การเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมของโลก
การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของโลกเป็นปรากฏการณ์ ที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชากรโลกทั้งหมด เพียงแต่ความรุนแรงของปัญหาในแต่ละซีกโลกอาจไม่เท่ากันหรือแตกต่างกันทั้ง นี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมและสภาพพื้นที่ที่ปรากฏการณ์นั้นๆ เกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของโลกอาจเกิดขึ้นเนื่องจากปัจจัยธรรมชาติ เช่น ภูเขาไฟระเบิด ก่อให้เกิดเถ้าฝุ่นละอองฟุ้งกระจายไปในบรรยากาศจนเกิดมลพิษทางอากาศขึ้น ไฟไหม้ป่า ทำให้เกิดเขม่าควันไฟฟุ้งกระจายในบรรยากาศ และเป็นการทำลายสารอาหารแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อพืชและพื้นผิวดิน ซึ่งจะก่อให้เกิดมลพิษทางดินได้ การเกิดอุทกภัยทำให้กระแสน้ำชะล้างและพัดพาสิ่งสกปรกและสิ่งเป็นพิษบนพื้น ดินไหลไปรวมกันอยู่ในแหล่งน้ำจนกลายเป็นปัญหามลพิษทางน้ำได้ นอกจากนี้มนุษย์ก็เป็นผู้กระทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมด้วย เนื่องจากมนุษย์จำเป็นต้องดำเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อการยังชีพและเพื่อการอยู่รอดในสังคม กิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นล้วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทั้งสิ้น
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม มีลักษณะที่สำคัญแบ่งออกได้ 3 ประการ คือ
การเพิ่มจำนวนประชากร ซึ่งการที่ประชากรเพิ่มจำนวนมากขึ้นย่อมหมายถึงความต้องการปัจจัยในการดำรง ชีวิตเพิ่มมากขึ้นด้วย ความสมดุลของทรัพยากรธรรมชาติจึงสูญเสียไปก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม คือ
การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การใช้ที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยและทำกิน การทำไร่เลื่อนลอย การบุกรุกทำลายป่า การใช้ทรัพยากรน้ำเพิ่มมากขึ้น ทำให้ปริมาณน้ำลดลงและคุณภาพเสื่อมโทรมลง
การอพยพย้ายถิ่น มีการอพยพย้ายถิ่นฐานเข้าสู่เขตเมืองใหญ่เพื่อหางานทำ ทำให้เกิดปัญหาประชากรหนาแน่นในเขตเมืองเกิดปัญหาชุมชนแออัด
การขยายตัวของเมือง มีการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว อาคารบ้านเรือน โรงงานอุตสาหกรรมมีมากขึ้นทำให้เกิดปัญหามลพิษทางน้ำ มลพิษทางอากาศ
การพัฒนาและการใช้เทคโนโลยี มนุษย์พยายามค้นคว้าศึกษาวิจัย เพื่อจะนำเทคนิควิชาการใหม่ๆ มาพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า เพื่อการเพิ่มผลผลิต เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่มนุษย์มิได้ตระหนักถึงผลกระทบจากการพัฒนาและใช้เทคโนโลยีเหล่านั้น จึงเกิดการทำลายธรรมชาติกลายเป็นปัญหาทางสิ่งแวดล้อมได้
การกระทำของมนุษย์โดยตรง เกิดจากการกระทำของมนุษย์เองโดยขาดความสำนึกหรือขาดความรับผิดชอบต่อสังคม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ มนุษย์เราจะทิ้งของเสียไม่ว่าจะเป็นของแข็ง ของเหลว หรือก๊าซ ลงสู่สิ่งแวดล้อมโดยตรง เช่น การทิ้งน้ำเสีย จากอาคารบ้านเรือน การทิ้งขยะไม่เป็นที่ เป็นต้น
ปัจจุบันมีปัญหาที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาวะ แวดล้อมของโลกที่สำคัญหลายปัญหา ทั้งที่เกิดจากธรรมชาติ อาทิ คลื่นยักษ์สึนามิ ปรากฏการณ์เอลนิญโญ การขยายตัวของทะเลทราย หรือปัญหาที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ อาทิ ชั้นโอโซนรั่ว สภาวะโลกร้อนจากปรากฏการณ์เรือนกระจก สารพิษอุตสาหกรรม เป็นต้น
ปรากฏการณ์เอลนิญโญ (El Niño)
“เอล นิญโญ” (หรือ เอล นิโน) เป็นภาษาสเปน แปลว่า "เด็กชาย" (Child Boy) หรือ "พระกุมารเยซู" (Infant Jesus) เนื่องจากปรากฏการณ์นี้มักจะเกิดในช่วงปลายเดือนธันวาคมหลังเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งชาวสเปนเป็นชนชาติแรกที่สังเกตพบปรากฏการณ์นี้มาตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคม แถบอเมริกาใต้ ปรากฏการณ์เอลนิญโญ มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “El Niño – Southern Oscillation” หรือเรียกอย่างสั้นๆ ว่า ENSO ซึ่งหมายถึง การเปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดขึ้นบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้
โดยทั่วไปบริเวณเส้นศูนย์สูตรเป็นบริเวณที่มี อุณหภูมิสูงกว่าบริเวณอื่น เนื่องจากได้รับแสงอาทิตย์เป็นเวลานานมากกว่าบริเวณอื่น ๆ ในโลก ในสภาพปกติถ้าน้ำอุ่นมีอุณหภูมิสูงขึ้น อากาศที่อยู่เหนือมหาสมุทรก็ยิ่งลอยขึ้นไปสูงมากขึ้น และเกิดเป็นลมสินค้าตะวันออก (Easterly Trade Winds) ซึ่งคนเดินเรือใบในอดีตโดยเฉพาะชาวจีนได้อาศัยลมนี้ในการเดินทางมาค้าขายยัง เอเชียใต้ ลมนี้ปกติจะพัดจากชายฝั่งตะวันออก (อเมริกาใต้และอเมริกากลาง บริเวณประเทศเปรู ชิลี เอกวาดอร์) ไปยังชายฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิค (ออสเตรเลียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ลมสินค้าจะพัดให้กระแสน้ำอุ่นบนพื้นผิวมหาสมุทรแปซิฟิกเอาไอน้ำมายังแผ่นดิน บริเวณประเทศอินโดนีเซียและทวีปออสเตรเลียตอนเหนือซึ่งจะทำให้ฝนตกชุก ส่วนกระแสน้ำเย็นใต้มหาสมุทรเบื้องล่างจะไหลเข้ามาแทนที่กระแสน้ำอุ่นในซีก ตะวันออกและนำพาธาตุอาหารจากก้นมหาสมุทรขึ้นมาทำให้ปลาชุกชุม เป็นประโยชน์ต่อ นกทะเล และการทำประมงชายฝั่งของประเทศเปรู
แต่ถ้าปีไหนเกิดปรากฏการณ์เอล นิญโญ ลมสินค้าจะมีกำลังอ่อนลง กระแสน้ำอุ่นจะไหลย้อนมาทางตะวันออก ก่อให้เกิดฝนตกหนักในประเทศเปรูและเอกวาดอร์ นอกจากนี้ยังทำให้กระแสน้ำเย็นใต้มหาสมุทรไม่สามารถลอยตัวขึ้นมาได้ ทำให้บริเวณชายฝั่งขาดธาตุอาหารสำหรับปลาและนกทะเล ชาวประมงจึงขาดรายได้ ส่วนฝั่งตะวันตกจะก่อให้เกิดความแห้งแล้งและอาจก่อให้เกิดไฟไหม้ป่าในประเทศ อินโดนีเซีย ออสเตรเลียตอนเหนือ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยสรุปแล้ว เอล นิญโญ คือ การไหลย้อนกลับของผิวน้ำทะเลที่อุ่นในช่วงเวลาหนึ่งๆ จากบริเวณเส้นศูนย์สูตรทางมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก ไปทางมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออก
ปรากฏการณ์นี้จะไม่เกิดซ้ำ ๆ กันทุกปี การเปลี่ยนแปลงนี้แบ่งออกเป็น 5 ระดับคือ น้อยที่สุด น้อย ปานกลาง มาก มากที่สุด ในระดับแรก (น้อยที่สุด – ปานกลาง) มักจะเกิดขึ้นบ่อย และไม่ส่งผลกระทบต่อโลกมากนัก แต่ถ้าเกิดในระดับมากถึงมากที่สุดนั้นจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อโลก เช่น เกิด อุทกภัยหรือแห้งแล้งมาก โดยจะเกิดความแห้งแล้งอย่างต่อเนื่องและยาวนานในบริเวณหมู่เกาะด้านตะวันตก ของมหาสมุทรแปซิฟิก ตรงกันข้ามความชุ่มชื้นที่มากเกินปกติจะถูกพัดย้อนกลับข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก เข้าสู่ชายฝั่งของทวีปอเมริกาใต้จนเป็นสาเหตุของการเกิดอุทกภัยและแผ่นดิน ถล่ม
ปรากฏการณ์เอล นิญโญที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2540 ทำให้ประเทศในแถบเอเชียซึ่งส่วนใหญ่ทำการเกษตรได้รับผลกระทบรุนแรง ในออสเตรเลียความแห้งแล้งก่อให้เกิดไฟป่าครั้งใหญ่ทางตอนเหนือ ทำลายพื้นที่เพาะปลูกเทียบเท่าพื้นที่ประเทศอังกฤษทั้งประเทศ ความแห้งแล้งในอินโดนีเซียจัดได้ว่าเป็นครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบครึ่งศตวรรษ หลังนี้ความแห้งแล้งซึ่งยืดยาวนานมากกว่า 10 เดือน ทำให้ไม่สามารถเพาะปลูกพืชที่เป็นอาหาร ซ้ำยังเกิดไฟป่าครั้งร้ายแรง ควันไฟก่อให้เกิดปัญหาที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจและโรคอื่น ๆ ซึ่งหมอกควันจำนวนมากแผ่กระจายครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไนและภาคใต้ของไทย และปัญหาที่ตามมาคือการขาดแคลนน้ำและโรคระบาดที่ติดต่อทางน้ำ เช่น อหิวาตกโรคและโรคท้องร่วง ส่วนทางฝั่งตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิก ในประเทศเปรูเคยจับปลาพวกแองโชวีน้ำเย็น (Cold-water Anchovy) ได้วันละ 25 ล้านตันแต่เมื่อกระแสน้ำอุ่นจากเอล นิญโญไหลย้อนกลับเข้ามาทำให้ฝูงปลาแองโชวีน้ำเย็นอพยพหนีไป ทำให้จับปลาได้เพียงวันละ 5 ล้านตัน เหตุการณ์เช่นนี้มีผลกระทบต่อการผลิตอาหารเลี้ยงประชากรโลกทั้งโดยตรงและโดย อ้อม เนื่องจากปลาเป็นอาหารโดยตรงและปลาป่นเป็นอาหารสัตว์ที่เป็นแหล่งโปรตีน สำคัญของโลก
ปรากฏการณ์เอล นิญโญนั้นก่อให้เกิดผลกระทบที่ใหญ่หลวง จากเดิมที่เชื่อว่าปรากฏการณ์นี้จะส่งผลกระทบเฉพาะประเทศที่อยู่บริเวณ มหาสมุทรแปซิฟิคเท่านั้นคือทางแถบอเมริกาเหนือ – ใต้ เอเชียและออสเตรเลีย แต่ความจริงปรากฏการณ์นี้ได้ส่งผลกระทบไปทั่วทุกมหาสมุทรในโลก เช่น ชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียแอตแลนติค รวมทั้งทวีปแอฟริกาด้วย เนื่องจากความร้อนที่เกิดขึ้นนั้นกระจายขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ จึงมีผลให้อุณหภูมิทั่วโลกสูงขึ้น
ส่วนปรากฏการณ์ "ลา นิญญา" (La Niña) (หรือ ลา นีนา) เป็นคำมาจากภาษาสเปน แปลว่า เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ในทางอุตุนิยมวิทยา หมายถึง ปรากฏการณ์ในทางกลับกันกับเอล นิญโญ โดยอุณหภูมิผิวน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกใกล้เส้นศูนย์สูตรเกิดแปรปรวนและเย็น ขึ้นกว่าปกติ ทำให้กระแสลมสินค้าตะวันออกมีกำลังแรง ส่งผลให้ประเทศอินโดนีเซีย และออสเตรเลียทำให้เกิดฝนตกอย่างหนัก
อาจกล่าวอย่างง่ายๆ ว่า เอล นิญโญเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้เกิดฝนตกหนักในทวีปอเมริกาใต้และเกิดความแห้ง แล้งในออสเตรเลียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในทางกลับกัน ลา นิญญาทำให้เกิดความแห้งแล้งทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ และเกิดฝนตกหนักในออสเตรเลียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งเอล นิญโญและลา นิญญาเกิดจากความผกผันของกระแสอากาศโลก บริเวณเส้นศูนย์สูตร เหนือมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ปัจจุบันมีนักวิจัยในระดับโลกมากมายที่พยายามจะศึกษาเกี่ยวกับปรากฏการณ์ นี้ เช่น มีการนำเรือสำรวจ หรือวางทุ่นลอยที่ติดเครื่องวัดปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของน้ำทะเล การศึกษาพื้นที่ในบริเวณเส้น ศูนย์สูตรที่ติดกับมหาสมุทรแปซิฟิค ผลที่ได้รับในขณะนี้คือ สามารถที่จะทำนายการเกิดปรากฏการณ์เอล นิญโญล่วงหน้าได้เป็นเวลา 1 ปี แต่ก็มีแนวโน้มว่าในอนาคตวงการวิทยาศาสตร์ จะมีความตื่นตัวและร่วมมือกันศึกษาจนสามารถพยากรณ์ได้ล่วงหน้าเป็นระยะเวลา ที่นานกว่านี้ โดยเฉพาะประเทศแถบอเมริกาใต้ ให้ความสนใจและให้ความสำคัญที่จะศึกษาในเรื่องนี้มาก เนื่องจากเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและรุนแรงทั้งทางด้านการประมง เกษตรกรรม สังคมและการท่องเที่ยว
สึนามิ (Tsunami)
“สึนามิ” (Tsunami) มาจากภาษาญี่ปุ่น เพราะว่าคำว่า “สึ” แปลว่า ท่าเรือ ส่วนคำว่า “นามิ” แปลว่า คลื่น ศัพท์คำนี้บัญญัติขึ้นโดยชาวประมงญี่ปุ่นผู้ซึ่งแล่นเรือกลับเข้าฝั่งมายัง ท่าเรือ และพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยรายล้อมอยู่รอบท่าเรือนั้นถูกทำลายพังพินาศไป จนหมดสิ้น โดยในระหว่างที่ลอยเรืออยู่กลางทะเลกว้างนั้นไม่ได้รู้สึกหรือสังเกตพบความ ผิดปกติของคลื่นดังกล่าวเลย ทั้งนี้เนื่องจากคลื่นสึนามิไม่ใช่ปรากฏการณ์ระดับผิวน้ำในเขตน้ำลึก เพราะคลื่นที่เกิดขึ้นจะมีขนาดของคลื่นขนาดเล็กมากเมื่ออยู่ในพื้นน้ำนอกชาย ฝั่ง เมื่อเคลื่อนผ่านใต้ท้องเรือไปจะไม่รู้สึกอะไร ทำให้คลื่นสึนามิที่เกิดขึ้นไม่สามารถสังเกตเห็นได้ขณะที่ลอยเรืออยู่บนผิว น้ำกลางทะเลลึก
คลื่นสึนามิไมใช่คลื่นกระแสน้ำ เนื่องจากคลื่นกระแสน้ำจะเกิดโดยพลังลม แต่คลื่นสึนามิโดยทั่วไปการเกิดจากแผ่นดินไหวใต้ทะเล แผ่นดินใต้ทะเลเคลื่อนตัว ภูเขาไฟใต้ทะเลระเบิดหรือจากวัตถุนอกโลก เช่น ดาวหางหรืออุกกาบาตขนาดใหญ่ตกสู่พื้นทะเลหรือมหาสมุทรบนผิวโลก คลื่นสึนามิที่เกิดขึ้นนี้จะถาโถมเข้าสู่พื้นที่ชายฝั่งทะเลด้วยความรวดเร็ว และรุนแรง สร้างความเสียหายให้แก่ชีวิตทรัพย์สิน และที่อยู่อาศัยพังพินาศไป
โลกของเราทั้งส่วนที่เป็นมหาสมุทร และทวีปประกอบไปด้วยแผ่นเปลือกโลก (Plates) เป็นชิ้นๆ ต่อกันอยู่ แผ่นเปลือกโลกเหล่านี้มีการเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลาเนื่องจากมีการหมุนเวียน หรือไหลวนของหินหลอมละลายภายในโลก ซึ่งการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกเป็นต้นเหตุของการเกิดแผ่นดินไหวซึ่งไม่ สามารถบอกล่วงหน้าได้ว่าจะเกิดที่ไหน เมื่อไรและด้วยความรุนแรงเท่าใด แต่บริเวณรอยต่อของแผ่นเปลือกโลกเหล่านี้จะมีการแผ่นดินไหวเกิดขึ้นบ่อย ๆ การเกิดแผ่นดินไหวใต้ท้องทะเลลึกจะทำให้น้ำทะเลเหนือส่วนนั้นก็ถูกดันหรือ ดูดเข้ามาแทนที่อย่างฉับพลัน การเคลื่อนตัวของน้ำในปริมาตรหลายล้านตัน ทำให้เกิดคลื่นสะท้อนออกไปทุกทิศ เป็นแหล่งกำเนิดของคลื่นสึนามิ
ในบริเวณมหาสมุทรทุกแห่งในโลกมี โอกาสเกิดคลื่นสึนามิได้ แต่ในมหาสมุทรแปซิฟิก และทะเลที่ใกล้ขอบทวีปมีโอกาสเกิดคลื่นสึนามิที่มีขนาดใหญ่และมีพลังการ ทำลายสูงมากกว่า เนื่องจากในบริเวณดังกล่าวมีจุดที่เกิดแผ่นดินไหวและการระเบิดของภูเขาไฟ บ่อยครั้งมากมาย โดยเฉพาะบริเวณขอบมหาสมุทรแปซิฟิกที่เรียกว่า “วงแหวนไฟ (Ring of Fire)”
เมื่อเกิดแผ่นดินไหวในทะเล จะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมอย่างรุนแรง แรงกระเพื่อมนี้ถูกถ่ายทอดไปสู่น้ำทะเล ทำให้น้ำทะเลเกิดคลื่น แพร่ออกไปเป็นวงทุกทิศทุกทาง ขณะที่คลื่นยังอยู่เหนือมหาสมุทรที่มีน้ำลึก คลื่นจะมีขนาดใหญ่มาก มีฐานกว้าง 100 กิโลเมตร แต่สูงเพียง 1 เมตร เคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 700 – 800 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่เมื่อคลื่นเดินทางเข้าใกล้ชายฝั่ง สภาพท้องทะเลที่ตื้นเขินทำให้คลื่นลดความเร็วและอัดตัวจนมีฐานกว้าง 2 – 3 กิโลเมตร แต่สูงถึง 10 – 30 เมตร และกระทบเข้ากับชายฝั่ง คลื่นลูกแรกที่กระทบมักจะไม่ใช่คลื่นที่ลูกใหญ่ที่สุด แต่จะมีคลื่นเป็นระลอกตามมา ซึ่งอาจจะใหญ่กว่า และสามารถรุกล้ำเข้าไปทำลายบนชายฝั่งทะเลลึกถึงนับเป็นกิโลเมตร
คลื่นสึนามิแตกต่างจากคลื่นน้ำ ธรรมดามาก ตัวคลื่นนั้นสามารถเดินทางได้เป็นระยะทางไกล โดยไม่สูญเสียพลังงาน และสามารถเข้าทำลายชายฝั่งที่อยู่ห่างไกลจากจุดกำเนิดหลายพันกิโลเมตรได้ โดยทั่วไปแล้วคลื่นสึนามิซึ่งเป็นคลื่นในน้ำ จะเดินทางได้ช้ากว่าการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวที่เป็นคลื่นที่เดินทางใน พื้นดิน ดังนั้น คลื่นอาจเข้ากระทบฝั่งภายหลังจากที่ผู้คนบริเวณนั้นรู้สึกว่าเกิดแผ่นดินไหว เป็นเวลาหลายชั่วโมง
ระบบแจ้งเตือนคลื่นสึนามิระบบแรกของ โลกถูกจัดตั้งขึ้นหลังจากอุบัติภัยที่หมู่เกาะฮาวายในปี พ.ศ.2489 สหรัฐอเมริกาจัดตั้ง “ศูนย์แจ้งเตือนคลื่นสึนามิแปซิฟิก” (Pacific Tsunami Warning Center) หรือ PTWC โดยมีติดตั้งสถานีตรวจวัดแผ่นดินไหวจำนวน 50 แห่ง รอบมหาสมุทรแปซิฟิก ระบบทำงานโดยการตรวจจับคลื่นแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว (Seismic Wave) ซึ่งเดินทางรวดเร็วกว่าคลื่นสึนามิ 15 เท่า ข้อมูลที่ตรวจวัดได้จากทุกสถานีถูกนำรวมกันเพื่อพยากรณ์หาตำแหน่งที่มีความ เป็นไปได้ที่จะเกิดคลื่นสึนามิ เมื่อคลื่นสึนามิถูกตรวจพบ ระบบจะแจ้งเตือนเมืองที่อยู่ชายฝั่ง รวมทั้งประมาณเวลาสถานการณ์ที่คลื่นจะเข้าถึงชายฝั่ง เพื่อที่จะอพยพประชาชนไปอยู่ที่สูง และให้เรือที่จอดอยู่ชายฝั่งเดินทางสู่ท้องทะเลลึกที่ซึ่งคลื่นสึนามิไม่ส่ง ผลกระทบอันใด อย่างไรก็ตามระบบเตือนภัยนี้สามารถทำการแจ้งเตือนล่วงหน้าเพียงไม่กี่ ชั่วโมงเท่านั้น การอพยพผู้คนมักทำได้ไม่ทันท่วงที เนื่องจากคลื่นสึนามิเดินทางเร็วมาก
แม้การป้องกันไม่ให้คลื่นสึนามิเกิดขึ้นจะยังทำไม่ ได้ ในบางประเทศได้มีการสร้างเครื่องป้องกันและลดความเสียหายในกรณีที่คลื่นสึนา มิจะเข้ากระทบฝั่ง ยกตัวอย่างเช่น ประเทศญี่ปุ่นได้มีการสร้างกำแพงป้องกันสึนามิที่มีความสูงกว่า 4.5 เมตร ด้านหน้าของชายฝั่งบริเวณที่มีประชากรหนาแน่น บางที่ได้มีการสร้างกำแพงกันน้ำท่วมและทางระบายน้ำเพื่อปรับเปลี่ยนทิศทาง ของคลื่น และลดแรงกระแทกของคลื่น ถึงแม้ว่าในกรณีของคลื่นสึนามิที่เข้ากระทบเกาะฮอกไกโดที่มักมีความสูง มากกว่าเครื่อง กีดขวางที่ได้สร้างขึ้น กำแพงเหล่านี้อาจช่วยลดความเร็วหรือความสูงของคลื่นแต่ไม่สามารถที่จะ ป้องกันการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินได้
การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Change) กับ สภาวะโลกร้อน (Global Warming)
วิกฤติการณ์สิ่งแวดล้อมระดับโลกที่กำลังสร้าง ความเสียหายและเป็นภัยต่อมนุษย์มากที่สุดในปัจจุบัน คือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลงลักษณะอากาศเฉลี่ย (Average Weather) ในพื้นที่หนึ่ง เช่น อุณหภูมิ ลม ฝน เป็นต้น ไม่ว่าจะเนื่องมาจาก ความผันแปรตามธรรมชาติ หรือกิจกรรมของมนุษย์ก็ตาม โดยเฉพาะสภาวะที่อุณหภูมิเฉลี่ยบนพื้นผิวโลกเพิ่มสูงขึ้น หรือที่เรียกว่า ภาวะโลกร้อน (Global Warming) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการที่โลกไม่สามารถระบายความร้อนที่ได้รับ จากดวงอาทิตย์ออกไปได้อย่างที่เคยเป็น ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าในช่วงศตวรรษที่ผ่านมาอุณหภูมิดังกล่าวสูงขึ้นเพียงไม่กี่องศา แต่ก็ทำให้สภาพอากาศของโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกอย่างรุนแรง
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้มีการถกเถียงกันในหมู่ นักวิทยาศาสตร์ว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือเกิดจากการกระทำของมนุษย์ เนื่องจากโลกได้มีการเปลี่ยนสภาพอากาศมาแล้วนับไม่ถ้วนตลอดระยะเวลาที่ผ่าน มาหลายแสนปี แต่ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากเชื่อว่ามนุษย์มีส่วนทำให้เกิด ปรากฏการณ์ดังกล่าวขึ้น และเป็นที่แน่ชัดว่ากิจกรรมของมนุษย์มีส่วนเร่งให้เกิดปรากฎการณ์ดังกล่าว ให้มีความรุนแรงกว่าที่ควรจะเป็นตามธรรมชาติ
ในสภาวะปกติ โลกเราจะได้รับพลังงานประมาณ 99.95 % จากดวงอาทิตย์ กลไกหนึ่งที่ทำให้โลกรักษาพลังงานความร้อนไว้ได้ คือก๊าซกลุ่มหนึ่งเรียกว่า "ก๊าซเรือนกระจก" (Greenhouse Gas) ที่ทำหน้าที่ดักและสะท้อนความร้อนที่โลกแผ่กลับออกไปในอวกาศให้กลับเข้าไปใน โลกอีก หากไม่มีก๊าซกลุ่มนี้ โลกจะไม่สามารถเก็บพลังงานไว้ได้ และจะมีอุณหภูมิแปรปรวนในแต่ละวัน ก๊าซกลุ่มนี้จึงทำหน้าที่เสมือนผ้าห่มบาง ๆ ที่คลุมโลกที่หนาวเย็น แต่สภาพในปัจจุบันนี้ โลกได้มีการสะสมก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศมากขึ้น เนื่องจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงต่างๆ ที่ใช้ในกิจกรรมประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผาไหม้น้ำมันเชื้อเพลิงที่ขุดขึ้นมาจากใต้ดิน การเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจกทำให้โลกไม่สามารถแผ่ความร้อนออกไปได้อย่าง ที่เคย ส่งผลให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เสมือนกับโลกมีผ้าห่มที่หนาขึ้นนั่นเอง
แม้ว่าโดยเฉลี่ยแล้วอุณหภูมิของโลกจะเพิ่มขึ้น ไม่มากนัก แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะส่งผลต่อเป็นทอด ๆ และจะมีผลกระทบกับโลกในที่สุด ขณะนี้ผลกระทบดังกล่าวเริ่มปรากฏให้เห็นแล้วทั่วโลก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ การละลายของน้ำแข็งทั่วโลกทั้งที่เป็นธารน้ำแข็ง (Glaciers) แหล่งน้ำแข็งบริเวณขั้วโลก และในเกาะกรีนแลนด์ซึ่งจัดว่าเป็นแหล่งน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในโลก
น้ำแข็งที่อยู่ที่ขั้วโลกโดยเฉพาะขั้วโลกใต้ (ทวีปแอนตาร์กติกา) และบนพื้นทวีปอื่นๆ เมื่อละลายมากขึ้นจะไปเพิ่มปริมาณน้ำในมหาสมุทร เมื่อประกอบกับอุณหภูมิเฉลี่ยของน้ำสูงขึ้น น้ำก็จะมีการขยายตัวร่วมด้วย ทำให้ปริมาณน้ำในมหาสมุทรทั่วโลกเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ จะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น อาจทำให้เมืองสำคัญ ๆ ที่อยู่ริมมหาสมุทรตกอยู่ใต้ระดับน้ำทะเลทันที ซึ่งมีการคาดการณ์ว่า หากน้ำแข็งดังกล่าวละลายหมด จะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 6-8 เมตร นอกจากนี้การละลายของแผ่นน้ำแข็งขั้วโลกนอกจากยังทำให้ความเค็มของน้ำทะเล เจือจางลง จะส่งผลให้การไหลเวียนของกระแสน้ำในมหาสมุทรเปลี่ยนทิศทาง และความจุความร้อนเปลี่ยนไป ส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกอย่างรุนแรง
ผลกระทบที่เริ่มเห็นได้อีกประการหนึ่งคือ การเกิดพายุหมุนที่มีความถี่มากขึ้นและมีความรุนแรงมากขึ้นด้วย จะเห็นได้จากข่าวพายุเฮอริเคนที่พัดเข้าถล่มสหรัฐหลายลูกในช่วงสองสามปีที่ ผ่านมา แต่ละลูกสร้างความเสียหายในระดับหายนะทั้งสิ้น สาเหตุอาจอธิบายได้ในแง่พลังงาน กล่าวคือ เมื่อมหาสมุทรมีอุณหภูมิสูงขึ้น พลังงานที่พายุได้รับก็มากขึ้นไปด้วย ส่งผลให้พายุมีความรุนแรงกว่าที่เคย
นอกจากนั้น สภาวะโลกร้อนยังส่งผลให้บางบริเวณในโลกประสบกับสภาวะแห้งแล้งอย่างอย่างไม่ เคยมีมาก่อน ทำให้ต้นไม้ในป่าที่เคยทำหน้าที่ดูดกลืนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ล้มตายลงเนื่องจากขาดน้ำ และนอกจากจะไม่ดูดกลืนก๊าซต่อไปแล้ว ยังปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจากกระบวนการย่อยสลายด้วย
ก๊าซเรือนกระจกตัวหนึ่งที่สำคัญ ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงเพื่อใช้งาน มนุษย์เองเป็นผู้ปล่อยก๊าซนี้ออกมาเป็นจำนวนมากเพื่อนำพลังงานมาใช้ เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิงจากถ่านหิน น้ำมันและก๊าซธรรมชาติรวมทั้งการตัดไม้ทำลายป่าทำให้เกิดก๊าซคาร์บอน ไดออกไซด์ การทำการเกษตรและการปศุสัตว์ปล่อยก๊าซมีเทนและไนตรัสออกไซด์ เป็นต้น และหากพิจารณาอัตราการใช้พลังงานในช่วงครึ่งศรวรรษที่ผ่านมาจะพบว่าสอดคล้อง กับการเพิ่มปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศเป็นอย่างดี และไม่มีแนวโน้มว่าจะลดลงในระยะเวลาอันใกล้นี้ ตรงกันข้ามมนุษย์กลับเร่งผลิตก๊าซเรือนกระจกออกมามากเกินขีดความสามารถของ โลกที่จะเยียวยาตนเองได้ทัน การเกิดสภาวะโลกร้อนอย่างรวดเร็วและรุนแรงจึงเกิดขึ้น กล่าวโดยสรุปก็คือ สาเหตุที่ทำให้เกิดสภาวะโลกร้อนในครั้งนี้ก็คือ “มนุษย์”
พ.ศ. 2535 มีการประกาศในข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก ขององค์การสหประชาชาติ (United Nations Framework Convention on Climate Change-UNFCCC) ที่ประชุม UNFCCC ได้ประกาศรับรองว่าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ในระดับโลกเป็น "เป้าหมายสูงสุด" ขององค์การฯ แต่เนื่องจากไม่มีผลบังคับใช้ทางกฎหมาย จึงมีการจัดทำ “พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol)” ซึ่งถือได้ว่าเป็นสนธิสัญญาเกี่ยวกับภูมิอากาศโลกและเป็นกฎหมายระหว่าง ประเทศฉบับเดียวที่กำหนดอย่างชัดเจนให้ประเทศพัฒนาแล้วลดการปล่อยก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ภายในปีพ.ศ.2551-2555 และมีผลบังคับใช้ 90 วันหลังจากที่มีประเทศร่วม ลงนามไม่น้อยกว่า 55 ประเทศ
พิธีสารเกียวโต ผ่านความเห็นชอบในปี พ.ศ. 2540 ที่เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบัน พิธีสารเกียวโตเป็นอนุสัญญาเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศนานาชาติเพียงฉบับเดียว ที่มีจุดประสงค์เพื่อหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เป็นต้นตอของ ปัญหา เป็นกลไกในระดับนานาชาติเพียง อย่างเดียวที่ให้ประชาคมโลกมุ่งไปสู่การลดจำนวนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ ได้อย่างมากที่สุด และยังพยายามเชิญชวนให้รัฐบาลของประเทศที่พัฒนาแล้วรับรองพิธีสารนี้ภายในปี พ.ศ. 2545
ประเทศไทยได้เข้าร่วมลงนามพิธีสารเกียวโตในเดือน สิงหาคม พ.ศ. 2545 ดังนั้นมาตรการนี้จึงส่งผลดีซึ่งทำให้เกิดการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนจาก ประเทศที่พัฒนาแล้วไปสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะช่วยลดการผลิตพลังงานอันจะก่อให้เกิดมลพิษ อย่างไรก็ตามการลดประมาณก๊าซเรือนกระจกที่กำหนดตามสนธิสัญญาดังกล่าวนั้นยัง น้อยกว่าที่ควรจะเป็นดังนั้นปัญหาโลกร้อนอันเกิดจากก๊าซเรือนกระจกอาจยังคง อยู่ต่อไปหรือเพิ่มขึ้นกว่าเดิมก็เป็นได้ถ้าทุกคนยังไม่เข้าใจปัญหาและร่วม แก้ไขอย่างจริงจัง
แหล่งข้อมูล ชูพันธ์ ชมภูจันทร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย
http://www.baanjomyut.com/library/global_community/01_5_3.html