ภาคตะวันออกของไทย มีพื้นที่ไม่กว้างขวางมากนัก แต่เป็นภาคที่มีความก้าวหน้าทางด้านอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม การขนส่งทางทะเล และการท่องเที่ยว จึงทำให้มีนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเข้ามาประกอบกิจการด้านต่างๆ เป็นจำนวนมาก ซึ่งย่อมยังผลประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพของประชากรทั้งในภูมิภาคนี้และภูมิภาคข้างเคียงด้วย
(ภาพจาก http://information-management-community.blogspot.com/p/blog-page_1937.html )
ดูแผนที่ภาคตะวันออก
https://www.google.co.th/maps/@12.8126165,101.9179628,198634m/data=!3m1!1e3
ลักษณะทางกายภาพ
ขนาดและที่ตั้ง
ภาคตะวันออกมีเนื้อที่ 34,380.50 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณร้อยละ 6.83 ของเนื้อที่ทั้งประเทศ เป็นภาคที่มีขนาดเล็กที่สุดของไทย ประกอบด้วย 7 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา สระแก้ว และตราด ภาคนี้มีอาณาเขตติดต่อกับอ่าวไทย มีเพียงจังหวัดปราจีนบุรีและสระแก้วเท่านั้นที่ไม่มีทางออกทางทะเล
ที่ตั้งสมบูรณ์
ทิศเหนือ อยู่ที่ละติจูด 14 องศา 30 ลิปดาเหนือ
ทิศใต้ อยู่ที่ละติจูด 11 องศา 32 ลิปดาเหนือ
ทิศตะวันออก อยู่ที่ลองจิจูด 102 องศา 52 ลิปดาตะวันออก
ทิศตะวันตก อยู่ที่ลองจิจูด 100 องศา 48 ลิปดาตะวันออก
ที่ตั้งสัมพันธ์
ทิศเหนือ ติดต่อกับจังหวัดบุรีรัมย์ นครราชสีมา และนครนายก
ทิศใต้ ติดต่อกับอ่าวไทยที่บริเวณปลายแหลมสารพัดพิษ จังหวัดตราด
ทิศตะวันออก ติดต่อกับประเทศกัมพูชา โดยมีเทือกเขาบรรทัดเป็นพรมแดน
ทิศตะวันตก ติดต่อกับกรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรปราการ และอ่าวไทย
ลักษณะภูมิประเทศ
ภาคตะวันออกเป็นภาคที่ได้ชื่อว่ามีทิวทัศน์และชายหาดสวยงามแห่งหนึ่งของประเทศ มีหาดทรายที่สวยงามและเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก คือ หาดพัทยา
ลักษณะภูมิประเทศของภาคตะวันออกโดยทั่วไปแตกต่างจากภาคกลาง กล่าวคือ ประกอบด้วย เทือกเขาสูง ที่สูง เนินเขาและที่ราบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่ราบลูกฟูก ลักษณะภูมิประเทศของภาคตะวันออก แบ่งได้ดังนี้
1. เขตที่ราบลูกระนาดและภูเขา ได้แก่ บริเวณที่อยู่ถัดจากที่ราบลุ่มแม่น้ำบางปะกงเข้าไปทางตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ คือ เข้าไปตอนในของจังหวัดปราจีนบุรีจนถึงชายแดงประเทศกัมพูชา และจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรีและตราด พื้นที่ในเขตนี้มีลักษณะสูงๆ ต่ำๆ คล้ายคลื่นหรือลูกระนาด โดยมีภูเขาเตี้ยๆ หรือเนินเขาสลับกับที่ราบแคบๆ ที่อยู่ตามหุบและชายฝั่งทะเล ที่ราบตามหุบเขาส่วนมากเป็นแบบที่เรียกว่า ที่ราบดินตะกอนเชิงเขา ส่วนที่ราบชายฝั่งทะเลจะเป็นแบบที่เรียกว่า ที่ราบชายฝั่งทะเลยกตัว ภูเขาที่สำคัญในเขตนี้ ได้แก่
- เขาเขียว ภูเขาเตี้ยๆ ทอดตัวจากทางด้านตะวันออกของจังหวัดชลบุรี ลงไปทางใต้ ขนานกับชายฝั่งทะเลลงไปจนถึงสัตหีบและระยอง
- เขาชะเมา เป็นเทือกเขาที่ทอดตัวมาจากบริเวณรอยต่อตะเข็บ 4 จังหวัด
คือ จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง และจันทบุรี ลงมาทางใต้ตามแนวเขตแดนของจังหวัดระยองและจังหวัดจันทบุรี
- เทือกเขาจันทบุรี เป็นเทือกเขาที่ประกอบด้วยภูเขาน้อยใหญ่หลายลูก โดยทอดตัวจากรอยตะเข็บของเขตแดน 3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี และจันทบุรี เทือกเขานี้ประกอบด้วยหินแกรนิตที่แข็งแกร่งแทรกตัวขึ้นมาสลับระหว่างหินชั้น และมีหินบะซอลต์แทรกตัวขึ้นมาเป็นหย่อมๆ ซึ่งเป็นแหล่งแร่รัตนชาติ ในเขตจังหวัดจันทบุรี ยอดเขาสอยดาวใต้ สูง 1,33 เมตร เป็นยอดเขาที่สูงที่สุด
- เทือกเขาบรรทัด อยู่ทางตะวันออกของภาคทอดตัวตามแนวเหนือ-ใต้ ตามแนวพรมแดนไทย-กัมพูชาในเขตจังหวัดตราด เนื่องจากเทือกเขานี้วางตัวขวางกั้นแนวทิศทางลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ จึงทำให้มีฝนตกบริเวณด้านต้นลมในเขตนี้มากที่สุดแห่งหนึ่งของไทย คือ อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด
ค้นคว้าปริมาณฝนในประเทศไทย
http://www.tmd.go.th/info/info.php?FileID=55
2. เขตที่ราบ ได้แก่ บริเวณที่ราบใหญ่ที่อยู่ทางตอนเหนือของภาคต่อเนื่องกับที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาของภาคกลาง ที่ราบนี้อยู่ระหว่างแนวเทือกเขาสันกำแพงและเทือกเขาจันทบุรีในเขตจังหวัดปราจีนบุรี เป็นที่ราบระหว่างเทือกเขา ซึ่งมีแนวยาวต่อเนื่องไปถึงกัมพูชา เรียกบริเวณที่ราบนี้ว่า ฉนวนไทย หมายถึง พื้นที่ราบที่เชื่อมระหว่างที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยากับที่ราบต่ำในประเทศกัมพูชา ที่ราบนี้ที่อยู่ในดินแดนไทย ได้แก่ บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำบางปะกงและสาขา ซึ่งอยู่ในเขตจังหวัดปราจีนบุรี บางส่วนของฉะเชิงเทรา และทางตอนเหนือของจังหวัดชลบุรี ลักษณะเป็นที่ราบดินตะกอนที่แม่น้ำพัดพามาทับถมกัน (Alluvial Plain)
3. แม่น้ำ เป็นแม่น้ำสายสั้นๆ ที่ไหลลงสู่อ่าวไทย ได้แก่ แม่น้ำบางปะกง แม่น้ำระยอง แม่น้ำจันทบุรี แม่น้ำตราด แม่น้ำประแส และแม่น้ำเวฬุ การพัดพาดินตะกอนของแม่น้ำเกิดเป็นที่ราบแคบๆ ตามที่ลุ่ม และปากแม่น้ำโดยทั่วไป ทำให้มีดินร่วน และดินร่วนปนทรายเหมาะแก่การทำนา ทำสวนผลไม้
4. ลักษณะชายฝั่ง ภาคตะวันออกมีอาณาเขตส่วนหนึ่งติดกับทะเล จึงทำให้มีลักษณะภูมิประเทศแตกต่างไปจากภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง
(ภาพจาก https://bumlove679.wordpress.com/ภาคตะวันออก)
ลักษณะภูมิอากาศภาคตะวันออก
ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนใกล้เส้นศูนย์สูตร ทำให้ภูมิอากาศของประเทศมีลักษณะเป็น แบบร้อนชื้นหรือภูมิอากาศแบบทุ่งหญ้าสะวันนา (Aw) ตามการแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิปเปน ขณะที่ภาคใต้และทางตะวันออกสุดของภาคตะวันออก เป็นเขตภูมิอากาศ แบบมรสุมเขตร้อน (Am) ทั่วประเทศมีอุณหภูมิเฉลี่ยระหว่าง 19-38 องศาเซลเซียส อากาศจะร้อนที่สุดช่วงกลางเดือนเมษายน หลังจากนั้นภายใต้อิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนและฤดูหนาวตามลำดับ
ภาคตะวันออกมีลักษณะ 2 แบบ คือ ทางตอนบนของภาคจากปราจีนบุรี สระแก้ว ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทราจะมีลักษณะอากาศแบบสะวันนา (Aw) ส่วนทางตอนล่าง คือ จันทบุรีและตราด จะมีลักษณะอากาศแบบร้อนชื้นแบบ มรสุมเขตร้อน (Am) คือ มีฝนตกชุก อากาศร้อนชื้น
(ภาพจาก http://www.pattaya.go.th/)
แหล่งข้อมูลค้นคว้าภูมิอากาศประเทศไทยเพิ่มเติม
แหล่งข้อมูลค้นคว้าเพิ่มเติม
http://www.haii.or.th/wiki/index.php/สภาพภูมิประเทศลุ่มน้ำชายทะเลฝั่งตะวันออก
ทรัพยากรธรรมชาติของภาคตะวันออก
1. ทรัพยากรดิน ดินส่วนใหญ่ของภาคตะวันออกเป็นดินปนทราย ระบายน้ำได้ดี ไม่อุดมสมบูรณ์ บริเวณที่สูงเหมาะแก่การปลูกพืชสวนไม้ผล ส่วนบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำมีที่เหมาะกับการทำนา
2. ทรัพยากรน้ำ ภาคตะวันออกมีฝนตกชุกยาวนานและมีแม่น้ำสายสั้น ๆ ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ แต่ยังมีการขาดแคลนน้ำจืดในเขตอุตสาหกรรมและแหล่งท่องเที่ยว
3. ทรัพยากรป่าไม้ พื้นที่ป่าไม้ส่วนใหญ่ของภาคตะวันออกจะเป็นป่าดงดิบ ป่าดิบเขา ป่าสนเขา ป่าชายเลน และป่าเบญจพรรณ จังหวัดที่มีพื้นที่ป่าไม้มากที่สุด คือ ปราจีนบุรี ส่วนจังหวัดที่มีป่าไม้น้อยที่สุด คือ ชลบุรี
4. ทรัพยากรแร่ธาตุ ภาคตะวันออกมีแร่ธาตุหลายชนิด ได้แก่
- แร่เหล็ก พบที่จังหวัดปราจีนบุรี ชลบุรี ฉะเชิงเทรา
- แร่พลวง พบที่จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี
- แร่รัตนชาติ เช่น คอรันตัม(พลอยสีน้ำเงิน,ไพลิน) บุษราคัม พบมากที่
จังหวัดจันทบุรี และตราด ,ทับทิม พบที่จังหวัดตราด
- แร่เชื้อเพลิง พบที่บริเวณอ่าวไทย บริเวณมาบตาพุดจังหวัดระยอง
แหล่งข้อมูลค้นคว้าเพิ่มเติม ทรัพยากรธรรมชาติในประเทศไทย
ภูมิศาสตร์ประเทศไทยเชิงวิเคราะห์
http://www.teacher.ssru.ac.th/pornsmith_ch/file.php/1/POWERPOINTGEO2301_.pdf
ความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมทางกายภาพกับการประกอบอาชีพ
ภาคตะวันออกเป็นพื้นที่แคบ ๆ มีสภาพสังคม วัฒนธรรมและเศรษฐกิจคล้ายคลึงกับภาคกลาง แต่มีลักษณะทางกายภาพแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง กล่าวคือ
ภาคตะวันออกมีลักษณะภูมิอากาศร้อนที่มีฝนตกชุกคล้ายคลึงกับภาคใต้ มีโครงสร้างทางธรณีวิทยาเป็นเขตหินเก่าที่เป็นแหล่งทับถมของรัตนชาติหลายชนิด ลักษณะภูมิประเทศภายในเป็นภูเขา เนินเขาและที่สูง ซึ่งลาดเอียงลงสู่อ่าวไทย ที่ราบมีอยู่บ้าง ได้แก่ ที่ราบลุ่มแม่น้ำและที่ราบชายฝั่ง แต่เป็นบริเวณแคบๆ ลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศเช่นนี้เหมาะแก่การปลูกไม้ผล ส่วนด้านปลายลมที่มีฝนตกน้อยก็เหมาะแก่การปลูกพืชไร่ ชายฝั่งทะเลของภาคตะวันออกเป็นชายฝั่งน้ำลึกที่เหมาะแก่การสร้างท่าเทียบเรือหลายแห่ง มีเกาะ อ่าว แหลม และชายหาดที่สวยงามเหมาะแก่การท่องเที่ยว
อยู่มากมาย
ตั้งแต่ปี พ.ศ.2524 เป็นต้นมา รัฐบาลมี โครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Sea board Development Program) หรือ (ESB) เพื่อกระจายอุตสาหกรรมในเขตเมืองหลวงและพื้นที่ใกล้เคียง ไปสู่ 3 จังหวัดภาคตะวันออก ได้แก่ ชลบุรี ระยอง แลฉะเชิงเทรา
ในปัจจุบันนี้พื้นที่จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา มีนิคมอุตสาหกรรมอยู่อย่างมากมาย ก่อให้เกิดการสร้างงาน การเพิ่มขึ้นของเงินตราที่ไหลเข้าประเทศ จนทำให้ตัวเลขจีดีพีของไทยเพิ่มขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้น ทำให้จังหวัดระยองมีรายได้ต่อหัวของประชากรสูงที่สุดในประเทศไทย แต่การพัฒนานำมาซึ่งการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต จนไปเบียดบังสิทธิของชาวจังหวัดระยองที่อยู่มาก่อนนิคมอุตสาหกรรม ทำให้ความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สินต้องสั่นคลอนในเรื่องของความปลอดภัย
ปัญหาและผลกระทบจาการพัฒนาภาคตะวันออก
ภาคตะวันออกมีบทบาทที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศ โดยในปี พ.ศ.๒๕๔๘ เป็นภาคที่มีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภาค (Gross Regional Product: GRP) เป็นอันดับสองรองจากภาคกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่รัฐบาลมีนโยบายในการพัฒนาภาคตะวันออกให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ เป็นเขตอุตสาหกรรมหลัก และอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกของประเทศ เพื่อรองรับการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจออกจากภาคกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
นอกจากนี้ภาคตะวันออกยังมีบทบาทสำคัญในด้านเกษตรกรรม ทั้งการเพาะปลูกข้าว ไม้ผลและไม้ยืนต้น เป็นแหล่งท่องเที่ยวทั้งในระดับชาติและนานาชาติ และเป็นประตูการค้าเชื่อมโยงกับประเทศในกลุ่มอินโดจีน รวมทั้งมีการพัฒนาโครงข่ายการบริการพื้นฐาน ทั้งระบบถนน ทางรถไฟ ท่าเรือน้ำลึก และ ท่าอากาศยาน เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงสู่นานาชาติ และสนับสนุนการขยายตัว ทั้งทางด้านการพัฒนาเมือง เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
จากนโยบายการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก ถึงแม้จะส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของพื้นที่และสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ แต่นโยบายดังกล่าวยังไม่สามารถลดความแออัดของกิจกรรมและประชากรออกจากภาคมหานครได้ ในขณะเดียวกันการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวยังเป็นแรงกระตุ้นสำคัญให้มีการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินเกิดการพัฒนา และการเติบโตของระบบเมืองอย่างต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาความไม่สมดุลระหว่างเมืองและชนบท พื้นที่เกษตรกรรมถูกรุกล้ำ เกิดปัญหาความขัดแย้งในการใช้ที่ดิน และการจัดสรรน้ำระหว่างภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และการพัฒนาเมือง ซึ่งนำไปสู่ความเสื่อมโทรมของสภาวะแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของประชากรทั้งในเมืองและชนบท
นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดกับชุมชน
แหล่งข้อมูลค้นคว้าเพิ่มเติมโครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลตะวันออกและผลกระทบ
http://thaipublica.org/2012/11/30-years-eastern-seaboard-development/
แหล่งข้อมูลศึกษาค้นคว้าการพัฒนาและผลกระทบของภาคตะวันออก
http://www.dpt.go.th/nrp/index.php?option=com_content&view=article&id=43&Itemid=43
รายงานผลการวิจัย ผลกระทบทางสังคมจากการพัฒนาอุตสาหกรรมชายฝั่งทะเลตะวันออก ต่อชุมชนท้องถิ่น