การเป็นชาวพุทธที่ดีเราต้องตระหนักในคุณคร่าและมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา เราต้องศึกษาพระพุทธศาสนาในเรื่องต่างๆ ให้เข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหน้าที่ชาวพุทธ
มารยาทชาวพุทธ ศาสนพิธี การเข้าร่วมกิจกรรมหรือพิธีกรรมในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เราสามารถปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องและเลือกแนวทางการปฏิบัติตนที่ควรปฏิบัติ โดยถือว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติ มิใช่เป็นชาวพุทธ เพราะเกิดในตระกูลที่บรรพบุรุษนับถือพระพุทธศาสนาเท่านั้น
หน้าที่ชาวพุทธ
ในสมัยพุทธกาล ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาและเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยส่งเสริม สนับสนุนให้พระพุทธศาสนาแผ่ขยายไปได้กว้างขวาง ก็คือ พุทธบริษัท ๔ ได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา
คำว่า พุทธบริษัท หมายถึง กลุ่มบุคคลที่มีแนวความคิดเห็นและมีศรัทธาใน พระพุทธศาสนาร่วมกันเป็นเอกภาพ ปฏิบัติหน้าที่ในเป้าหมายอันเดียวกัน คือ เพื่อสร้างสันติสุขแก่สังคม ต่อมาไดมีการเรียกพุทธบริษัทในคำบัญญัติใหม่ตามภาษาไทยว่า พุทธศาสนิกชน และ ชาวพุทธ ตามลำดับ
ชาวพุทธมีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติต่อพระพุทธศาสนาหลักๆ ๔ ประการ คือ
๑. การศึกษาหาความรู้
๒. การปฏิบัติตนตามหลักธรรมและประเพณีพิธีกรรมทางศาสนา
๓. การเผยแผ่พระพุทธศาสนา
๔. การปกป้องพระพุทธศาสนา
ในชั้นนี้เราจะศึกษาหน้าที่ชาวพุทธกันในเรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อพระสงฆ์ และการปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อครอบครัวและสังคม
มารยาทชาวพุทธ
มารยาทชาวพุทธ หมายถึง กิริยาวาจาที่ถือว่าสุภาพเรียบร้อยและงดงามที่ชาวพุทธพึงปฏิบัติต่อกัน ชาวพุทธโดยทั่วไปจะไปวัดเพื่อทำบุญตามประเพณีอยู่เสมอ เมื่อไปแล้วจะต้องพบปะกับพระสงฆ์และชาวพุทธด้วยกัน จึงควรปฏิบัติต่อกันด้วยมารยาทที่ดีงามทั้งกายและวาจา
ด้วยเหตุนี้ ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธคนหนึ่ง ควรที่จะศึกษาและฝึกปฏิบัติมารยาทชาวพุทธให้ถูกต้องเหมาะสมและเกิดความเคยชินจนเป็นนิสัย มารยาทชาวพุทธนั้นมีอยู่มากมาย ในชั้นนี้เราจะศึกษากันในเรื่อง การปฏิบัติตนต่อพระสงฆ์ทางกาย ทางวาจา และทางใจ และการปฏิสันถารที่เหมาะสมต่อพระสงฆ์ในโอกาสต่างๆ
๑. การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อพระสงฆ์
พระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบและปฏิบัติถูกต้องตามพระธรรมวินัย เราเป็นชาวพุทธควรปฏิบัติต่อพระสงฆ์ให้ถูกต้องเหมาะสม
๑.๑ การเข้าใจในกิจของพระสงฆ์ พระสงฆมีหน้าที่หลัก ๔ ด้าน
๑) การศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย
๒) การปฏิบัติธรรมและการเป็นนักบวชที่ดี ลักษณะที่ดีของพระสงฆ์ดังที่กล่าวไว้ในสังฆคุณ ได้แก่ เป็นผู้ปฏิบัติดี(สุปะฏิปันโน) เป็นผู้ปฏิบัติตรง(อุชุปะฏิปันโน)เป็นผู้ปฏิบัติธรรม(ญายะปะฏิปันโน) และเป็นผู้ปฏิบัติชอบ(สามีจิปะฏิปันโน)
๓) การเผยแผ่หลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาให้แก่ศาสนิกชน
๔) การปกป้องและคุ้มครองพระพุทธศาสนา
๑.๒ การศึกษาเรื่องคุณสมบัติของทายกและปฏิคาหก
ชาวพุทธแบ่งได้เป็น ๒ กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่
๑. กลุ่มนักบวชหรือบรรพชิต (ภิกษุ/ภิกษุณี) หรือกลุ่มปฏิคาหก (ผู้รับ)
๒. กลุ่มชาวบ้านหรือคฤหัสถ์ หรือกลุ่มทายก (ผู้ให้)
การให้ทานซึ่งเกี่ยวข้องกับทั้งกลุ่มปฏิคาหก (ผู้รับ) และกลุ่มทายก (ผู้ให้) จะได้ผลมากต้องมี ๓ องค์ประกอบสำคัญ คือ วัตถุบริสุทธิ์ เจตนาบริสุทธิ์และบุคคลบริสุทธิ์
๒. การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อครอบครัวและสังคม
๒.๑ การรักษาศีล ๘ หรืออุโบสถศีล เพื่อควบคุมกาย วาจาให้อยู่ในความดีงาม
๒.๒ เข้าร่วมกิจกรรมและเป็นสมาชิกองค์กรชาวพุทธ
๒.๓ ปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีตามหลักทิศเบื้องบนในทิศ ๖
ทิศ ๖ หมายถึง บุคคลประเภทต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์กันทางสังคม โดยมีบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบที่พึงปฏิบัติต่อกัน ดังนี้
ทิศเบื้องหน้า (ปุรัตถิมทิศ) ได้แก่ บิดามารดา
ทิศเบื้องขวา (ทักขิณาทิศ) ได้แก่ ครูอาจารย์
ทิศเบื้องหลัง (ปัจฉิมทิศ) ได้แก่ บุตรภรรยา
ทิศเบื้องซ้าย (อตตรทิศ) ได้แก่ มิตรสหาย
ทิศเบื้องล่าง (เหฏฐิมทิศ) ได้แก่ ผู้ใต้บังคับบัญชา/ลูกจ้าง
ทิศเบื้องบน (อุปริมทิศ) ได้แก่ พระสงฆ์
๑. การปฏิบัติต่อพระสงฆ์ทางกาย ทางวาจา และทางใจ
ชาวพุทธควรปฏิบัติต่อพระสงฆ์ทั้งทางกาย วาจา และทางใจ ให้เมาะสมโอกาสสถานที่ และโอกาสต่างๆ
๒. การปฏิสันถารที่เหมาะสมต่อพระสงฆ์ในโอกาสต่างๆ
คำว่า ปฏิสันถาร หมายถึง การทักทายปราศรัยแขกผู้มาเยือน การปฏิสันถารแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ
๑) การปฏิสันถารด้วยอามิส คือ การต้อนรับผู้มาเยือนด้วยสิ่งของต่างๆ ในกรณีที่ผู้มาเยือนเป็นพระสงฆ์ เราต้องต้อนรับให้ถูกต้องและเหมาะสม
๒) การปฏิสันถารด้วยธรรม คือ การต้อนรับผู้มาเยือนด้วยการกล่าวธรรมให้ฟัง หรือ การสนทนาธรรมกับท่านอย่างเหมาะสมในงานพิธี หรือโอกาสต่างๆ ที่ได้พบกับท่าน
แหล่งข้อมูลศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม
หน้ที่ชาวพุทธ http://gg.gg/3uvg3
พระพุทธศาสนากับการพัฒนาที่ยั่งยืน
การพัฒนาแบบยั่งยืน เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากในยุคสมัยนี้ เนื่องจากมีการเพียรพยายามศึกษาค้นคว้าให้มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน แต่ครั้งทำไป ๆ ปรากฏว่า การพัฒนาที่ผ่านมานั้น ไม่เป็นผลดีต่อมนุษยชาติ ยังเกิดผลเสียหาย มีมลภาวะ มีภัยธรรมชาติที่ย่ำยีชีวิตผู้คนไปมากมาย จึงมีผู้สนใจโดยหันมาเอาใจใส่ที่จะหาแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนขึ้น ในเรื่องนี้มีหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ และแก้ไขปัญหาได้ด้วย
พระธรรมปิฎกได้แสดงปาฐกถาธรรม เรื่อง การพัฒนาที่ยั่งยืน มีความสำคัญตอนหนึ่งว่า “จากการที่การพัฒนาของโลกได้ทำให้ผู้คนประสบปัญหาสังคมและจิตใจ มาตามลำดับ จนกระทั่งมาเจอปัญหาสภาพแวดล้อมเข้าจึงทนไม่ไหว ทำให้ต้องคิดเปลี่ยนแปลงวิธีการและกระบวนการพัฒนากันใหม่ แล้วก็เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนขึ้น …
ปัญหาสามเส้า คือ
๑. ผลาญของดีให้หมดไป
๒. ระบายของเสียใส่ให้แก่โลก
๓. ประชากรยิ่งมากขึ้น ปัญหาทั้งด้านผลาญของดีและระบายของเสียก็ยิ่งแรงหนักขึ้น”
ฉะนั้น เราควรศึกษาและมองหาแนวทางที่ถูกต้องจากหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เช่น หลักการพัฒนามนุษย์โดยใช้หลักของไตรสิกขา โดยพัฒนามนุษย์ให้ครบทั้งสามด้าน คือ
๑. ด้านพฤติกรรมและวิธีใช้ชีวิต (ศีล) ตลอดจนการทำมาหาเลี้ยงชีพ เป็นระดับที่ปรากฎตัวของการแก้ปัญหา
๒. ด้านจิตใจ (สมาธิ) เช่น พัฒนาคุณธรรม ความเข้มแข็งมั่นคงของจิตใจ และสภาพจิตใจที่ดีงาม รวมทั้งมีความสุข
๓. ด้านปัญญา (ปัญญา) หรือปรีชาญาณ คือ ความรู้ความเข้าใจต่าง ๆ รวมทั้งแนวความคิด ทัศนคติ และค่านิยม
แหล่งข้อมูลศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม
http://mediacenter.mcu.ac.th/data/caipyo/m6/web/summana/p2.php หรือ http://gg.gg/3uvl4