(รูปภาพจาก http://dhammathai.org/)
พระพุทธศาสนามีหลักธรรมคำสอนที่เน้นเรื่องการควบคุมกาย วาจา และจิตใจไปพร้อมกัน ทั้งนี้เพราะพระพุทธศาสนาสอนว่า เมื่อกายวาจาสงบเรียบร้อย และสามารถควบคุมจิตให้สงบนิ่งได้ ความรู้ วามเข้าใจตามสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นตามมา การควบคุมกายวาจาให้สงบเรียบร้อยเรียกว่า ศีล การควบคุมจิตให้สงบนิ่ง เรียกว่า สมาธิ ความรู้ความเข้าใจตามสภาพความจริงเรียกว่า ปัญญา ทั้งศีล สมาธิและปัญญา รวมเรียกว่า ไตรสิกขา
กล่าวเฉพาะสมาธิและปัญญา พระพุทธศาสนาได้แสดงวิธีการฝึกอบรมให้เกิดขึ้นไว้หลายวิธี ที่เรียกว่า การบริหารจิตและการเจริญปัญญา
(รูปภาพจาก http://dhammathai.org/)
ฟังบทสวดพระคาถาชินบัญชร https://www.youtube.com/watch?v=ixT9kXH1nYI
การบริหารจิต หมายถึง การฝึกฝนอบรมจิตให้สงบ ฝึกจิตให้เป็นสมาธิ เข้มแข็ง มีพลัง และมีประสิทธิภาพ การบริหารจิตจะทำให้จิตสงบนิ่งอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงเรื่องเดียว ไม่คิดถึงเรื่องอื่นในขณะนั้น เรียกว่า จิตเป็นสมาธิ เมื่อจิตเป็นสมาธิ ความสงบ ความเข้มแข็ง และความมั่นคงของจิตก็จะเกิดขึ้น ที่สำคัญความรู้ความเข้าใจตามสภาพความเป็นจริงที่เรียกว่า ปัญญา ก็จะเกิดขึ้นตามมาด้วย
การเจริญปัญญา หมายถึง การฝึกฝนอบรมหรือการพัฒนาตนให้เกิดปัญญา ปัญญาจะเกิดได้ดีสมบูรณ์ และมีประสิทธิภาพ ต้องอาศัยจิตที่เป็นสมาธิเป็นพื้นฐาน
การบริหารจิต หรือเรียกอีอย่างหนึ่งว่า สมาธิภาวนา เพราะเป็นการพัฒนาจิตให้เกิดสมาธิ จิตที่เป็นสมาธิจะมีลักษณะตั้งมั่น ไม่ฟุ้งซ่าน ชัดใสไม่พร่ามัว และมีความตื่นตัวอยู่เสมอ พร้อมที่จะทำหน้าที่แห่งปัญญา ไม่เซื่องซึม ในขณะเดียวกันก็จะเบิกบานผ่อนคลาย ไม่ตึงเครียด สงบเย็นเป็นสุขด้วย
การบริหารจิตนั้นจะมีประโยชน์มากมาย ทั้งประโยชน์ในทางด้านพระพุทธศาสนาโดยตรง กล่าวคือ ใช้เป็นฐานแห่งการพิจารณาให้เห็นความจริงของสรรพสิ่งทั้งหลาย จนสามารถบรรลุสิ้นกิเลส อาวสวะกิเลสทั้งปวง อันเรียกว่า นิพพาน อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ในการพัฒนาบุคลิกภาพ ลักษณะนิสัยที่ดีงาม และประโยชน์ที่เกิดในการดำเนินชีวิตประจำวัน
สติปัฏฐาน แปลว่า ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งสติ หมายถึง อารมณ์ของสติ ได้แก่ กาย เวทนา จิต ธรรม วิปัสสนาสติปัฏฐาน คือ หลักการใช้สติ และปัญญา กำหนดรู้สภาวธรรมทางกาย เวทนา จิต ธรรม ตามความเป็นจริงจนหยั่งรู้ถึงความเปลี่ยนแปลง แปรปรวนไปของสภาวธรรมทั้งหลายว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ตัวตน เราเขา จนเกิดปัญญาเป็นขั้นๆ เริ่มตั้งแต่ วิปัสสนาญาณที่ ๑ นาม-รูปปริจเฉทญาณไปจนถึงวิปัสสนาญาณที่ ๑๖ ปัจจเวกขณญาณ หมายถึง ปัญญา รู้เห็นในมรรคจิต ผลจิต นิพพาน รวมถึงกิเลสที่ละแล้ว และกิเลสที่ยังคงเหลืออย
สติปัฏฐาน แปลว่า สติที่ตั้งมั่น, การหมั่นระลึก, การมีสัมมาสติระลึกรู้นั้นพ้นจากการคิดโดยตั้งใจ แต่เกิดจากจิตจำสภาวะได้ แล้วระลึกรู้โดยอัตโนมัติ โดยคำว่า สติ หมายถึง ความระลึกรู้ เป็นเจตสิกประเภทหนึ่ง ส่วนปัฏฐาน แปลได้หลายอย่าง แต่ในมหาสติปัฏฐานสูตรและสติปัฏฐานสูตร หมายถึง ความตั้งมั่น, ความแน่วแน่, ความมุ่งมั่น
สรุปได้ว่า สติปัฏฐาน คือ ความตั้งมั่นในการระลึกรู้อารมณ์ที่เป็นฝ่ายดี ยับยั้งมิให้จิตตกไปใน ทางชั่ว หรือความระลึกได้ที่รู้ทันอารมณ์อันเป็นฝ่ายดี โดยเฉพาะอารมณ์อันเป็นที่ตั้งมั่นแห่งสติ ๔ ประการ ประกอบด้วย กาย เวทนา จิต ธรรม คือ เข้าไปรู้เห็นในสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ตามมุ่งมองของไตรลักษณ์หรือสามัญลักษณะ โดยไม่มีความยึดติดด้วยอำนาจกิเลสทั้งปวง ได้แก่ (อ้างอิงจาก : ดร.บุณชญา วิวิธขจร อาจารย์ประจำหลักสูตรสาขาพระพุทธศาสนา มจร วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม)
1. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้กายเป็นฐาน ซึ่งกายในที่นี่หมายถึงประชุม หรือรวม นั่นคือธาตุ 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟมาประชุมรวมกันเป็นร่างกาย ไม่มองกายด้วยความเป็นคน สัตว์ เรา เขา แต่มองแยกเป็น รูปธรรมหนึ่งๆ เห็นความเกิดดับ กายล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ว่าด้วย อิริยาบถ 4 เรายืนอยู่ก็รู้ว่าเรายืน เดินอยู่ก็รู้ว่าเดิน นั่งอยู่ก็รู้ว่านั่ง นอนอยู่ก็รู้ว่านอน เราต้องควบคุมสติให้มากขึ้น กำหนดรู้ว่านี่เรานั่ง นั่งท่าไหน เรานอน นอนท่าไหน เราเดิน เดินท่าไหน เรายืนยืนท่าไหน กายานุปัสสนามหาสติปัฏฐานข้อต่อไป คือ สัมปชัญญะ คือ ความรู้ตัว ในตอนต้นตั้งแต่อานาปานสติ และอิริยาบถเป็นสติ คราวนี้ก็สัมปชัญญะ การรู้ตัว รู้ว่าเราตื่นหรือหลับ รู้ว่าเรากำลังเคี้ยว กำลังยืน กำลังเดิน คือทำความรู้ตัวไว้ทุกอิริยาบถ ทุกอาการ บางคนพูดแล้วก็ว่าไม่ได้พูด หรือจำไม่ได้ เรียกว่า ขาดสัมปชัญญะ
2. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้เวทนาเป็นฐาน ไม่มองเวทนาด้วยความเป็นคน สัตว์ เรา เขาคือไม่มองว่าเรากำลังทุกข์ หรือเรากำลังสุข หรือเราเฉยๆ แต่มองแยกเป็นนามธรรมอย่างหนึ่ง เห็นความเกิดดับ เวทนาล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
เวทนา เป็นความรู้สึกหรือความเสวยอารมณ์ที่ปรากฏในขณะปฏิบัติทั้งทางกายและจิตใจ เช่น ความรู้สึกสุขสบายหรือทุกข์ที่ปรากฏขึ้นในทางร่างกาย ความรู้สึกเป็นสุขใจ ดีใจ ปลาบปลื้มฯ หรือทุกข์ทางใจ อึดอัด ขัดเคือง ไม่พอใจ ไม่สบายใจ เป็นต้น เวทนานี้เมื่อจำแนกออกไปแล้วมี 3 ประเภท คือ สุขเวทนา ทุกข์เวทนา และ อุเบกขาเวทนา วิธีปฏิบัติ ขณะปวด กำหนดว่า ปวดหนอๆ ขณะเจ็บ กำหนดว่า เจ็บหนอๆ ขณะชา กำหนดว่า ชาหนอๆ ขณะคัน กำหนดว่า คันหนอๆ ขณะเมื่อย กำหนดว่า เมื่อยหนอๆ ขณะแสบ กำหนดว่า แสบหนอๆ เป็นต้น
3. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้จิตเป็นฐาน เป็นการนำจิตมาระลึกรู้เจตสิกหรือรู้จิตก็ได้ ไม่มองจิตด้วยความเป็นคน สัตว์ เรา เขา คือไม่มองว่าเรากำลังคิด เรากำลังโกรธ หรือเรากำลังเหม่อลอย แต่มองแยกเป็นนามธรรมอย่างหนึ่ง เห็นความเกิดดับ จิตล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
จิต หมายถึง ธรรมชาติหรือสภาวธรรมอย่างหนึ่งที่ทำหน้าที่รับรู้อารมณ์ กำหนดรู้สภาพของจิตที่รู้อารมณ์แต่ละขณะที่เกิดขึ้นนั้น
วิธีปฏิบัติ เช่น ขณะคิดถึง กำหนดว่าคิดถึงหนอๆ ขณะนึก กำหนดว่านึกหนอๆ ขณะฟุ้งซ่าน กำหนดว่าฟุ้งซ่านหนอๆ ขณะหงุดหงิด กำหนดว่าหงุดหงิดหนอๆ ขณะรำคาญ กำหนดว่า รำคาญหนอๆ ขณะซึม กำหนดว่า ซึมหนอๆ ขณะว่าง กำหนดว่า ว่างหนอๆ ขณะสงบ กำหนดว่า สงบหนอๆ ขณะนิ่ง กำหนดว่า นิ่งหนอๆ ฯลฯ
4. ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้สภาวะธรรมเป็นฐาน ทั้งรูปธรรมและนามธรรมล้วนมีความเกิดดับ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
ธรรมารมณ์ หมายถึง สิ่งที่จิตรู้หรือสิ่งที่มาประกอบกับจิต ปรุงแต่งจิต เมื่อเรียกให้ตรงกับสภาวะของนักปฏิบัติก็ได้แก่สภาวธรรม ซึ่งนักปฏิบัติควรเอาใจใส่เฝ้าดูและกำหนดรู้ให้ทันปัจจุบัน โดยอาศัยความเพียรมีสติระลึกรู้อยู่ทุกขณะ ดังนี้ ขณะเห็น กำหนดว่า เห็นหนอๆๆ ขณะได้ยิน กำหนดว่า ได้ยินหนอๆๆ ขณะได้กลิ่น กำหนดว่า กลิ่นหนอๆๆ ขณะรู้รส กำหนดว่า รสหนอๆๆ ขณะถูกต้องสัมผัส กำหนดว่าถูกหนอๆๆ โดยกำหนดที่กายประสาทกระทบสัมผัสในขณะนั้นๆ เช่น ขณะเย็นกำหนดว่า เย็นหนอๆๆ ขณะร้อน กำหนดว่า ร้อนหนอๆๆ ขณะอ่อน กำหนดว่า อ่อนหนอๆๆ ขณะแข็ง กำหนดว่า แข็งหนอๆๆ อย่างนี้เป็นต้น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง https://th.wikipedia.org/wiki/สติปัฏฐาน_4 และ https://www.watbhaddanta.com/
http://www.thaigoodview.com/node/55523 หรือ http://gg.gg/76r8c , https://www.watbhaddanta.com/
โยนิโสมนสิการ เป็นกระบวนการคิดวิธีหนึ่งที่จะทำให้เกิดปัญญา โยนิโสมนสิการ แปลความตามรูปศัพท์ว่า การทำไว้ในใจโดยแยบคาย
หมายถึง การคิดที่ถูกต้องแยบคายหรือการคิดอย่างละเอียด ถี่ถ้วนลึกซึ้ง หรือการคิดที่ถูกวิธี คิดมีระเบียบ คิดตามเหตุผล และคิดอย่างสร้างสรรค์
โยนิโสมนสิการ ประกอบด้วยวิธีคิด ๑๐ แบบ ดังนี้
๑. วิธีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย คือ วิธีคิดแบบปัจจัยสัมพันธ์หรือวิธีคิดแบบสอบสวน / ตั้งคำถาม
๒. วิธีคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ คือ วิธีคิดที่มุ่งให้รู้จักสิ่งทั้งหลายตามสภาพความเป็นจริง
๓. วิธีคิดแบบสามัญลักษณะ คือ วิธีคิดแบบรู้เท่าทันธรรมดาของสิ่งทั้งหลาย
๔. วิธีคิดแบบแก้ปัญหา (อริยสัจ) คือ วิธีคิดตามเหตุและผล หรือคิดตรงจุดของเรื่อง
๕. วิธีคิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์ คือ วิธีคิดตามหลักการและจุดมุ่งหมาย
๖. วิธีคิดแบบคุณ-โทษ และทางออก คือ วิธีคิดที่เน้นการยอมรับความจริงของสิ่งนั้นๆ ทั้งด้านดีแลัด้านเสีย
๗. วิธีคิดแบบคุณค่าแท้-คุณค่าเทียม คือ วิธีคิดแบบสกัดหรือบรรเทาตัณหา(ความอยาก)
๘. วิธีคิดแบบอุบายปลุกเร้าคุณธรรม คือ วิธีคิดที่เน้นไปในทางที่เป็นกุศลหรือความดีงาม
๙. วิธีคิดแบบเป็นอยู่ในขณะปัจจุบัน คือ วิธีคิดแบบมีปัจจุบันเป็นอารมณ์
๑๐.วิธีคิดแบบวิภัชชวาท คือ วิธีคิดแบบแยกแยะในแง่ความจริง โดยส่วนประกอบ โดยลำดับขณะ และโดยความสัมพันธ์ระหว่างเหตุปัจจัย
สำหรับในชั้นนี้กำหนดให้ศึกษาวิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการเพียง ๒ วิธี คือ วิธีคิดแบบสามัญลักษณะ และวิธีคิดแบบเป็นอยู่ในขณะปัจจุบัน
แหล่งข้อมูลศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม
http://gg.gg/76rbn
http://gg.gg/76rcw