พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอังคาร เดือน 10 แรม 3 ค่ำ ปีฉลู วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 9 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นพระองค์ที่ 1 ในสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี เสวยราชสมบัติเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 11 ขึ้น 15 ค่ำ ปีมะโรง (พ.ศ. 2411) รวมสิริดำรงราชสมบัติ 42 ปี 22 วัน เสด็จสวรรคต เมื่อวันเสาร์ เดือน 11 แรม 4 ค่ำ ปีจอ (23 ตุลาคม พ.ศ. 2453) ด้วยโรคพระวักกะ สิริรวมพระชนมายุ 58 พรรษา
พระองค์ได้รับสมัญญาว่า "ปิยมหาราช" แปลว่า มหาราชผู้ทรงเป็นที่รัก และ "พระพุทธเจ้าหลวง"
พระราชกรณียกิจที่สำคัญ
- ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการเลิกทาสและไพร่ในประเทศไทย การป้องกันการเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิฝรั่งเศส และจักรวรรดิอังกฤษ
- การประกาศให้มีการนับถือศาสนาโดยอิสระในประเทศ โดยบุคคลศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามสามารถปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างอิสระ
- การนำระบบที่ทันสมัยอย่างยุโรปมาใช้ในประเทศ ได้แก่ ระบบการใช้ธนบัตรและเหรียญบาท แบ่งเขตการปกครองใหม่ เช่น มณฑลเทศาภิบาล จังหวัดและอำเภอ
- สร้างระบบสาธารณูปโภคที่ทันสมัย เช่น การสร้างทางรถไฟสายแรก คือ กรุงเทพฯ ถึง เมืองนครราชสีมา พ.ศ.2433 การก่อตั้งการประปา การไฟฟ้า ไปรษณีย์โทรเลข โทรศัพท์ การสื่อสาร การรถไฟ ส่วนการคมนาคมทางน้ำ โปรดให้มีการขุดคลองหลายแห่ง เช่น คลองประเวศบุรีรมย์ คลองสำโรง คลองแสนแสบ คลองนครเนื่องเขต คลองรังสิตประยูรศักดิ์ คลองเปรมประชากร และ คลองทวีวัฒนา ยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองส่งน้ำประปาจากเชียงรากสู่สามเสน
พระราชกรณียกิจด้านสังคม ทรงยกเลิกระบบไพร่ โดยให้ไพร่เสียเงินแทนการถูกเกณฑ์ นับเป็นการเกิดระบบทหารอาชีพในประเทศไทย และโปรดเกล้าฯให้มีการดำเนินการเลิกทาสแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยออกกฎหมายให้ลูกทาสอายุครบ 20 ปีเป็นอิสระ จนกระทั่งออกพระราชบัญญัติเลิกทาส ร.ศ. 124 (พ.ศ. 2448) ซึ่งปล่อยทาสทุกคนให้เป็นอิสระและห้ามมีการซื้อขายทาส
ศึกษาพระราชกรณียกิจ รัชกาลที่ 5 เพิ่มเติม
https://th.wikipedia.org/wiki/พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
http://www.br.ac.th/elearning/social/jitraporn/Buddhism%20%20M6/Unit8_5.html
พระราชกรณียกิจด้านศาสนา
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ให้ทันต่อสภาวะความเจริญของบ้านเมืองได้ก้าวไปไกลอย่างมาก ทรงได้มีการปรับปรุงพระพุทธศาสนาในเวลาต่อมา ดังนี้
1. การชำระและการพิมพ์พระไตรปิฎกเป็นอักษรไทย-การชำระและการพิมพ์พระไตรปิฎกเป็นอักษรไทยนี้ นานถึง 6 ปี เริ่มแต่ปี พ.ศ. 2431 ถึง พ.ศ. 2436 โดยทรงปรารภเหตุหลายประการ กล่าวคือ
(1) เป็นการดำเนินการตามขัตติยะประเพณีที่ปฏิบัติกันต่อๆ มาของพระมหากษัตริย์ในปางก่อนที่ทรงสร้างในการสังคายนาพระธรรมวินัย
(2) ด้วยทรงปรารภพึงพระไตรปิฎกเป็นคัมภีร์สำคัญทางพระพุทธศาสนา เมื่อจัดพิมพ์แล้ว จะช่วยส่งเสริมให้ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแพร่หลาย เป็นกุศลอันยิ่งใหญ่
(3) การพิมพ์พระไตรปิฎกด้วยอักษรไทย จะช่วยให้สะดวกแก่การค้นคว้าและการพิมพ์เป็นเล่มสมุดก็สะดวกต่อการเก็บและรักษา แม้ไม่ทนเหมือนจารึกลงบนใบลาน แต่ก็สามารถจัดพิมพ์ใหม่อีกได้ง่าย
การชำระและการจัดพิมพ์พระไตรปิฎกครั้งนี้ เสร็จทันงานฉลองรัชดาภิเษก (การครองราชย์ครบ 25 ปี) ของพระองค์ ทรงพระราชทานแด่พระอารามหลวงและวัดราษฎร์ ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองโดยทั่วกัน นับเป็นการพิมพ์คัมภีร์สำคัญทางพระพุทธศาสนา ฉบับภาษาไทย ครั้งแรกในประเทศไทย
2. การสร้างวัดขึ้นใหม่หลายวัด คือ วัดราชบพิธ วัดเทพศิรินทราวาส วัดเบญจมบพิตร วัดอัษฎางค์นิมิต วัดจุฑาทิศราชธรรมสภา วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ และทรงปฏิสังขรณ์วัดมหาธาตุ โดยพระราชทรัพย์ส่วนของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ วัดมหาธาตุจึงมีสร้อยนามในเวลาต่อมาว่า “วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์”
3. การส่งเสริมให้วัดเป็นศูนย์การศึกษา เพราะทรงห่วงใยเรื่องคุณธรรม ในปี พ.ศ. 2414 ทรงมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ จะให้มีอาจารย์สอนหนังสือไทยและสอนเลขทุกๆ พระอาราม จัดทำที่วัดมหรรณพารามเป็นแห่งแรก มีประกาศจัดการศึกษาในหัวเมือง เผดียงให้พระสงฆ์ทั่วราชอาณาจักรเอาใจใส่สอนธรรมแก่ประชาชน และฝึกสอนวิชาความรู้ต่างๆ แก่กุลบุตร ทั้งนี้ก็เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยเรื่องคุณธรรคือความซื่อสัตย์สุจริตของผู้ที่ได้รับการศึกษาไปแล้วเป็นอย่างมาก เพราะผู้ได้รับการศึกษาดีก็มิใช่จะมีหลักประกันได้ว่าจะเป็นคนดีทุกคนไป หากขาดเรื่องการศึกษา เรื่องการศาสนา
4. การศึกษาของพระสงฆ์ พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงเรียนสอนพระปริยัติธรรมขึ้นตามวัดต่างๆ เพื่อเป็นสถานศึกษาเล่าเรียนของพระภิกษุสามเณร ได้ทรงกำหนดให้มีการสอบไล่พระปริยัติธรรมเป็นประจำทุกปี ทรงส่งเสริมการศึกษาของพระสงฆ์ทั้งฝ่ายมหานิกายและธรรมยุติกนิกาย โดยโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งสถาบันการศึกษาชั้นสูงสองแห่งจนกลายมาเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ในปัจจุบัน คือ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
5 ทรงตราพระราชบัญญัติเพื่อเป็นแนวในการบริหารคณะสงฆ์ ปี ร.ศ. 121 นับเป็นกฎหมายของพระสงฆ์ไทยฉบับแรก
คุณธรรมที่เป็นแบบอย่าง
1. เป็นศาสนูปถัมภก คือเป็นผู้อุปถัมภ์พระพุทธศาสนา โดยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง เช่น การจัดพิมพ์พระไตรปิฎก ฉบับภาษาไทยเป็นครั้งแรก การสร้างวัดที่สำคัญ ๆ การให้วัดเป็นศูนย์กลางการศึกษา และการส่งเสริมการศึกษาพระสงฆ์ โดยการสร้างมหาวิทยาลัยสงฆ์ 2 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และทรงตราพระราชบัญญัติเพื่อเป็นแนวบริหารคณะสงฆ์
2. ทรงดำรงตนอยู่ในพุทธธรรม โดยนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เช่น หลักทศพิธราชธรรม จักรวรรคิวัตร สังคหวัตถุ เป็นต้น เป็นแนวทางในการปกครองอาณาประชาราชจนได้รับขนานพระนามว่า “พระปิยมหาราช”
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
ประวัติพระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) (17 มิถุนายน พ.ศ. 2461 - 16 มกราคม พ.ศ. 2535) ตรงกับวันศุกร์ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย บ้านจิกก่อ หมู่ที่ 9 ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี บิดาชื่อนายมา ช่วงโชติ มารดาชื่อ นางพิมพ์ ช่วงโชติ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันจำนวน 10 คน
หลวงปู่ชา สุภทฺโท ขณะมีชีวิตอยู่ท่านได้อุทิศชีวิตเพื่อการปฏิบัติธรรมและเผยแพร่พุทธศาสนา ทั้งแก่ชาวไทยและชาวต่างประเทศ ซึ่งบังเกิดผลทำให้ผลงานที่เป็นประโยชน์อเนกอนันต์แก่พระศาสนา ทั้งที่เป็นพระธรรมเทศนา และสำนักปฏิบัติธรรมในนามวัดสาขาวัดหนองป่าพงมากมาย ซึ่งแม้ท่านจะมรณภาพไปนานแล้ว แต่ศิษยานุศิษย์ของท่านก็ยังคงรักษาแนวทางปฏิบัติธรรมที่ท่านได้สั่งสอนไว้จนถึงปัจจุบัน
การศึกษา
หลวงปู่ชาได้รับการศึกษาชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียนบ้านก่อ ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี จนจบชั้นประถมปีที่ 1 แล้วได้ลาออกจากโรงเรียนเพราะมีจิตใจใฝ่ทางบวชเรียน ภายหลังเมื่อบวชเรียนแล้วได้เรียนหนังสือธรรมเรียนบาลีไวยากรณ์ เรียนมูลกัจจายน์ จนสามารถอ่านแปลภาษาบาลีได้ และได้ศึกษาพระปริยัติธรรมจนสอบได้ชั้นสูงสุดสายนักธรรม คือ สอบได้นักธรรมชั้น เอก
ชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์
เมื่ออายุ 13 ปี หลังจากลาออกจากโรงเรียนประถมศึกษาแล้ว โยมบิดาได้นำไปฝากกับเจ้าอาวาสเพื่อเรียนรู้บุพกิจเบื้องต้นเกี่ยวกับบรรพชาวิธี จึงได้รับอนุญาตให้บรรพชาเป็น สามเณรชา โชติช่วง เมื่อเดือน มีนาคม พ.ศ. 2474 โดยมีท่านพระครูวิจิตรธรรมภาณี (พวง) อดีตเจ้าอาวาส วัดมณีวนาราม อุบลราชธานี เป็นอุปัชฌาย์สามเณรชา โชติช่วง ได้อยู่จำพรรษาและศึกษาพระปริยัติธรรม ตลอดจนอยู่ปฏิบัติครูอาจารย์ เป็นเวลา 3 ปี ได้เอาใจใส่ต่อภารกิจของสามเณรท่องสวดมนต์ ทำวัตร ศึกษาหลักสูตรนักธรรมปฏิบัติพระเถระ แล้วจึงได้ลาสิกขาบทมาช่วยบิดามารดาทำไร่ทำนา ทั้งนี้ด้วยความจำเป็นของครอบครัวแบบชาวไร่ชาวนาอีสานทั่วไป ด้วยจิตใจที่ใฝ่ในการบวชเรียน จึงสำนึกอยู่ตลอดเวลาว่าจะต้องอุปสมทบเป็นพระให้ได้ เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ภายหลังเมื่อตกลงกับบิดามารดาและท่านทั้ง 2 ก็อนุญาตแล้วจึงได้ฝากตัวที่วัดก่อในที่ใกล้บ้าน แล้วได้รับอนุญาตให้อุปสมบทได้เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2482 เวลา 13.55 น. ณ พัทธสีมา วัดก่อใน ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ อุบลราชธานี โดยมีพระครูอินทรสารคุณ เป็นพระอุปัชาฌาย์ พระครูวิรุฬสุตการ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการสอน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระชา สุภทฺโท ได้จำพรรษาอยู่ ณ วัดก่อนอก 2 พรรษา ตั้งใจศึกษาปริยัติธรรม ทั้งจากตำรับตำราและจากครูอาจารย์ จนสอบนักธรรมชั้นตรีได้ในสำนักวัดก่อนอกแห่งนี้
ศึกษาปริยัติธรรมต่างถิ่น
เมื่อพระชา สุภทฺโท สอบนักธรรมตรีได้แล้ว ก็อยากเรียนให้สูงขึ้นเพราะมีจิตใจรักชอบทางธรรมอยู่แล้ว แต่ขาดครูอาจารย์ในการสอนระดับสูงต่อไป นึกถึงภาษิตอีสานที่ว่า "บ่ออกจากบ้านบ่ฮู้ฮ่อมทางเทียว บ่เฮียนวิชาห่อนสิมีความฮู้" ชีวิตช่วงนี้จะเห็นได้ชัดว่า พระชา สุภทฺโท มุ่งเรียนปริยัติธรรมให้สูงสุด จึงทุ่มเทให้การศึกษาทั้งนักธรรมและบาลี และผ่านสำนักต่างๆ มากมายจนในที่สุดก็สอบนักธรรมได้ครบตามหลักสูตร คือ สอบนักธรรมชั้นโทได้ ในสำนักของ พระครูอรรคธรรมวิจารณ์ สอบนักธรรมชั้นเอกได้ในสำนักวัดบ้านก่อนอกถิ่นเกิด
สู่การปฏิบัติธรรม
เสร็จภารกิจการศึกษา ประกอบกับเกิดธรรมสังเวชคราวโยมบิดาเสียชีวิต จึงหันมาสู่การปฏิบัติธรรม โดยออกธุดงค์และศึกษาหาแนวทางปฏิบัติในสำนักต่างๆ ผ่านอาจารย์ก็มากมาย เช่น ที่สำนักของหลวงพ่อเภา วัดเขาวงกฏ จ.ลพบุรี และพระอาจารย์ชาวกัมพูชาที่เป็นพระธุดงค์ซึ่งได้พบกันที่วัดเขาวงกฏ หลวงปู่กินรี า อาจารย์คำดี หลวงปู่ทองรัตน์ พระอาจารย์มั่นเป็นต้น พออินทรีย์แก่กล้าแล้วก็ออกธุดงค์ปฏิบัติธรรมต่อไปเรื่อยๆ โดยยังดำรงสมณเพศเป็นพระมหานิกายอยู่ตลอดเวลา จนในที่สุดได้รับอาราธนาจากโยมมารดาและพี่ชาย เพื่อกลับไปโปรดสัตว์ที่บ้านเกิด เมื่อ พ.ศ. 2497 ก็ได้ดำเนินการสร้างวัดป่าขึ้น ซึ่งเรารู้จักในปัจจุบัน คือ "วัดหนองป่าพง" และท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดนี้มาโดยตลอด และถึงแก่มรณภาพเมื่อ 16 มกราคม 2535 เวลา 05.20 น. ที่ วัดหนองป่าพง อย่างสงบท่ามกลางธรรมสังเวชของศิษยานุศิษย์จากทุกสารทิศ
ปัจฉิมบท
หลวงปู่ชา สุภทฺโท ขณะมีชีวิตอยู่ท่านได้อุทิศชีวิตเพื่อการปฏิบัติธรรม และเผยแพร่พุทธศาสนา ทั้งแก่ชาวไทยและชาวต่างประเทศ ซึ่งบังเกิดผลทำให้ผลงานที่เป็นประโยชน์อเนกอนันต์แก่พระศาสนา ทั้งที่เป็นพระธรรมเทศนา และสำนักปฏิบัติธรรม ดังนี้
1. ธรรมเทศนา สำหรับบรรพชิต สำหรับคฤหัสถ์ เสียสละเพื่อธรรม การเข้าสู่หลักธรรม ธรรมะที่หยั่งรู้ยาก ธรรมะธรรมชาติ ปฏิบัติกันเถิด ธรรมปฏิสันถาร สองหน้าของสัจธรรม ปัจฉิมกถา การฝึกใจ มรรคสามัคคี ดวงตาเห็นธรรม อยู่เพื่ออะไร เรื่องจิตนี้ น้ำไหลนิ่ง ธรรมในวินัย บ้านที่แท้จริง สัมมาสมาธิ ขึ้นตรงต่อพระพุทธเจ้า ความสงบบ่อเกิดปัญญา พระองค์เดียว นอกเหตุเหนือผล สมมตติและวิมุตติ การทำจิตให้สงบ ตุจโฉโปฎฐิละ ดวงตาเห็นธรรม ทำใจให้เป็นบุญ ทรงไว้ซึ่งข้อวัตร เหนือเวทนา เพียรละกามฉันทะ ทางพ้นทุกข์ ไม่แน่คืออนิจจัง โอวาทบางตอน อ่านใจธรรมชาติ อยู่กับงูเห่า สัมมาทิฐิที่เยือกเย็น มรรคผลไม้พ้นสมัย นักบวชนักรบ ธุดงค์ทุกข์ดง สัมมาปฏิปทา พึงต่อสู้ความกลัว กว่าจะเป็นสมณะ เครื่องอยู่ของบรรพชิต กุญแจภาวนา วิมุตติ
2. สำนักปฏิบัติธรรม มีสำนักปฏิบัติธรรม ในประเทศไทยซึ่งอยู่ทุกภาคของประเทศจำนวนทั้งสิ้น 82 สาขา และในต่างประเทศอีก 7 สาขา และเฉพาะศิษย์ที่เป็นพระชาวต่างประเทศซึ่งอยู่เป็นประธานสงฆ์ผู้มีพรรษาต่ำสุดคือ 16 พรรษา
คุณธรรมที่เป็นแบบอย่าง
1. เป็นพระวิปัสสนาจารย์ ท่านได้เป็นแบบอย่างของพระวิปัสสนา จนมีผู้นำแบบอย่างของท่านมาเป็นแนวปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ท่านจึงมีลูกศิษย์ที่เป็นพระวิปัสสนาที่สำคัญ ๆ หลายท่าน นอกจากนั้นท่านยังเป็นแบบอย่างของบุคคลผู้ถือความมักน้อย สันโดษ เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตนที่เหมาะสมกับสภาพปัญหาเศรษฐกิจที่ควรทำตนให้เป็นคนพอดีในการดำรงชีวิต
2. ด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ท่านได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังต่างประเทศ เช่น ยุโรป อเมริกา จนเป็นที่สนใจของชาวต่างประเทศที่เข้ามาบวช และศึกษาพระพุทธศาสนา จึงเป็นกำลังสำคัญท่านหนึ่งในการประกาศพระพุทธศาสนาให้แผ่ขยายกว้างไกลต่อไป
ศึกษาประวัติและผลงานประวัติพระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) เพิ่มเติม
http://www.br.ac.th/elearning/social/jitraporn/Buddhism%20%20M6/Unit8_6.html
https://th.wikipedia.org/wiki/พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (พระธรรมปิฎก) (ป.อ. ปยุตโต)
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) (นามเดิมประยุทธ์ อารยางกูร) หรือรู้จักกันในนามปากกา "ป.อ. ปยุตฺโต" เกิดเมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2481 ที่อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรตั้งแต่อายุ 12 ปี เมื่อ ปีพ.ศ. 2494 และเข้ามาจำพรรษาที่วัดพระพิเรนทร์ กรุงเทพมหานคร จนสอบได้นักธรรมเอกและเปรียญธรรม 9 ประโยค ขณะยังเป็นสามเณรเป็นรูปที่สองในรัชกาลปัจจุบันและเป็นรูปที่สี่ในสมัยรัตนโกสินทร์ ได้รับการอุปสมบทเป็นนาคหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2504 ณ พัทธสีมาวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปลด กิตฺติโสภโณ) เป็นพระอุปัชฌาย์
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เป็นพระนักวิชาการนักคิดนักเขียนผลงานทางพระพุทธศาสนารุ่นใหม่ มีผลงานวิชาการพระพุทธศาสนาจำนวนมาก ผลงานของท่านที่เป็นที่รู้จัก เช่น พุทธธรรม เป็นต้น ท่านได้รับการยกย่องจากทั้งในและต่างประเทศเป็นอย่างมาก ด้วยผลงานของท่านทำให้ท่านได้รับรางวัลและดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากหลายสถาบันทั้งในและนอกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ท่านเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลการศึกษาเพื่อสันติภาพจากองค์การยูเนสโก (UNESCO Prize for Peace Education) นอกจากนี้ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ที่ท่านได้รับรวมมีมากกว่า 15 สถาบัน ซึ่งนับว่าท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ไทยที่ได้รับการยกย่องให้ได้รับดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์มากที่สุดในปัจจุบัน และในปี พ.ศ. 2549 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ปัจจุบันพระพรหมคุณาภรณ์ดำรงตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์พิเศษ ประจำมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และจำพรรษาอยู่ที่วัดญาณเวศกวัน อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม
หลังจากสอบชุดวิชาครู พ.ม. ได้ ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองเลขาธิการมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และดำรงตำแหน่งติดต่อกันถึง 10 ปี มีบทบาททางด้านการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาของคณะสงฆ์ โดยพยายามเชื่อมโยงความรู้ทางธรรมให้เข้ากับปัญหาสังคมร่วมสมัย ในทางด้านการบริหารเคยดำรงตำแหน่งรองเจ้าอาวาสวัดพระพิเรนทร์ ช่วงปี พ.ศ. 2516 และลาออกจากตำแหน่งบริหารหลังจากนั้นในสามปีต่อมา โดยทุ่มเทเวลาและกำลังกายให้กับงานด้านวิชาการ ตีพิมพ์ผลงานเป็นหนังสือและบทความออกมาอย่างแพร่หลาย ทั้งร่วมเสวนาและสัมมนาทางวิชาการ กับนักวิชาการและปัญญาชนร่วมสมัยอย่างสม่ำเสมอ หนังสือพุทธธรรม ได้รับการยกย่องว่าเป็นเพชรน้ำเอกของวงการพุทธศาสนา ได้รับดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ 10 กว่าแห่ง และได้รับรางวัล "การศึกษาเพื่อสันติภาพ" จากยูเนสโก เมื่อปี พ.ศ. 2537 ซึ่งท่านได้มอบเงินรางวัลทั้งหมดให้แก่กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อจัดตั้งกองทุนการศึกษาพระธรรมปิฎกเพื่อสันติภาพ พระ ป.อ. ปยุตโต ได้รับเลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นตามลำดับ เป็นพระเทพเวที พระธรรมปิฎก และพระพรหมคุณาภรณ์ ซึ่งเป็นสมณศักดิ์ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
ปัจจุบันสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ดำรงตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์พิเศษ ประจำมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และจำพรรษาอยู่ที่วัดญาณเวศกวัน อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม และดูแลสำนักสงฆ์สายใจธรรม บนเทือกเขาสำโรงดงยาง ตำบลหนองแหน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา
คุณธรรมที่เป็นแบบอย่าง
1. เป็นปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา ท่านเป็นผู้ศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างรู้แจ้ง จนเข้าใจหลักธรรมพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง ท่านจึงสามารถบรรยายธรรมทางพระพุทธศาสนาให้บุคคลเข้าใจได้อย่างชัดเจน
2. เป็นแบบอย่างของพระภิกษุผู้ใฝ่การศึกษาธรรม ท่านมีวัตรปฏิบัติที่ประกอบไปด้วยเมตตา วัตรปฏิบัติที่เรียบร้อยทั้งทางกาย วาจา และใจ จึงเป็นแบบอย่างของพระภิกษุและพุทธศาสนิกชนทั้งหลายถึงยึดถือเป็นแนวปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้
3. แต่งตำราพุทธศาสนา ท่านได้แต่งตำราทางพระพุทธศาสนามากมาย ที่สำคัญที่สุดได้แก่ หนังสือพุทธธรรม หนังสือพจนานุกรมพุทศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์ และฉบับประมวลธรรม ซึ่งเป็นหนังสือที่มีการนำมาอ้างอิงในงานเขียนเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาอยู่ตลอดเวลา
ศึกษาประวัติและผลงานสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)
http://www.br.ac.th/elearning/social/jitraporn/Buddhism%20%20M6/Unit8_7.html
https://th.wikipedia.org/wiki/พระพรหมคุณาภรณ์
ท่านอนาคาริก ธรรมปาละ
อนาคาริก ธรรมปาละ (Anagarika Dhammapala) (เกิด 17 กันยายน พ.ศ. 2407 มรณภาพ 29 เมษายน พ.ศ. 2476) เป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดในการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย เป็นผู้ก่อตั้งสมาคมมหาโพธิ์ และเป็นผู้เรียกร้องเอาพุทธสถานในอินเดียกลับคืนมาเป็นของชาวพุทธ
ท่านเกิดในครอบครัวผู้มั่งคั่ง บิดาชื่อว่า เดวิด เหววิตรเน เมื่อได้อ่านหนังสือเรื่องประทีปแห่งเอเชียของท่านเซอร์ เอดวินด์ อาโนลด์ ก็เกิดความซาบซึ้ง มีความคิดอยากอุทิศชีวิตถวายต่อพระพุทธองค์ในการฟื้นฟูพุทธศาสนาที่อินเดีย จึงออกเดินทางสู่อินเดีย เมื่อได้เห็นเจดีย์พุทธคยาที่ชำรุดทรุดโทรมถูกทอดทิ้ง และอยู่ในความครอบครองของพวกมหันต์ จึงเกิดความสังเวชใจ ที่ได้พบเห็นเช่นนั้น จึงทำการอธิษฐานต่อต้นพระศรีมหาโพธิ์ว่า จะถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา เพื่อฟื้นฟูพุทธศาสนา ในอินเดียและนำพุทธคยากลับคืนมาเป็นสมบัติของชาวพุทธทั่วโลกให้ได้
ตลอดเวลาตั้งแต่ดอน เดวิด เกิดมา พ่อแม่จะอบรมสั่งสอนให้อยู่ในศีลในธรรม สอนให้ศรัทธาในพระรัตนตรัยในพระพุทธศาสนา เด็กชายเดวิด จึงเติบโตมาท่ามกลางฝ่ายธรรมะ คือพ่อแม่ของตน ที่สอนให้อยู่ในหลักธรรมะ และฝ่ายอธรรม คือสังคมรอบข้าง และครูอาจารย์ที่โรงเรียน ที่มักพูดดูหมิ่นพระพุทธศาสนา และพูดโน้มน้าวให้หันมานับถือศาสนาคริสต์ บางครั้งอาจารย์ที่โรงเรียนของเดวิด ถึงกับกล่าวว่า "ที่ฉันมาที่ประเทศนี้ ไม่ใช่เพื่อสอนภาษาอังกฤษให้เธอ แต่มาเพื่อเปลี่ยนศาสนาของเธอ" แต่ท่านธรรมปาละ หรือเด็กชายเดวิดในขณะนั้นก็ยังมั่นคงในพระพุทธศาสนาเช่นเดิม เพราะการอบรมเลี้ยงดูอย่างดีในพระพุทธศาสนานั่นเอง บางครั้ง เพราะความมั่นคงในพระพุทธศาสนานี้เอง ท่านถึงกับต้องถูกลงโทษจากอาจารย์ที่โรงเรียน เพียงเพราะลาหยุดไปเพื่อประกอบพิธีกุศลในวันวิสาขบูชา
เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ท่านธรรมปาละ หรือดอน เดวิด เหวะวิตารเน ต้องหันเหชีวิตจากเดิม ไปสู่ความเป็นผู้มีบทบาท อย่างสูง ในการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในอินเดีย คือ การโต้วาทะธรรมที่เมืองปานะดุรา ..เป็นการโต้วาทีเกี่ยวกับหลักธรรม ทางพระพุทธศาสนา และศาสนาคริสต์ ซึ่งมี พระมิเคตตุวัตเต คุณานันทะ นักบวชในพระพุทธศาสนา ได้รับคำท้าทาย จากนักบวชที่เรียกกันว่า ศิษยาภิบาล ของศาสนาคริสต์ ให้มาโต้วาทะธรรมกัน ซึ่งฝ่ายคริสต์ เห็นท่านคุณานันทะ เป็นศัตรูตัวฉกาจ เพราะเวลาที่นักสอนศาสนาไปด่าว่าร้ายพระพุทธศาสนาที่ไหน พระคุณานันทะ ก็จะไปโต้วาทะ แก้ข้อกล่าวหา อย่างถึงพริกถึงขิง และท่านคุณานันทะนี้ เป็นวีรบุรุษในดวงใจของเด็กน้อยเดวิด หรือท่านธรรมปาละ มาโดยตลอด และเมื่อการโต้วาทะธรรมครั้งสุดท้าย ที่เมืองปานะดุรา ระหว่างท่านคุณานันทะ และ ศิษยาภิบาลเดวิด เดอ สิลวา ปรากฏว่า ฝ่ายพระพุทธศาสนา คือท่านคุณานันทะได้รับชัยชนะ ฝ่ายศาสนาคริสต์ก็เริ่มเข็ดขยาด และไม่กล้าต่อว่า ว่าร้ายพระพุทธธรรมในที่สาธารณะอีกเลย
และผลการโต้วาทะธรรมครั้งนี้ ได้มีผู้แปลการโต้วาทะเป็นภาษาต่างประเทศ ก็ปรากฏมีชาวต่างประเทศสองท่าน เกิดได้อ่านและมีความศรัทธาในความมีเหตุผลของหลักธรรมในพระพุทธศาสนา จึงได้เดินทางมายังศรีลังกา สองท่านนี้คือ พันเอก เฮนรี่ สตีล โอลคอตต์ และ มาดาม เอช.พี. บลาวัตสกี ทั้งสองท่านได้มาปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ที่เมืองกอลล์ ทางภาคใต้ของศรีลังกา และเด็กน้อยเดวิด ได้มีโอกาสทำความรู้จักกับทั้งสองท่านนี้ด้วย ต่อมาทั้งสองท่าน ได้ตั้งสมาคม ที่ดำเนินงานด้านศาสนสัมพันธ์ (โดยส่วนใหญ่ดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องทางพระพุทธศาสนา) คือ สมาคมธีออสโซฟี่ ตั้งสาขาขึ้นที่อัทยา ใกล้ ๆ กับเมืองมัทราสทางตอนใต้ของอินเดีย
งานเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ท่านอนาคาริกะ ธรรมปาละ เป็นชาวศรีลังกา และเป็นชาวพุทธที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างมากมาย ก่อนบวชท่านได้ฟังสถานการณ์พุทธสถานจาก เซอร์เอ็ดวิน อาร์โนลด์ แล้ว ท่านได้ตัดสินใจบวชเป็นนักบวช (ยังไม่บวชเป็นพระ) เดินทางมาอินเดีย ท่านพัฒนาป่าอิสิปตนะมฤคทายวันให้เป็นพุทธสถาน ซึ่งเดิมมีการสร้างพระวิหารอยู่แล้ว แต่ยังไม่แล้วเสร็จ ต่อ มารัฐบาลของอินเดีย ได้จัดสรรที่ดินให้ท่าน 20 เอเคอร์ (ประมาณ 50 ไร่) และท่านก็ได้พัฒนาให้เป็นสวนที่มีคุณค่าพร้อมกับการก่อสร้างวิหารเริ่มขึ้นใหม่
ท่านได้กลับไปศรีลังกา และอีก 3 ปีต่อมาท่านก็ได้กลับมายังป่าอิสิปตนฯ อีก และเริ่มงานของสมาคมมหาโพธิ์ ณ ที่นั้น อีกครั้งหนึ่ง ท่านได้พาสามเณร จำนวน 10 รูปจากศรีลังกามาด้วย หลังจากท่านท่านได้สละชีวิตทางโลกออกมาเป็นคนไม่มีบ้าน (อนาคาริก) เป็นเวลานาน และได้บวชสามเณร ในวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2474 โดยท่านพระโพธิรุกขมูเล เรวตะ เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้รับฉายาว่า เทวมิตตะ ธัมมปาละ ได้เข้ารับการอุปสมบท ในวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2476
คุณธรรมที่เป็นแบบอย่าง
1. การมุ่งมั่นทำงานเพื่อพระพุทธศาสนาและมนุษยชาติ จากประวัติจะเห็นได้ว่า ท่านอนาคาริก ธรรมปาละ เป็นผู้ที่เริ่มต้นที่สำคัญในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนายุคใหม่ และท่านได้พยามยามทำงานเพื่อนำพระพุทธศาสนามาสู่อินเดียจนสำเร็จ รวมตลอดถึงเป็นผู้ร่วมเรียกร้องให้พุทธคยา ได้กลับมาอยู่ในความดูแลของชาวพุทธจนเป็นเป็นผลสำเร็จ
นอกจากนั้น รัฐบาลอินเดีย ยังได้นำสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา ได้แก่ หัวสิงห์สี่หัวของพระเจ้าอโศกกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติของอินเดีย ธรรมจักรที่ฐานก็ปรากฎอยู่ในธงชาติของอินเดียอีกด้วย
2. การยึดมั่นนับถือพระพุทธศาสนา ตลอดชีวิตของท่านได้อุทิศชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนา โดยทั้งการเผยแผ่ การก่อตั้งสถาบันทางพุทธศาสนา สถาบันการศึกษาพระพุทธศาสนา เป็นต้น
ศึกษาประวัติและผลงานอนาคาริก ธรรมปาละ
https://th.wikipedia.org/wiki/อนาคาริก_ธรรมปาละ
http://www.br.ac.th/elearning/social/jitraporn/Buddhism%20%20M6/Unit8_8.html