นพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่า ตรัสรู้ คือ ได้เห็นแจ้งธรรม ๔ หมวดที่เรียกว่า อริยสัจ ๔
การเผยแผ่หลักธรรมเพื่อสั่งสอนชาวโลก
นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่ง ที่พระพุทธเจ้าทรงปรารถนาที่จะเผยแผ่หลักธรรมที่ทรงตรัสรู้นั้น เพื่อให้ชาวโลกทั้งหลายได้เห็นแนวทางเพื่อหลุกจากความทุกข์ด้วย โดยบุคคลกลุ่มแรกที่ทรงเทศนาสั่งสอน คือ ปัญจวัคคีย์ โดยทรงแสดงหลักธรรม ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร นับเป็นครั้งแรกที่ทรงเทศนาสั่งสอน จึงเรียกกว่า ปฐมเทศนา พระอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม ขออุปสมบทเป็นภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา ทำให้มีพระรัตนตรัยครบองค์ ๓ สมบูรณ์ จากนั้นพระพุทธองค์ก็ทรงแสดงธรรมโปรดบุคคลกลุ่มต่างๆ จนมีพระอรหันต์ที่เป็นสาวกในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาจำนวนมาก ได้แก่
- แสดงธรรมโปรด พระยสกุลบุตร และเพื่อนๆ จำนวน ๕๔ องค์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณาสี
- แสดงธรรมโปรด ภัททวัคคีย์ ๓๐ คน (กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งซึ่งมีจำนวน ๓๐ คน พระพุทธเจ้าได้ทรงพบคนกลุ่มนี้เดินตามหาผู้หญิงนางบำเรอ ได้ทรงเทศน์โปรดจนทุกคนบรรลุเสขธรรม) ระหว่างทางเสด็จไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม (ศึกษาเรื่อง ภัททวัคคีย์ http://gg.gg/e9bel)
- แสดงธรรมโปรด ชฎิล ๓ พี่น้องและบริวาร ๑,๐๐๐ คน จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์และขอบวชเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา (http://gg.gg/e9bgx)
- แสดงธรรมดปรดพระเจ้าพิมพิสาร และชาวเมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ จนเกิดความเลื่อมใสหันมานับถือพระพุทธศาสนา พระเจ้าพิมพิสาร ได้ถวายพระราชอุทยานสวนไผ่ หรือพระเวฬุวัน ให้เป็นอารามที่ประทับ จึงถือว่าเป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนามีความมั่นคงอย่างมากในแคว้นนี้ พร้อมทั้งส่งพระสาวกไปประกาศพระศาสนาในดินแดนต่างๆ อย่างกว้างขวาง
- ทรงแสดง โอวาทปาฏิโมกข์ อันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา โปรดพระสงฆ์สาวก จำนวน ๑,๒๕๐ รูป ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๓
- เมื่อพระสงฆ์สาวกอันเป็นกำลังสำคัญได้ช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา ทำให้พระพุทธศาสนามีความเป็นปึกแผ่นและแผ่ขยายกว้างขวางไปยังดินแดนต่างๆ จนถึงพรรษาที่ ๔๕ พระพุทธองค์ทรงเสด็จปรินิพพาน ที่เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ ซึ่งได้แสดงธรรมโปรดสุภัททปริพาชก จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ และถือว่าเป็น ปัจฉิมสาวก
พระพุทธเจ้าทรงเป็นนักบริหารที่มีความสามารถสูง หลักธรรมของพระองค์สามารถประยุกต์ใช้กับกระบวนการปกครองทุกระบบ ทรงเน้นคุณธรรมในการปกครองทำให้ระบบการบริหารดีส่งผลให้พระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรือง ธำรงอยู่ได้ตราบจนปัจจุบัน ซึ่งการบริหารและการธำรงรักษาพุทธศาสนามีรายละเอียด ดังนี้
๑. ด้านการบริหารของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าทรงมีหลักการบริหารดังนี้
– หลักธรรมพระวินัยเป็นธรรมนูญหรือกฎหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จปรินิพพานได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า “ธรรมวินัยที่เราบัญญัติแก่เธอจะเป็นศาสดา ของเธอ เมื่อเราล่วงลับไป” พระธรรมวินัยจึงถือเป็นหัวใจของการปกครองคณะสงฆ์ตราบจนปัจจุบัน
– หลักธรรมาธิปไตย พระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักการปกครองไว้เรียกว่า อธิปไตย ๓ คือ อัตตาธิปไตย โลกาธิปไตย และธรรมาธิปไตย ทรงยกย่องธรรมาธิปไตย เป็นสำคัญ เพราะนักบริหารแบบธรรมาธิปไตยยึดธรรมหรือหลักความถูกต้องชอบธรรม ฟังความคิดเห็นของผู้อื่นทำให้ได้ทั้งคนและงาน ต่างจากนักบริหารแบบอัตตาธิปไตยที่ยึดตนเองเป็นสำคัญ ถือว่าตนฉลาดกว่าคนอื่นเป็นเผด็จการได้งานเสียคน และนักโลกาธิปไตย เอาใจคนอื่นไม่มีจุดยืน ไม่กล้าขัดใจใคร ได้คนแต่เสียงานหรือเสียทั้งงาน เสียทั้งคน
หลักธรรมาธิปไตย มีองค์ประกอบดังนี้
๑. หลักเสรีภาพ ทรงเน้นเสรีภาพส่วนบุคคล โดยเฉพาะการเลือกนับถือศาสนา สอนให้ใช้สติปัญญาไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนปลงใจเชื่อคำสอนใด ๆ ให้ใช้วิจารณญาณตามหลักสัมมาทิฏฐิอย่าเชื่อโดยขาดสติหรือขาดปัญญาตรึกตรอง และทรงเน้นเสรีภาพที่สูงสุด คือ การหลุดพ้นจากความทุกข์ที่เป็นเหตุให้ต้องเวียนว่ายตายเกิด
๒. หลักความเสมอภาค ทรงยืนยันว่าทั้งชายและหญิงมีความเสมอภาคด้านการ ตรัสรู้ธรรมหลักสิทธิมนุษยชนทรงห้ามไม่ให้ภิกษุณีมีทาสหญิงและทาสชาย และทาสที่เข้ามาบวชเป็นพระภิกษุย่อมได้รับสิทธิเทียบเท่ากับภิกษุรูปอื่น ๆ ทุกคนมีสิทธิที่จะได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมวินัยอย่างเสมอกัน
๓. หลักภราดรภาพ ทรงเน้นเมตตาเป็นสำคัญถือว่ามนุษย์ทุกคนเป็นเพื่อน ร่วมเกิด แก่ เจ็บ และตาย ทรงสอนไม่ให้เบียดเบียนกันแม้แต่สัตว์ก็อย่าไปทำร้าย นับว่าหลักศีล ๕ และธรรม ๕ เป็นภราดรภาพในพระพุทธศาสนาหลักสังคหวัตถุธรรม ๔ เป็นหลักธรรมที่ถือว่าเป็นหัวใจของมิตรภาพระหว่างบุคคลและสังคม
๒. ด้านการธำรงรักษาพระธรรมวินัย
หลักการธำรงรักษาพระธรรมวินัยทรง มอบให้เป็นภาระรับผิดชอบของพุทธบริษัท ๔ โดยประทานความเป็นใหญ่ในคณะสงฆ์ในด้านต่าง ๆ ที่เป็นเรื่องของส่วนรวม ทรงปรารภอนาคตว่า การร้อยกรองพระธรรมวินัยขึ้นเพื่อเป็นหลักช่วยมิให้สงฆ์แตกแยกกันภายในภาย ภาคหน้า
แสดงว่าพระองค์ทรงหลักปาปณิกธรรม คือ ธรรมสำหรับนักบริหาร ๓ อย่างประกอบด้วย จักษุมา หมายถึง มีสายตายาวไกลกำหนดเป้าหมายและวางแผน ๓ ประการ คือ รู้ตน รู้คน และรู้งาน ตรงกับคำว่า ทักษะในการใช้ความคิด วิธุโร หมายถึง จัดการธุระได้ดีมีความชำนาญเฉพาะด้าน ตรงกับคำว่า ทักษะด้านเทคนิค และ นิสสยสัมปันโน หมายถึง อาศัยคนอื่นได้ เพราะเป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดี ตรงกับคำว่า ทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์
การฝึกตนอันประเสริฐสุดในพระพุทธศาสนา คือ การ ฝึกตนตามหลักมรรค ๘ ประการ พุทธเจ้าทรงได้ชื่อว่าเป็นนักเสียสละผู้ยิ่งใหญ่ ทรงสละสิ่งเล็กน้อยไปจนถึงสละกิเลสจนได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถือว่าพระองค์เป็นตัวอย่างที่ดี ทรงฝึกตนเป็นนักเสียสละ
พระพุทธเจ้าทรงฝึกตนด้วยการ เสียสละสิ่งนอกกาย สรุปได้ดังนี้
๑. ทรงเสียสละอำนาจอันยิ่งใหญ่ ทรงสละการเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในอนาคตมีอำนาจครอบงำทั่วโลก เพื่อพระสัมมาสัมโพธิญาณ อันเป็นประโยชน์แก่สรรพสัตว์ในการพ้นจากความทุกข์
๒. ทรงเสียสละครอบครัวอันเป็นที่รัก ทรงสละบุคคล เหล่านั้นไปบรรพชาอุปสมบท เพื่อแสวงหาสัจธรรมคือ พระสัมโพธิญาณ และเพื่อช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ เมื่อทรงตรัสรู้แล้วก็เสด็จมาโปรดพระประยูญาติ และบุคคลอื่น ๆ ให้รู้ในสัจธรรม
๓. ทรงเสียสละโลกียสุข ในฐานะเป็นเจ้าชายรัชทายาทแทนที่จะทรงใช้ชีวิตอยู่ในปราสาท ๓ ฤดู บำเรอด้วยสุขต่างๆแต่ทรงกลับสละออกไปโดยไม่อาลัยอาวรณ์
๔. ทรงเสียสละความสุขความสบายส่วนพระองค์ หลังจากตรัสรู้แล้วแทนที่พระองค์จะเสวยวิมุตติสุข หรือสุข คือ พระนิพพานเพียงลำพัง แต่ทรงช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์ด้วย โดยการเสด็จเที่ยวสั่งสอนเป็นเวลา ๔๕ พรรษา จนถึงวาระแห่งปรินิพพาน
พระพุทธเจ้าทรงฝึกตนด้วยการเสียสละกิเลสภายใน
๑. ทรงเสียสละแม้ชีวิตเพื่อแสวงหาโมกขธรรม ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาเป็นเวลา ๖ ปี ยังไม่บรรลุมรรคผลแต่ทรงไม่ย่อท้อพระทัยและเปลี่ยนมาบำเพ็ญเพียรทางใจ ทรงแน่พระทัยว่าการบำเพ็ญเพียรทางจิตเป็นหนทางให้บรรลุมรรคผลได้ จึงทรงอธิษฐานว่าแม้หนัง เอ็น กระดูก เนื้อ และเลือดในสรีระจักเหือดแห้งไป เมื่อยังไม่บรรลุจักไม่ยอมหยุดความเพียรนั้น ซึ่งการกระทำของพระองค์แสดงถึงความเด็ดเดี่ยวเยี่ยงมหาบุรุษที่ยากจะหาผู้ใด เสมอเหมือนได้
๒. ทรงฝึกตนด้วยการอดทนต่อเหตุการณ์ร้ายต่าง ๆ ตลอดช่วงเวลาที่เผยแผ่คำสอน เช่น ทรงอดทนต่อการถูกนางจิญจมานวิก กล่าวร้ายว่าเป็นผู้ทำนางท้อง ทรงใช้ความอดทนเป็นเครื่องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ จนหลุดพ้นจากเหตุการณ์ร้าย
๓. ทรงมุ่งเน้นหลักไตรสิกขา คือ หลักการฝึกฝนอบรมตนในพระพุทธศาสนา หลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นหลักการย่อของมรรคมีองค์ ๘ ทรงฝึกมาอย่างสมบูรณ์ ทำให้ได้อิสรภาพภายในคือ พระนิพพาน พระองค์ไม่เพียงแต่ฝึกตนเองเท่านั้นแต่ยังฝึกคนอื่นได้อย่างดีเยี่ยมด้วย