หลังจากพระพุทธเจ้าทรงค้นพบหลักธรรมแล้ว พระองค์ได้ทรงนำหลักธรรมนั้นมาสั่งสอนชาวโลกเป็นเวลานานถึง ๔๕ ปี จนกระทั่งเสด็จปรินิพพาน ซึ่งพระธรรมที่พระองค์ทรงนำมาสั่งสอนมีอยู่หลายระดับ ตั้งแต่ระดับจริยธรรมที่สอนให้เราปฏิบัติตนเป็นคนดี จนถึงระดับสัจธรรมที่สอนให้หลุดพ้นจากความทุกข์
เราในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชนควรศึกษาหลักธรรมให้เข้าใจถูกต้อง และรู้จักเลือกสรรหัวข้อธรรมมาปฏิบัติให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาและชีวิตของตน ครอบครัว และสังคมแล้ว ย่อมจะเป็นไปตามจุดมุ่งหมายของศาสดาผู้นำมาประกาศ หลักธรรมอันเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธองค์แล้วเป็นจริง เป็นสิ่งที่พาไปสู่ความสงบสุข และประโยชน์เกื้อกูล
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ที่นำมาให้ศึกษากันในที่นี้ ได้แก่ พระรัตนตรัย อริยสัจ ๔ ขันธ์ ๕ อธิปไตย ๓ สาราณียธรรม ๖ ทศพิธราชธรรม ๑๐ และ วิปัสสนาญาณ ๙
๑. พระรัตนตรัย
ความหมายของพระรัตนตรัย
รัตนตรัย มหายถึง รัตนะ ๓, แก้วอันประเสริฐ หรือสิ่งล้ำค่า ๓ ประการ, หลักที่เคารพบูชาสูงสุดของพุทธศาสนิกชน ๓ อย่าง ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์
พระรัตนตรัย คือ สิ่งที่เคารพสูงสุดทางพระพุทธศาสนา หรือเรียกว่าแก้วอันประเสริฐ ๓ ประการ กล่าวคือ
๑ พระพุทธเจ้า คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง เป็นผู้ก่อตั้งพระพุทธศาสนา ทรงเพียบพร้อมด้วยพระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ และพระกรุณาคุณ
๒.พระธรรม คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เป็นสภาพความจริงที่ทรงตรัสรู้หรือค้นพบแล้ว นำมาสั่งสอนให้พุทธศาสนิกชนได้รู้และปฏิบัติตามไม่ให้คนอื่นตกไปในที่ชั่ว
๓.พระสงฆ์ คือ เหล่าพระสาวกผู้ประพฤติปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และนำคำสั่งสอนนั้นมาเผยแผ่แก่ชาวพุทธให้ได้รับประโยชน์ตามสมควร และสืบทอดพระพุทธศาสนาให้ดำรงคงไว้ตลอดไป
พระรัตนตรัยทั้ง ๓ อย่างนี้ เปรียบเสมือนเสาเอกที่ปักตรงไว้ใจกลางธรรมจักร ที่ต้องหมุนเวียนไปอยู่ตลอดเวลาไม่มีวันหยุด ที่งสามข้อนี้จะขาดเสียอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้
องค์ประกอบของพระรัตนตรัย
ความหมายและคุณค่าของพุทธะ
คำว่า พุทฺธะ แปลว่า ผู้รู้แล้ว (รู้ในความเป็นไปในธรรมชาติทั้งปวง) ผู้ตื่นแล้ว (ตื่นจากความโง่เขลา ตื่นจากความงมงาย ) ผู้เบิกบาน ( ไม่มีสิ่งใดทำให้จิตใจเศร้าหมองอีกแล้ว )
หมายถึง ผู้ที่ตรัสรู้อริยสัจ คือความเป็นจริงที่ประเสริฐ 4 ประการ จำแนกออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
๑. สัพพัญญูพุทธะ คือ พระพุทธเจ้า ผู้รู้ทั้งหมด ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง แล้วสอนให้ผู้อื่นรู้ตามและปฏิบัติตาม จนมีพุทธบริษัทและก่อตั้งศาสนาได้ บางทีก็เรียกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
๒. ปัจเจกพุทธะ คือ ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยตนเองแต่ไม่สามารถสอนให้ผู้อื่นตรัสรู้ตามได้ ไม่ตั้งพุทธบริษัท ไม่ก่อตั้งพระพุทธศาสนา
๓. อนุพุทธะ คือ ผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า เรยกอีกอย่างหนึ่งว่า สาวกพุทธะ
คุณค่าของพุทธะ
คุณค่าของพุทธะในที่นี้หมายถึง พุทธจริยา พุทธจริยา หมายถึง ความประพฤติและการปฏิบัติกิจวัตรของพระพุทธเจ้า อันได้แก่ การดำรงชีวิตของพระองค์และการบำเพ็ญพระองค์ให้เกิดประโยชน์แก่โลก แก่พระประยูรญาติ และแก่พุทธศาสนิกชน มี ๓ คุณค่า ดังนี้
๑. โลกัตถจริยา หมายถึง การบำเพ็ญประโยชน์แก่ชาวโลก
๒. ญาตัตถจริยา หมายถึง การบำเพ็ญประโยชน์แก่พระประยูรญาติ
๓. พุทธัตถจริยา หมายถึง การบำเพ็ญประโยชน์ในฐานะที่ทรงเป็นพระพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้ถูกต้องดีแล้ว
พระธรรม
พระธรรม หมายถึง ธรรมะซึ่งพระพุทธเจ้าทรงค้นพบและนำออกเผยแผ่ หรือคำสอนของพระพุทธเจ้า เกี่ยวกับความจริงตามธรรมชาติของทุกข์และวิธีการดับทุกข์ ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นแต่เริ่มสืบทอดกันด้วยวิธีท่องจำแบบปากต่อปาก เรียกว่า "มุขปาฐะ" สมัยต่อมาจึงได้มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร คัมภีร์ที่บันทึกพระธรรมของพระพุทธเจ้านั้น เรียกว่า พระไตรปิฎก และยังมีคัมภีร์อื่นๆ ที่แต่งภายหลังเพื่อขยายความอีก ได้แก่ อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา ตามลำดับ
ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบนั้น เป็นสิ่งที่มีอยู่แต่เดิมแล้ว ไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมพระพุทธองค์ แต่ทรงเป็นผู้ค้นพบแล้วนำมาประกาศ อาจพอกล่าวได้ว่าการเรียนรู้พระธรรม ก็คือการเรียนรู้ธรรมดาโลก และเรียนรู้สิ่งที่เป็นปกติที่มีบ่อเกิดที่มาว่ามาอย่างไร เป็นไปได้อย่างไร
พระธรรมคัมภีร์ของพระพุทธศาสนา เรียกว่า พระไตรปิฎก ประกอบด้วย พระอภิธรรมปิฎก พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก
๑. อภิธรรมปิฎก หรือ พระอภิธรรม หมายถึง ประมวลพระพุทธพจน์หมวดพระอภิธรรม หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นภาคทฤษฎีบท หลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักคำสอนล้วน ๆ ไม่เกี่ยวด้วยบุคคลหรือเหตุการณ์ เปรียบเสมือนวิชาวิทยาศาสตร์
๒. พระวินัยปิฎก หรือ พระวินัย หมายถึง ประมวลพุทธพจน์หมวดพระวินัย คือพุทธบัญญัติเกี่ยวกับความประพฤติ ความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมและการดำเนินกิจการต่าง ๆ ของภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ เปรียบเสมือนวิชากฎหมาย
๓. พระสุตตันตปิฎก หรือ พระสูตร หมายถึง ประมวลพุทธพจน์หมวดพระสูตร คือ พระธรรมเทศนาคำบรรยายธรรมต่างๆ ที่ตรัสยักเยื้องให้เหมาะกับบุคคลและโอกาสตลอดจนบทประพันธ์ เรื่องเล่า และเรื่องราวทั้งหลายที่เป็นชั้นเดิมในพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้า สอนใคร สอนเรื่องอะไร สอนที่ไหนเปรียบเสมือนวิชาประวัติศาสตร์
คำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนานั้นมีสาระสำคัญ 3 ประการ หรือ โอวาท 3 คือ ให้ประพฤติดี ให้ละความชั่ว และทำจิตใจให้ผ่องใส
นอกจากสาระสำคัญทั้ง 3 ประการนี้ พระพุทธเจ้า ได้ทรงชี้ให้เห็นถึงสาเหตุแห่งการเกิดทุกข์ การดับทุกข์ และวิธีปฏิบัติตนของพุทธบริษัท 4 เพื่อให้หลุดพ้นจากวัฏสังสาร วงจรของการเกิดดับ หลุดพ้นจากความทุกข์ต่าง ๆ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
พระธรรมคุณ
พระพุทธธรรมนั้นมีลักษณะสำคัญอยู่ ๖ อย่างคือ
๑. สวากขาโต พระธรรมไม่ใช้ปรัชญาที่ปรุงแต่งขึ้น แต่เป็นกฎธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าท่านวิเคราะห์, สรุป, และอธิบาย ออกมาอย่างเที่ยงตรง ดังนั้นจึงเป็นคุณทั้งจุดเริ่มต้นคือ ศีล (หลักการของความถูกต้อง), เป็นคุณทั้งตอนกลาง คือ สมาธิ (ความมุ่งมั่นจดจ่อ) และ เป็นคุณทั้งตอนปลาย คือ ปัญญา (ความเฉลียดฉลาด การรู้คิด การไตร่ตรอง ความรู้ซึ้ง).
๒. สันทิฏฐิโก พระธรรม สามารถถูกทดสอบ/ตรวจสอบได้ด้วยการปฏิบัติ ดังนั้นผู้ที่ปฏิบัติจะเห็นผลได้ด้วยตนเอง
๓. อะกาลิโก พระธรรม นั้นมีคุณค่า และผลของการปฏิบัติสามารถรับรู้ได้ โดยไม่จำกัดกาลเวลา (พระธรรม มีคุณประโยชน์ 2,500 ปีก่อน มีคุณประโยชน์ในปัจจุบัน และ จะยังมีคุณประโยชน์ในอนาคต)
๔. เอหิปัสสิโก พระธรรม นั้นมีคุณค่าไม่จำกัดกับบุคคล สามารถปฏิบัติและรับรู้ผลได้ทุกๆผู้คน (พระธรรม มีคุณประโยชน์กับผู้ปฏิบัติ ไม่ว่าผู้ปฏิบัติจะเป็นหญิง เป็นชาย เกิดในชาติตระกูลใด มีสถานะเป็นอย่างไร)
๕. โอปะนะยิโก พระธรรม นั้นปฏิบัติได้ และดังนั้น ควรนำมาปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของตนเอง (พระธรรม เป็นหลักการที่นำมาปฏิบัติได้ ไม่ได้ยากเกินไป)
๖. ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วัญญูหีติ พระธรรมนั้น จะรู้แจ้งได้ก็เฉพาะตนผู้ปฏิบัติเองจนรู้แจ้ง (อริยะ) ดังนั้นเพื่อเข้าใจพระธรรมอย่างแท้จริง จึงควรปฏิบัติเอง (การอ่านหรือฟังธรรมจากอริยะก็ไม่อาจทำให้เข้าใจแจ้งได้ หากไม่นำพระธรรมไปปฏิบัติ)
การปฏิบัติพระธรรมจะนำมาซึ่ง ความสงบ และ ความสุข แก่ตนผู้ปฏิบัติ ดังนั้นจึงเป็นความรับผิดชอบของตนเองในการปฏิบัติพระธรรม
พระสงฆ์
ความหมายของคำว่า สงฆ์ แปลว่า หมู่, ชุมนุม ในคำว่า ภิกษุสงฆ์ จึงแปลว่า หมู่ภิกษุ หรือ ภิกษุทั้งปวง
๑. หมู่สาวกของพระพุทธเจ้า เรียกว่า สาวกสงฆ์ ดังคำสวดในสังฆคุณ ประกอบด้วยคู่บุรุษ ๔ บุรุษบุคคล ๘ เริ่มแต่ท่านผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค จนถึงพระอรหันต์ ต่างจาก ภิกขุสงฆ์ คือ หมู่แห่งภิกษุหรือชุมนุมภิกษุ
๒. ชุมนุมภิกษุหมู่หนึ่งตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ซึ่งสามารถประกอบสังฆกรรมได้ตามกำหนดทางพระวินัย ต่างโดยเป็นสงฆ์จตุรวรรคบ้าง ปัญจวรรคบ้าง ทศวรรคบ้าง วีสติวรรคบ้าง
ในทางพระพุทธศาสนาแบ่งพระสงฆ์ออกเป็น ๒ ประเภท คือ สมมติสงฆ์ และพระอริยสงฆ์
สมมติสงฆ์ คือ สงฆ์โดยทั่วไปที่เป็นหมู่ของภิกษุ เรียกว่า พระสงฆ์ หรือ สมมติสงฆ์ สงฆ์โดยสมมติ เพราะว่าเป็นภิกษุตามพระวินัยด้วยวิธีอุปสมบทรับรองกันว่าเป็น อุปสัมบันหรือเป็นภิกษุขึ้น เมื่อภิกษุหลายรูปมาประชุมกันกระทำกิจของสงฆ์ก็เรียกว่า สงฆ์
พระอริยสงฆ์ หมู่ภิกษุชนที่ได้ฟังเสียงซึ่งออกจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าหรือได้ปฏิบัติตามธรรมะ ได้ความรู้พระธรรม คือ ความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน จนถึงได้บรรลุโลกุตตรธรรม ธรรมะที่อยู่เหนือโลกตามพระพุทธเจ้า ซึ่งพระอริยสงฆ์ คือ คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ ๘ บุรุษ ได้แก่คู่ มรรค - ผล
พระสงฆ์ผู้บรรลุธรรมวิเศษ ๔ ชั้น คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ พระอริยสงฆ์ 3 ชั้นแรกจัดเป็นเสขบุคคล ส่วนพระอรหันต์จัดเป็นอเสขบุคคล เสขบุคคลมี 3 ขั้น ได้แก่ ๑.โสดาบัน ๒. สกทาคามี หรือสกิทาคามี และ ๓. อนาคามี
ที่นับว่าเป็น “เสขบุคคล” เพราะผู้นั้น ยังต้องศึกษาต่อไปอยู่ ( เสข=ผู้ยังต้องศึกษา ) เนื่องจากยังไม่จบ “การศึกษา 3” (อธิศีลสิกขา-อธิจิตสิกขา-อธิปัญญาสิกขา) ผู้พัฒนาตนผ่าน “การศึกษา 3” บรรลุธรรมเป็น “อาริยชน” จึงนับเป็นผู้เข้าสู่ “เสขภูมิ” พื้นเพของพระเสขะ คือ เข้าสู่ชั้นอาริยชนแล้ว จะเป็นชั้นหนึ่งชั้นใดใน 3 ก็ตาม แต่ยังต้องศึกษาอยู่ ยังไม่จบถึง “อรหันต์” อันเป็นภูมิสุดท้าย ผู้ยังไม่บรรลุธรรมเข้าขั้น “อาริยะ” ยังไม่ได้ชื่อว่า “เสขบุคคล”
อริยบุคคล คือ บุคคลผู้ประเสริฐ เป็นผู้ละสังโยชน์ หรือกิเลสที่ผูกมัดสัตว์ไว้ในภพหรือผูกพันสัตว์ทั้งหลายไว้กับทุกข์ได้ ใครละได้น้อยก็เป็นอริยบุคคลชั้นต้น เมื่อละได้มากเป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงขึ้น ใครละได้หมดก็เป็นพระอรหันต์
๒. อริยสัจ ๔
อริยสัจ หรือ จตุราริยสัจ หรือ อริยสัจ ๔ เป็นหลักคำสอนหนึ่งของพระโคตมพุทธเจ้า แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ ความจริงของพระอริยะ หรือความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ มีอยู่สี่ประการ คืองอริยส
๑. ทุกข์ คือ สภาพที่ทนได้ยาก ภาวะที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ สภาพที่บีบคั้น ได้แก่ ชาติ (การเกิด) ชรา (การแก่ การเก่า) มรณะ (การตาย การสลายไป การสูญสิ้น) การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก การปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่สมหวังในสิ่งนั้น กล่าวโดยย่อ ทุกข์ ก็คือ อุปาทานขันธ์ หรือขันธ์ ๕
๒. สมุทัย คือ สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา ๓ คือ กามตัณหา-ความทะยานอยากในกาม ความอยากได้ทางกามารมณ์, ภวตัณหา-ความทะยานอยากในภพ ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วยภวทิฏฐิหรือสัสสตทิฏฐิ และ วิภวตัณหา-ความทะยานอยากในความปราศจากภพ ความอยากไม่เป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วยวิภวทิฏฐิหรืออุจเฉททิฏฐิ
๓. นิโรธ คือ ความดับทุกข์ ได้แก่ ดับสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ กล่าวคือ ดับตัณหาทั้ง ๓ ได้อย่างสิ้นเชิง
๔. มรรค คือ แนวปฏิบัติที่นำไปสู่หรือนำไปถึงความดับทุกข์ มีองค์ประกอบอยู่แปดประการ คือ
๑. สัมมาทิฏฐิ-ความเห็นชอบ
๒. สัมมาสังกัปปะ-ความดำริชอบ
๓. สัมมาวาจา-เจรจาชอบ
๔. สัมมากัมมันตะ-ทำการงานชอบ
๕. สัมมาอาชีวะ-เลี้ยงชีพชอบ
๖. สัมมาวายามะ-พยายามชอบ
๗. สัมมาสติ-ระลึกชอบ และ
๘. สัมมาสมาธิ-ตั้งใจชอบ
ซึ่งรวมเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า "มัชฌิมาปฏิปทา" หรือ ทางสายกลาง
มรรคมีองค์แปดนี้สรุปลงในไตรสิกขา ได้ดังนี้
๑. อธิสีลสิกขา ได้แก่ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ
๒. อธิจิตสิกขา ได้แก่ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ
๓. อธิปัญญาสิกขา ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปปะ
อริยสัจ ๔ นี้ เรียกสั้น ๆ ว่า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค
กิจในอริยสัจ ๔
กิจในอริยสัจ คือ สิ่งที่ต้องทำต่ออริยสัจ ๔ แต่ละข้อ ได้แก่
๑. ปริญญา - ทุกข์ (ธรรมที่ควรรู้) คือ การทำความเข้าใจปัญหาหรือสภาวะที่เป็นทุกข์อย่างตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง เป็นการเผชิญหน้ากับปัญหา ธรรมที่ควรรู้ของอริสัจ ๔ มีอยู่หลายหมวดในชั้นนี้กำหนดให้ศึกษา ๒ หัวข้อ ได้แก่ ขันธ์ ๕ (นามรูป) และ หลักกรรม (นิยาม ๕)
ศึกษาค้นคว้าเรื่อง นิยาม ๕ http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=223
๒. ปหานะ - สมุทัย (ธรรมที่ควรละ) คือ การกำจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ เป็นการแก้ปัญหาที่เหตุต้นตอ หัวข้อที่ศึกษาในชั้นนี้ ได้แก่ อกุศลวิตก ๓
ศึกษาค้นคว้าเรื่อง อกุศลวิตก ๓ http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=70
๓. สัจฉิกิริยา - นิโรธ (ธรรมที่ควรทำให้แจ้ง) คือ การเข้าถึงภาวะดับทุกข์ หมายถึงภาวะที่ไร้ปัญหาซึ่งเป็นจุดมุ่งหมาย หัวข้อที่ควรศึกษา ได้แก่ ภาวนา ๔
ศึกษาค้นคว้าเรื่อง ภาวนา ๔ http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=37
๔. ภาวนา - มรรค (ธรรมที่ควรเจริญ) คือ การฝึกอบรมปฏิบัติตามทางเพื่อให้ถึงความดับแห่งทุกข์ หมายถึงวิธีการหรือทางที่จะนำไปสู่จุดหมายที่ไร้ปัญหา
กิจทั้งสี่นี้จะต้องปฏิบัติให้ตรงกับมรรคแต่ละข้อให้ถูกต้อง การรู้จักกิจในอริยสัจนี้ เรียกว่า กิจญาณ
เนื้อหาที่ควรศึกษา สัทธรรม ๓ http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=121
วุฒิธรรม ๔ http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=179
พละ ๕ http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=228
อุบาสกธรรม ๕ http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=259
๓. ขันธ์ ๕
คำว่า ขันธ์ แปลว่า กอง, พวก, หมวด, หมู่, ลำตัว; หมวดหนึ่งๆ ของรูปธรรมและนามธรรมทั้งหมดที่แบ่งออกเป็น ๕ กอง คือ รูปขันธ์ (กองรูป) เวทนาขันธ์ (กองเวทนา) สัญญาขันธ์ (กองสัญญา) สังขารขันธ์ (กองสังขาร) และ วิญญาณขันธ์ (กองวิญญาณ) เรียกรวมว่า เบญจขันธ์ (ขันธ์ ๕)
สิ่งมีชีวิตทั้งหลายซึ่งได้แก่ มนุษย์และสัตว์นั้น เกิดจากองค์ประกอบหลักๆ ๕ ส่วน ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ที่ประกอบรวมกันเข้าเป็นตัวตนของมนุษย์และสัตว์ แต่โดยสภาพที่แท้จริงแล้ว มนุษย์และสัตว์หาได้มีตัวตนที่แท้จริงไม่ เพราะเมื่อส่วนประกอบที่กล่าวข้างต้นแยกออกจากกันแล้ว ก็ไม่เหลือความเป็นตัวตนอยู่เลย
ตัวอย่างเช่น คนตาย เราจะไม่เรียกว่าคนหรือมนุษย์ แต่เรียกว่า ศพ ซากศพ เป็นต้น ทั้งนี้เพราะกายนั้น รูปนั้น ไม่มีเวทนา (ความรู้สึก) ไม่มีสัญญา (ความจำได้ หมายรู้) ไม่มีสังขาร (ความนึกคิด) และไม่มีวิญญาณ (การรับรู้) สิ่งเหล่านี้ได้แยกออกไปจากรูป (ร่างกาย) แล้ว ดังนี้เป็นต้น
๑. รูป หมายถึง สิ่งที่เป็นรูปร่าง หรือ ร่างกาย และลักษณะอาการของร่างกาย ได้แก่ ส่วนร่างกายที่ประกอบด้วยธาตุ ๔ ได้แก่ ธาตุดิน(ปฐวีธาตุ คือ สภาวะที่แผ่ไปหรือกินเนื้อที่) ธาตุน้ำ(อาโปธาตุ คือ สภาวะที่เอิบอาบ) ธาตุไฟ(เตโชธาตุ คือ สภาวะที่ทำให้ร้อน) และธาตุลม(วาโยธาตุ คือ สภาวะที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหว)
๒. เวทนา หมายถึง ความรู้สึกต่อสิ่งที่ถูกรับรู้ ซึ่งจะเกิดทุกครั้งที่มีการรับรู้ ได้แก่ ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือ เฉย ๆ
๓. สัญญา หมายถึง ความจำได้ หมายรู้ หมายรู้ คือ รู้ว่ารูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และอารมณ์ ที่เกิดขึ้นนั้นคืออะไร เป็นอย่างไร เช่น แข็ง อ่อนนุ่ม สีแดง สีเขียว มีกลิ่นหอม จำได้ เมื่อได้พบอีกก็จำได้อย่างนี้เป็นต้น
๔. สังขาร หมายถึง ความนึกคิดที่เกิดทางใจ หรือสภาพที่ปรุงแต่งจิตใจให้ดี ชั่ว ชอบ ไม่ชอบ หรือเป็นกลางวางเฉยๆ
๕. วิญญาณ หมายถึง การรับรู้ หรือความรู้แจ้งอารมณ์ทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ ได้แก่ การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส การรู้สัมผัสทางกาย และการรับรู้อารมณ์ทางใจ
พระพุทธเจ้าตรัสอนเรื่องขันธ์ ๕ (นามรูป) ก็เพื่อให้มนุษย์เราได้รู้ความเป็นจริงของชีวิตว่าเป็นอย่างไร มีองค์ประกอบอะไรบ้าง แต่ไม่ทรงสอนให้ลด ละ เลิก หรือกำจัดขันธ์ ๕ (นามรูป) ให้หมดไป ทั้งนี้เพราะเป็นสภาวะธรรมที่ต้องกำหนดรู้เพียงอย่างเดียว
๔. อธิปไตย ๓ หลักธรรมที่สอดคล้องกับมรรค (ธรรมที่ควรเจริญ)
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้อธิบายความหมายของอธิปไตย ในพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ว่า อธิปไตย ความเป็นใหญ่ มีอยู่ ๓ อย่าง คือ
อัตตาธิปไตย (ความมีตนเป็นใหญ่) โลกาธิปไตย (ความมีโลกเป็นใหญ่) และ ธัมมาธิปไตย (ความมีธรรมเป็นใหญ่)
อธิปไตย ในทางพุทธศาสนา หมายถึง อำนาจที่มีผลต่อการตัดสิน มี ๓ อำนาจ คือ
๑. อัตตาธิปไตย หมายถึง การตัดสินใจที่ถือความคิดของตนเองเป็นที่ตั้ง
๒. โลกาธิปไตย หมายถึง การถือตามความคิดของคนส่วนมากเป็นที่ตั้ง
๓. ธรรมาธิปไตย หมายถึง การถือตามความถูกต้องโดยถือหลักเหตุผลที่เหมาะสม ไม่ถือตามความเชื่ออย่างสุดโต่ง
นักวิชาการทางรัฐศาสตร์ ได้อธิบายถึงอธิปไตยในความหมายทางวิชาการทางรัฐศาสตร์ ว่า
อัตตาธิปไตย มักหมายถึงการปกครองโดยยึดถือความเห็นของคนๆ เดียวคนกลุ่มเดียวหรือถือตามเสียงข้างน้อย ในลักษณะเผด็จการ
โลกาธิปไตย หมายถึงหลักการปกครองที่ถือความคิดเห็นของคนหมู่มากหรือคนส่วนใหญ่ โดยถือหลักการที่เน้นสิทธิของปัจเจกชน
ธรรมาธิปไตย หมายถึงหลักการปกครองที่ถือความคิดเห็นที่มีเหตุผลที่ถูกต้องอัน ไม่ขัดต่อความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่สามารถรับรู้ได้ทั่วไปโดยถือหลักการที่เน้นสิทธิสังคม
ดูคำอธิบายเพิ่มเติม http://www.asia.tu.ac.th/journal/EA_Journal14_2/A1.pdf หรือ
๕. สาราณียธรรม ๖ หลักธรรมที่สอดคล้องกับมรรค (ธรรมที่ควรเจริญ)
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) อธิบายความหมายและลักษณะสำคัญของหลักธรรมสาราณียธรรม ๖ ในพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ดังนี้
สารณียธรรม ๖ (สาราณียธรรม) หมายถึง ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความให้ระลึกถึง, ธรรมเป็นเหตุที่ระลึกถึงกัน, หลักการอยู่ร่วมกัน ประกอบด้วย
๑. เมตตากายกรรม (ตั้งเมตตากายกรรมในเพื่อนพรหมจรรย์ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง) คือ ช่วยเหลือกิจธุระของผู้ร่วมคณะด้วยความเต็มใจ แสดงกิริยาอาการสุภาพ
เคารพนับถือกัน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
๒. เมตตาวจีกรรม (ตั้งเมตตาวจีกรรมในเพื่อนพรหมจรรย์ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง) คือ ช่วยบอกแจ้งสิ่งที่เป็นประโยชน์ สั่งสอน แนะนำตักเตือนด้วยความหวังดี
กล่าววาจาสุภาพ แสดงความเคารพนับถือกัน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
๓. เมตตามโนกรรม (ตั้งเมตตามโนกรรมในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งต่อหน้าและลับหลัง) คือ ตั้งจิตปรารถนาดี คิดทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่กัน มองกันในแง่ดี มีหน้าตายิ้ม
แย้มแจ่มใสต่อกัน
๔. สาธารณโภคี (การแบ่งปัน ได้ของสิ่งใดมาก็แบ่งปันกัน) คือ เมื่อได้สิ่งใดมาโดยชอบธรรม แม้เป็นของเล็กน้อย ก็ไม่หวงไว้ผู้เดียว นำมาแบ่งปันเฉลี่ยเจือจานให้ได้มีส่วนร่วมใช้สอยบริโภคทั่วกัน
๕. สีลสามัญญตา (มีศีลบริสุทธิ์เสมอกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง) คือ มีความประพฤติสุจริตดีงาม ถูกต้องตามระเบียบวินัย ไม่ทำตนให้เป็นที่น่ารังเกียจของหมู่คณะ
๖. ทิฏฐิสามัญญตา (มีทิฏฐิดีงามเสมอกันเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง) คือ มีความเห็นชอบร่วมกัน ในข้อที่เป็นหลักการสำคัญที่จะนำไปสู่ความ หลุดพ้น สิ้นทุกข์ หรือขจัดปัญหา
คุณค่าของธรรม ๖ ประการนี้มีหลายประการ กล่าวคือ
๑. เป็นสารณียะ (ทำให้เป็นที่ระลึกถึง)
๒. เป็นปิยกรณ์ (ทำให้เป็นที่รัก)
๓. เป็นครุกรณ์ (ทำให้เป็นที่เคารพ)
๔. เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์ (ความกลมกลืนเข้าหากัน)
๕. เพื่อความไม่วิวาท
๖. เพื่อความสามัคคี และ
๗. เอกีภาพ (ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน)
ดูคำอธิบายเพิ่มเติม http://gg.gg/3us1t http://gg.gg/3urzl
๖. ทศพิธราชธรรม ๑๐ หลักธรรมที่สอดคล้องกับมรรค (ธรรมที่ควรเจริญ)
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) อธิบายถึงหลักธรรม ทศพิธราชธรรม ในพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ดังนี้
ราชธรรม ธรรมสำหรับพระเจ้าแผ่นดิน,
คุณสมบัติของนักปกครองที่ดี สามารถปกครองแผ่นดินโดยธรรม และยังประโยชน์สุขให้เกิดแก่ประชาชนจนเกิดความชื่นชมยินดี
มี ๑๐ ประการ (นิยมเรียกว่า ทศพิธราชธรรม) คือ
๑. ทาน การให้ทรัพย์สินสิ่งของ
๒. ศีล ประพฤติดีงาม
๓. ปริจจาคะ ความเสียสละ
๔. อาชชวะ ความซื่อตรง
๕. มัททวะ ความอ่อนโยน
๖. ตบะ ความทรงเผากิเลสตัณหา ไม่หมกมุ่นในความสุขสำราญ
๗. อักโกธะ ความไม่กริ้วโกรธ
๘. อวิหิงสา ความไม่ข่มเหงเบียดเบียน
๙. ขันติ ความอดทนเข็มแข็งไม่ท้อถอย
๑๐. อวิโรธนะ ความไม่คลาดธรรม
ดูคำอธิบายเพิ่มเติม http://www.br.ac.th/CAI/Supaporn/Unit5_2_1_10.html หรือ
๗. วิปัสสนาญาณ ๙
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) อธิบายถึงหลักธรรม วิปัสสนาญาณ ๙ ในพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ดังนี้
วิปัสสนาญาณ ๙ (ญาณในวิปัสสนา, ญาณที่นับเข้าในวิปัสสนาหรือที่จัดเป็นวิปัสสนา) คือ เป็นความรู้ที่ทำให้เกิดความเห็นแจ้ง เข้าใจสภาวะของสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง
๑. อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ (ญาณอันตามเห็นความเกิดและความดับ คือ พิจารณาความเกิดขึ้นและความดับไปแห่งเบญจขันธ์ จนเห็นชัดว่า สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น ครั้นแล้วก็ต้องดับไป ล้วนเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปทั้งหมด — knowledge of contemplation on rise and fall)
๒. ภังคานุปัสสนาญาณ (ญาณอันตามเห็นความสลาย คือ เมื่อเห็นความเกิดดับเช่นนั้นแล้ว คำนึงเด่นชัดในส่วนความดับอันเป็นจุดจบสิ้น ก็เห็นว่าสังขารทั้งปวงล้วนจะต้องสลายไปทั้งหมด — knowledge of contemplation on dissolution)
๓. ภยตูปัฏฐานญาณ (ญาณอันมองเห็นสังขารปรากฏเป็นของน่ากลัว คือ เมื่อพิจารณาเห็นความแตกสลายอันมีทั่วไปแก่ทุกสิ่งทุกอย่างเช่นนั้นแล้ว สังขารทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นไปในภพใดคติใด ก็ปรากฏเป็นของน่ากลัว เพราะล้วนแต่จะต้องสลายไป ไม่ปลอดภัยทั้งสิ้น -- knowledge of the appearance as terror)
๔. อาทีนวานุปัสสนาญาณ (ญาณอันคำนึงเห็นโทษ คือ เมื่อพิจารณาเห็นสังขารทั้งปวงซึ่งล้วนต้องแตกสลายไป เป็นของน่ากลัวไม่ปลอดภัยทั้งสิ้นแล้ว ย่อมคำนึงเห็นสังขารทั้งปวงนั้นว่าเป็นโทษ เป็นสิ่งที่มีความบกพร่อง จะต้องระคนอยู่ด้วยทุกข์ — knowledge of contemplation on disadvantages)
๕. นิพพิทานุปัสสนาญาณ (ญาณอันคำนึงเห็นด้วยความหน่าย คือ เมื่อพิจารณาเห็นสังขารว่าเป็นโทษเช่นนั้นแล้ว ย่อมเกิดความหน่าย ไม่เพลิดเพลินติดใจ — knowledge of contemplation on dispassion)
๖. มุญจิตุกัมยตาญาณ (ญาณอันคำนึงด้วยใคร่จะพ้นไปเสีย คือ เมื่อหน่ายสังขารทั้งหลายแล้ว ย่อมปรารถนาที่จะพ้นไปเสียจากสังขารเหล่านั้น — knowledge of the desire for deliverance)
๗. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ (ญาณอันคำนึงพิจารณาหาทาง คือ เมื่อต้องการจะพ้นไปเสีย จึงกลับหันไปยกเอาสังขารทั้งหลายขึ้นมาพิจารณากำหนดด้วยไตรลักษณ์ เพื่อมองหาอุบายที่จะปลดเปลื้องออกไป — knowledge of reflective contemplation)
๘. สังขารุเปกขาญาณ (ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางต่อสังขาร คือ เมื่อพิจารณาสังขารต่อไป ย่อมเกิดความรู้เห็นสภาวะของสังขารตามความเป็นจริง ว่า มีความเป็นอยู่เป็นไปของมันอย่างนั้นเป็นธรรมดา จึงวางใจเป็นกลางได้ ไม่ยินดียินร้ายในสังขารทั้งหลาย แต่นั้นมองเห็นนิพพานเป็นสันติบท ญาณจึงแล่นมุ่งไปยังนิพพาน เลิกละความเกี่ยวเกาะกับสังขารเสียได้ — knowledge of equanimity regarding all formations)
๙. สัจจานุโลมิกญาณ หรือ อนุโลมญาณ (ญาณอันเป็นไปโดยอนุโลมแก่การหยั่งรู้อริยสัจ คือ เมื่อวางใจเป็นกลางต่อสังขารทั้งหลาย ไม่พะวง และญาณแล่นมุ่งตรงไปสู่นิพพานแล้ว ญาณอันคล้อยต่อการตรัสรู้อริยสัจ ย่อมเกิดขึ้นในลำดับถัดไป เป็นขั้นสุดท้ายของวิปัสสนาญาณ ต่อจากนั้นก็จะเกิดโคตรภูญาณมาคั่นกลาง แล้วเกิดมรรคญาณให้สำเร็จความเป็นอริยบุคคลต่อไป — conformity-knowledge; adaptation-knowledge)
ธรรมหมวดนี้ ท่านปรุงศัพท์ขึ้น โดยถือตามนัยแห่งคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค นำมาอธิบายพิสดารในวิสุทธิมรรค แต่ในอภิธัมมัตถสังคหะ ท่านเติม สัมมสนญาณ (ญาณที่กำหนดพิจารณานามรูป คือ ขันธ์ ๕ ตามแนวไตรลักษณ์ — Comprehension-knowledge) เข้ามาเป็นข้อที่ ๑ จึงรวมเป็น วิปัสสนาญาณ ๑๐ และเรียกชื่อญาณข้ออื่นๆ สั้นกว่านี้ คือ เรียก อุทยัพพยญาณ ภังคญาณ ภยญาณ อาทีนวญาณ นิพพิทาญาณ มุญจิตุกัมยตาญาณ ปฏิสังขาญาณ สังขารุเปกขาญาณ อนุโลมญาณ
ดูคำอธิบายเพิ่มเติม http://www.br.ac.th/CAI/Supaporn/Unit5_2_1_9.html หรือ