๑. วิเคราะห์พระพุทธเจ้าในฐานะเป็นมนุษย์ผู้ฝึกตนได้อย่างสูงสุดในการตรัสรู้ การก่อตั้ง วิธีการสอน และการเผยแผ่พระพุทธศาสนา หรือวิเคราะห์ประวัติศาสดาที่ตนนับถือตามที่กำหนด (ส ๑.๑ ม.๔-๖/๒)
๒. วิเคราะห์พุทธประวัติด้านการบริหารและการธำรงรักษาศาสนา หรือวิเคราะห์ประวัติศาสดาที่ตนนับถือตามที่กำหนด (ส ๑.๑ ม.๔-๖/๓)
๓. วิเคราะห์พระพุทธศาสนาว่าเป็นศาสตร์แห่งการศึกษา ซึ่งเน้นความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัยกับวิธีการแก้ปัญหาหรือแนวคิดของศาสนาที่ตนนับถือตามที่กำหนด (ส ๑.๑ ม.๔-๖/๙)
การศึกษาในทางพระพุทธศาสนา แบ่งเป็น ๒ ระดับ คือ
๑. การศึกษาระดับโลกิยะ มีความมุ่งหมายเพื่อดำรงชีวิตในทางโลก
๒. การศึกษาระดับโลกุตระ มีความมุ่งหมายเพื่อดำรงชีวิตเหนือกระแสโลก
ในการศึกษาหรือการพัฒนาตามหลักพระพุทธศาสนา นั้น พระพุทธเจ้าสอนให้คนได้พัฒนาอยู่ ๔ ด้าน คือ ด้านร่างกาย ด้านศีล ด้านจิตใจ และด้านสติปัญญา โดยมีจุดมุ่งหมายให้มนุษย์เป็นทั้งคนดีและคนเก่ง มิใช่เป็นคนดีแต่โง่ หรือเป็นคนเก่งแต่โกง การจะสอนให้มนุษย์เป็นคนดีและคนเก่งนั้น จะต้องมีหลักในการศึกษาที่ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งในการพัฒนามนุษย์นั้นพระพุทธศาสนามุ่งสร้างมนุษย์ให้เป็นคนดีก่อน แล้วจึงค่อยสร้างความเก่งทีหลัง นั่นคือสอนให้คนเรามีคุณธรรม ความดีงามก่อนแล้วจึงให้มีความรู้ความเข้าใจหรือสติปัญญาภายหลัง
ดังนั้น หลักในการศึกษาของพระพุทธศาสนานั้น จะมีลำดับขั้นตอนการศึกษา โดยเริ่มจากสีลสิกขา ต่อด้วยจิตตสิกขา และขั้นตอนสุดท้ายคือ ปัญญาสิกขา ซึ่งขั้นตอนการศึกษาทั้งสามนี้ รวมเรียกว่า ไตรสิกขา
หลักการศึกษาของพระพุทธศาสนา มีขั้นตอนการศึกษา ๓ ลำดับ เรียกว่า ไตรสิกขา ได้แก่
๑. สีลสิกขา การฝึกศึกษาในด้านความประพฤติทางกาย วาจา และอาชีพ (Training in Higher Morality) เป็นการฝึกฝนอบรมในด้านความประพฤติทางกายและวาจาให้เรียบร้อย การศึกษาในเรื่องศีลเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐานในไตรสิกขา ศีลในพระพุทธศาสนา ได้แก่ ศีล ๕ และศีล ๘ สำหรับชาวบ้าน ศีล ๑๐ สำหรับสามเณร ศีล ๒๒๗ สำหรับพระพภิกษุ และ ศีล ๓๑๑ สำหรับภิกษุณี
๒. จิตตสิกขา การฝึกศึกษาด้านสมาธิ หรือพัฒนาจิตใจให้เจริญได้ที่ (Training in Higher Mentality หรือ Concentration) เป็นการฝึกอบรมทางด้านจิตใจ โดยมุ่งพัฒนาจิตใจให้มีคุณสมบัติที่ดีงาม ๓ ด้าน ได้แก่
๑) ด้านคุณภาพ หรือความดีงาม เช่น มีเมตตากรุณา มีความกตัญญูกตเวที มีสัมมาคารวะ เป็นต้น
๒) ด้านสมรรถภาพ หรือด้านความสามารถ ความแข็งแกร่ง เช่น มีความเพียรพยายาม มีความอดทนอดกลั้น มีสติ มีสมาธิ เป็นต้น
๓) ด้านสุขภาพ หรือด้านความสุข ความปลอดโปร่ง เช่น มีความสดชื่นเบิกบาน แจ่มใส ไม่เครียด ไม่วิตกกังวล ไม่ขุ่นมัว ไม่กระวนกระวาย เป็นต้น
การฝึกฝนอบรมด้านจิตใจเป็นการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม เสริมสร้างคุณภาพของจิต สมรรถภาพจิต และยกระดับสุขภาพจิตใจให้สูงขึ้น หลักการสำคัญในการฝึกฝนอบรมด้านจิต คือ การฝึกสมาธิ การฝึกสมาธิ เป็นการฝึกอบรมเพื่อให้จิตใจสงบปราศจากกิเลสโดยเฉพาะ นิวรณ์ ๕ ได้แก่
๑. กามฉันทะ คือ ความพอใจในกามคุณ
๒. พยาบาท คือ การคิดร้ายต่อผู้อื่น
๓. ถีนมิทธะ คือ ความหดหู่ซึมเซา
๔. อุทธัจจกุกกุจจะ คือ ความฟุ้งซ่านและรำคาญ
๕. วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัย
๓. ปัญญาสิกขา การฝึกศึกษาในปัญญาสูงขึ้นไป ให้รู้คิดเข้าใจมองเห็นตามเป็นจริง (Training in Higher Wisdom) เป็นการศึกษาฝึกฝนอบรมเพื่อให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริง รู้ถ่องแท้ เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามสภาพความเป็นจริง หรือรู้เท่าทันความเป็นธรรมดาของโลกและชีวิต สามารถปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องเหมาะสม มีจิตใจที่เป็นสุขไร้ความทุกข์ หลักการสำคัญในการฝึกฝนอบรมด้านปัญญา คือ การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เป็นการศึกษาขั้นสูงสุดในไตรสิกขา ผู้ที่สามารถฝึกฝนอบรมตนจนถึงขั้นนี้ได้ถือว่าได้บรรลุถึงเป้าหมายสูงสุดของชีวิต คือ เกิดปัญญารู้เห็นสิ่งทั้งหลายตามสภาพความจริง ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านั้น อีกทั้งยังเป็นแนวทางที่จะทำให้บรรลุมรรคผลและนิพพานด้วย
ความสัมพันธ์แบบต่อเนื่องของไตรสิกขานี้ มองเห็นได้ง่ายแม้ในชีวิตประจำวัน กล่าวคือ
(ศีล -> สมาธิ) เมื่อประพฤติดี มีความสัมพันธ์งดงาม ได้ทำประโยชน์อย่างน้อยดำเนินชีวิตโดยสุจริต มั่นใจในความบริสุทธิ์ของตน ไม่ต้องกลัวต่อการลงโทษ ไม่สะดุ้งระแวงต่อการประทุษร้ายของคู่เวร ไม่หวาดหวั่นต่อเสียงตำหนิหรือความรู้สึก ไม่ยอมรับของสังคม และไม่มีความฟุ้งซ่านวุ่นวายใจ เพราะความรู้สึกเดือดร้อนรังเกียจในความผิดของตนเอง จิตใจก็เอิบอิ่ม ชื่นบานเป็นสุข ปลอดโปร่ง สงบ และแน่วแน่ มุ่งไปกับสิ่งที่คิด คำที่พูดและการที่ทำ
(สมาธิ -> ปัญญา) ยิ่งจิตไม่ฟุ้งซ่าน สงบ อยู่กับตัว ไร้สิ่งขุ่นมัว สดใส มุ่งไปอย่างแน่วแน่เท่าใด การรับรู้ การคิดพินิจพิจารณามอง เห็นและเข้าใจสิ่งต่างๆ ก็ยิ่งชัดเจน ตรงตามจริง แล่น คล่อง เป็นผลดีในทางปัญญามากขึ้นเท่านั้น
อุปมาในเรื่องนี้ เหมือนว่าตั้งภาชนะน้ำไว้ด้วยดีเรียบร้อย ไม่ไปแกล้งสั่นหรือเขย่ามัน ( ศีล ) เมื่อน้ำไม่ถูกกวน คน พัด หรือเขย่า สงบนิ่ง ผงฝุ่นต่างๆ ก็นอนก้น หายขุ่น น้ำก็ใส (สมาธิ) เมื่อน้ำใส ก็มองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจน ( ปัญญา )
ในการปฏิบัติธรรมสูงขึ้นไป ที่ถึงขั้นจะให้เกิดญาณ อันรู้แจ้งเห็นจริงจนกำจัดอาสวกิเลสได้ ก็ยิ่งต้องการจิตที่สงบนิ่ง ผ่องใส มีสมาธิแน่วแน่ยิ่งขึ้นไปอีก ถึงขนาดระงับการรับรู้ทางอายตนะต่างๆ ได้หมด เหลืออารมณ์หรือสิ่งที่กำหนดไว้ใช้งาน แต่เพียงอย่างเดียว เพื่อทำการอย่างได้ผล จนสามารถกำจัดกวาดล้างตะกอนที่นอนก้นได้หมดสิ้น ไม่ให้มีโอกาสขุ่นอีกต่อไป
ไตรสิกขานี้ เมื่อนำมาแสดงเป็นคำสอนในภาคปฏิบัติทั่วไป ได้ปรากฏในหลักที่เรียกว่า โอวาทปาฏิโมกข์ คือ
สพฺพปาปสฺส อกรณํ = การไม่ทำความชั่วทั้งปวง (ศีล)
กุสลสฺสูป สมฺปทา = การบำเพ็ญความดีให้เพียบพร้อม (สมาธิ)
สจิตฺต ปริโยทปนํ = การทำจิตของตนให้ผ่องใส (ปัญญา)
นอกจากนี้ยังมีวิธีการเรียนรู้ตามหลักโดยทั่วไป ซึ่งพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าตรัสไว้ ๕ ประการ คือ
๑. การฟัง หมายถึง การตั้งใจศึกษาเล่าเรียนในห้องเรียน
๒. การจำได้ หมายถึง การใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อให้จำได้
๓. การสาธยาย หมายถึง การท่อง การทบทวนความจำบ่อย ๆ
๔. การเพ่งพินิจด้วยใจ หมายถึงการตั้งใจจินตนาการถึงความรู้นั้นไว้เสมอ
๕. การแทงทะลุด้วยความเห็น หมายถึง การเข้าถึงความรู้อย่างถูกต้อง เป็นความรู้อย่างแท้จริง ไม่ใช่ติดอยู่แต่เพียงความจำเท่านั้น แต่เป็นความรู้ความจำที่สามารถนำมาประพฤติปฏิบัติได้
จะเห็นได้ว่า สีลสิกขา จิตตสิกขา และปัญญาสิกขา การศึกษาทั้ง ๓ ขั้นนี้ ต่างก็เป็นพื้นฐานกันและกัน ซึ่งในการศึกษา พุทธศาสนามุ่งสอนให้คนเป็นคนดี คนเก่งและสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข จากกระบวนการศึกษาที่กล่าวมาทั้ง ๓ ขั้นตอนของพุทธศาสนานี้ หากสามารถนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง ก็จะเกิดผลดีกับผู้ปฏิบัติ ซึ่งหลักการทั้ง ๓ นั้น เป็นที่ยอมรับจากชาวโลก ทำให้พุทธศาสนาได้แพร่หลายไปในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก จึงนับได้ว่าพุทธศาสนาเป็นศาสตร์แห่งการศึกษาอย่างแท้จริง
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งเหตุผล ที่มุ่งสอนให้มนุษย์รู้จักใช้เหตุผล โดยเน้นว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาในโลกนี้เกิดขึ้นมาเพราะมีเหตุปัจจัย และเสื่อมสลายไปเพราะเหตุปัจจัยเสื่อมสลาย ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นลอยๆ หรือเสื่อมสลายไปเฉยๆ โดยไม่มีเหตุปัจจัย
เหตุปัจจัย มีความหมายแยกอยู่ ๒ คำ คือ เหตุ หมายถึง เงื่อนไขหรือองค์ประกอบที่ทำให้เกิดผล ปัจจัย หมายถึง เงื่อนไขหรือองค์ประกอบต่างๆ ที่รวมตัวกันขึ้น ทั้งเหตุและปัจจัยต่างก็มีความสำคัญเท่าๆ กัน และอิงอาศัยกัน เช่น เหตุที่กับข้าวฝีมือแม่อร่อย เพราะแม่ใช้วัตถุดิบที่ดี สด สะอาด ใช้เครื่องปรุงดีและพอเหมาะ เป็นปัจจัยให้กับข้าวที่แม่ทำทุกครั้ง ทุกมื้ออร่อย
๑) ปฏิจจสมุปบาท คือ การที่สิ่งทั้งหลายอิงอาศัยกันและกันเกิดขึ้น เป็นกฎธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ พระองค์จึงได้ชื่อว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า กฎปฏิจจสมุปบาท เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กฏอิทัปปัจจยตา ซึ่งก็คือ กฎแห่งความเป็นเหตุเป็นผลของกันและกันนั่นเอง
กฎปฏิจจสมุปบาท คือ กฎแห่งเหตุผลที่ว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้ก็ดับไปด้วย มีองค์ประกอบ ๑๒ ประการ คือ
๑. อวิชชา คือ ความไม่มรู้จริงของชีวิต ไม่รู้แจ้งในอริยสัจ ๔ ไม่รู้เท่าทันตามสภาพที่เป็นจริง
๒. สังขาร คือ ความคิดปรุงแต่ง หรือเจตนาทั้งที่เป็นกุศลและอกุศล
๓. วิญญาณ คือ ความรับรู้อารมณ์ต่างๆ เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส
๔. นามรูป คือ ความมีอยู่ของรูปธรรมและนามธรรม ได้แก่ กายกับจิต
๕. สฬายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
๖. ผัสสะ คือ การถูกต้องสัมผัสหรือการกระทบ
๗. เวทนา คือ ความรู้สึกเป็นสุข เป็นทุกข์ หรืออุเบกขา
๘. ตัณหา คือ ความทะยานอยาก หรือความต้องการในสิ่งที่ก่อให้เกิดความสุข และความดิ้นรนหลีกหนีในสิ่งที่ก่อให้เกิดความทุกข์
๙. อุปทาน คือ ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน
๑๐. ภพ คือ พฤติกรรมที่แสดงออกเพื่อสนองอุปาทานนั้นๆ เพื่อให้ได้มาและให้เป็นไปตามความยึดมั่นถือมั่น
๑๑. ชาติ คือ ความเกิด
๑๒. ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะ คือ ความแก่ ความตาย ความโศรกเศร้า ความคร่ำครวญ ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ และความคับแค้นใจหรือความกลัดกลุ้มใจ
องค์ประกอบทั้ง ๑๒ ประการนี้ พระพุทธศาสนาเรียกว่า องค์ประกอบแห่งชีวิต หรือ กระบวนการของชีวิต ซึ่งมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันทำนองปฏิกิริยาลูกโซ่ เป็นเหตุปัจจัยต่อกันโยงใยเป็นรูปวงเวียน ไม่มีต้น ไม่มีปลาย ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ที่เอาอวิชชาเป็นข้อที่ ๑ นั้นก็เพื่อสะดวกในการทำความเข้าใจเท่านั้น
เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมี
การเทศนาปฏิจจสมุปบาท ดังแสดงไปแล้วข้างต้น เรียกว่า อนุโลมเทศนา หากแสดงย้อนกลับจากปลายมาหาต้น จากผลไปหาเหตุปัจจัย เช่น ชรามรณะเป็นต้น มีเพราะชาติเป็นปัจจัย ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ฯลฯ สังขารมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ดังนี้ เรียกว่า ปฏิโลมเทศนา (ข้อมูลจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)
๒) อริยสัจ ๔ กฎปฏิจจสมุปบาทหรือกฎอิทัปปัจจยตา ที่ว่า อวิชชาเป็นต้นเหตุของทุกสิ่งทุกอย่าง อวิชชา คือ ความไม่รู้แจ้งในอริยสัจ ๔ ดังนั้น เมื่อกล่าวโดยสรุปก็คือ อริยสัจ ๔ นั่นเอง
อริยสัจ ๔ หมายถึง หลักความจริงอันประเสริฐ หรือ หลักความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงเป็นผู้ประเสริฐ มี ๔ ประการ ได้แก่
๑. ทุกข์ หมายถึง ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ หรือสภาพที่บีบคั้นจิตใจให้ทนได้ยาก ทุกข์เป็นสภาวะที่ควรกำหนดรู้
๒. สมุทัย (ทุกขสมุทัย) หมายถึง สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา ๓ ประการ คือ กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา สมุทัยเป็นสภาวะที่ควรละหรือกำจัดให้หมดไป
๓. นิโรธ (ทุกขนิโรธ) หมายถึง ความดับทุกข์ หรือสภาวะที่ปราศจากทุกข์ เป็นสภาวะที่ควรบรรลุหรือทำความเข้าใจให้แจ้งชัด
๔. มรรค (ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา) หมายถึง ทางดับทุกข์ หรือข้อปฏิบัติที่เป็นเหตุให้ถึงความดับทุกข์ ได้แก่ มัชฌิมาปฏิปทา หรือมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งสรุปลงในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคเป็นสภาวะที่ควรเจริญ หรือควรลงมือปฏิบัติด้วยตนเองจึงจะไปสู่ความดับทุกข์ได้
อริยสัจ ๔ ถ้าวิเคราะห์กันในเชิงวิทยาการสมัยใหม่ เรียกว่า เป็นศาสตร์แห่งเหตุผล เพราะอริยสัจ ๔ จัดได้เป็น ๒ คู่ แต่ละคู่เป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน
ปัญหาของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาส่วนตัว ปัญหาสังคม หรือปัญหาของโลก โดยข้อเท็จจริงก็คือ ความทุกข์ นั่นเอง ด้วยเหตุนี้ วิธีการแก้ปัญหาตามแนวทางของพระพุทธศาสนา จึงเริ่มต้นจากการกำหนดตัวทุกข์ในฐานะที่เป็นปัญหาของมนุษย์ เมื่อกำหนดได้แล้วก็ควรจะวิเคราะห์ปัญหาหรือความทุกข์ให้ชัดเจนว่ามีสาเหตุมาจากอะไร พร้อมกันนั้นก็กำหนดเป้าหมายของตัวเองไปด้วยว่า จะจัดการกับสาเหตุของปัญหานั้นแค่ไหน อย่างไร จากนั้นก็ลงมือปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ วิธีการแก้ปัญหาตามแนวทางของพระพุทธศาสนา ดังกล่าวนี้ เรียกว่า อริยสัจ ๔ ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
- หลักการแก้ปัญหาด้วยปัญญาของมนุษย์ คือ
ขั้นตอนที่ ๑. ทุกข์ คือ การเกิดปัญหา หรือรู้ปัญหาที่เกิดขึ้น หรือรู้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นคืออะไร
ขั้นตอนที่ ๒. สมุทัย คือ การสืบหาสาเหตุของปัญหา พยายามแสวงหาว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากอะไร
ขั้นตอนที่ ๓. นิโรธ คือ กำหนดแนวทางหรือวิธีการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากสาเหตุต่าง ๆ เหล่านั้น
ขั้นตอนที่ ๔. มรรค คือ เป็นขั้นการลงมือปฏิบัติตามวิธีการให้ถึงการแก้ไขปัญหา หรือวิธีการดับปัญหาได้ กรรมวิธีที่จะนำไปสู่ความหมดสิ้นปัญหาอย่างแท้จริงตามหลักพระพุทธศาสนา คือ มรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น รวมเรียกว่า ทางสายกลาง หรือมัชฌิมาปฏิปทา
๑. ขั้นกำหนดทุกข์ หรือปัญหา ๑. ขั้นกำหนดปัญหา
- ปัญหา คือ อะไร - ปัญหาที่เกิดขึ้น คือ อะไร
- มีขอบเขตแค่ไหน - มีขอบเขตแค่ไหน
๒. ขั้นค้นหาสมุทัยหรือเหตุของปัญหา - มีสาเหตุมาจากอะไร
- ปัญหามีสาเหตุมาจากอะไร ๒. ขั้นตั้งสมมติฐาน
๓. ขั้นนิโรธ หรือกำหนดเป้าหมาย - สำรวจหาแนวทางและวิธีการแก้ปัญหาหลายๆ วิธี
- เป้าหมายของปัญหาคือ อะไร
๔. ขั้นปฏิบัติตามมรค หรือกรรมวิธีและขั้นตอนแก้ปัญหา ๓. ขั้นพิสูจน์และทดลอง
- ขั้นตอนการปฏิบัติมีอะไรบ้าง - นำแนวทางและวิธีการแก้ปัยหามาทดลองปฏิบัติ
- ทดลองปฏิบัติ ๔. ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล
- เลือกกรรมวิธีที่ถูกต้องและแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง - แยกแยะข้อมูลที่ได้
๕. ขั้นสรุปผล
- เลือกข้อมูลที่ใช้ได้
- ขจัดข้อมูลที่ผิดและใช้ไม่ได้ทิ้งไป
พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และนำหลักธรรมคำสอนมาสั่งสอนชาวโลก ก่อนที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพานพระพุทธองค์ทรงตรัสประทาน ปัจฉิมโอวาท แก่พระภิกษุที่มาประชุมพร้อมกัน ณ ที่นั้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอทั้งหลาย จงยังประโยชน์ของตนและประโยชน์เพื่อผู้อื่นให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยความไม่ประมาทเถิด
ความไม่ประมาท คือ ความเป็นผู้มีสติอยู่ตลอดเวลา หมายถึง การมีสติคอยกำกับการกระทำ การพูด และการคิดตลอดเวลา ไม่เลินเล่อเผลอสติ
สติ คือ ความรู้สึกตัว หมายถึง รู้สึกตัวทั้งในเวลาก่อนและทั้งในขณะที่ทำ ขณะที่พูด ขณะที่คิด ซึ่งจะเห็นได้ว่าเราจะต้องมีสติในทุกขณะตลอดเวลา
พระพุทธศาสนาจะสอนเรื่องความไม่ประมาทและความประมาทคู่กันเสมอ ดังคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้ว่า
อปฺมาโท อมตํ ปทํ ปมาโท มจฺจุโน ปทํ แปลความว่า ความไม่ประมาทเป็นทางไม่ตาย ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย อปฺปมตฺตา น มียนฺติ เย ปมตฺตา ยถา มตา แปลความว่า ผู้ไม่ประมาทย่อมไม่ตาย ผู้ประมาทเหมือนคนที่ตายแล้ว
๑. สติ ความระลึกได้ และ สัมปชัญญะ ความรู้ตัว
๒. ปธาน คือ ความเพียร อันเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้เกิดความไม่ประมาทในชีวิต ได้แก่
๑) สังวรปธาน ความเพียรระวัง ป้องกันมิให้ตนเองกระทำในสิ่งที่ไม่ดี
๒) ปหานปธาน ความเพียรในการละทิ้งความไม่ดีที่เคยเกิดขึ้นกับตนให้หมดไป
๓) ภาวนาปธาน ความเพียรในการสร้างสรรค์ความดี
๔) อนุรักขนาปธาน ความเพียรในการรักษาความดี
๓. หิริ โอตตัปปะ
๑) หิริ คือ ความละอายในการทำความชั่ว
๒) โอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัวต่อผลของความชั่ว
พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ชาวพุทธไม่ประมาททั้งในระดับพื้นฐานและระดับสูง ในระดับพื้นฐานทรงสอนไม่ให้ประมาทในการปฏิบัติ ๔ ประการ ได้แก่
๑. ในการละกายทุจริตและประพฤติกายสุจริต
๒. ในการละวจีทุจริตและประพฤติวจีสุจริต
๓. ในการละมโนสุจริตและประพฤติมโนสุจริต
๔. ในการละความเห็นผิดและทำความเห็นให้ถูก
ในระดับสูงสอนให้ไม่ประมาทในการควบคุมใจ ๔ ประการ ได้แก่
๑. ระวังใจไม่ให้กำหนัดในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด
๒. ระวังใจไม่ให้ขัดเคืองในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง
๓. ระวังใจไม่ให้หลงในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความหลง
๔. ระวังใจไม่ให้มัวเมาในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความมัวเมา
ผู้ที่ปฏิบัติตามหลักคำสอนเรื่องความไม่ประมาทได้ทั้งในระดับพื้นฐานและระดับสูง นับว่าเป็นผู้ไม่ประมาทอย่างแท้จริง เพราะสามารถทำให้ความโลภ ความโกรธ และความหลง ลดน้อยถอยลง ชีวิตจะมีแต่ความสุขและความเจริญ
พระพุทธศาสนา คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มีความหมาย ๒ ลักษณะ คือ
๑. ลักษณะที่เป็นคำสั่ง หมายถึง ข้อห้ามไม่ให้ทำ เรียกว่า วินัย หรือศีล เช่น ศีลของพระภิกษุ ศีลของอุบาสก อุบาสิกา เป็นต้น
๒. ลักษณะที่เป็นคำสอน หมายถึง คำแนะนำให้กระทำหรือให้เว้น ที่เรียกว่า ธรรม ธรรมที่สำคัญของพระพุทธศาสนาหรือที่เรียกว่าเป็น หัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ โอวาท ๓ ประการ คือ การไมทำชั่วทั้งปวง การทำแต่ความดี และการทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส
คำสั่งสอนในพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นลักษณะใดก็ตาม ล้วนมุ่งให้เกิดประโยชน์สุขแก่บุคคล สังคม และโลกทั้งสิ้น ดังพระดำรัสที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า เราประกาศพระศาสนาก็เพื่อประโยชน์ คือ ลาภสักการะก็หาไม่ แต่เราประกาศพระศาสนาเพื่อให้ชาวโลกหลุดพ้นจากความทุกข์ ถึงความดับกิเลสอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
๑. ทิฎฐธัมมิกัตถะ คือ ประโยชน์ในปัจจุบัน การตั้งตัวได้อย่างมั่นคง มีหลักปฏิบัติ ๔ ประการ
๑) อุฏฐานสัมปทา มีความหมั่นขยัน
๒) อารักขสัมปทา รักษาทรัพย์ที่หามาได้
๓) กัลยาณมิตตตา คบเพื่อนที่ดี
๔) สมชีวิตา เลี้ยงชีวิตตามสมควรแก่กำลังทรัพย์ที่หามาได้
๒. สัมปรายิกัตถะ คือ ประโยชน์ในภายหน้า โดยมีหลักปฏิบัติ ๔ ประการ
๑) สัทธาสัมปทา มีศรัทธาที่ถูกต้อง
๒) สีลสัมปทา มีศีลบริสุทธิ์ตามภูมิชั้นของตน
๓) จาคสัมปทา ทำการบริจาคอย่างสมบูรณ์
๔) ปัญญาสัมปทา มีปัญญาเพียบพร้อม รู้จักบาปบุญคุณโทษ
๓. ปรมัตถะ คือ ประโยชน์อย่างยิ่ง ได้แก่ นิพพาน ความดับกิเลสด้วยการดำเนินตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ประการ ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ
๑. สังคหวัตถุ คือ คุณธรรมที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจผู้อื่นไว้ หลักในการสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้อื่น ๔ ประการ ได้แก่
๑) ทาน คือ การรู้จักให้ รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบ่งปันกัน
๒) ปิยวาจา คือ การพูดจาไพเราะ อ่อนหวาน น่ารัก พูดด้วยความจริใจ มีประโยชน์
๓) อัตถจริยา คือ การประพฤติตนให้เป็นประโยชน์ต่อกัน
๔) สมานัตตตา คือ การรู้จักวางตนเสมอต้นเสมอปลาย ทำให้เข้ากับผู้อื่นได้ง่าย ไม่เย่อหยิ่งถือตัว
๒. พรหมวิหาร คือ คุณธรรมประจำใจอันประเสริฐของบุคคลผู้มีคุณความดีอันยิ่งใหญ่ ๔ ประการ ได้แก่
๑) เมตตา คือ ความรัก ความปรารถนาดีอยากให้ผู้อื่นมีความสุข
๒) กรุณา คือ ความสงสารคิดที่จะช่วยผู้อื่นให้พ้นจากความทุกข์
๓) มุทิตา คือ ความพลอยชื่นชมยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นมีความสุข
๔) อุเบกขา คือ ความวางใจเป็นกลางปราศจากความลำเอียง การรู้จักวางเฉย สงบใจ มองดูเมื่อเห็นผู้อื่นรับผิดชอบตัวเองได้
เศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ หมายถึง เศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน กล่าวคือ สามารถเลี้ยงดู อุ้มชูตัวเองได้ให้มีความเพียงพอกับตนเอง เป็นปรัชญาที่ชี้ถึงแนวทางการดำรงชีวิตของประชานในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ชุมชน จนถึงระดับประเทศ โดยมีแนวทางปฏิบัติ ๕ ประการสำคัญ ได้แก่
๑. ยึดทางสายกลาง คือ ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท พึ่งตนเองให้มากขึ้นในทุกระดับ
๒. เน้นความสมดุลและความยั่งยืน คือ เน้นการพัฒนาลักษณะองค์รวม ความพอดีพอเหมาะ ปกป้องรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
๓. รู้จักพอประมาณอย่างมีเหตุผล คือ ไม่โลภ ไม่ฟุ้งเฟ้อ รู้จักพอ มีเหตุผล มีความพอประมาณ
๔. เสริมภูมิคุ้มกันและรู้เท่าทันโลก คือ มีความรอบรู้ รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงจากสิ่งแวดล้อมภายนอก และป้องกันผลกระทบอาจเกิดขึ้นตามมาได้
๕. เสริมสร้างคุณภาพคน คือ สร้างคนให้มีสำนึกในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต มีมิตรไมตรีที่ดีต่อกัน มีความอดทนเพียรพยายาม และมีวินัย
หลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนาที่มุ่งสอนให้ชาวพุทธรู้จักดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง มีอยู่หลายหัวข้อ แต่ที่พบเห็นบ่อย ๆ ได้แก่
๑. ทิฏฐธัมมิกัตถะ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ชาวพุทธรู้จักและเข้าใจถึงวิธีการให้บรรลุประโยชน์สุขในปัจจุบัน
๒. โภควิภาค ๔ ที่แสดงถึงวิธีการจัดสรรทรัพยากรที่หามาได้ในการใช้จ่าย ทรงสอนให้แบ่งทรัพย์ออกเป็น ๔ ส่วน ได้แก่
๑) ส่วนที่ ๑ ใช้จ่ายเพื่อเลี้ยงดูตนเอง ครอบครัว และผู้ที่อยู่ในความรับผิดชอบให้มีความสุข
๒) ส่วนที่ ๒ - ๓ ใช้สำหรับการลงทุนประกอบอาชีพ กิจการงานต่าง ๆ
๓) ส่วนที่ ๔ เก็บไว้ใช้เป็นหลักประกันในยามจำเป็น
หลักธรรมคำสอนที่เกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากร และการใช้จ่าย ยังมีหลายหัวข้อ เช่น
๑. โภคอาทิยะ ๕ หลักธรรมที่แสดงถึงวิธีการที่ควรจะถือเอาประโยชน์จากการมีทรัพย์ ไม่เก็บไว้เฉย ๆ
๒. กามโภคี ๑๐ หลักธรรมที่แสดงถึงการแบ่งคนครองเรือนออกเป็น ๑๐ ประเภท ตามลักษณะการดำเนินชีวิตที่เกี่ยวกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
๓. คิหิสุข ๔ หลักธรรมซึ่งแสดงถึงความสุขของคฤหัสถ์ ๔ ประการ
๔. ปาปณิกธรรม ๓ ซึ่งแสดงถึงลักษณะหรือคุณสมบัติที่ดีของคนที่ประกอบธุรกิจ
พุทธศาสนสุภาษิต ที่สัมพันธ์กับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ มุ่งสอนให้และแนะนำให้ขยันหมั่นเพียร ให้รู้จักประกอบอาชีพสุจริต รู้จักทำงาน รู้จักปฏิบัติต่อทรัพย์ ได้แก่
ปฏิรูปการี ธุรวา อุฏฺฐาตา วินฺทเต ธนํ : ทำเหมาะจังหวะ เอาธุระ ขยัน ย่อมหาทรัพย์ได้
ธฒฺเมน วิตฺตเมเสยฺย : พึงหาเลี้ยงชีพโดยทางที่ชอบธรรม
ปโยชเย ธมฺมิกํ โส วณิชฺชํ : พึงประกอบการค้าที่ชอบธรรม
กล่าวโดยสรุป หลักคำสอนในพระพุทธศาสนาที่เกี่ยวกับนี้มีจุดเน้นเบื้องต้นว่า จะทำอย่างไรให้คนทุกคนมีปัจจัย ๔ พอเพียงที่จะเป็นอยู่ได้ เพื่อความมีชีวิตที่ดีงาม มีสังคมที่เป็นสุข และสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นต่อไปได้