พระไตรปิฎก
พระไตรปิฎกเป็นคัมภีร์ที่สำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนา ซึ่งได้บรรจุหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ (หัวข้อ)
ความหมายของ พระไตรปิฎก
พระไตรปิฏก แปลว่า ๓ คัมภีร์ เมื่อแยกเป็นคำๆ ว่า พระ + ไตร + ปิฏก คำว่า "พระ" เป็นคำแสดงความเคารพหรือยกย่อง คำว่า ไตร แปลว่า สาม คำว่า ปิฏก แปลได้ ๒ อย่าง คือ แปลว่า คัมภีร์ หรือแปลว่า กระจาด ตะกร้า
ดังนั้น พระไตรปิฏก จึงหมายถึง สิ่งที่รวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้เป็นหมวดหมู่ไม่ไห้กระจัดกระจาย คล้ายกระจาดหรือตะกร้าอันเป็นภาชนะใส่ของนั้นเอง
แหล่งข้อมูลศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม
พุทธศาสนสุภาษิต
(รูปภาพจาก http://www.fungdham.com/proverb.html)
พุทธศาสนสุภาษิต หมายถึง คำภาษิตทางพระพุทธศาสนา มีลักษณะเป็นข้อมความสั้น ๆ แต่มีความหมายลึกซึ้ง แฝงไปด้วยคติสอนใจให้ปฏิบัติตาม หากจะเปรียบเทียบกับภาษาไทย พุทธศาสนสุภาษิตก็จะเปรียบได้กับคำสำนวนสุภาษิต และบางส่วนก็จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับคำพังเพยในภาษาไทย เช่น สุวิโน ภวํ โหติ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา ปญฺญา นรานํ รตฺนํ
พุทธศาสนสุภาษิตส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของคำประพันธ์ประเภทคำฉันท์ เช่น ปัฐยาวัตร์ อินทรวิเชียร และพุทธศาสนสุภาษิตที่กำหนดให้ศึกษาทุกชั้นจะเป็นเพียง ๑ บทของคาถาในคำประพันธ์เท่านั้น ซึ่งก็มีความหมายบริบูรณ์ครบถ้วน ในประเทศไทยมีสถานศึกษาหรือหน่วยงานหลายแห่งได้นำเอาพุทธศาสนสุภาษิตไปเป็นปรัชญาประจำสถาบันหรือหน่วยงาน ในที่นี้เราจะได้ศึกษาพุทธศาสนสุภาษิต หัวข้อต่าง ๆ ดังนี้
๑. จิตฺตํ ทนฺตํ สุขาวหํ (จิตที่ฝึกดีแล้ว นำสุขมาให้)
๒. น อุจฺจาวจํ ปณฺฑิตา ทสฺสยนฺติ (บัณฑิตย่อมไม่แสดงอาการ ขึ้น ๆ ลง ๆ)
๓. นตฺถิ โลเก อนินฺทิโต (คนที่ไม่ถูกนินทา ไม่มีในโลก)
๔. โกธํ ฆตฺวา สุขํ เสติ (ฆ่าความโกรธได้ย่อมอยู่เป็นสุข)
แหล่งข้อมูลศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม
http://www.fungdham.com/proverb.html หรือ http://gg.gg/3ut93
ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันปรินิพพาน พระองค์ไม่ได้ทรงแต่งตั้งผู้ใดให้เป็นศาสดาสืบต่อจากพระองค์ นอกจากจะทรงประทานพุทธพจน์ที่เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของพระองค์ไว้ว่า พระธรรมและวินัยที่มีเราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วจักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว นี่แสดงว่าในสมัยพุทธกาลที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่นั้นยังไม่มีพระไตรปิฎกบันทึกคำสอน
ดังที่เราทราบกันอยู่ในปัจจุบัน พุทธวจนะหรือคำสอนของพระพุทธเจ้ามีชื่อเรียกกันในสมัยนั้น ๒ อย่าง (เสฐียรพงฆ์ วรรณปก,๒๕๔๓:๔) คือ
๑. เรียก พฺรหฺมจริย (พรหมจรรย์) ดังพุทธวจน์ที่ตรัสเมื่อครั้งทรงส่งพระอรหันตสาวก ๖๐ รูป ไปเผยแผ่พระศาสนาครั้งแรกว่า
จรถ ภิกฺขเว, จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย, อตฺถาย หิตาย สุขาย, เทวมนุสฺสานํ เทเสตุ ภิกฺขเว ธมฺมํ อาทิกลฺยาณํ มชฺเฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ สาตฺถํ สพญชนํ เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสสิฯ
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่พหูชน เพื่อความสุขแก่พหูชน เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายพวกเธอจงแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถะและพยัญชนะ อันบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง
๒. เรียกว่า ธมฺมวินเย (ธรรมวินัย) ดังพุทธวจนะที่ตรัสแก่พระอานนท์ พุทธอนุชา ก่อนเสด็จดับขันฐปรินิพพานว่า "โย โว อานนฺท มยา ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตฺโต โส โว มมจฺจเยนฯ" ดูกรอานนท์ ธรรมและวินัยใดที่ตถาคตแสดงไว้แล้ว บัญญัติไว้แล้ว ธรรมและวินัยนั้น จะเป็นศาสดาของพวกเธอเมื่อตถาคตล่วงลับไปแล้ว
ที่กล่าวมาข้างต้น แสดงให้เห็นว่า ในสมัยพุทธกาลยังไม่มีการแบ่งพระพุทธวจนะไว้เป็นหมวดหมู่อย่างชัดเจน ยังไม่มีคำว่า “พระไตรปิฏก” หากแต่เรียกว่า "ธรรมวินัย"
แหล่งข้อมูลศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม
แหล่งข้อมูลศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม http://www.crs.mahidol.ac.th/thai/theravade26.htm
พระไตรปิฎก คือ อะไร
ศาสนาทุกศาสนา มีคัมภีร์หรือตำราทางศาสนาเป็นหลักในการสั่งสอน แม้เดิมจะมิได้ขีดเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร แต่เมื่อมนุษย์รู้จักใช้ตัวหนังสือ ก็ได้มีการเขียน การจารึกคำสอนในศาสนานั้น ๆ ไว้ เมื่อโลกเจริญขึ้นถึงกับมีการพิมพ์หนังสือเป็นเล่ม ๆ ได้ คัมภีร์ศาสนาเหล่านั้นก็มีผู้พิมพ์เป็นเล่มขึ้นโดยลำดับ
พระไตรปิฎก หรือที่เรียกในภาษาบาลีว่า ติปิฎกหรือเตปิฎกนั้น เป็นคัมภีร์หรือตำราทางพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกับไตรเวท เป็นคัมภีร์ของศาสนาพราหมณ์ ใบเบิ้ลของศาสนาคริสต์ อัล กุรอานของศาสนาอิสลาม
กล่าวโดยรูปศัพท์ คำว่า "พระไตรปิฎก" แปลว่า ๓ คัมภีร์ เมื่อแยกเป็นคำ ๆ ว่า พระ+ไตร+ปิฎก คำว่า พระ เป็นคำแสดงความเคารพหรือยกย่อง คำว่า ไตร แปลว่า ๓ คำว่า ปิฎก แปลได้ ๒ อย่าง คือแปลว่า คัมภีร์หรือตำราอย่างหนึ่ง แปลว่า กระจาดหรือตะกร้าอย่างหนึ่ง ที่แปลว่ากระจาดหรือตะกร้า หมายความว่า เป็นที่รวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้เป็นหวดหมู่ ไม่ให้กระจัดกระจาย คล้ายกระจาดหรือตะกร้าอันเป็นภาชนะใส่ของฉะนั้น
พระไตรปิฎกแบ่งออกเป็นอะไรบ้าง
เมื่อทราบแล้วว่า คำว่า พระไตรปิฎก แปลว่า ๓ คัมภีร์ หรือ ๓ ปิฎก จึงควรทราบต่อไปว่า ๓ ปิฎก นั้นมีอะไรบ้าง และแต่ละปิฎกนั้น มีความหมายหรือใจความอย่างไร ปิฎก ๓ นั้นแบ่งออก ดังนี้
๑. วินัยปิฎก ว่าด้วยวินัยหรือศีลของภิกษุ ภิกษุณี
๒. สุตตันตปิฎก ว่าด้วยพระธรรมเทศนาทั่ว ๆ ไป เรียกอีกอย่างว่า พระสูตร
๓. อภิธัมมปิฎก ว่าด้วยธรรมะล้วน ๆ หรือธรรมะที่สำคัญ
แหล่งข้อมูลศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม
http://www.thaigoodview.com/node/20257 หรือ http://gg.gg/3ut7b
ความหลุดพ้น คือ แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา
มหาสาโรปมสูตร (แก่นไม้สูตรใหญ่) และจูฬสาโรปมสูตร (แก่นไม้สูตรเล็ก)
ในมหาสาโรปมสูตร พระพุทธองค์ได้ตรัสแสดงถึงความเป็นแก่นสารแห่งพระพุทธศาสนา โดยอุปมาต้นไม้ไว้ ดังนี้
พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เขาคิชฌกูฏ ใกล้กรุงราชคฤห์ ตรัสแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย ถึงการที่ผู้ออกบวชได้ผลดีบางอย่าง หรือทำความดีบางอย่างให้เกิดแล้วมัวเมาประมาท ยกตนข่มผู้อื่น เพราะเหตุแห่งผลดีหรือความดีนั้น ๆ เทียบด้วยผู้ถือเอาสิ่งที่มิใช่แก่นไม้ว่าเป็นแก่นไม้ ในที่สุดได้ทรงแสดงความหลุดพ้นแห่งใจที่ไม่กำเริบว่าเป็นเหมือนแก่นไม้ . ต่อไปนี้เป็นข้อเปรียบเทียบที่ทรงแสดง.
๑. ลาภสักการะชื่อเสียง เปรียบเหมือนกิ่งและใบไม้
๒. ความสมบูรณ์ด้วยศีล เปรียบเหมือนสะเก็ดไม้
๓. ความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ เปรียบเหมือนเปลือกไม้
๔. ญาณทัสสะ (ความหลุดพ้นแห่งใจที่กลับกำเริบ) เปรียบเหมือนกะพี้ไม้.
๕. อกุปปา เจโตวิมุติ(ความหลุดพ้นแห่งใจที่ไม่กลับกำเริบ) เปรียบเหมือน แก่นไม้.
แหล่งข้อมูลศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม
http://www.dhammajak.net/ruendham/book/p3-09.php
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=12&A=6309&Z=6504
http://www.baanjomyut.com/pratripidok/prasudtanpidok/403.html
แหล่งข้อมูล : http://www.dhammathai.org/articles/dbview.php?No=260
คำศัพท์ทางพระพุทธศาสนา เป็นคำศัพท์ที่ใช้เฉพาะทางพระพุทธศาสนา มีอยู่จำนวนมากบางคำนำมาใช้ปะปนอยู่ในภาษาในชีวิตประจำวัน แต่เมื่อใช้อยู่เป็นเวลานานๆความหมายก็คลาดเคลื่อนไปจากความหมายเดิม บางคำเรานำมาเขียนหรือ พูดให้แตกต่างจากเดิม เป็นเหตุให้สื่อความหมายและนำไปปฏิบัติไม่ตรงตามความหมายเดิม ดั้งนั้น เราจึงควรศึกษาความหมายของคำศัพท์ทางพระพุทธศาสนาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้เพื่อก้าวไปสู่ความเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี
สำหรับในชั้นนี้นักเรียนจะได้ศึกษาคำศัพท์ทางพระพุทธศาสนาเพียงจำนวนหนึ่งเทานั้น ดังนี้
สัมมัตตะ แปลว่า ภาวะที่ถูกต้อง หรือ ความเป็นสิ่งที่ถูกต้อง 10 อย่าง
1. เห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ) คือเห็นสิ่งต่าง ๆ ตามที่เป็นจริง
2. ดำริชอบ (สัมมาสังกัปปะ) คือ ไม่ลุ่มหลงมัวเมากับความสุขทางกาย ไม่พยาบาทและไม่คิดทำร้ายผู้อื่น
3. เจรจาชอบ (สัมมาวาจา) คือ การไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อ
4. กระทำชอบ (สัมมากัมมันตะ) คือ ไม่ทำลายชีวิต ไม่ลักขโมย ไม่ประพฤติผิดทางกาม
5. เลี้ยงชีวิตชอบ (สัมมาอาชีวะ) คือ การทำมาหากินด้วยอาชีพที่สุจริต ไม่คดโกง ไม่หลอกลวง ไม่ทำกิจการในสิ่งที่เป็นผลร้ายต่อคนทั่วไป
6. พยายามชอบ (สัมมาวายามะ) คือความพยายามที่จะป้องกันมิให้ความชั่วเกิดขึ้น ความพยายามที่จะกำจัดความชั่วที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดไป
ความพยายามที่จะสร้างความดีที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้นและความพยายามที่จะรักษาความดีที่เกิดขึ้นแล้วให้คงอยู่ตลอดไป
7. ระลึกชอบ (สัมมาสติ) ความหลงไม่ลืม รู้ตัวอยู่เสมอว่ากำลังเห็นสิ่งต่าง ๆ ตามที่เป็นจริง
8. ตั้งจิตมั่นชอบ (สัมมาสมาธิ) คือ การที่สามารถตั้งจิตให้จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นาน
9.รู้ชอบ (สัมมาญาณ) คือ ผลญาณ ได้แก่ ญาณ 3 วิชชา 3, 8 วิปัสสนาญาณ 9 เป็นต้น
พระสัทธรรม หมายถึง ธรรมอันดี, ธรรมที่แท้, ธรรมของสัตบุรุษ หรือหลักศาสนา ประกอบด้วย
1. ปริยัตติสัทธรรม หมายถึง สัทธรรมคือคำสั่งสอนอันจะต้องเล่าเรียน ได้แก่พุทธพจน์
2. ปฏิปัตติสัทธรรม หมายถึง สัทธรรมคือปฏิปทาอันจะต้องปฏิบัติ ได้แก่ มรรคมีองค์ 8 หรือไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
3. ปฏิเวธสัทธรรม หมายถึง สัทธรรมคือผลอันจะพึงเข้าถึงหรือบรรลุด้วยการปฏิบัติ ได้แก่ มรรค ผล และนิพพาน
ในหลักของพระสัทธรรม นั่นก็คือ ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ ซึ่งพออธิบายโดยสังเขปดังนี้
1. ปริยัติ ได้แก่ การศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย นับเป็นองค์ประกอบสำคัญโดยความเป็นพื้นฐานของการปฏิบัติ และการศึกษาเล่าเรียนปริยัติธรรมนั้นเป็นการศึกษาภาคทฤษฎี คือ การศึกษาธรรมวินัยให้มีความรู้พื้นฐานอย่างแจ่มแจ้ง เข้าใจตามหลักธรรมที่ตนเองได้ศึกษา เพื่อให้เกิดความกระจ่างแจ้งว่า คำสอนของพระพุทธองค์ที่จัดเป็นธรรมบทนั้นบทนี้ว่าด้วยเรื่องอะไร ถ้าผู้เรียนจะน้อมนำเอาธรรมคำสั่งสอนมาปฏิบัติ เพื่อเป็นแนวทางหรือแสงประทีปแห่งชีวิต จะทำอย่างไรและเมื่อปฏิบัติตามแล้วจะได้ผลอย่างไร เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นหลักการเบื้องต้นของการศึกษาทางพระพุทธศาสนา เรียกว่า ปริยัติ
2. ปฏิบัติ ได้แก่ การน้อมนำเอาหลักธรรมคำสอนที่ได้เรียนรู้ในทางภาคทฤษฎีนั้นมาสู่ภาคการปฏิบัติ คือนำมาประพฤติปฏิบัติจริง ๆ เพื่อเป็นการอบรม กาย วาจา และใจ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ นำเอาหลักธรรมที่เรียนรู้แล้วนั้นมาเป็นแนวทางหรือปทัฏฐานแห่งชีวิตให้เหมาะสมกับฐานะของตน เรียกว่า ปฏิบัติ
3. ปฏิเวธ ได้แก่ ผลของการปฏิบัติธรรมนั้น เช่น พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตสาวก และพระอริยบุคคล เป็นต้น ผู้ได้รับผลแห่งการปฏิบัติ ซึ่งทำให้ยกฐานะจากปุถุชนธรรมดาขึ้นมาเป็นพระอริยบุคคล การบรรลุธรรมชั้นนั้น ๆ ตามภูมิธรรมที่ตนปฏิบัตินั้น ไม่มีใครมายกย่องหรือแต่งตั้งให้ แต่การยกฐานะดังกล่าวเป็นไปโดยอัตโนมัติ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือฐานะหรือตำแหน่งแห่งอริยเจ้านั้นไม่มีการแต่งตั้งให้ จะรู้ได้ด้วยตนเอง เรียกว่า ปฏิเวธ
หลักพระสัทธรรม 3 เป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติตนเพื่อการดำรงชีวิตที่ดีมีความสุข จึงเป็นหนทางแห่งความพ้นทุกข์ (มรรค)
แหล่งข้อมูลศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม
http://www.dhammathai.org/bd/dictionary.php หรือ http://gg.gg/3utha